The song of heart...เพลงหัวใจ
“กิดาหยัน” ช่างภาพสาวประจำนิตยสารเลิฟลี่โฮมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาพบกับเรื่องราวอันแสนน่าเวียนหัวของพี่สาวฝาแฝด “กิดานันท์” ที่ยังคงตัดใจจากอดีตแฟนเก่าอย่าง"โยธิน" ไม่ได้ แถมเจ้าเพื่อนเวร (กิดาหยันเรียกเขาว่าอย่างนั้น) ยังมีชนักติดหลัง พา “กวินภพ” อดีตว่าที่พี่เขยที่แสนจะคุ้มดีคุ้มร้ายเข้ามาเกี่ยวพันกับคนป่วยอย่างกิดาหยันอีก

งานนี้ช่างภาพสาวจะหลุดพ้นจากมลทินที่กวินภพกล่าวหาว่าหล่อนเป็นภรรยาลับได้หรือไม่

**ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนค้นคว้าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 14

บทที่ 14




“พวกเรามาจากนิตยสารเลิฟลี่โฮม จะมาขอสัมภาษณ์คุณศิลป์ชัยตามที่ได้นัดเอาไว้น่ะค่ะ”

กิดาหยันเอ่ยบอกสาววัยต้นๆ ที่ออกมาต้อนรับทันทีที่กฤษณะกดกริ่งเรียกคนในบ้าน

เช้านี้หล่อนกับกฤษณะมีนัดสัมภาษณ์ศิลป์ชัยถึงความเป็นมาของบ้านของเขา ทั้งการออกแบบ การตกแต่งภายในและภายนอก รวมถึงประวัติส่วนตัวและหน้าที่การงานของเจ้าของบ้านนิดหน่อยเพื่อลงประดับคอลัมน์

“อ๋อ พวกคุณนี่เอง เชิญเข้ามาข้างในได้เลยค่ะ คุณศิลป์ชัยรอพบพวกคุณอยู่ในบ้านแล้ว”

กิดาหยันยิ้มรับอย่างพอใจ ก่อนหันไปยิ้มอย่างเหนือกว่าให้คนข้างกาย “เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าทันถมเถ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด บ่นเป็นคนแก่ไปได้แกเนี่ย”

กฤษณะนั้นมารับหล่อนที่คอนโดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่างสำหรับการมาทำคอลัมน์สัมภาษณ์คนดังที่บ้านศิลป์ชัย ส่วนกิดานันท์...หล่อนไม่เห็นพี่สาวตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว

เมื่อคืนกว่ากิดานันท์จะเข้านอนได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เข้าใจว่าสิ่งที่พี่สาวกำลังเผชิญสร้างความทุกข์ใจไม่น้อย กิดาหยันเองก็ใช่ว่าจะทุกข์ใจน้อยไปกว่าพี่สาว เพราะเหตุนี้จึงทำให้หล่อนตื่นสายกว่าที่นัดกับกฤษณะไว้ร่วมสิบนาที และเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนต้องหูชามาตลอดทาง !

“น้อยๆ หน่อยยัยหยัน ทำเป็นพูดดีไป ถ้าฉันไม่เหยียบคันเร่งมิดป่านนี้ได้นอนกอดประตูบ้านคุณศิลป์ชัยแทนสัมภาษณ์แล้ว เขายิ่งกำชับกับทางเรามาอยู่ว่ามีนัดต่อหลังจากให้เราสัมภาษณ์ วันหลังห้ามตื่นสายอีกล่ะ ฉันยังไม่อยากขึ้นชื่อว่าขับรถชนคนตายนะยะ แค่นี้ก็หัวใจจะวายแล้ว”

“เจ้าค่ะคุณกฤษณะ ไม่ทันพูดขาดคำแกก็บ่นเป็นคนแก่อีกแล้ว ตกลงงานจะทำมั้ย บ่นมากแบบนี้เดี๋ยวก็ปล่อยให้สัมภาษณ์เองถ่ายเองเลยเป็นไง รำคาญจริง...โอ๊ย!” ประโยคท้ายกิดาหยันร้องเสียงหลงเพราะถูก ‘คนแก่’ ผลักศีรษะแทบกระเด็น

“คำก็แก่ สองคำก็แก่ หลบไปย่ะ ฉันจะทำงานแล้ว !” ไม่พูดเปล่าเจ้าหล่อนยังใช้สะโพกที่ไม่ค่อยจะมีกระแทกเพื่อนสาวเสียชิดกำแพง ก่อนเบียดผ่านประตูรั้วไป ไม่สังเกตเห็นหรอกว่ามีสายตาอาฆาตของกิดาหยันมองตามหลังมา

ได้แต่แยกเขี้ยวใส่ ลูบศีรษะป้อยๆ พลางเดินตามกฤษณะเข้าไปในบ้าน

จากปากประตูรั้วเป็นพื้นซีเมนต์ขนาดกว้างพอให้รถคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้าไปเป็นทางยาวเข้าสู่ตัวบ้านสองชั้น

ด้วยตัวบ้านที่รายล้อมด้วยไม้ใบและไม้ดอกหลากสีชวนให้กิดาหยันหยุดชื่นชมในความสวยงามของเหล่าพันธุ์ไม้เหล่านั้น

หน้าบ้านฝั่งขวามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ในโรงจอดรถซึ่งกว้างพอสำหรับรถเพียงหนึ่งคัน ฝั่งซ้ายมีชานระเบียงยื่นออกมาจากตัวบ้านเพื่อให้เจ้าของบ้านได้สัมผัสไอเย็นจากบ่อน้ำพุขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับสวนของเขามากทีเดียว

“สวัสดีครับคุณศิลป์ชัย พวกเรามาจากนิตยสารเลิฟลี่โฮมที่เคยนัดคุณไว้ว่าจะมาสัมภาษณ์ที่บ้านวันนี้น่ะครับ” กฤษณะเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อนเมื่อเดินตามสาวใช้มายังห้องรับรองแขกแล้วเห็นว่ามีศิลป์ชัย ชายเจ้าของบ้าน รูปร่างสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงยีนส์สีซีดนั่งรออยู่แล้ว

