ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๑๘-๑๙

บทที่ ๑๘

ภายในห้องทำงานใหญ่ อนาวินยืนกอดอกมองผ่านกระจกบานหนา สมองครุ่นคิดกับหลายๆเรื่องที่ยังค้างคาโดยที่ยังไม่สามารถหาความกระจ่างได้ และมันพาให้เขารู้สึกหงุดหงิด ร่างสูงเพรียวหันกดอินเตอร์คอม
“คุณพัฒนา เข้ามาหาผมหน่อย”

“ครับ”
สิ้นคำตอบรับไม่กี่อึดใจ ร่างของเลขาฯหนุ่มวัยกลางคนก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“มีอะไรหรือครับ คุณจิล”

“เรื่องบันทึกที่ให้อ่านน่ะ ไปถึงไหนกันแล้ว”

“คือ..ส่วนของคุณเต้กับคุณโจ้ผมได้มาแล้ว เหลือแต่ส่วนของคุณหนูเล็ก แต่คุณเต้บอกว่าอีกสอง-สามวันเขาจะจัดการให้ครับ”

“ฮึ! สุดท้ายเจ้าเต้ก็ต้องทำงานแทนหนูเล็กจนได้” อนาวินพึมพำอย่างอ่อนใจ “แล้วจากสิ่งที่เราได้มาล่ะ มีอะไรที่คิดว่าผิดสังเกตบ้างมั้ย”

พัฒนาคิดถึงบางเรื่องที่ติดอยู่ในหัว “คือ..เมื่อสี่ปีก่อน แผนกรับเหมาเปลี่ยนหัวหน้าคนงานถึงสามคนภายในปีกว่า ผมก็เลยให้คนของเราสืบหาสาเหตุของการลาออก แต่ปรากฏว่าคนแรกตายด้วยหัวใจวายเฉียบพลัน คนที่สองตายเพราะมอเตอร์ไซด์คว่ำ ส่วนคนที่สามลาออกโดยให้เหตุผลว่า ป่วยเป็นมะเร็งตับครับ”

“สามัคคีกันตายถึงสองคน ในขณะที่อีกคนก็เป็นมะเร็งเรอะ”

“ครับ..แล้วคุณขวัญก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย”

“ช่วงนั้นขวัญกำลังเร่งทำโปรเจ็กต์ คงไม่มีเวลามาดูเรื่องนี้หรอก..แต่อาเจ็กอาจจะรู้ก็ได้..แล้วหัวหน้าคนงานรายล่าสุดของเรายังอยู่ดีมีสุขใช่ไหม”

“ไม่มีปัญหาอะไรครับ”

อนาวินครุ่นคิด “อืมม์..เป็นช่วงที่เรากับพวกรัตนากรเริ่มตีกันพอดีเลย..งั้นลองไปสืบกับพวกญาติหรือคนสนิทของพวกหัวหน้าคนงานสามคนนั่นดูหน่อยว่ามีเรื่องขัดแย้งกับใครหรือเปล่า เผื่อจะมีเบาะแสอะไรให้เราอีก”

“ครับ”

“พยายามสืบให้เงียบที่สุดนะ”อนาวินบอกพลางหยิบเสื้อสูทมาสวม “ผมจะไปเยี่ยมป๊าที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไรไม่ต้องโทรตามผมนะ”

“ครับ” พัฒนารับคำอีกครั้ง ก่อนหันเดินออกจากห้อง



รถสปอร์ตคันหรูสีดำแล่นตามรถเอสยูวีคันใหญ่เลี้ยวเข้าจอดในลานจอดรถของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ..อนาวินเปิดประตูก้าวลงจากรถทางฝั่งผู้โดยสารรถสปอร์ตของตนพร้อมโจ้ผู้เป็นสารถี และไม่กี่วินาที ร่างสูงใหญ่ของบรรดาผู้ติดตามต่างพากันลงจากรถเอสยูวีเพื่อติดตามเขาขึ้นห้องพักฟื้นของผู้เป็นนายใหญ่เช่นปกติ แต่ขณะที่อนาวินกำลังก้าวขาเข้าสู่พื้นที่ด้านใน สายตาภายใต้แว่นกันแดดเหลือบเห็นร่างของดนุพงษ์เพิ่งจะก้าวขึ้นเบาะผู้โดยสารตอนหลังของรถยนต์คันใหญ่ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล ก่อนที่บอดี้การ์ดจะขึ้นนั่งด้านหน้าข้างคนขับ และขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนจากไป กระจกรถยนต์ที่ค่อนข้างใสทำให้มองเห็นว่าใบหน้าของดนุพงษ์นั้นหันมามองที่เขา และหยัดยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อนาวินไม่เคยชอบใจเลยสักครั้ง เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังเย้ยหยันเขา

เมื่อขึ้นมาถึงที่หมาย บรรดาผู้ติดตามต่างกระจายตัวกันอยู่ไม่ห่างจากบริเวณห้องพักฟื้น บ้างก็พูดคุยกันเบาๆกับกลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าดูแลความปลอดภัยให้เจ้านายทั้งสองภายในโรงพยาบาล..อนาวินถอดแว่นตากันแดดใส่กระเป๋าเสื้อยามลูกน้องเปิดประตูให้เขาก้าวเข้าไปภายในห้องพร้อมโจ้ ซึ่งภายใน เตชิตนั่งพูดคุยกับ บาสอยู่มุมห้องที่มีลูกน้องคนสนิทของบาสอีกสามคนนั่งอยู่ดูโทรทัศน์ และโจ้ก็ปลีกตัวจากเจ้านายหนุ่มเข้าไปหากลุ่มของบาสด้วยรอยยิ้มเริงรื่นเช่นเคย อนาวินจึงเลื่อนเปิดประตูก้าวเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน เสียงหัวเราะใสของน้องสาวลอยสวนมาทันที และเห็นเจ้าของร่างนั่งไขว่ห้างเท้าคางกับขอบเตียงของคนป่วยที่แม้จะยังมีสายอุปกรณ์ทางการแพทย์ระโยงระยางแต่ใบหน้าซีดเซียวนั้นยังเจือด้วยรอยยิ้มสุขใจ ยามฟังเสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวคนโปรดเล่าเรื่องขบขันให้มารดาที่ปอกผลไม้อยู่อีกด้านของห้องฟัง และเสียงครื้นเครงนั้นหยุดลงเมื่อโมรียาหันมาทางเขา

“เอ้า ไม่รู้ว่าเฮียจะมาเร็ว หนูเล็กจะได้ให้ซื้อเค้กเจ้าอร่อยติดมาให้กินด้วย”

“คนของเรามีเป็นสิบ ทำไมไม่ใช้ให้ไปซื้อให้ล่ะ”

โมรียาโคลงหัวไปมา
“คนอื่นซื้อให้มันไม่อร่อยเหมือนเฮียซื้อให้กินหรอก” แล้วก็ฉีกยิ้มหวานให้อนาวินแค่นหัวเราะ ขณะเดินไปหามารดาหยิบผลไม้ที่ถูกบรรจงตัดเป็นชิ้นแล้วหันมาพูดกับน้องสาวอีกครั้ง

“กินเจ้านี่ไปพลางก่อนก็แล้วกัน เอามั๊ย”

โมรียาทำหน้ามุ่ย “ไม่เอา เค้ากินจนเบื่อแล้ว ไว้รอไปกินของอร่อยๆกับป๊าดีกว่า อ้อ! พาแม่ไปด้วย ทิ้งเฮียให้อยู่กับพวกสาวๆที่นี่แหละ..เนาะป๊า” แล้วเอนศีรษะลงแนบบนท่อนแขนของบิดาพร้อมยิ้มให้อย่างออดอ้อน และได้รอยยิ้มอ่อนโยนแสนรักใคร่ของบิดาตอบกลับมา อนาวินเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“โตแล้วยังอ้อนป๊าเป็นเด็กอยู่ได้” และตั้งท่าจะกัดกินผลไม้ในมือ

“ชิ!อิจฉาล่ะสิ” โมรียาย่นจมูกให้ ก่อนลุกพรวดเดินตรงรี่มางับชิ้นผลไม้ที่พี่ชายถือค้างในมือมาเคี้ยวตุ้ย และหันไปกอดมารดาจากด้านหลัง “อื้อ แอปเปิ้ลอร้อย..อร่อยค่ะแม่”

เมธิกาอมยิ้มกับการยั่วเย้าของสองพี่น้อง ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีทั้งสองก็ยังคงหาเรื่องหยุมหยิมมากระทบกระทั่งกันเรื่อยไม่ต่างอะไรกับครั้งเยาว์วัยเลย

อนาวินมองชิ้นผลไม้ที่เหลือในมือ ปรายหางตามองค้อนน้องสาวพร้อมส่งมันเข้าปากตัวเอง ก่อนเดินไปยืนข้างเตียงคนไข้
“วันนี้ป๊าเป็นไงบ้างล่ะ ยังมึนหัวอยู่อีกรึเปล่า”

“หายมึนแล้ว..แต่ยังขยับตัวไม่ค่อยได้”

อนาวินจับได้ถึงกระแสอารมณ์หงุดหงิดที่บิดาซ่อนไว้ภายใต้น้ำเสียงราบเรียบ
“เดี๋ยวก็ดีขึ้นน่าป๊า” ชายหนุ่มปลอบ พลางยอบตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “เมื่อกี้ผมเห็นคุณดนุพงษ์ที่ลานจอดรถ..เขามานานแล้วหรือครับ”

“ก็ไม่นานหรอก พอดีเขาออกมาพบลูกค้าแถวนี้ ก็เลยแวะมาเยี่ยม”

“ดูท่าเขาจะห่วงป๊ามากนะ..มาเยี่ยมได้เกือบทุกวัน”

