ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: ตอนที่ ๑๗

ช่วงสายภายในคอนโดมิเนียมของเครือรัตนากร..ผู้จัดการสาววัยกลางคน พาร่างอ้อนแอ้นของตนเดินลิ่วมายกมือไหว้ฉันทิกาทันทีที่บริเวณแผนกต้อนรับ เมื่อลูกน้องโทรศัพท์รายงานเข้ามาถึงการปรากฏตัวของนายหญิง ซึ่งแม้วัยจะขึ้นเลขห้าแล้ว แต่เจ้าตัวผู้วางมาดราวกับนางพญายังคงพยายามรักษารูปร่างหน้าตาให้ดูสวยสง่าทุกกระเบียดนิ้ว

“สวัสดีค่ะคุณน้อย วันนี้มาด้วยตัวเองเลยนะคะ” เพราะเกือบทุกครั้ง หากนายหญิงต้องการอะไรมักจะโทรมาสั่ง หรือไม่ก็ให้เลขานุการคนสนิทมาสั่งการแทน

“อืมม์..” ฉันทิกาตอบเสียงขรึม ขณะยอบตัวนั่งลงบนโซฟาภายในห้องรับรอง “เรื่องที่ให้จับตาดูโม้นาน่ะ มีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม”

ผู้จัดการรีบรายงาน
“จะว่ามีมันก็มีนะคะ” และรีบรายงานต่อทันทีที่เห็นสายตาดุๆของฉันทิกา เขม็งมองให้เธอเร่งพูดในสิ่งที่รู้ที่เห็นออกมาโดยเร็ว “คือ..รู้สึกว่าในระยะหลังเนี่ย คุณโม้นาไม่ค่อยนอนค้างที่ห้องหรอกค่ะ..คือว่า ดิฉันสังเกตว่าบางคืนคุณโม้นาแต่งตัวเดินออกไปที่หน้าคอนโดฯ แล้วก็หายไปทั้งคืนกว่าจะกลับก็เช้าเลยค่ะ แถมตอนกลับมาก็ไม่ได้ใส่ชุดเดิมด้วยนะคะ ดิฉันว่า คุณโม้นาต้องไปค้างที่อื่นแน่เลย อาจจะเป็นผู้ชายด้วยนะคะ เพราะทุกครั้งที่กลับมาท่าทางมีความสุขเชียวล่ะค่ะ”

ยิ่งได้ฟัง ฉันทิกาก็แทบนั่งไม่ติดกับความหวาดระแวงที่รุมเร้า เมื่อคิดไปว่า หมู่นี้สามีของเธอนอกจากจะกลับบ้านดึกแล้ว บางคืนยังไปค้างอ้างแรมที่อื่นเสียด้วยซ้ำ
“แล้วเห็นไหมว่าไปกับใคร”

คราวนี้ผู้จัดการสาวส่ายหน้า
“ยามที่หน้าป้อมบอกว่า ทุกครั้งคุณโม้นาจะเรียกแท็กซี่ ขากลับก็กลับแท็กซี่เหมือนกันค่ะ”

คนฟังฮึดฮัดขัดใจ และลุกขึ้น
“เอาคีย์การ์ดสำรองห้องของโม้นามาหน่อยซิ”

“เอ่อ..คีย์การ์ดหรือคะ”

ผู้จัดการสาวอ้ำอึ้ง จึงถูกฉันทิกาตวาดเสียงใส่
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วก็ปิดปากไว้ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปฉันไล่เธอออกแน่”

“ค่ะๆ ดิฉันจะปิดปากให้สนิทเลยค่ะ”

“งั้นก็ไปเอาคีย์การ์ดมาให้ฉันได้แล้ว”

“..ค่ะ” ผู้จัดการสาวกระวีกระวาดทำตามที่สั่ง

และไม่กี่สิบนาทีต่อมา..ฉันทิกาก็เข้ามายืนอยู่ภายในห้องพักของราโมน่า และหันมาไล่ผู้จัดการที่ตามเข้ามายืนไม่ห่าง
“เธอไปได้แล้ว ถ้าฉันต้องการอะไรอีกแล้วค่อยเรียกเธอ”

“ค่ะ”
ผู้จัดการสาวรับคำ และเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูอย่างเชื่องช้า สายตาอยากรู้อยากเห็นยังคอยส่องลอดเข้ามาจนปะทะกับสายตาดุเขม็งของฉันทิกา บานประตูถึงได้ปิดสนิท