ท่าทางแข็งๆ บวกกับเสียงแมนของเพื่อนครึ่งหญิงครึ่งชายทำให้กิดาหยันยิ้มขัน อย่าให้ถึงทีหล่อนแล้วกันยัยคิตตี้เอ๋ย หลุดแมนเมื่อไหร่จะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย อุ๊ย แต่ต้องเป็นฟันแม่คุณนะที่ร่วง

“ครับ ผมรอพวกคุณอยู่พอดี” เขาผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง

พอเห็นเจ้าบ้านแข็งขันกฤษณะจึงไม่รีรอ เขาทวนเรื่องที่ต้องสัมภาษณ์กับศิลป์ชัยอยู่ครู่ รวมถึงขออนุญาตเขาเรื่องการถ่ายภาพสถานที่และของใช้ส่วนตัวของเขาบางอย่างเพื่อประกอบคอลัมน์ ก่อนเป็นกฤษณะที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์โดยมีหล่อนเป็นตากล้อง

ศิลป์ชัยเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง บิดามารดาของเขาเป็นข้าราชการอยู่ที่ต่างจังหวัดส่วนเขาเองมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จบมาเขาต้องตระเวนหางานทำอยู่หลายปี

“ผมเป็นลูกจ้างในบริษัทอยู่ไม่กี่ปีก็ลาออก ไม่รู้สิ ผมคงไม่ชอบชีวิตที่ต้องอยู่ในกรอบละมั้ง มีเวลาเป็นตัวบังคับว่าวันนี้ต้องมาทำงานกี่โมง เลิกงานกี่โมง นั่งเซ็งอยู่แต่ในออฟฟิศ ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปอยู่แล้วด้วยตั้งแต่เรียนมัธยมเห็นจะได้ถึงทำให้ผมตัดสินใจเดินมาเส้นทางนี้”

กิดาหยันสบโอกาสตอนถ่ายภาพมองคนเล่าให้ถนัดตา ศิลป์ชัยค่อนข้างจัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีและดูแลตัวเองพอสมควร อย่างเครื่องแต่งกายที่แม้จะเรียบง่ายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีสะอาดตากับกางเกงยีนส์ที่ออกไปทางเซอร์ๆ แต่เมื่อรวมเข้าชุดกันแล้วกลับดูเข้ากับบุคลิกของเขาอย่างบอกไม่ถูก

อีกทั้งการวางตัวที่ดูเกรงขามอยู่ในที ทำให้ศิลป์ชัยเหมือนมีสองบุคลิกอยู่ในตัวเอง ไม่เป็นคนเคร่งเครียดอย่างนักธุรกิจแต่ก็ไม่ใช่คนที่ปล่อยตัวตามอารมณ์อย่างที่เหล่าบรรดาใจรักในศิลปะเป็นกัน

ตั้งใจฟังไม่ต่างจากกฤษณะ ฟังไปฟังมาชีวิตเขาก็คล้ายๆ หล่อนอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมหล่อนยังเป็นแค่ช่างภาพตัวเล็กๆ ไม่เห็นมีแววจะได้เป็นช่างภาพอนาคตไกลอย่างเขาเลย

“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปห้องนั่งเล่นของผม แล้วพวกคุณจะเห็นว่าผมมีกล้องอยู่หลายตัว ถูกแพงมีหมด ผมเป็นคนชอบสะสมกล้องน่ะ”

“กล้องที่ว่า แพงสุดสำหรับคุณศิลป์นี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ” กิดาหยันถามเสียเอง

“ราคาประมาณล้านกว่าบาทเห็นจะได้”

“ล้านบาท !” คนถ่ายกับคนสัมภาษณ์ประสานเสียงกันโดยไม่ได้นัดหมายจึงเรียกเสียงหัวเราะจากคนถูกสัมภาษณ์

“มันเป็นกล้องดิจิตอล HASSELBLAD ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวมา แต่ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้กล้องแบบนี้หรอก คิดไปแล้วก็เสียดายเงินอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้เลยเหมือนวางประดับบ้านมากกว่า”

“แล้วคุณศิลป์จับพลัดจับผลูยังไงครับถึงได้มาเป็นช่างภาพจนถึงทุกวันนี้ บอกตามตรงนะครับว่าผมแทบไม่อยากเชื่อว่านักศึกษาคณะบัญชีธรรมดาๆ วันหนึ่งจะกลายมาเป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียงได้ มันคนละด้านเลยนะผมว่า”

“ส่วนหนึ่งเพราะความชอบส่วนตัวอย่างที่บอกไปนั่นแหละคุณกฤษ แต่อีกส่วนคงเป็นความโชคดีของผมที่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจที่ให้โอกาสผมมายืนอยู่ ณ จุดๆ นี้ได้น่ะ”

“แหม ฉันชักอยากรู้แล้วสิคะว่าผู้ใหญ่คนนั้นเป็นใคร ฉันเองก็อยากเป็นช่างภาพมีชื่อเสียงอย่างคุณศิลป์บ้างน่ะค่ะ” กิดาหยันเอ่ยทีเล่นทีจริง ตั้งใจจะเรียกเสียงหัวเราะจากศิลป์ชัย แต่ผิดคาดเพราะอีกฝ่ายมีเพียงรอยยิ้มฝาดเฝื่อน

เอ่ยเสียงเครียดเล็กน้อยว่า “หลายคนน่ะครับ แต่ที่ผมมีทุกวันนี้ได้คงเป็นเพราะโชคของผมด้วย เอ่อ พวกคุณอยากทราบเรื่องการออกแบบและก็การตกแต่งบ้านของผมด้วยใช่มั้ยครับ งั้นผมว่าเราเริ่มจากห้องนั่งเล่นเลยแล้วกัน”

จู่ๆ ศิลป์ชัยก็เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ เล่นเอากิดาหยันกับกฤษณะต่อไม่ติด ลุกเดินตามเขาไปถึงหน้าห้องนั่งเล่นแล้วนั่นแหละถึงตั้งหลักได้