อชิรปรายสายตามองลูกชายเมื่อรู้สึกสะกิดใจในคำพูด “มีอะไรกับคุณดนุพงษ์รึเปล่า”

ชายหนุ่มมองสบสายตาบิดาเพื่อประเมินถึงสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป ซึ่งอาจจะทำให้คนฟังไม่พอใจ
“ผมรู้ว่าคุณดนุพงษ์เป็นคนที่ป๊าไว้วางใจมากที่สุด..แต่อะไรหลายๆอย่าง ทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวเขา”

“อะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้เราสงสัยในตัวเขา” น้ำเสียงของผู้ให้กำเนิดยังคงราบเรียบ

อนาวินส่ายหน้าช้าๆ
“มันยังไม่มีอะไรชี้ชัดแน่นอน..แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกไปอย่างนั้น”

คนฟังนิ่งขรึมไปชั่วอึดใจ
“ป๊าไม่อยากให้เราด่วนสรุปอะไรลงไปเพียงแค่เพราะความรู้สึก โดยเฉพาะกับคุณดนุพงษ์”

“ผมรู้ว่าไม่ควรตัดสินว่าใครผิดหรือถูกเพียงแค่เพราะความรู้สึก..แต่อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู แล้วผมเองก็ยังมีเรื่องต้องคิดต้องทำอีกเยอะ มันคงจะทำให้ผมประสาทเสียนิดหน่อย..ขอโทษครับป๊า”

อชิรยิ้มปลอบโยนต่อความเคร่งเครียดของลูกชายที่สำแดงออกมาทางสีหน้า เพราะตัวเขาเองก็พอจะเดาได้ว่า ลูกชายจะต้องรับมือกับอะไรบ้างในฐานะผู้นำองกรค์ระดับใหญ่ในขณะที่ลูกของเขานั้นยังไม่มีความพร้อมเต็มที่ การตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างจึงยังไม่เฉียบคม ซึ่งการแก้ปัญหาแต่ละเรื่องมันไม่มีทฤษฎีตายตัวที่ใครๆจะสามารถหยิบยกมาใช้ได้เลย และแม้แต่ตัวเขาที่ผ่านประสบการณ์มาทุกรูปแบบ บางครั้งก็ยังมีข้อผิดพลาดให้กลับไปแก้ไข

“ไม่มีอะไรที่จิลต้องมาขอโทษป๊า เพราะสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนี้ ก็ทำให้ป๊าภูมิใจมากแล้ว”

อนาวินมองสบสายตาผู้ให้กำเนิด ก่อนยิ้มพรายในสีหน้าที่ตนเองนั้นสามารถทำให้บิดาพึงพอใจได้..แต่อีกใจก็อดที่จะหวั่นไม่ได้ ถ้าหากบิดารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราโมน่า..ความดี ความภาคภูมิใจที่ผ่านมาของเขาจะสามารถช่วยลบล้างความโกรธเคืองของบิดาได้มั้ย

และไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรออกมาอีก ฝ่ามือของน้องสาววางลงมาบนไหล่ก่อนโน้มตัวลงโอบรอบคอเขา
“ป๊าเป็นคนป่วยอยู่นะ เฮียห้ามเอาเรื่องงานมาพูดกับป๊าเด็ดขาด” ก่อนจะหันไปพูดกับบิดาคล้ายจะฟ้อง “ป๊ารู้มั้ย ว่าเฮียน่ะใช้งานหนูเล็กเยี่ยงทาสเลยนะคะ”

อชิรเลิกคิ้วมองลูกชาย ที่กำลังส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ พลางดึงแขนน้องสาวให้พ้นจากตัว
“อย่ามาพูด เฮียใช้งานแค่นิดๆหน่อยๆเท่านั้น นอกจากตัวเองจะไม่ทำแล้วยังโยนไปให้เจ้าเต้ทำแทนอีก”

โมรียารีบแก้ตัว
“ก็ลายมือพวกนั้นมันทำให้หนูเล็กปวดหัวนี่นา อีกอย่าง พี่เต้ก็เป็นคนอ่านหนังสือเร็วอยู่แล้ว แถมเข้าใจอะไรได้ไวกว่าหนูเล็กอีก เพราะฉะนั้น หนูเล็กให้พี่เต้ทำแทนน่ะถือว่าเป็นการดีแล้วนะเฮีย”

“เฮอะ! แถไปได้เรื่อยล่ะเราน่ะ”

“อะไรเล่า” ดวงหน้าที่ตกแต่งอย่างสวยงามบูดบึ้งเล็กน้อยจากการถูกต่อว่า และก่อนที่สงครามย่อยๆระหว่างพี่-น้องจะยืดเยื้อ ร่างของศรานั่งบนรถเข็นโดยลูกน้องคนสนิทเป็นคนเข็นเข้ามาภายในห้องตามด้วยพิมพ์ศิริและผู้เป็นมารดา

อชิรยิ้มให้น้องชายที่ร่างกายฟื้นฟูจนสามารถลุกขึ้นนั่งบนรถเข็นได้แล้ว ในขณะที่เขายังไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ไม่มากนัก และสองพี่น้องที่ไม่เห็นหน้ากันเป็นเดือนสืบเนื่องจากอาการบาดเจ็บจึงมีเรื่องถามไถ่พูดคุยกันพอสมควร..อนาวินร่วมวงสนทนากับผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่มีสมาชิกฝั่งศราร่วมด้วย และในบทสนทนานั้นไม่มีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับสาเหตุของการถูกลอบทำร้าย เพราะทั้งอชิรและศรานั้นไม่อยากให้ภรรยาของตนต้องเป็นกังวลหรือหวาดวิตกไปมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ในขณะที่พิมพ์ศิริยืนฟังบทสนทนาไปเงียบๆ แต่บางครั้ง สายตาของเธอปรายมองไปยังโมรียา ด้วยความรู้สึกอิจฉาอย่างไม่ตั้งใจกับเสียงหัวเราะสดใส ที่ญาติผู้น้องสามารถหัวเราะออกมาได้ในสถานการณ์ตึงเครียด และเสียงหัวเราะนั้นก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้รับฟังได้พอสมควร และยังท่าทางออดอ้อนของโมรียายามต้องการสิ่งใดนั้นก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของใครหลายๆคน..แต่สำหรับเธอ อย่าว่าแต่ทำท่าทางออดอ้อนใครต่อใครเลย แม้แค่การยิ้มหวานๆให้ใครสักคนนั้นมันก็ถือว่าเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจสำหรับเธอมากแล้ว

เวลาผ่านไปไม่นานนัก..บทสนทนาเป็นอันต้องยุติ เมื่อพิมพ์กมลเห็นว่าถึงเวลาที่สามีควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว รวมทั้งอชิรเองก็ต้องการเวลาพักผ่อนเช่นกัน แต่ศรานั้นยังอิดออด ถึงแม้ว่าจะเริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้วก็ตาม
“เพิ่งคุยกับเฮียได้ไม่เท่าไหร่เลย ขอผมอยู่ต่ออีกหน่อยสิ”

พิมพ์กมลไม่สนใจคำต่อรองของสามี
“ไม่ได้ค่ะ ถึงเวลาที่คุณต้องกลับขึ้นเตียงแล้ว” เธอยืนยันเสียงแข็ง และหันไปสั่งให้ลูกน้องเข็นรถเข็นออกจากห้อง ศราจึงจำต้องเอ่ยลาพี่ชาย

“ผมไปก่อนนะเฮีย แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

อชิรพยักหน้ารับ..อนาวินเหลียวมองตามร่างของศราด้วยนึกอยากจะถามเรื่องราวบางอย่างในตัวของดนุพงษ์ แต่เมื่อเห็นว่าพิมพ์กมลนั้นต้องการให้สามีได้พักผ่อน คงไม่ปล่อยให้มาคุยเรื่องงานอีกแน่..เขาคงต้องหาเวลาที่เหมาะสมใหม่ในเร็วๆนี้



ความมืดของราตรีโอบคลุมร่างสูงใหญ่ของโจ้ที่ยืนพิงผนังตึกในมุมมืด ความเงียบสงัดทั่วบริเวณทำให้ได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆคลอกับเสียงเพลงที่กำลังฟังจากโทรศัพท์มือถือได้ชัดเจน ขณะที่สายตาคอยเฝ้ามองถนน จนกระทั่งเห็นแท็กซี่ปราดเข้ามาจอดไม่ห่างจากที่เขายืนอยู่นัก และไม่กี่อึดใจ ร่างอวบอิ่มอย่างสมบูรณ์แบบด้วยสรีระสตรีเพศของราโมน่าก็เปิดประตูลงจากรถเดินเข้ามาใกล้ และเขาใช้ช่วงเวลานี้กวาดสายตามองไปรอบบริเวณเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครติดตามหญิงสาวมาด้วยเช่นทุกครั้ง และเมื่อไม่เห็นถึงความผิดปกติ ชายหนุ่มก้าวออกมาจากเงามืดส่งยิ้มให้หญิงสาวที่เพิ่งจะรับโทรศัพท์จากสายที่เรียกเข้า แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะส่งยิ้มทักทายเขาก่อนจะให้ความสนใจกับคู่สนทนา ซึ่งเป็นผู้จัดการของเธอเอง