ห้องนั่งเล่นที่เขาว่าก็คือห้องที่อยู่ข้างๆ ห้องรับแขกที่เปิดต้อนรับหล่อนกับกฤษณะนั่นเอง

บานประตูถูกผลักให้พ้นทางโดยเจ้าของบ้าน มีกฤษณะและกิดาหยันที่ตามเขาเข้ามาติดๆ และต้องพบว่าภายในห้องแม้มีเก้าอี้บุนวม โทรทัศน์ เครื่องเสียงไม่ต่างจากห้องนั่งเล่นในบ้านทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้กิดาหยันมองค้างคือของที่ศิลป์ชัยนำมาประดับห้องนั้นล้วนเป็นกล้องหลายรุ่นหลายแบบทั้งสิ้น

“ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้นก็ได้คุณกิดาหยัน ผมบอกแล้วไงว่าเป็นคนชอบสะสมกล้อง” ศิลป์ชัยเอ่ยยิ้มๆ เขาคงอ่านสีหน้าหล่อนออก

ก็เล่นยืนช็อกคาประตูขนาดนั้นคงดูไม่ออกมั้งยัยหยัน

"ไม่หรอกครับคุณศิลป์ ที่เห็นตะลึงนี้ ไม่ใช่เพราะตกใจที่เห็นว่าคุณศิลป์มีกล้องเยอะหรอกนะครับ ดูแล้วน่าจะตะลึงเพราะอยากได้มากกว่า”

“กฤษ !” กิดาหยันเค้นเสียงกำราบเพื่อน ก่อนฉีกยิ้มหวานให้ศิลป์ชัย “คือฉันชอบเล่นกล้องน่ะค่ะ แต่คงจะไม่มีเงินมากมายไปซื้อกล้องทุกตัวอย่างคุณศิลป์ นี่ก็กล้องของที่ทำงานเขา กล้องของฉันเองพังไปนานแล้ว คิดจะซื้อใหม่อยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่กล้าควักเงินจ่ายซักที กลัวเดือนนี้จะไม่มีข้าวกินน่ะค่ะ”

ศิลป์ชัยอมยิ้มในคำพูดตรงๆ ของเจ้าหล่อน “ผมจะแนะนำให้คุณไปหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนก็ใช่ที่ นั่นยิ่งแพงหนักกว่าเก่า หรือว่าหลังจากเราสัมภาษณ์กันเสร็จแล้วคุณจะมาเลือกกล้องสักตัวที่ห้องนี้ก็ได้นะครับ ผมเต็มใจขายให้คุณครึ่งราคาจากที่ผมซื้อมา”

“คะ?” เผลอร้องเสียงหลงออกมา ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปรึเปล่า “คุณศิลป์จะขายกล้องให้ฉันหรือคะ มะ...ไม่ต้องหรอกค่ะ กล้องพวกนี้คุณอุตส่าห์สะสมมาตั้งนานฉะ..ฉัน”

“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกคุณกิดาหยัน ใช่ว่าผมจะปล่อยให้คุณเลือกตามสบายเสียเมื่อไหร่ ผมมีกล้องอยู่สองสามตัวที่ไม่ค่อยใช้และก็เห็นว่าราคาไม่แพงมากนัก ถึงผมไม่ขายแล้วเก็บไว้เองเสียของเปล่าๆ เอาไว้เสร็จงานแล้วผมจะพาคุณมาเลือก”

กิดาหยันจะร้องค้านแต่โดนเพื่อนกระทุ้งแขน “จะปฏิเสธทำไมแม่คุณ เป็นฉันฉันเอาตั้งแต่เขายื่นข้อเสนอให้แล้ว”

“นั่นมันแกไม่ใช่ฉัน” แหวใส่ ไม่ทันปฏิเสธความหวังดีของเจ้าของบ้านกลับมีเสียงกริ่งดังขึ้นขัด

ศิลป์ชัยมองคนด้านนอกผ่านบานประตูใสที่แบ่งส่วนห้องทำงานกับชานระเบียง ก่อนหันมาเอ่ยตลกกับกฤษณะว่า “วันนี้สงสัยเป็นวันดีของผมมั้งเนี่ย คนที่นัดผมไว้ขยันมากันก่อนเวลาทุกคนเลย งั้น...พวกคุณถ่ายรูปไปก่อนแล้วกัน”

เขาชี้ไปที่ระเบียงตรงหน้า “ว่างๆ ผมมักจะมาวาดรูปตรงนี้บ่อยๆ ถ้าสนใจอะไรพวกคุณถ่ายได้ตามสบายเลย เดี๋ยวผมขอตัวไปบอกทางโน้นก่อนว่าผมติดให้สัมภาษณ์อยู่”

“ขอบคุณครับคุณศิลป์”

คล้อยหลังศิลป์ชัยหายออกไป สาวใช้คนเดิมที่ออกมาต้อนรับหล่อนที่ประตูรั้วก็โผล่เข้ามาในห้อง คาดว่าเจ้าของบ้านคงให้มาคุม แน่ล่ะในห้องนี้แค่กล้องก็เหยียบกี่ล้านแล้วก็ไม่รู้ แค่เขาไว้ใจให้หล่อนกับกฤษณะอยู่รอในห้องนี้นับว่ามากพอแล้ว

กฤษณะสนใจแต่กล้องถ่ายรูปที่วางเรียงรายอยู่ในตู้โชว์รอบห้อง เจ้าหล่อนอาสาที่จะถ่ายภาพพวกนั้นเอง ส่วนกิดาหยันแยกตัวมาถ่ายภาพที่ชานระเบียง

ดูแล้วศิลป์ชัยน่าจะเป็นจิตรกรมากกว่าช่างภาพ เห็นได้จากภาพวาดสองสามภาพที่เขาวางพิงกำแพงไว้และยังภาพที่เขาวาดค้างไว้บนขาตั้งวาดภาพอีก ล้วนเป็นภาพต้นไม้ใบหญ้าสวยที่หล่อนคิดว่าน่าจะมาจากสวนหน้าบ้านของเขานั่นแหละ

ใกล้ขาตั้งวาดภาพมีโต๊ะกลมเล็กๆ บนนั้นมีต้นพลูด่างสูงเลื้อยอยู่ในแจกันทรงกรวยและจานสีที่ยังมีสีแห้งติดกรังอยู่ตามหลุม ติดระเบียงไม้มีเก้าอี้สานขนาดยาวซึ่งวางหมอนซ้อนกันสองชั้นบนนั้น รวมถึงหน้าขาตั้งวาดภาพยังมีเก้าอี้บุนวมทรงกลมไว้ให้คนวาดได้นั่งเพลินกับการละเลงสีบนผืนผ้าใบตรงหน้าพร้อมกับดื่มด่ำธรรมชาติในสวนเขียวชอุ่มของเขาคราเดียวกัน

หมวกสานที่แขวนอยู่บนยอดขาตั้งวาดภาพกับภาพวาดที่เขาวาดค้างไว้ชวนให้กิดาหยันถ่ายภาพเก็บไว้มาหนึ่งภาพ ไม่ลืมถ่ายเก็บบรรยากาศของชานระเบียงซึ่งเป็นมุมพักผ่อนของเจ้าของบ้าน ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น

ภายในห้องกลับมีเพียงสาวใช้ยืนสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตู กฤษณะหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จะตามออกไปแต่กลับสะดุดตากลับกล้องดิจิตอลที่วางอยู่ชั้นบนสุดของตู้โชว์

ด้วยความที่ตู้โชว์มีกระจกกั้น แถมเจ้าของบ้านยังปิดล็อคตู้เสียดิบดี กิดาหยันจึงยื่นหน้าชะเง้อมองเสียชิดตู้จนสาวใช้ต้องร้องเตือน

“ระวังนะคะคุณ คุณศิลป์คงไม่พอใจถ้ามาเห็นว่าดิฉันปล่อยให้คุณ...”

“ฉันแค่อยากเห็นใกล้ๆ ไม่ได้คิดจะเอาไปไหนหรอก” ปากค้านไปตาก็ยังคงจับจ้องกล้องดิจิตอลตัวนั้นไม่คลาดสายตา

จากรูปร่างหน้าตาและสภาพกล้องที่ดูดีมีราคากว่ากล้องอื่นๆ ที่วางเคียงกันในตู้โชว์ ให้หล่อนเดาน่าจะเป็นกล้องที่ศิลป์ชัยบอกว่าราคาแพงที่สุด

ว้าว ! นี่หล่อนกำลังยลกล้องที่ราคาแพงที่สุดในชีวิตช่างภาพผู้มีชื่อเสียงอย่างศิลป์ชัยอยู่ใช่มั้ยเนี่ย เผลอๆ อาจจะแพงที่สุดในโลกก็เป็นได้ คิดเข้าข้างตัวเองแล้วยิ้มแก้มปริ ดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มีโอกาสมาเห็นกล้องราคาเป็นล้าน

แต่ได้ชมโฉมกล้องอยู่ไม่นานเสียงกระแอมจากด้านหลังทำให้เจ้าหล่อนสะดุ้ง ศีรษะเกือบชนกระจกตู้โชว์ อารามตกใจรีบถอยห่าง ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับคนข้างหลัง หวังว่าเจ้าของบ้านคงไม่ไล่หล่อนออกจากบ้านตอนนี้หรอกนะ แต่แล้วรอยยิ้มแห้งกลับหุบลงพลัน เบิกตาโพลงราวกับเห็นผีเมื่อพบว่าคนด้านหลังไม่ใช่ศิลป์ชัย หากทว่า...เป็นกวินภพต่างหากเล่าที่กระแอมเสียงขัด

“คุณภพ !”

สาวใช้คนนั้นหายไปแล้ว กลายเป็นกวินภพที่ยังคงกอดอกมองนิ่งมาที่หล่อน ท่าทางเขาจะมองดูพฤติกรรมหล่อนอยู่นานแล้วสินะถึงไม่มีอาการตกใจอย่างหญิงสาวแม้แต่น้อย “ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เองที่มาสัมภาษณ์เขา”

“คุณ...คุณมาทำอะไรที่นี่”

“ผมก็มาตามนัดของผมน่ะสิ แล้วนี่จะเสร็จงานกี่โมงผมจะได้พาเจ้าของบ้านเขาออกไปข้างนอกสักที”

กิดาหยันทำหน้างงๆ เรียบเรียงคำพูดของเขาได้แล้วถึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ กวินภพนั่นเองที่นัดศิลป์ชัยไว้ต่อจากหล่อน “ขอโทษนะคะคุณกวินภพ ดิฉันมาถึงก่อนคุณ และนี่ยังอยู่ในเวลาที่ฉันนัดกับคุณศิลป์ชัยไว้ และเท่าที่ดิฉันรู้มา คุณมีนัดหลังจากดิฉันไม่ใช่หรือคะ คุณมาก่อนเวลาก็อย่ามาเร่งกันสิ มารยาทแย่จริงเลยคุณเนี่ย”

“เหรอครับคุณกิดาหยัน ถ้าอย่างนั้นการที่คุณกำลังถือวิสาสะแตะต้องของรักของหวงของเจ้าของบ้านเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็คงเป็นหนึ่งในงานของคุณด้วยสินะ”

“ฉันแค่มองเฉยๆ ต่างหากย่ะ”

สวนเขากลับไปทันควัน และนั่นทำให้อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวหล่อน เล่นเอากิดาหยันถอยหลังกรูด สะดุ้งอีกรอบเมื่อแผ่นหลังชิดกับตู้โชว์ ขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอามือทั้งสองข้างยันตู้กระจกไว้ขนาบตัวหล่อน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “งั้นถ้าผมจะทำแบบนี้ก็คงไม่เสียมารยาทกับคุณเช่นกันใช่มั้ย”

“คุณ !”