โจ้เดินนำหญิงสาวเข้าซอยที่ค่อนข้างเปลี่ยวเพื่อตรงไปยังรถยนต์ที่จอดไว้ข้างทางของถนนอีกด้านและเปิดประตูให้หญิงสาวเข้าไปนั่งฝั่งผู้โดยสารตอนหลัง ก่อนที่เขาจะเข้าประจำที่คนขับและเคลื่อนตัวรถพาหญิงสาวไปยังจุดหมาย โดยไม่รู้ว่าห่างออกไป เลนส์กล้องที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถซูมระยะไกลได้บันทึกภาพของโจ้กับราโมน่าไว้ได้หลายภาพจากชายหนุ่มร่างโย่งที่แอบตามเฝ้าติดตามจับตามองหญิงสาวอยู่หลายวันแล้ว รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ในสายงานดับไฟได้ในระยะหนึ่งแล้วก่อนเคลื่อนตัวแอบในเงามืดในระยะห่างพลางสอดส่องความเคลื่อนไหวของเป้าหมายผ่านลำกล้องไนท์วิชั่น

และเมื่อเห็นเป้าหมายเดินเข้าไปในซอย เขารีบเปิดประตูลงจากรถก้าวตามไปในระยะห่างที่คิดว่าปลอดภัย แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ต้องพ่นลมหายใจฟืดอย่างหงุดหงิดและเสียดาย เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั้นขึ้นรถยนต์และแล่นจากไปโดยเร็ว..กว่าเขาจะวิ่งกลับไปเอารถของตนก็คงคลาดกันแล้ว


หลังจากผ่านมาร่วมสองอาทิตย์..ฉันทิกาโทรศัพท์หาสุเมธเพื่อถามความคืบหน้าของงาน
“คุณได้เรื่องอะไรบ้างหรือยัง”

“ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรครับ แต่ผมคิดว่าไม่นานนี้ล่ะ คุณจะได้รู้ในสิ่งที่คุณอยากรู้แน่นอนครับ”

“ฮึ! ขอให้มันจริงอย่างที่คุณพูดเถอะ งั้นแค่นี้ล่ะ ถ้ามีความคืบหน้าอะไรก็ให้รีบบอกฉันด้วยนะ”

“แน่นอนครับ คุณฉันทิกา”

ฉันทิกาวางสายไปแล้ว สุเมธก็พ่นลมหายใจยาว “เฮ้อ ใจร้อนกันจริงๆ” ก่อนจะกดโทรศัพท์หาลูกน้อง
“เฮ้ยไอ้เป้ งานที่ให้ทำน่ะไปถึงไหนแล้ววะ”

“ได้มาจึ๋งนึง”

คนปลายสายตอบมาน้ำเสียงติดกวนเล็กน้อยให้คนฟังนิ่วหน้า
“อะไรของเอ็งวะ”

“ก็จึ๋งนึงไง..รอแป๊บนะลูกพี่ เปิดคอมพ์รอเลย”

สุเมธบ่นงึมงำและรอไม่กี่อึดใจ ไฟล์ภาพที่ลูกน้องถ่ายไว้ก็ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นภาพของโจ้กับราโมน่า แม้ว่าภาพต้นแบบที่ถ่ายได้จะเห็นไม่ชัดเจน แต่ด้วยเทคโนโลยี ทำให้เป้สามารถปรับแต่งจนสามารถเห็นใบหน้าของโจ้ได้ค่อนข้างเกือบชัดเจน และเริ่มอธิบาย

“ผมถ่ายไว้ได้สี่ห้าวันแล้วล่ะลูกพี่ แต่ผมเดาว่าไอ้หมอนี่น่ะไม่ใช่คนที่ราโมน่าคบอยู่หรอก เพราะถ้าใช่จริงๆคงไม่เปิดประตูให้ราโมน่านั่งข้างหลังอย่างนั้นหรอก..ผมว่า ไอ้หมอนี่เป็นแค่คนรับส่งเท่านั้นล่ะ แล้วก็ในสารบบของพวกดารานายแบบ หรือกลุ่มไฮโซก็ไม่มีหมอนี่รวมอยู่ด้วย”

สุเมธมองภาพของโจ้ที่เปิดประตูผู้โดยสารตอนหลังให้ราโมน่าเข้าไปนั่ง แล้วก็เห็นด้วยอย่างที่ลูกน้องสันนิฐาน
“แล้วทำไมเอ็งไม่ตามไปล่ะ”

“จะตามได้ไงล่ะพี่ รถผมจอดอยู่อีกฝั่งนึง กว่าจะวิ่งกลับไปขึ้นรถ พวกก็ไปไกลแล้ว..ผมยังนึกเสียดายไม่หายเลย”

“งั้นเรอะ..อืมม์..แล้วราโมน่ากลับมาตอนไหนล่ะ”

“กลับมาอีกทีก็เกือบบ่ายแล้ว แถมนั่งแท็กซี่กลับมาด้วย..จากนั้น ก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่เรื่องงานทั้งนั้น..เนี่ย ตอนนี้ผมก็ยังนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าคอนโดฯเลย กะว่าคราวนี้จะไม่ให้พลาดแน่ๆ”

“เอ้อ เห็นเงียบไปเลย นึกว่ายังไม่ได้อะไรเสียอีก”

“ผมกะเอาให้ชัวร์ก่อน แล้วค่อยเซอร์ไพร์สลูกพี่ไง”

สุเมธหัวเราะครืน
“เออ แล้วข้าจะรอเซอร์ไพร์สจากเอ็ง”

แต่เมื่อวางสายแล้ว สุเมธก็นิ่วหน้ายามมองภาพของโจ้
“หมอนี่..เหมือนเคยเห็นที่ไหนวะ”และพยายามครุ่นคิด แต่ก็ยังนึกไม่ออก จนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าที่ต้องการพบเดี๋ยวนี้ เขาจึงพับเรื่องของชายหนุ่มปริศนาเก็บไว้ชั่วคราว ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงาน


เป้ยังคงเกาะติดราโมน่าอย่างไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าหญิงสาวจะไปที่ไหนหรือทำอะไร เขาคอยแอบสอดแนมอยู่ตลอดเวลา และค่ำคืนนี้ เขาก็ลอบติดตามเป้าหมายไปจนถึงงานอีเวนต์ และรอจนกระทั่งจบงานเห็นว่าหญิงสาวกลับพร้อมลูกชายนายธนาคารใหญ่ที่มีข่าวกับหญิงสาวบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ชายหนุ่มปริศนาที่ลูกค้าต้องการ เขาจึงเฝ้าติดตามต่อจนกระทั่งปริพันธ์ส่งหญิงสาวถึงที่พักและขับรถจากไป..เป้ยังคงเฝ้ารออย่างใจเย็นอีกอึดใจใหญ่ต่อมา เขาเห็นราโมน่าอีกครั้ง กำลังเดินออกจากคอนโดมิเนียมห่างจากป้อมยามพอสมควร เป้นิ่วหน้าเล็กน้อย เพราะช่วงเวลานี้ค่อนข้างดึกมากแล้ว ทำให้บนท้องถนนแทบไม่มีรถวิ่งผ่านไปมาเลย แต่ในนาทีต่อมา รถยนต์คันหรูติดฟิล์มทึบปราดเข้าจอดรับหญิงสาว เรียกรอยยิ้มกระหยิ่มใจจากผู้เฝ้ามองทันที เมื่อคิดว่า งานชิ้นนี้ใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว

เป้คิดว่า เขาทิ้งระยะห่างในการสะกดรอยตามรถเป้าหมายได้ดีพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง มันยังไม่ดีพอสำหรับการสังเกตอย่างระแวดระวังของโจ้..ชายหนุ่มนิ่วหน้าและลองเปลี่ยนเส้นทาง ด้วยหวังว่าเขาอาจจะระแวงไปเอง แต่ไม่ว่าเขาจะลองขับไปในเส้นทางไหน เจ้ารถคันที่ผิดสังเกตก็ยังตามมาให้เห็น

“จะไปไหนหรือโจ้”
เสียงของราโมน่าที่นั่งอยู่ตอนหลังเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อรู้ว่าเขาขับออกนอกเส้นทาง

“คือ..ทางเก่ากำลังซ่อมถนนน่ะครับ แถมมีหลุมลึกด้วย เมื่อวานผมเผลอขับรถอีกคันของคุณจิลตกลงไป แม็ก ดุ้งไปหน่อย คุณจิลบ่นผมยกใหญ่เลยครับ ผมไม่อยากถูกบ่นอีกรอบเลยขอขับอ้อมหน่อยดีกว่า”

โจ้บอกยิ้มๆในเรื่องที่ตนเองแต่งขึ้นมาสดๆร้อนๆ ซึ่งคนฟังก็เชื่อสนิทใจ
“เหรอ ท่าทางพี่จิลไม่น่าเป็นคนขี้บ่นเลยนะ” หญิงสาวเอ่ยถามดวงตาสุกใส ยามคิดถึงชายหนุ่มที่เอ่ยถึง

“เรื่องอื่นคุณจิลไม่ค่อยสนใจหรอกครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องรถเนี่ย แค่รอยข่วนนิดเดียวก็เป็นเรื่องแล้วครับ” ส่วนเรื่องนี้เป็นความจริงที่โจ้ไม่ได้แต่งขึ้นแต่อย่างใด

ราโมน่าอมยิ้ม ก็เคยได้ยินมาบ้างหรอกว่าพวกผู้ชายนั้นทั้งรักทั้งหวงรถยนต์มาก บางคนนั้นรักมากกว่าภรรยาเสียด้วยซ้ำ และสำหรับอนาวินเธอก็อดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า ระหว่างเธอกับเจ้ารถสปอร์ตคันโปรดของเขา เขาจะรักอย่างไหนมากกว่ากัน..ซึ่งคำถามนี้ เธอจะลองเก็บไว้ถามเขาดูเล่นๆ

ผู้เป็นสารถีเหลือบมองกระจกส่องหลัง เห็นว่าราโมน่านั้นหันมองข้างทางอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร เขาจึงกดสวิตซ์เลื่อนกระจกกั้นระหว่างห้องผู้โดยสารขึ้นเพื่อรายงานเรื่องที่ถูกติดตามให้เจ้านายหนุ่มรับรู้


อนาวินวางจานสลัดลงบนโต๊ะอาหารที่มีแจกันใบเล็กเสียบดอกกุหลาบสีแดงสด ซึ่งเขาลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะราโมน่าเคยบ่นให้ฟังว่า เวลาที่มีงานอีเวนต์กลางคืน เธอจะไม่มีเวลาว่างทานอาหารต้องแขวนท้องรอจนงานเลิก กว่าจะได้กลับถึงห้องจะรู้สึกหิวมาก แต่ก็หาอะไรใส่ท้องมากไม่ได้นอกจากน้ำผลไม้กับเคร็กเกอร์เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เพราะขืนกินมากกว่านี้มันจะทำให้เธออ้วน เขาจึงเสนอตัวทำสลัดสูตรไร้ไขมัน ซึ่งเป็นสูตรที่น้องสาวของเขามักทำเป็นประจำตอนอยู่ต่างประเทศ

และช่วงอารมณ์เปี่ยมสุขเมื่อคิดว่า หญิงสาวที่กำลังเฝ้ารอใกล้มาถึงในอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้ว แต่ทันทีที่บอดี้การ์ดคนสนิทรายงานเรื่องที่กำลังถูกติดตาม ความรู้สึกเมื่อครู่เหมือนถูกใครมากระชากขว้างทิ้งไปต่อหน้าต่อตา..ชายหนุ่มข่มใจกับความกราดเกรี้ยวที่ตีตื้นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ก่อนถามลูกน้องเสียงขรึม

“มากันกี่คน”

“ผมไม่เห็นครับ เห็นแค่มีรถตามมาคันเดียว อาจจะคนหรือสองคนเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็จัดการเค้นถามมันซะว่ามาจากใคร แล้วค่อยเก็บงานให้เรียบร้อย”

“ครับ..” โจ้รับคำสั่งน้ำเสียงเย็นเยือกนั้น และนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนเอ่ยถามอย่างลังเล “..แล้วคุณราโมน่าล่ะครับ..”

“พากลับไปส่งห้อง..ฉันไม่อยากให้เขามาเสี่ยงด้วย” อนาวินบอกแค่นั้น ก็ตัดสัญญาณโทรศัพท์เหลียวมองจานสลัด ก่อนหยิบมันทิ้งลงถังขยะและต่อโทรศัพท์หาราโมน่า


ดวงตาคู่สวยที่กำลังมองทิวทัศน์เบื้องนอกกระจกละสายตาจากสิ่งที่เห็น เพื่อมองลงมาที่โทรศัพท์มือถือของตน ก่อนกดรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อคิดว่าอนาวินจะโทรมาถามว่าเธอถึงไหนแล้วเฉกเช่นทุกครั้ง
“ค่ะ พี่จิล..โม้นาใกล้จะถึงแล้ว”

อนาวินลอบทอดถอนใจกับน้ำเสียงกังวานใสของคนปลายสาย รวมทั้งรอยยิ้มงดงามที่กำลังทำให้ใจเขาเจ็บแปลบด้วยความโหยหา เพราะหลังจากค่ำคืนนี้ ตารางงานของเขาแน่นเอี๊ยดและต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีโอกาสได้อยู่กับเธออีกครั้ง

“..พี่จิล..มีอะไรหรือคะ”

ราโมน่าถาม เมื่อเห็นว่าเขานิ่งไปนาน และสีหน้านั้นก็ดูเคร่งขรึมจนทำให้เธอรู้สึกใจไม่ค่อยดี
“คือ..หนูเล็กเขาจะมาหาพี่ที่ห้องน่ะ เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องพูดกับพี่เดี๋ยวนี้..พี่ก็เลยจะขอยกเลิกนัดของเราไปก่อน..คือ พี่ไม่อยากให้เขาสงสัยอะไร”

“..ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูเล็กยังจะมาหาพี่ถึงห้องอีก คงเป็นเรื่องสำคัญมากๆเลยนะคะ ถึงพูดกันทางโทรศัพท์ไม่ได้” ในน้ำเสียงนั้นเจือความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เมื่อนึกถึงคู่ปรับที่ไม่เคยลดอคติกับตัวเธอเลย เพราะเคยเจอกันบ้างตามงานเลี้ยง นอกจากท่าทางหยิ่งยโสแล้ว สายตาที่โมรียามองเธอนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“..ครับ เรื่องสำคัญมาก..โม้นาอย่าโกรธพี่นะ” อนาวินแค่นยิ้มอย่างขอความเห็นใจ เมื่อจับกระแสความขุ่นเคืองของสาวคนรักได้ชัดเจน

ราโมน่าพยายามปัดอารมณ์ขุ่นมัวไม่ให้ตัวเองแสดงท่าทางตีโพยตีพายออกไป เพราะความคิดถึงในตัวเขานั้นมันมีมากมายแต่จู่ๆเธอก็ต้องพบความผิดหวังรวมทั้งความสุขอันน้อยนิดที่เธอมีกับเขาถูกพังทลาย โดยที่เธอไม่อาจเรียกร้องหรือต่อรองอะไรได้เลย ในเมื่อสาเหตุนั้นมันส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา หากมีใครรู้เรื่องนี้เข้า และในขณะนี้เธอคงไม่อาจทำใจรับผลที่จะตามมาของมันได้

วินาทีนี้..ราโมน่าคิดว่าสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดก็คือการยิ้มให้อนาวิน ด้วยตัวเขานั้นก็มีเรื่องมากมายที่ต้องคิดทั้งเรื่องงานและเรื่องคนร้ายที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เธอจึงไม่อยากให้ตัวเองเป็นอีกหนึ่งปัญหาให้เขาต้องเหนื่อยใจ

“โม้นาไม่โกรธหรอกค่ะ แค่อาจจะเสียดายนิดหน่อย..แต่คราวหน้าพี่จิลต้องมีของขวัญปลอบใจให้โม้นาด้วยนะคะ”

“รับรอง พี่ทุ่มไม่อั้นแน่”

“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย เพราะโม้นาเรียกค่าชดเชยเต็มที่แน่นอนค่ะ เสี่ยจิล”
เรียวปากอิ่มสวยหยัดยิ้มมาดมั่น ก่อนเธอจะตัดสัญญาณไป..อนาวินถอนใจเฮือกอย่างโล่งอกที่ราโมน่าไม่ได้ตีโพยตีพายอย่างที่เขานึกกลัว..ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนหันเปิดประตูเดินออกจากห้องชุดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ขณะที่เจ้านายหนุ่มกำลังโทรศัพท์กับสาวคนรัก โจ้ก็โทรศัพท์สั่งการกับลูกน้อง พลางหักพวงมาลัยเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง ให้ผู้ที่แอบติดตามบ่นงึมงำ สงสัย
“มันจะไปไหนของมันวะ”

จนกระทั่ง เห็นรถของเป้าหมายจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ และตัวคนขับลงไปเดินเลือกหาซื้อของบางอย่าง..เป้ยังคงเฝ้าจับตามองในมุมมืด จนไม่ทันสังเกตถึงเงาตะคุ่มของกลุ่มชายฉกรรจ์ปิดบังใบหน้ามิดชิดแอบย่องเข้ามาใกล้ตัวรถ ในขณะที่เป้ยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับเป้าหมายและในฉับพลัน! เสียงประหลาดเหมือนมีวัตถุแข็งกระแทกตัวรถทำให้เป้สะดุ้งเฮือกส่ายสายตามองหาที่มาของเสียงเลิกลัก แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากการพลิ้วไหวตามแรงลมของกิ่งไม้และความว่างเปล่าในความมืดสนิท เขาจึงเข้าใจว่าอาจจะเป็นกิ่งไม้แห้งร่วงลงมาก็เป็นได้ จึงหันกลับไปสนใจเป้าหมายอีกครั้ง ทว่าไม่กี่อึดใจ เขาก็ต้องกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าเสียงประหลาดอีกครั้ง ที่คราวนี้มันร่วงตุ๊บลงกลางหลังคารถเลย

“อะไรนักวะ!”

เป้ปลดล็อกประตูรถอย่างอย่างฉุนเฉียวพลางเปิดออกเพื่อหวังดูเจ้าสิ่งประหลาด แต่เท้าของเขายังไม่ทันจะยืนได้มั่นคงเลยด้วยซ้ำร่างของเขาก็แทบปลิวตามแรงกระชากด้วยกำลังอันมหาศาลจากคนร่างใหญ่กว่าที่เขาสามารถเห็นเพียงแวบเดียว

“เฮ้ย! อะไรวะ”

เป้แหกปากร้องได้แค่นั้นและยังไม่ทันได้มองอะไรให้กระจ่าง ความมืดมิดจากผ้าที่คลุมลงบนหัวโดยเร็วก่อนที่กำปั้นแข็งหนักหน่วงอัดเข้ากลางลำตัวอย่างจัง ตามด้วยศอกกระแทกซ้ำเข้าที่ต้นคอ ร่างผอมโย่งของเป้ก็ร่วงลงไปกองกับพื้น และในอึดใจต่อมาร่างของเขาก็ถูกหิ้วปีกลากขึ้นรถเอสยูวีสีดำคันใหญ่ที่แล่นปราดมาจอด และชายหนุ่มอีกคนสวมถุงมือเป็นคนขับรถของเป้ขับตามไปยังจุดหมาย

และเมื่อโจ้ได้รับโทรศัพท์รายงานจากลูกน้องถึงแผนการที่สำเร็จลุล่วง เขาก็เดินออกจากร้านกลับขึ้นรถพาราโมน่ากลับไปส่งยังที่พัก