“ครับคุณหยัน”

ยิ่งเห็นเขายิ้มลอยหน้าลอยตาอยู่ใกล้ๆ กิดาหยันก็ยิ่งหมั่นไส้ กำมือแน่นควบคุมอารมณ์โกรธที่พร้อมระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

ตัดใจไม่เถียงเขากลับ หล่อนไม่อยากมีเรื่องกับเขาอีก จึงผลักเขาออกห่างจะเดินเลี่ยงออกจากห้องไปเฉยๆ แต่ไม่ไวเท่าอีกฝ่ายที่คว้าแขนหล่อนไว้หมับ

“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะกิดาหยัน”

“แต่ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วค่ะ ปล่อย” แกะมือเขาออกแต่มือผู้ชายย่อมแข็งแรงกว่าผู้หญิงหลายเท่า และไม่มีทีท่าว่ากวินภพจะยอมปล่อยง่ายๆ ด้วย

“เมื่อหลายวันก่อน ผมเห็นคุณกับโยธินออกมาจากร้านอาหารใกล้ อพาร์ทเม้นท์”

กิดาหยันยอมอยู่นิ่งๆ กวินภพถึงยอมปล่อย “แต่ผมตามคุณออกไปไม่ทัน ผมไม่เข้าใจว่าคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ผู้ชายก็มีตั้งเยอะแยะ สวยๆ อย่างคุณหาผู้ชายดีกว่ามันก็ยังได้ เชื่อผมเถอะ ไอ้โยมันไม่ได้รักคุณจริงอย่างที่คุณรักมันหรอกนะ”

กิดาหยันถอนใจอย่างคนเซ็งชีวิตเสียเต็มประดา อธิบายความจริงไปมีแต่พี่สาวของหล่อนจะเดือดร้อน

“ฉันขอบคุณที่คุณหวังดีกับฉัน ฉันไม่อยากรู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้คุณไปรู้ ไปได้ยิน หรือไปเห็นอะไรมา แต่ฉันอยากยืนยันคำเดิมให้คุณรู้ไว้ว่าฉันกับโยเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“ทำไมกิดาหยัน ไอ้โยธินมันมีดีอะไรนักหนาคุณถึงไม่ยอมเลิกรากับมัน”

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าโยเป็นแค่เพื่อนฉัน แล้วมันกงการอะไรของคุณด้วยที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตฉันเนี่ย”

ตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง แต่กลับชะงักงันเมื่อเห็นเขาแสยะยิ้มออกมาดื้อๆ “นั่นสิ ผมลืมไปว่าคุณคงชินกับการอยู่อย่างเมียลับของไอ้โยมันไปแล้ว”

กิดาหยันยืนนิ่งราวกับถูกสาป รอยยิ้มแสยะของกวินภพนั้นไม่ต่างจากรอยยิ้มที่เขามอบให้หล่อนเมื่อวันที่เถียงกันหน้าห้องของกิดานันท์ หล่อนไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแค่คำพูดไม่กี่คำของเขาถึงทำให้หล่อนชาไปทั้งตัว...ลอยเคว้งและไร้ซึ่งการควบคุมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ใช่ ไม่เคยมีใครดูถูกกิดาหยันมาก่อน เขากล้าดียังไงมาเหยียดหยามหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า !

ได้แต่กำหมัดแน่น จะเดินหนีแต่ถูกกวินภพรั้งข้อมือไว้ตามเคยหากคราวนี้กระตุกต่อมน้ำโหสาวเจ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงหมัดหนักก็ต่อยเข้าที่หน้าหล่อเหลาของเขา แถมยังถองเข้าให้ที่เป้ากางเกง ทำเอาอีกฝ่ายจุกเซถอยไปชนตู้กระจกด้านหลังอย่างจัง

แต่เวลานี้กิดาหยันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รู้แต่เพียงต้องออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด

จะผละจากไปดื้อๆ แต่คิดเหรอว่าคนถูกต่อยจะยอมให้หล่อนไปง่ายๆ จากที่เคยคว้าแขนไว้กลายเป็นคว้าร่างบางจากด้านหลังมากอดไว้ทั้งตัว “กล้าดียังไงมาทำร้ายร่างกายผมฮึกิดาหยัน”

พอใจไม่น้อยเมื่อเห็นสาวเจ้าดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน “ทีผมกอดทำมาเป็นดิ้น กับไอ้โยคงเคยมากกว่านี้แล้วมั้ง”

“ปล่อยฉันนะ ทีคุณยังไล่ฉันลงจากรถค่ำๆ มืดๆ ได้เลย นับประสาอะไรกับแค่ฉันต่อยคุณ ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะร้องลั่นบ้านประจานความเลวของคุณจริงๆ ด้วย !”

“ก็เอาสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะกล้าประจานตัวเองด้วยรึเปล่า ดีไม่ดีพอคนอื่นเขารู้ว่าคุณมันไม่เหลือแม้แต่ศักดิ์ศรี ยอมเป็นเมียเก็บของผู้ชายเขาได้ไม่อาย อยากรู้นักว่ายังมีใครอยากจ้างพนักงานที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างคุณอีกรึเปล่า”

“บ้า ! คุณมันบ้าที่สุด ! ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนปากหมา ใจดำ หวงน้องสาวจนหน้ามืดตามัวเหมือนคุณมาก่อนเลย ฉันไม่นึกเลยนะว่าคุณจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ อ๋อ ! นี่คงเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณสินะ”

กวินภพหัวเราะหึข้างหูหล่อน คลายมือออกเปลี่ยนเป็นหันร่างที่อยู่ในการควบคุมให้เผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ดึงกิดาหยันเข้าหา ใกล้จนหล่อนได้ยินเสียงลมหายใจดุดันของเขาชัดเจน แขนแข็งแรงกระชับแน่นจนกิดาหยันเริ่มหายใจไม่ออก “ผมกับคุณมันก็ไม่ต่างกันหรอก ผมมองคุณผิดไปจริงๆ กิดาหยัน”

กวินภพผลักหล่อนออกห่างตัว ทำเอากิดาหยันกระเด็นไปจนศีรษะเกือบกระแทกเข้ากับขอบตู้โชว์ “ผู้หญิงอย่างคุณผมไม่อยากแตะต้องนักหรอก”

กิดาหยันยึดกำแพงไว้เพื่อตั้งหลักยืนกับพื้นให้มั่นคง ได้แต่กัดฟันกรอด ถ้าไม่มีเสียงสนทนาของคนด้านนอกดังใกล้ประตูห้องนั่งเล่นเข้ามาหล่อนคงได้ถลาเข้าไปชกหน้าเขาอีกรอบแล้ว !