ภายในห้องที่ปิดทึบมิดชิด ร่างสะบักสะบอมของเป้นอนขดตัวหอบหายใจกับพื้นชิดมุมห้อง สองมือถูกล็อกด้วยกุญแจมือไพล่อยู่ด้านหลัง ศีรษะยังคงถูกคลุมด้วยผ้าหน้า เนื้อตัวเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบฝุ่นละอองและเลือดที่เริ่มแห้งกรังท่ามกลางชายฉกรรจ์สี่คนมองผู้ที่นอนแทบเท้าครวญครางร้องขอความเมตตาเสียงแหบโหยด้วยสายตาว่างเปล่า โดยมีโจ้ยืนคุมเชิงอยู่รอบนอก และห่างออกไปอีกมุมห้อง อนาวินยืนกอดอกมองอยู่เงียบๆ ใบหน้าเข้มขมวดยุ่งกับความจริงที่เชลยหนุ่มคายออกมาจนหมดเปลือก ว่าแท้จริงแล้ว ฉันทิกาเป็นคนจ้างให้สืบหาผู้ชายที่ราโมน่าคบหาอยู่ และหลักฐานที่ค้นภายในรถยนต์ทุกซอกมุมรวมทั้งคอมพิวเตอร์ที่ลูกน้องเปิดค้นให้ดูถึงข้อมูลภายในที่ทำให้เขายิ่งหนักใจ เมื่อคาดเดาอย่างไม่แน่ใจว่า ความลับระหว่างเขากับราโมน่านั้นถูกเปิดเผยให้ฉันทิกาได้รู้ไปถึงขึ้นไหนแล้ว

“..ผมบอกทุกอย่างที่พวกคุณอยากรู้แล้ว..ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ..”

เสียงของเป้วอนขอมาอีกครั้ง โจ้จึงเดินเข้ามาใกล้และถามเสียงเข้ม
“แกให้ข้อมูลอะไรกับลูกค้าไปแล้วบ้าง”

“ผมยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยครับ นอกจากเจ้านายผมคนเดียวเท่านั้น..แล้วผมก็ไม่รู้จักคุณด้วย ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมสาบานได้ ว่าผมจะไม่เอาเรื่องคุณ จะปิดปากเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย..ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะครับ..ผมขอร้อง”

เสียงวิงวอนเจือด้วยเสียงสะอื้นอย่างหวาดกลัว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆจากกลุ่มคนที่จับเขามาทรมาน และไม่กี่อึดใจเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนก็พากันเดินห่างออกไป ตามด้วยเสียงเปิดปิดของบานประตูเท่านั้น และทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ

“ปล่อยผมไป..ปล่อยผมออกไป..”

เสียงตะโกนของเป้ดังผ่านบานประตูออกมา เมื่ออนาวินเดินนำลูกน้องทั้งหมดออกมาจากห้อง..โจ้เอ่ยถามเจ้านายหนุ่ม
“จะเอาไงกับมันดีครับ”

“หาอะไรอุดปากมันซะ!”

อนาวินสั่งอย่างหัวเสีย ไม่คิดว่าฉันทิกาจะเข้ามาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขา..และถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย ความลับระหว่างเขากับราโมน่าคงถูกเปิดเผยในเร็วๆนี้แน่ และให้แปลกใจในพฤติกรรมของฉันทิกาว่า สาเหตุที่แท้จริงในการจ้างนักสืบนั้นเป็นเพราะห่วงหลานสาวนอกไส้หรือว่ามีสาเหตุอื่นแอบแฝง เพราะเขาเคยได้ยินราโมน่าพูดถึงแต่ชนาธิปด้วยความเคารพเชิดชูเท่านั้น ไม่เคยพูดถึงฉันทิกาเลยสักครั้ง แต่ความสงสัยนี้ก็ถูกปัดทิ้งไป ในเมื่ออารมณ์ของเขาในขณะนี้กำลังครุกรุ่นเกินกว่าจะมาคิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้

“เจ้านายของมันมีรูปของผมแล้ว..ผมว่า อีกไม่นานนักสืบคนนั้นคงจะรู้ความจริงแน่ว่าผมเป็นคนของใคร..แล้วถ้าขืนเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้มันคงบานปลายจนเราคุมไม่อยู่แน่”

อนาวินหายใจลึก
“ถ้าอย่างนั้น..นายคงต้องไปเยี่ยมเจ้านายของเจ้าหมอนั่นด้วยตัวเองแล้วล่ะ”

“แล้วเจ้าหมอนั่นล่ะครับ จะให้ทำไงต่อ”

อนาวินตอบน้ำเสียงเย็นเยือก
“ก็ต้องดูกัน ว่าเจ้านายของมันจะรักลูกน้องมากแค่ไหน”

.............................................................................................................

บทที่ ๑๙

หลังจากสังสรรค์กับลูกค้าจนเต็มที่ สุเมธขับรถมุ่งกลับบ้าน และเมื่ออยู่เพียงลำพัง สมองเขาก็ฉุกคิดถึงใบหน้าของโจ้และพยายามรื้อฟื้นความทรงจำอันเฉียบคมของตนจนสุดความสามารถ จนกระทั่งใกล้ลงทางด่วน สายตาเขามองเห็นป้ายโฆษณาโครงการคอนโดมิเนียมหรูของบริษัทในเครือไพศาลกรุ๊ป ใบหน้าของอนาวินก็ปรากฏเด่นชัดเข้ามาในหัว ซึ่งก็รวมถึงโจ้ ที่มักจะยืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนายเสมอ

“เวรแล้ว! ไอ้เป้”

คำอุทานหลุดออกมาพร้อมอาการส่ายเล็กน้อยของตัวรถที่เสียการควบคุม..สุเมธบังคับพวงมาลัยให้เป็นปกติ ก่อนต่อโทรศัพท์หาลูกน้อง แต่ก็ได้รับเพียงเสียงฝากข้อความ

“ปิดโทรศัพท์ทำห่าอะไรวะ!”

สุเมธพ่นลมหายใจฟืด..จนกระทั่งถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ไร้ผู้อยู่อาศัย เพราะภรรยาพาลูกสาวไปเที่ยวต่างจังหวัดกับบรรดาเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งเขาห่วงเรื่องงานที่ยังค้างคาเลยไม่ได้ติดตามไปด้วยตามคำรบเร้าของลูกสาว..ชายหนุ่มอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่ร่างเขากลับพลิกกระสับกระส่ายไปทั่วเตียงกว้างด้วยความเป็นห่วงลูกน้อง เพราะหลายคนก็รู้ดีว่าสองตระกูลใหญ่ในแวดวงธุรกิจอหังสาริมทรัพย์นั้นมีเรื่องระหองระแหงกันมาหลายปีแล้ว และความสัมพันธ์ถึงเข้าขั้นวิกฤติเมื่อมีเหตุลอบทำร้ายผู้นำของตระกูลพาณิชย์ไพศาลจนอาการเข้าขั้นโคม่า และข่าวลือก็ถูกปล่อยออกมาทันทีว่าเป็นฝีมือของตระกูลรัตนากรจนทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตกไปต่างๆนานาถึงสงครามกลางเมืองที่สองตระกูลนี้อาจใช้กำลังเข้าห้ำหั่นจนทำให้คนรอบข้างได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด เมื่ออนาวินที่ขึ้นมารับตำแหน่งกลับสงบนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะทำเรื่องให้มันลุกลามบานปลาย แต่ภายในความเงียบสงบนั้นก็ยังไม่มีอะไรน่าไว้วางใจ เพราะยังมีกลุ่มควันรอการปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ..และเมื่อมีราโมน่าเข้ามาพัวพันด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชี้ชัดที่แน่นอน แต่จากภาพถ่ายที่ลูกน้องให้มา เขามั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ว่าผู้ชายที่ราโมน่ามีความสัมพันธ์ด้วยคือ อนาวิน และหากเป็นเช่นนั้นจริง ไฟที่คุกรุ่นคงถึงคราวปะทุขึ้นมาเป็นแน่

“ไอ้เป้เอ้ย..เอ็งต้องระวังตัวให้หนักๆเลยนะโว้ย”

สุเมธพึมพำด้วยนึกเป็นห่วงลูกน้องขึ้นมาจับใจ เพราะจากอาชีพรับราชการตำรวจมาหลายปี ทำให้เคยได้ยิน กิตติศัพท์ในด้านมืดของตระกูลพาณิชย์ไพศาลมาพอสมควร..ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เขาจึงคว้าโทรศัพท์มากดหาลูกน้องอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นฝากข้อความเหมือนเดิม

“มันชักจะยังไงแล้วเว้ย”

สุเมธลุกลงจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบปืนพกคู่กายเหน็บไว้ด้านหลังหวังออกไปดูลูกน้องที่ห้องพักให้แน่ใจ แต่เมื่อเปิดประตูออกจากห้องเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นไฟที่ห้องรับแขกในชั้นล่างเปิดอยู่ และสัญชาตญาติกำลังบ่งบอกถึงอันตราย และขายังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เขารู้สึกถึงบางอย่างพุ่งปราดจากมุมมืดด้านหลังเข้ามา และแม้ว่าเขาจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ทันสองร่างสูงเพรียวของผู้บุกรุกที่เข้าถึงตัวพร้อมปืนสองกระบอกเล็งเข้าที่ศีรษะ โดยที่เขายังไม่ทันมีโอกาสได้ชักอาวุธของตนเองออกมาจากเอวเลยด้วยซ้ำ และหนึ่งในสองก็เดินเข้ามาใกล้ สายตาคมวาวจับจ้องเขาระแวดระวังขณะยื่นมือมายึดปืนไป

“พวกนายต้องการอะไร” สุเมธถามเสียงแข็ง และถึงแม้อยากจะขัดขืนแต่เพียงแค่เขาขยับตัวหมายต่อสู้ แต่เจ้าคนที่อยู่ใกล้ก็ไหวตัวหลบอย่างรู้ทันและเจ้าคนที่ถือปืนคุมเชิงก็ตะคอกเสียงเหี้ยม

“อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากให้มีใครตาย”

“ใคร! นายหมายถึงใคร!?” สุเมธถามกลับอย่างฉงน
อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา แต่สั่งให้เขาเดินลงบันไดไปแทน

“ลงไปข้างล่าง”

สุเมธจึงจำต้องหันเดินลงบันได และภายในห้องรับแขกเขาเห็นผู้บุกรุกอีกสองคนยืนเด่น ขณะที่อีกคนนั่งเอนร่างอย่างสบายบนโซฟา ซึ่งเขาจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คือคนสนิทของ อนาวิน
ความกังวลกึ่งหวาดเกรงถึงสวัสดิภาพของลูกน้องแล่นปราดขึ้นมาตามแนวไขสันหลังทันที เพราะถ้าชายผู้นี้มาอยู่ต่อหน้าเขาได้ นั่นก็คงมาจากลูกน้องของเขาเอง และคงด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้ในค่ำคืนนี้เขาไม่สามารถติดต่อกันได้

โจ้ส่งรอยยิ้มเยือนก่อนเอ่ยชักชวนให้เจ้าของบ้านนั่งลงบนโซฟา
“สวัสดีครับ ผมไม่ได้มาร้ายอะไร ไม่ต้องระแวงหรอกครับ..เพียงแต่เรามีเรื่องต้องเจรากันนิดหน่อย”

สุเมธยอบตัวลงนั่ง
“ถ้าไม่มาร้าย ก็ควรที่จะแนะนำตัวให้รู้จักกันหน่อยนะ”

รอยยิ้มยังคงเกลื่อนทั่วใบหน้าของผู้บุกรุก
“นั่นคงไม่จำเป็น เพราะคุณคงรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นใคร..แล้วที่ผมมาในคืนนี้เพราะต้องการให้คุณเลิกวุ่นวายกับคุณราโมน่าโดยเด็ดขาด”

“นั่นมันงานของผม..”

“แต่งานของคุณมันก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคนอื่น และนอกจากจะสร้างความรำคาญแล้ว มันยังจะสร้างความเสียหายให้คนนั้นด้วย เพราะฉะนั้น จงหยุดมันซะ”

“แล้วถ้าผมไม่ทำตามล่ะ คุณจะทำไง”

โจ้มองสบสายตากร้าวของผู้ที่สูงวัยกว่า
“คุณก็จะได้ไปกินข้าวต้มในงานศพของลูกน้องตัวเอง”

สุเมธลุกพรวดอย่างเกรี้ยวกราดในคำขู่ แต่ลูกน้องของโจ้ก็จับไหล่เขากดให้ลงนั่งตามเดิม
“คุณกำลังข่มขู่ผมใช่มั้ย”

“นั่นก็แล้วแต่ ว่าคุณจะให้มันเป็นแค่คำขู่ หรือจะให้มันเป็นความจริง”

สุเมธตรึกตรอง และโจ้ก็สำทับอีกครั้ง
“คุณต้องรีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้ เพราะความอดทนของผมมันสั้น”

“ผมยังไม่เห็นสภาพลูกน้องของผมเลย” สุเมธถามกลับเสียงเครียด

“ทันทีที่คุณรับปาก ลูกน้องของคุณก็เป็นอิสระ”

ความกระวนกระวายใจของสุเมธพลุ่งพล่านอยู่ในบรรยากาศเงียบสงบ และในที่สุดเขาจำต้องยอมจำนน
“โอเค ผมจะวางมือเรื่องนี้โดยเด็ดขาด”

โจ้หยัดยิ้ม พลางลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณ และหวังว่าคุณคงรักษาคำพูด เพราะไม่เช่นนั้น คุณจะต้องสูญเสียสิ่งที่รักยิ่งกว่าลูกน้องของคุณแน่”

สุเมธพอจะเดาได้ว่า ชายหนุ่มหมายถึงสิ่งใดและลุกขึ้นยืนทวงถามสิ่งแลกเปลี่ยนของเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะพากันกลับออกไป
“แล้วลูกน้องของผมล่ะ”

“อยู่ในรถของเขานั่นล่ะ จอดอยู่แถวหน้าบ้านของคุณนี่เอง” โจ้บอกก่อนหันเดินนำบรรดาลูกน้องออกจากบ้าน และหลังจากนั้น สุเมธก็รีบออกไปหาลูกน้องบ้าง



เป้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้พร้อมกับอาการร้าวระบมทั้งเนื้อทั้งตัว และเห็นลูกพี่ของตนนั่งอ่านข้อความบนจอแท็บแล็ตอยู่ข้างเตียง และทันทีที่เสียงโอดโอยของเขาลอดผ่านจากริมฝีปากปริแตกเห่อบวม สุเมธก็หันหน้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ไง..”

เป้เบ้หน้า
“ไม่ไงล่ะลูกพี่..ซี๊ดส์..เจ็บชะมัด”

“โชคดีแล้ว ที่นายไม่ถึงขั้นพิการน่ะ”

“ไอ้พวกนี้ แม่งโหดชะมัด ซ้อมเอาๆยังกับว่าผมเป็นกระสอบทรายแน่ะ..ว่าแต่ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงล่ะ” เป้ถามกลับ เพราะยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ คือ ถูกพวกมันลากออกจากห้องนั้น ก่อนถูกทุบจนสลบ

“หน้าบ้านของฉันเอง..”

“หะ!? หน้าบ้านของลูกพี่เรอะ”

“เออ นี่แค่เป็นการเตือน ว่าให้เราเลิกยุ่งกับราโมน่า”

เป้อึ้งไปอึดใจ แล้วแสดงท่าทางฟึดฟัด
“เรากำลังจะรู้อยู่แล้วว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร..คราวหน้า รับรองว่าผมจะไม่ให้พลาดเหมือนครั้งนี้แน่”

“จะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว” สุเมธเอ่ยเสียงเรียบ

“หมายความว่าไง..ลูกพี่จะยอมแพ้ง่ายๆเรอะ”

“..งานนี้..มันไม่คุ้มที่เราจะเสี่ยงหรอก”

เป้มองหน้าลูกพี่
“ลูกพี่รู้แล้วใช่มั้ยว่าพวกนั้นเป็นใคร”

“ไม่รู้หรอก..” เขาตอบกลับ คิดว่าการไม่บอกความจริงให้ลูกน้องรู้นั้น มันจะเป็นการดีกว่า “และฉันก็ตัดสินใจยกเลิกงานนี้แล้ว..ก็อย่างที่บอก ว่างานนี้มันไม่คุ้มที่เราจะเสี่ยง”

สุเมธลุกขึ้นยืน โดยไม่สนใจสีหน้าอีกฝ่ายที่ยังแสดงอาการค้างคาใจ
“นายพักผ่อนซะ ยังมีงานอื่นที่รอให้นายไปทำอยู่..ฉันต้องกลับไปทำงานบ้างแล้วล่ะ” เขาตบไหล่ลูกน้องเบาๆและหันเดินจากไป



ยามที่ฉันทิกาอยู่บ้าน แววตาพยายามหางานทำในบริเวณใกล้ๆ คอยสอดแนมทุกการเคลื่อนไหวของนายจ้าง หวังว่าจะมีเรื่องอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ไปบอกก้องภพบ้าง และในวันนี้ สิ่งที่เธอกำลังรอคอยก็เป็นจริง เมื่อขณะกำลังเช็ดถูพื้นระเบียง หูของเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของฉันทิกา ซึ่งกำลังนั่งอ่านนิตยสารไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ ร่างของแววตารีบหาที่หลบมุมคอยแอบฟังบทสนทนานั้นพลางสอดส่ายสายตาอย่างระวัง เพื่อไม่ให้ใครมาเห็นเธออีกด้วย

“ว่าไงคุณสุเมธ มีความคืบหน้าอะไรแล้วเรอะ” ฉันทิกาถามอย่างมีความหวัง แต่ก็เพียงแค่เสี้ยวอึดใจ ใบหน้าแย้มยิ้มพลันบูดบึ้ง โวยวายอย่างเดือดดาล เมื่อแทนที่สุเมธจะบอกในสิ่งที่เธอต้องการแต่กลับขอยกเลิกสัญญาจ้างกับเธอเสียได้

“หมายความว่าไง คุณรับเงินไปแล้วนะ คุณก็ต้องทำงานให้เสร็จสิ”

“ผมขอโทษจริงๆครับที่ต้องขอยกเลิกกลางคัน..แล้วผมจะคืนเงินมัดจำคืนให้นะครับ”

“ฉันไม่ต้องการเงินคืน แต่ฉันต้องการรู้ว่าไอ้ผู้ชายที่ราโมน่าคบอยู่น่ะ มันเป็นใคร ในเมื่อคุณรับงานไปแล้ว คุณก็ต้องทำให้สำเร็จ..หรือที่คุณบ่ายเบี่ยงอย่างนี้เพราะต้องการเงินเพิ่มเรอะ”

“มันไม่ใช่เรื่องเงินหรอกครับคุณฉันทิกา..แต่มันเป็นเรื่องความเสี่ยงที่คนอย่างผมไม่อาจจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงได้..”