“อ้าว คุณภพหลบมาอยู่ในห้องนี้เอง โทษทีที่ให้รอครับ ผมเพิ่งให้สัมภาษณ์กับคุณกฤษณะสะ...” ศิลป์ชัยหยุดพูดไป ขณะที่กฤษณะเข้ามายืนขนาบข้างกิดาหยัน

กระซิบกระซาบกับเพื่อนสาว “เอ๊ะ นี่ใช่ผู้ชายที่ช่วยแกยกกระเป๋ามารอฉันที่ชั้นล่างของอพาร์ทเม้นท์เมื่อคราวก่อนรึเปล่า”

กิดาหยันยังคงมองฉุนมาที่กวินภพ พานอารมณ์เสียใส่เพื่อน “เรื่องผู้ชายนี้จำแม่นจริงนะยัยคิตตี้ ว่าแต่แกหายไปไหนมา ทำไมถึงปล่อยให้ฉันอยู่กับอีตาบ้าสองคนได้”

“บ้าเหรอ ฉันก็ไปสัมภาษณ์คุณศิลป์มาน่ะสิ เขาพาฉันขึ้นไปชั้นบน และก็วนดูรอบๆ บ้านมา ฉันเห็นว่าแกกำลังถ่ายภาพเพลินอยู่ที่ชานระเบียงเลยกะว่าค่อยมาตามแกไปถ่ายภาพทีหลัง แล้วนี่ไปกินรังแตนมาจากไหนยะถึงได้มาอารมณ์เสียใส่ฉันเนี่ย ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณหล่อคนนั้น...”

คำสาธยายของเพื่อนเลื่อนลอยไปในอากาศเมื่อกิดาหยันเห็นศิลป์ชัยเดินตรงไปยังตู้โชว์

เจ้าของบ้านได้แต่ยืนตะลึงงันด้วยความช็อก เมื่อเห็นกล้องราคาแพงบนชั้นบนสุดของตู้โชว์ ยามนี้ นอนล้มอยู่บนชั้น มิหนำซ้ำยังกระเด็นมากระแทกกับกระจกตู้ มีรอยกระแทกปรากฏให้เห็นชัดเจนบนตัวกล้อง !

“ทำไมกล้องของฉันถึงเป็นแบบนี้ !” ศิลป์ชัยตวาดเสียงเขียวถามสาวใช้ที่เพิ่งเดินตามเข้ามาในห้อง

อีกฝ่ายส่ายหน้าดิก โบกปฏิเสธท่าเดียว “นะ...หนูไม่ได้ทำนะคะคุณศิลป์ พอดีคุณภพสั่งให้หนูไปดูแลคุณศิลป์กับคุณกฤษที่ชั้นบนน่ะค่ะ ละ...แล้วปกตินะ...หนูก็เห็นว่าคุณภพมาบ้านเราหลายครั้งแล้วก็เลย...”

“ผมทำเองคุณศิลป์”

จู่ๆ กวินภพก็โพล่งออกมา คนที่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะอย่างกิดาหยันเลยทำอะไรไม่ถูกหนักกว่าเก่า ที่สภาพกล้องถ่ายรูปของศิลป์ชัยเป็นแบบนั้นเพราะฝีมือหล่อนชกกวินภพเสียหลักไปชนตู้โชว์เองไม่ใช่เหรอ ละ...แล้วเขาอุตริมารับแทนทำไมเนี่ย

อืออาออกรับอีกคน “คะ...คือ...ไม่ใช่ฝีมือคุณภพหรอกค่ะ ปะ...เป็นฝีมือของฉันเอง”

“หมายความว่ายังไง?” เจ้าของกล้องเสียงสูงขึ้นมาทันที

“รู้มั้ยคุณกิดาหยันว่ากล้องนี้ราคาหลายล้าน มันคือกล้องที่ราคาแพงที่สุดของผม แล้วดู คุณทำอะไรลงไป เดินไม่รู้จักระวังทำข้าวของของผมเสียหายแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน !”

“ฉะ...ฉันขอโทษค่ะคุณศิลป์ พอดี...”

“พอดีผมกับคุณหยันมีปากเสียงกันนิดหน่อย” กวินภพเป็นฝ่ายออกรับแทนตามเคย และนั่นยิ่งทำให้กิดาหยันลนลานเข้าไปใหญ่ รู้สึกมือไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนจนต้องประสานไว้แน่นที่หน้าขา

“ถ้าจะโทษคุณหยันฝ่ายเดียวคงไม่ถูก เธอไม่ได้ตั้งใจ ผมเองที่เป็นคนยั่วโมโหเธอ เราเลยไม่ทันระวังชนตู้โชว์เข้า”

“จริงเหรอยัยหยัน” คิดตี้เร่งเร้าถามเพื่อนขึ้นมาบ้าง

กิดาหยันเอาแต่ก้มหน้าสำนึกผิด ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ ศิลป์ชัยเลยไม่รู้จะตัดสินยังไงนอกจากพ่นลมหายใจดังพรืด “เอาเป็นว่าพวกคุณกลับไปก่อน ขอผมเคลียร์กับคุณภพเสร็จแล้วผมจะโทรศัพท์ไปที่บริษัทนิตยสารของพวกคุณเพื่อรายงานถึงความประพฤติของคุณกิดาหยันในภายหลัง”

“อย่านะคะคุณศิลป์ ฉันขอร้อง ฉัน...ฉันเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานน่ะค่ะ ถ้าฉันยินดีจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดเท่าราคากล้องของคุณคุณไม่เอาเรื่องฉันไปรายงานกับฝ่ายบุคคลได้มั้ยคะ”