ฉันทิกานิ่วหน้า “คุณพูดเหมือนกับว่ารู้แล้วว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร..มันเป็นใคร พวกเสี่ยรึนักการเมืองคนไหนคุณบอกฉันมาเลย ฉันจะแถมเงินให้อีกก้อนด้วย แล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวหรอกว่าฉันจะช่วยเหลือคุณไม่ได้” เธอพูดออกไป เพราะถือว่าบารมีของสามีนั้นก็มีมากพอสมควรในหมู่คนใหญ่คนโตของบ้านเมือง และเมื่อสุเมธยอมทิ้งเงินก้อนโตไปแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้จิตใจของฉันทิการุ่มร้อนด้วยความอยากรู้

อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ
“..ผมขอโทษจริงๆครับ คุณฉันทิกา” แล้วก็วางสายไป

ฉันทิกาโวยวายอย่างเกรี้ยวกราด พลางแช่งชักหักกระดูกสุเมธไปต่างๆนานา จิตใจอันยุ่งเหยิงร้อนรนคิดเตลิดไปไกล..และสุดท้าย จิตใต้สำนึกก็อดที่จะระแวงไม่ได้ว่า ผู้ชายลึกลับคนนั้นคือ สามีของเธอเอง!

“ไม่! ฉันจะต้องรู้ให้ได้ ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร”

ร่างอันสั่นเทิ้มด้วยโทสะลุกพรวดพร้อมจิตอาฆาตมาดร้าย..ในเมื่อจ้างคนอื่นแล้วไม่ได้เรื่อง ก็คาดคั้นเอากับเจ้าตัวปัญหาให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยก็แล้วกัน!


เมื่อคล้อยหลังฉันทิกาไปแล้ว แววตาที่นั่งแอบก็ชะเง้อคอมองก่อนจะค่อยๆยืดตัวขึ้น และหมายจะหาที่ลับสายตาคนโทรศัพท์รายงานข่าวเรื่องที่ได้ยินให้กับก้องภพรู้โดยเร็ว และคิดว่าเขาต้องพอใจมากกับข่าวครั้งนี้ของเธอ จากนั้น..เขาก็จะซึ้งใจในความดีของเธอมากขึ้น แล้วก็จะรักเธอมากขึ้นด้วย

ความคิดอันเพ้อฝันลอยฟุ้งเต็มอยู่ภายในหัวของหญิงสาว พลัน! สะดุ้งสะตัว เมื่อหันกลับมาเห็นอรดียืนอยู่ไม่ไกลและสายตานั้นก็กำลังจ้องเธอเขม็ง
“ทำอะไรของเธอน่ะ แวว”

แววตารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรปูดขึ้นมาจุกกลางคอหอย และสมองก็คิดหาทางเอาตัวรอดอย่างฉับไว “..คะ..คือ..แววกำลังไล่ตีแมลงสาบค่ะ..เมื่อกี้มันวิ่งอยู่ตรงนี้” พลางชี้นิ้วมั่วๆไปที่พุ่มไม้ตระกูลเฟิร์น

อรดีหลิ่วตาจับผิด
“ไม่ใช่ว่าเธอกำลังแอบฟังอาน้อยคุยโทรศัพท์เรอะ”

“เปล่านะคะ คุณแอ้ม..แววไล่ตีแมลงสาบจริงๆ..” แววตารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเสียงแข็ง ใบหน้าเผือดซีด

“ขอให้มันจริงอย่างที่เธอพูดก็แล้วกัน..แต่อย่าให้ฉันจับได้นะว่าเธอทำตัวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายน่ะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะบอกให้แม่ของเธอจัดการให้หนักเลย”

“ไม่ค่ะ..แววไม่ทำตัวอย่างนั้นหรอกค่ะ..คุณแอ้มอย่าบอกแม่นะคะ”

“ถ้าเธอไม่ทำตัวอย่างที่ฉันพูดจริงๆ ฉันก็ไม่บอกแม่ของเธอหรอก..เอ้า จะไปทำอะไรก็ไป”

“..ค่ะ”
แววตาก้มหน้าก้มตารับคำพร้อมพาตัวเองเดินลิ่วไปทางเรือนคนใช้ พลางคิดแค้นอรดี ที่บังอาจมาวางอำนาจใส่เธอ ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นแค่คนอาศัยเท่านั้น

‘ฉันจะอยู่ให้พวกแกโขกสับไม่นานหรอก เมื่อไหร่ที่คุณภพมาขอฉันแต่งงาน ฉันจะเชิดหน้า สะบัดก้นใส่หน้าพวกแกทุกคนเลย ฮึ!’

อรดีมองตามหลังแววตา ภายในใจไม่เชื่อในคำพูดของคนใช้สาวที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอนัก เพราะสังเกตเห็นหลายครั้งว่า แววตามักป้วนเปี้ยนใกล้กับบริเวณที่บรรดาญาติๆของเธออยู่ในลักษณะผลุบๆโผล่ๆเหมือนคอยสอดแนมพฤติกรรมของเจ้านาย ซึ่งเธอเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันทัชฟังแล้ว แต่ญาติหนุ่มกลับหัวเราะใส่หน้า หาว่าตัวเธอมีเวลาว่างมากถึงได้คอยจับผิดพวกคนรับใช้ เธอจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้กับใครอีก เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเธอทำตัวไร้สาระเหมือนอย่างที่ญาติหนุ่มพูด แต่อย่างไรเสีย ถ้าไม่อยากให้เรื่องภายในบ้านกลายเป็นหัวข้อสนทนาลับหลังในกลุ่มบรรดาคนรับใช้เหมือนอย่างในละคร เธอก็ต้องออกโรงกีดกันแววตาไม่ให้สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายเสียเอง

และเมื่อลับสายตาผู้คนได้ไม่กี่นาที แววตาก็โทรศัพท์รายงานก้องภพชนิดละเอียดยิบกับคำพูดของฉันทิกาทุกคำ จนก้องภพเริ่มสนใจใคร่รู้ในตัวผู้ชายลึกลับของราโมน่า
“ขนาดคุณน้อยเพิ่มเงินให้ เจ้านักสืบนั่นก็ไม่เอาเรอะ”

“ค่ะ คุณน้อยถึงได้โกรธจนแทบเต้นเลย”

“แล้วเธอรู้ชื่อนักสืบคนนั้นมั้ย”

“อืมม์..ไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อสุเมธรึเปล่านะคะ เพราะตอนแรกๆได้ยินไม่ค่อยชัดเลย” ซึ่งเธอได้ยินบทสนทนาชัดแจ๋วก็ตอนที่เจ้านายของเธอโวยวายอย่างลืมตัวนั่นล่ะ “..คุณภพอย่าโกรธแววนะคะ”

“โกรธเธอเรื่องอะไรล่ะ”

“ก็..เรื่องชื่อของนักสืบคนนั้นไงคะ..มันจนปัญญาจริงๆค่ะ เพราะถ้าขืนแววเข้าใกล้คุณน้อยมากกว่านั้น มีหวังถูกจับได้แน่เลย..เมื่อกี้ก็เกือบถูกคุณแอ้มจับได้ทีนึงแล้ว” แววตาอ้อมแอ้มบอก

“ว่าไงนะ! เกือบถูกคุณแอ้มจับได้เรอะ” ก้องภพถามกึ่งตะคอก จนแววตาใจเสีย

“แววขอโทษ แววระวังตัวแล้วนะคะ แต่คุณแอ้มเธอเดินมาข้างหลังตอนไหนก็ไม่รู้..แต่..แต่คุณแอ้มไม่รู้ว่าแววคอยแอบฟังคุณน้อยคุยโทรศัพท์นะคะ เพราะแววบอกว่ากำลังไล่ตีแมลงสาบ..คุณภพอย่าโกรธแววนะคะ..” และเริ่มสะอึกสะอื้น ในขณะที่ก้องภพขบเขี้ยวเคี้ยวฟังพลางก่นด่าในใจ

‘นังโง่เอ้ย!’

แต่เมื่อคิดว่าแววตายังคงมีประโยชน์ ชายหนุ่มจึงพยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธ พูดปลอบประโลมแทน
“ฉันจะไปโกรธอะไรเธอล่ะ แค่เธอทำทุกอย่างตามที่ฉันบอกเนี่ย ฉันก็ไม่รู้จะขอบคุณเธออย่างไรดีแล้ว..เพียงแต่ว่า ต่อไปฉันอยากให้เธอระวังตัวมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะถ้าถูกจับได้เราทั้งคู่คงเดือดร้อนแน่..เธอคงไม่อยากให้ฉันตกงานหรอกนะ”

พอได้ฟังอย่างนี้ หัวใจของแววตาก็ลิงโลดอย่างลำพอง คิดว่าที่ก้องภพไม่โกรธคงเป็นเพราะว่าเขารักเธอมากนั่นเอง

“ไม่ค่ะ แววจะไม่มีทางให้เรื่องเดือดร้อนมาถึงคุณเด็ดขาดค่ะ”

“ขอบใจมาก..งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันมีธุระต้องรีบทำ”

“..ค่ะ..แต่ว่า..เมื่อไหร่คุณภพจะมาหาแววอีกล่ะคะ..แววคิดถึงคุณ” แววตาบอกอย่างออดอ้อน

“ฉันก็คิดถึงเธอ แต่ช่วงนี้ฉันยุ่งๆอยู่..แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่ฉันจะรีบไปหาเธอเลยนะ”

“ค่ะ” แววตายิ้มเอิบอิ่มในสิ่งที่ได้ยิน ในขณะที่ก้องภพเบ้หน้า

‘เชอะ! รอไปเหอะ นังขี้ข้า’



ในยามค่ำคืน..คณินเดินนำก้องภพก้าวเข้ามาในคลับหรูตามคำเชิญของสิทธิโชค ที่ต้องการดื่มสังสรรค์กับเขาร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจอีกสองคน และคำป้อยอที่สิทธิโชคเอ่ยชื่นชมเขาต่อหน้าผู้อื่น ทำให้คณินรู้สึกพอใจในตัวสิทธิโชคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคำเยินยอที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นบุคคลสำคัญ