“นะครับคุณศิลป์ หยันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาบางทีอาจจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะทำงานหนักๆ แถมวันนี้ออกมานอกสถานที่ครั้งแรกด้วยคงโดนแดดมากไปเลยทำให้ทำอะไรโดยไม่ทันระวังไปบ้าง” แก้ตัวให้เพื่อนแล้วต้องยิ้มแห้งทะแม่งๆ กับเหตุผลของตัวเอง เหตุกับผลไปคนละทิศคนละทางสิ้นดี ไม่เห็นช่วยเพื่อนตรงไหน

ศิลป์ชัยไม่เอ่ยอะไรอีก เดินผ่านหน้าหล่อนกับกฤษณะไปดื้อๆ กวินภพเองลอบมองหญิงสาวเพียงครู่ก็เดินตามเจ้าของบ้านออกไป

กิดาหยันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกน้ำลายฝืดคอพิกลเมื่อต้องสบตากับกวินภพตรงๆ โล่งอกขึ้นมาหน่อยที่ไม่เห็นแววตาของเขาดุดันเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่







***********************







“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าคุณยังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งมาทำงาน”

จักรชัยเรียกกิดาหยันมาพบในบ่ายวันนั้น เขาบอกว่าได้รับเรื่องที่หล่อนทำกล้องราคาแพงของศิลป์ชัยพังจากฝ่ายบุคคล จึงรับอาสาเป็นคนตักเตือนหล่อนด้วยตัวเองโดยการสั่งให้เลขาหน้าห้องเรียกลูกจ้างสาวมาพบในห้องทำงานทันทีที่กิดาหยันกลับเข้ามาในบริษัท

กิดาหยันยืนนิ่งเป็นหุ่นให้เขาโขกสับอยู่นานก็ออกโรงแก้ตัวว่า “แต่งานนี้บก.ให้ฉันทำกับกฤษเองไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นแหละ แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมก็ไม่ควรรับ ดีแค่ไหนแล้วที่คุณศิลป์ไม่เรียกค่าเสียหายจากทางเราทั้งหมด”

กิดาหยันนิ่วหน้า “ไม่เรียกค่าเสียหายทั้งหมด ?”

“โชคดีที่กล้องไม่ได้เสียหายอะไรมาก เห็นเขาว่าค่าเสียหายครึ่งหนึ่งลูกชายคุณทวีนุช กมลากรจะเป็นคนจ่ายเอง”

ยิ่งฟังหัวหน้าอธิบายลูกจ้างสาวก็ยิ่งงง จากนิ่วหน้า คิ้วเรียวยังผูกเป็นปมยุ่ง “ใครคะบก. หรือว่าบก.หมายถึงคุณกวินภพ”

พูดไปแล้วก็นึกค้านในใจ ถึงหล่อนจะรู้ว่ากวินภพเป็นพี่ชายของสโรชินี...อดีตคู่หมั้นของโยธิน แต่เท่าที่หล่อนจำได้ในบัตรประชาชนของกวินภพนั้นบอกว่าเขานามสกุล ‘หัสดิน’ ไม่ใช่ ‘กมลากร’ ตระกูลคนมีเงินที่มีบริษัทนิตยสารโฮม แอนด์ การ์เด้นเป็นหนึ่งในจำนวนบริษัทที่ทวีนุชร่วมถือหุ้นส่วนอยู่ด้วย

“แล้วคุณนึกว่าเป็นใครอีกล่ะ คุณทวีนุชเขาก็มีลูกอยู่แค่สองคนคือคุณสโรชินีและคุณกวินภพ คนที่รับจ่ายค่าเสียหายร่วมกับคุณนั่นแหละ”

“คุณกวินภพเป็นลูกชายแท้ๆ ของคุณทวีนุชหรือคะ”

คำถามแปลกนั้นทำให้จักรชัยสบมองลูกจ้างสาวอย่างขันๆ

“ก็ใช่น่ะสิ อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้มาก่อนว่าคนที่คุณไปหาเรื่องทะเลาะด้วยที่บ้านคุณศิลป์ชัยมาเป็นลูกชายตระกูลกมลากร”

“คือฉัน...ฉันเคยรู้มาว่าเขานามสกุลหัสดิน”

“นั่นเป็นนามสกุลของสามีคุณทวีนุชเขา คนรวยก็ชอบทำอะไรให้วุ่นวายแบบนี้แหละ แต่งงานแล้วแทนที่จะใช้นามสกุลสามีดันคงใช้นามสกุลตัวเองอยู่ แกคงเห็นว่าตระกูลตัวเองดัง ช่วยเปิดช่องทางทำมาหากินง่ายขึ้นละมั้ง สามีเขาก็ใช้ด้วย มีลูกชายแกนั่นแหละ...เอ่อ...นายกวินภพนั่นน่ะ ที่ใช้นามสกุลของพ่อ”

กิดาหยันมัวแต่สนใจกับเรื่องที่เขาเล่า ไม่ทันสังเกตว่าสรรพนามที่หัวหน้าเรียกลูกชายตระกูลนั้นเปลี่ยนไป

“บก.พอจะรู้มั้ยคะว่าทำไมคุณภพถึงไม่ยอมใช้นามสกุลเดียวกับคุณทวีนุช”

“โธ่กิดาหยัน คุณไม่รู้อะไร นายภพเหมือนเป็นลูกนอกคอกของคุณทวีนุช แกร่ำๆ จะให้ลูกชายสานกิจการทุกอย่างต่อจากแกนานแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง โน่น มัวแต่ไปเปิดสวนอาหารกับเพื่อน ที่เปลี่ยนนามสกุลคงไม่อยากให้คนรู้ว่าตัวเองเป็นลูกบ้านนั้นน่ะสิ กลัวทำตระกูลเสียชื่อ”

“ไม่ขนาดนั้นมั้งคะบก. เขาอาจมีเหตุผลของเขาที่เราไม่รู้ก็ได้”

จักรชัยยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เห็นว่าเจ้าหล่อนพาไปไกลเลยวกกลับมาเรื่องเดิม “ผมจำเป็นต้องหักเงินเดือนแต่ละเดือนของคุณครึ่งหนึ่งเพื่อเอาเงินส่วนนั้นมาคืนเงินที่บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้คุณศิลป์เขา”

“แต่บก.คะ” คนที่พยายามหาเหตุผลมาเปลี่ยนการตัดสินใจของนายเอ่ยเสียงอ่อยว่า “เงินเดือนของฉันทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็ถูกหักไปเพื่อชดเชยเงินของบริษัทที่ฉันเคยเบิกล่วงหน้าไปจ่ายค่ารักษาแล้ว ถ้าบก.หักเงินเดือนอีกครึ่งหนึ่ง ฉะ...ฉันจะเอาเงินจากไหนไปประทังชีวิตละคะ”

จักรชัยเท้าคางนึกครู่หนึ่ง ลืมไปเสียสนิทว่าลูกจ้างสาวยังใช้หนี้เก่าของบริษัทไม่ครบ “เอาเป็นว่า ถ้าคุณคิดว่ามีเงินมากพอจะมาจ่ายค่าเสียหายให้กับทางบริษัทผมจะไม่หักเงินเดือนคุณ แต่ต้องรอให้พ้นเดือนนี้ไปก่อน ยังไงผมก็ต้องลงโทษในสิ่งที่คุณกระทำ ส่วนเรื่องงาน ช่วงนี้ผมจะให้คุณทำงานเบาๆ ในบริษัทไปก่อน”

“แต่ฉัน”

“อย่าค้านผมเลยกิดาหยัน” จักรชัยถือวิสาสะกุมมือลูกจ้างสาวเป็นเชิงปลอบ “ที่ผมทำไปเพราะผมเป็นห่วงคุณ แต่ถึงคุณไม่มีงานทำก็คงหางานแถวนี้ทำได้ไม่ยากใช่มั้ย”

กิดาหยันยิ้มเจื่อนก่อนบิดมือออกจากการเกาะกุมของเขา ถึงจะชินกับพฤติกรรมแบบนี้ของหัวหน้าแต่หล่อนใช่ว่าจะพอใจ

จักรชัยชักมือกลับอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ที่ถูกหญิงสาวปฎิเสธเหมือนเคย เห็นอยู่เหมือนกันว่ามุมปากหนานั้นเชิดขึ้นอย่างยิ้มๆ แต่เป็นยิ้มเยาะเสียมากกว่า “กฤษเล่าให้ผมฟังว่าช่วงนี้คุณยังไม่ค่อยแข็งแรงดี อย่างเมื่อเช้าพอออกจากบ้านคุณศิลป์ชัยมาได้ไม่เท่าไหร่คุณก็บ่นว่าเวียนหัวไม่ใช่เหรอ ดีนะที่ไม่เป็นลมไป...หวังว่าคุณคงเข้าใจผมใช่มั้ย”

ประโยคท้ายนายจ้างหยั่งเชิงถามไปอย่างนั้น

พอแก้ตัวไม่ได้ ลูกจ้างสาวเลยหน้ามุ่ยรับคำ “ค่ะบก. ฉันไปได้แล้วใช่มั้ยคะ”

จักรชัยเปิดประตูส่งกิดาหยันกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ส่วนเขาหยุดยืนหน้าบานหน้าต่างทอดมองไกลออกไปยังตึกสูงระฟ้าตรงหน้า

ภาพสะท้อนของเงากระจกแทนที่จะเป็นภาพของจักรชัยกลับกลายเป็นภาพดวงหน้าสวยของลูกจ้างสาวเมื่อครู่ลอยชัดในห้วงคำนึงนั้น ก่อนมลายหายไปด้วยรอยยิ้มแสยะที่มุมปากของเจ้าของความคิด



**************************
รายงานความคืบหน้าค่า
หนังสือคาดว่าได้ประมาณสิ้นเดือนนี้นะคะ

ใครยังไม่ได้จองรีบสั่งจองจ้า ราคาโปรโมชั่น ห้ามพลาด!

ราคาปก 319 บาท

สั่งจองภายในวันที่ 14 ม.ค.-28กพ.56 ราคาลดเหลือ 280 บาท (ฟรีค่าส่ง+ที่คั่นหนังสือ)

สนใจ แจ้งชื่อมาได้ที่เมล์ buta_ood@hotmail.com แล้วรันจะส่งเลขบัญชีสำหรับโอนเข้าไปให้ค่ะ ^___^




สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2556, 17:46:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2556, 17:46:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1326





<< บทที่ 13   นอกรอบ2 >>
Auuuu 17 ม.ค. 2556, 18:42:15 น.
บก.นี่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับพระเอกแน่เลย


Edelweiss 17 ม.ค. 2556, 20:40:36 น.
เมื่อไหร่คุณภพจะรู้ความจริ๊งงงง ช่างยั่วกิดาหยันจริง ๆ เดี๋ยวจะช๊อคใส่ให้ดู


lovemuay 17 ม.ค. 2556, 23:23:39 น.
เอ? หัวหน้ามีแผนร้ายอะไรรึป่าวเนี่ย สังหรณ์ไม่ค่อยดี
บางทีพระเอกอาจจะจ่ายค่ากล้องให้หมดแล้วก็ได้ โดนหัวหน้าโกงตังค์ป่ะเนี่ย


สรัน 18 ม.ค. 2556, 11:31:19 น.
Auuuu กับ lovemuay - 2สาวนี้คอสงสัยเหมือนกันตล๊อดๆ 555555 อีตาบก.นี่ไม่ประสงค์ดีกะกิดาหยันแน่นอนค่ะ ใบ้ได้เท่านี้ (ใบ้เหมือนไม่ใบ้ ได้ข่าวว่ารู้กันอยู่แล้ว กร๊ากกกกกกกกกกก)

Edelweiss- เดี๋ยวจะช็อคใส่ให้ดูนี้ หมายถึงหยันหรือ Edelweiss คะ ฮา...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account