“จริงๆนะครับ ในความเห็นของผมเนี่ย ถ้าบริษัทนี้ไม่มีคุณคอยบริหาร ผมว่ามันคงไม่ใหญ่โตจนถึงขนาดนี้หรอก” สิทธิโชคเอ่ยชื่นชมเขาให้เพื่อนอีกสองคนที่มีสาวสวยนั่งคลอเคลียข้างกายไม่ต่างจากตัวเขาได้ฟัง และหนึ่งในสองที่ได้เตี๊ยมกับสิทธิโชคมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็เริ่มพูดขึ้นบ้าง

“เมื่อก่อนผมเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคุณมาอย่างนั้นเหมือนกัน..แต่ตอนนี้ผมแว่วๆมาว่า คุณชนาธิปจะให้ลูกๆเขาขึ้นมาคุมบริษัททั้งหมดนี่ครับ และถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็รู้สึกเสียดายแทนคุณจริงๆนะครับ ที่จะต้องมาคอยรับคำสั่งเด็กรุ่นหลังน่ะ แล้วแถมยังเป็นหลานของเราด้วย”

คณินข่มกลั้นกับคำพูดจี้ใจของอีกฝ่าย ที่ทำให้เขารู้สึกตกต่ำ
“น้องผมเขาให้ลูกๆดูแลแค่บางส่วนเท่านั้น..ไม่เกี่ยวกับส่วนที่ผมดูแล”

คนฟังแสร้งทำหน้าเหรอหรา
“อ้าว เหรอครับ..แหมแบบนี้ผมล่ะหน้าแตกเลย สงสัยคงต้องเคลียร์ข่าวกันใหม่แล้ว”

และเพื่อนอีกคนก็หัวเราะผสมโรงด้วย
“นั่นสิ ผมก็ยังนึกๆอยู่เลย ว่าคนที่มีความสามารถอย่างคุณจะมาเป็นเบ๊ให้หลานตัวเองได้ยังไง เพราะขืนเป็นอย่างนั้นคงเสียเชิงหมดไม่เหลือแน่..แบบนี้ต้องดื่มฉลองกันหน่อย”

แล้วก็ชักชวนผู้ที่อยู่รอบวงให้ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างครื้นเครง..คณินฝืนยิ้มรับกับสิ่งที่ได้ยินแล้วก็ร่วมเฮฮาไปด้วย สิทธิโชคซ่อนรอยยิ้มกับความอ่อนหัดของคณินก่อนเหลือบสายตาไปทางญาติผู้น้องที่ส่งสัญญาณให้เขาลุกออกมาจากวงสนทนา และเพียงครู่เดียว สิทธิโชคก็ปลีกตัวออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะคณินกำลังได้รับความบันเทิงจากสาวสวยอ่อนวัยข้างกาย

และเมื่อหามุมสงบได้ สิทธิโชคก็เอ่ยขึ้น
“นายมีอะไรจะบอกฉันรึไง”

“ไม่ได้มีเรื่องอะไรจะบอกหรอก แต่ผมอยากให้พี่สืบเรื่องผู้ชายของราโมน่าให้หน่อย”

สิทธิโชคนิ่วหน้า
“นายปริพันธ์ ลูกนายธนาคารนั่นน่ะเรอะ”

“ไม่ใช่ไอ้หมอนั่นหรอก แต่เป็นอีกคนที่ราโมน่าแอบคบอยู่ และผมก็คิดว่ามันคงไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆแน่ ไม่อย่างนั้น นักสืบที่คุณน้อยจ้างไว้คงไม่ทิ้งงานกลางคันหรอก”

และถ้อยความนี้เรียกความสนใจให้กับคนฟังเช่นกัน
“ถึงขนาดทิ้งงานกลางคันเชียวเรอะ..อืมม์ น่าสนใจแฮะ ชักอยากจะรู้แล้วเหมือนกันว่าไอ้นี่มันมีดีอะไรถึงได้แอ้มแม่ดารานี่ได้” เพราะตัวเขาเองก็เคยเข้าไปทาบทามขอสานสัมพันธ์กับราโมน่าเฉกเช่นกับผู้ชายอีกหลายๆคนที่สนใจในรูปลักษณ์แสนเย้ายวนนั้น แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆเช่นกัน และในความคิดของเขา ซึ่งคิดว่าหญิงสาวคงจะเล่นตัว เพื่อปั่นหัวพวกผู้ชายและหวังเพิ่มมูลค่าให้ตนเองมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับเขาไม่ได้หลงใหลคลั่งไคล้อะไรในตัวของเธอมากนัก เพราะเงินที่เขามีสามารถซื้อผู้หญิงสวยๆคนอื่นมาทดแทนได้เหมือนกัน ไม่ต้องไปลงสนามช่วงชิงกับบรรดาพวกผู้ชายหน้ามืดตามัวทั้งหลายเหล่านั้นให้เสียเวลา

“แรกๆผมก็ไม่ได้อยากรู้อะไรนักหรอก แต่ตอนนี้ผมเริ่มสนใจแล้ว เพราะอยากจะให้แน่ใจว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นจะไม่มีผลกระทบมาถึงงานของเรา”

“นั่นสิ..อืมม์ว่าแต่ นายรู้มั้ยว่าฉันทิกาจ้างนักสืบคนไหน”

“ไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อสุเมธรึเปล่า”

สิทธิโชคทบทวนความจำเพียงครู่ ก็พยักหน้า
“คงจะใช่ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเพื่อนร่วมก๊วนของฉันทิกาเขามักจะใช้บริการของเจ้าหมอนี่”

ก้องภพนิ่วหน้ามองญาติหนุ่มอย่างกังขา
“พี่รู้ได้ไง”

“ไม่ต้องสงสัยหรอก นายไม่รู้รึไง ว่าการนินทากาเลน่ะเป็นของคู่กันกับผู้หญิง พวกเธอไม่ค่อยระวังตัวหรอกว่าใครจะได้ยินบ้าง ขอให้แค่ได้พูดเท่านั้น แล้วเรื่องที่ถูกนินทามากที่สุดก็ไม่พ้นเรื่องผัวๆเมียๆเนี่ยล่ะ มันจึงไม่ใช่เรื่องลับอะไรเลยที่ฉันจะรู้ว่าผู้หญิงพวกนี้คิดอะไร ทำอะไร และใช้ใคร โดยเฉพาะพวกคุณหญิงคุณนายที่มีมันสมองน้อยพวกนี้” สิทธิโชคบอกด้วยรอยยิ้มดูแคลน ซึ่งก้องภพก็เห็นด้วย

“เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่วนนายคอยกระตุ้นนายคณินเข้าไว้ ให้หมอนั่นร่วมมือกับเราให้ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะขืนยืดเยื้อไป นายชนาธิปอาจจะไหวตัวทัน แล้วเราจะยุ่งยาก”

“พี่ไม่ต้องห่วง ดูท่าว่าอีกไม่นานนี้ล่ะ..ผมแค่รอโอกาสตัดสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ขาดเท่านั้น คราวนี้ล่ะนายคณินต้องโดดเข้าร่วมกับเราเต็มตัวแน่”

“ดีมาก ไอ้น้อง”

สิทธิโชคตบไหล่ญาติผู้น้องที่หยัดยิ้มอย่างเชื่อมั่นในแผนการที่วางไว้ ว่ามันใกล้สำเร็จเข้ามาทุกขณะแล้ว

.............................................................................................
จบตอนค่า
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2556, 12:09:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2556, 12:09:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2477





<< ตอนที่ ๑๗   ตอนที่ ๒๐-๒๑ >>
จิงโกะ 17 ม.ค. 2556, 18:15:23 น.
จิลกับราโมน่า หายไปนานเลยเนอะ แต่ดีใจที่มีชดเชย 2 ตอนรวด อิอิ


ระรินใจ 17 ม.ค. 2556, 20:53:25 น.
ให้คุ้มค่ากับที่หายไปนานค่ะ คุณจิงโกะ^^


goldensun 18 ม.ค. 2556, 07:17:31 น.
คุยกันทางโทรศัพท์ โมน่าไม่น่าเห็นจิลสีหน้าเคร่งขรึมนะคะ น้ำเสียงรึเปล่า
ความลับใกล้เปิดเผยแล้ว จิลจะกันได้แค่ไหน


nunoi 18 ม.ค. 2556, 09:13:01 น.
อย่าหายไปนานอีกนะคะ มาต่อเร็วๆนะคะ ลุ้นๆๆๆ


ระรินใจ 18 ม.ค. 2556, 10:46:35 น.
คุณ goldensun === ไม่ผิดหรอกค่ะ คือเรื่องนี้เขียนถึงอนาคตไปประมาณสามสิบปีข้างหน้าค่ะ โทรศัพท์สามารถคุยเห็นหน้าได้แล้ว สมัยนี้บางรุ่นก็เริ่มมีแล้วนะคะ

ส่วนเรื่องความลับเนี่ย..อิอิ นายจิลร่อแร่ค่ะ ^^




คุณnunoi === จะพยายามสุดความสามารถค่า


Zephyr 26 ม.ค. 2556, 15:49:13 น.
ดูทุกคนจะอยากรู้เรื่องผู้ชายของโมน่ามากๆเลยนะเนี่ย
เฉียดแบบเกือบตายเลยนะนั่น พอหมดคนอยากรู้หนึ่งคน คนใหม่ก็มาสิน่า
มันคงแตกสักวันล่ะ แต่จะเมื่อไรนี่สิ ลุ้นจนนั่งไม่ติดละค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account