“ฮึ! ช่างสอดรู้เสียจริง”

ฉันทิกาพึมพำ ก่อนกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง วางกระเป๋าถือบนโซฟา และลงมือสำรวจหาสิ่งเชื่อมโยงถึงสามีในทุกๆที่ ทุกๆห้อง โดยค้นอย่างระวังเพื่อไม่ให้เจ้าของห้องรู้ตัวว่าถูกบุกรุก และใช้เวลามากที่สุดสำหรับห้องนอนที่ฉันทิกาค้นทุกซอกมุม แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงสิ่งเชื่อมโยงที่เธอมองหา เว้นแต่ แผงยาคุมที่ซุกอยู่ในลิ้นชักเครื่องประดับภายในห้องแต่งตัว และที่น่าสงสัยอีกอย่างคือ เสื้อนอกของนักเรียนมัธยมชายมาแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าของราโมน่าได้อย่างไร และมันเป็นของใคร!?

“ฮึ! ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอซุกใครไว้”


ฉันทิกาตรงดิ่งกลับบ้าน และเดินวนไปวนมาภายในห้องนั่งเล่น ครุ่นคิดหาวิธีที่จะรู้ความลับของราโมน่าให้ได้ ครั้นจะใช้ลูกน้องของสามีก็ไม่ได้ เพราะเธอเองก็กลัวว่า ผู้ชายที่ราโมน่าแอบไปหานั้นจะเป็นสามีของตนเอง แล้วนั่นมันจะทำให้เขาไหวตัวทัน ในที่สุด..เธอก็หยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนสนิท

“พิศ ฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย” ฉันทิกาบอกน้ำเสียงร้อนรน จนอีกฝ่ายรีบถามกลับอย่างนึกห่วงปนสงสัย

“มีเรื่องอะไรเหรอน้อย”

“ฉันอยากให้เธอพาฉันไปที่สำนักงานนักสืบที่เธอเคยใช้บริการน่ะ”

“หือ! คุณชัชมีเมียน้อยเรอะ”
อีกฝ่ายโพล่งออกมาทันที เมื่อคิดว่าเพื่อนกำลังมีปัญหาอย่างที่ตนเองเคยประสบ จนต้องจ้างนักสืบมือดี ถึงจะรู้ว่าสามีจอมเจ้าชู้ซุกบรรดาเมียน้อยไว้ที่ไหนบ้าง จนเธอตามไปอาละวาดได้ครบทุกคน

“ไม่ใช่ให้ตามคุณชัช” ฉันทิการีบแย้ง ยังไงเธอก็อยากจะรักษาหน้าตาของตัวเองไว้ให้ถึงที่สุด

“อ้าวเหรอ! ถ้าไม่ตามคุณชัช แล้วจะให้ตามใครล่ะ”

“โม้นาน่ะ”

“อะไร!? โม้นาเรอะ..แล้วตามทำไม”

“ฉันสงสัยว่าตอนนี้โม้นากำลังแอบคบผู้ชายอยู่ แล้วฉันก็กลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะคบคนไม่ดีแล้วมันจะเสียไปถึงคุณชัชด้วย..เธอก็เห็นนี่ว่าข่าวของโม้นาที่ออกมาแต่ละข่าวน่ะมีแต่แง่ลบทั้งนั้น และถ้ามันเป็นเรื่องจริง ฉันจะได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมไง”

“เอ..เมื่อก่อนไม่เห็นเธอจะสนใจหลานสาวของคุณชัชเลยนะ” อีกฝ่ายยังไม่หายแคลงใจ

“เอ๊ะ! เธอนี่จะมาสงสัยอะไรกันนักกันหนาเนี่ย..ตกลงว่าเธอจะพาฉันไปได้ไหม” ฉันทิกาเริ่มหงุดหงิดกับอาการขี้สงสัยของเพื่อน

“เอ้า ตกลงๆพาไปได้อยู่แล้ว อย่าทำตัวขี้หงุดหงิดนักสิจ้ะ..แต่ฉันบอกเสียก่อนนะ ว่าบริษัทนี้น่ะเรียกค่าจ้างแพงเอาการอยู่นะ”

“ช่างเถอะ ขอให้มีผลงานคุ้มกับค่าจ้างก็พอ”

“ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ..แล้วจะให้ฉันไปรับเมื่อไหร่ล่ะ”

“ตอนนี้เลย”

อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจ
“แหม รีบร้อนจังนะเธอ..ดูท่าว่าเรื่องนี้มันคงต้องมีอะไรแอบแฝงแน่”

“พิศ!” ฉันทิกาเรียกเสียงดุอย่างเหลืออด

“เอาล่ะๆ ฉันจะไปรับเธอตอนนี้เลย แต่งตัวคอยไว้ล่ะ”

พิศสุดารีบตัดบทอย่างเอาใจก่อนตัดสัญญาณมือถือ ฉันทิกาจึงเก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋าสะพายและกอดอกรอเพื่อนรักอย่างอดทน และไม่เห็นร่างของแววตาที่ยืนแอบฟังบทสนทนาอยู่มุมห้อง และกำลังพาร่างไปจากบริเวณนั้น เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรให้แอบฟังอีกแล้ว



แว่นกันแดดอันโตราคาแพงถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าถือใบหรู และฉันทิการีบสวมมันโดยเร็ว เพราะไม่อยากหยีสายตาสู้กับแสงแดดจ้าให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยมากไปกว่านี้ แต่กระนั้นแสงแดดแรงก็ยังทำให้เธอรู้สึกแสบผิวหนังจนต้องยกกระเป๋าถือมาช่วยบดบัง

“โอ้ย! แดดบ้าแดดบออะไรกันเนี่ย”

“อย่าบ่นนักเลยน่าเธอ รีบๆเดินเข้า”

พิศสุดาหันมาติงขณะกระพือพัดขนาดจิ๋ว เดินจ้ำอ้าวบนฟุตบาท หลังจากวนหาที่จอดรถหน้าบริษัทนักสืบเอกชนที่อยู่ภายในซอยหลายรอบ ในที่สุด ก็ต้องออกมาจอดที่หน้าถนน และใช้สองเท้าเดินเข้าไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างไปราวห้าสิบเมตร แต่นั่นก็ถือว่าหนักหนาสากรรจ์สำหรับเธอทั้งสองที่ต้องเดินฝ่าเปลวแดดร้อนเปรี้ยงเช่นนี้

ฉันทิกามองจุดหมายที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สองคูหาขนาดสองชั้นครึ่ง แต่หน้าบริษัทที่เป็นกระจกทึบแสงติดป้ายบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นสำนักงานกฎหมาย

พิศสุดาเดินนำเพื่อนก้าวเข้าไปภายในบริษัท และเมื่อสัมผัสความฉ่ำเย็นของเครื่องปรับอากาศ เธอก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างพึงใจ
“อาร์..ค่อยยังชั่ว”

พนักงานหนุ่มที่อยู่หลังเคาน์เตอร์คนหนึ่ง เอ่ยถาม
“สวัสดีครับ มาติดต่อเรื่องอะไรครับ”

“ฉันจะมาหาคุณสุเมธจ้ะ เขาอยู่ใช่ไหม”

“อยู่ครับ รอสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มก้มหน้ากดโทรศัพท์เพียงครู่ ร่างสูงใหญ่ท่าทางทะมัดทะแมงของชายวัยสี่สิบต้นๆก็เดินออกมาจากห้องด้านใน ผ่านโต๊ะของบรรดาพนักงานหญิง-ชายที่แบ่งย่อยรับผิดชอบไปตามส่วนของหน้าที่ และเมื่อเห็นพิศสุดาซึ่งเป็นลูกค้าเก่า เขาก็ยิ้มกว้างยกมือไหว้ทักทายผู้ที่สูงวัยกว่า

“สวัสดีครับ คุณพิศสุดา..วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้อีกครับ”

“สวัสดีค่ะ คุณสุเมธ..วันนี้ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ แต่เป็นเพื่อนของฉัน”

สุเมธหันสายตาไปมองฉันทิกาเพียงครู่ ก็จำสาวสังคมคนนี้ได้ทันที
“สวัสดีครับ คุณฉันทิกา”

ฉันทิการู้สึกแปลกใจที่เขารู้จักเธอ “คุณรู้จักฉันด้วยเรอะ!”

“แน่นอนครับ ผมจำเป็นต้องหูตากว้างไกล เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในอาชีพของผม..แต่ก่อนอื่น เราเข้าไปคุยรายละเอียดกันข้างในดีกว่าครับ”

“แหม! ฉันนึกว่าคุณจะปล่อยให้เรายืนอยู่ตรงนี้เสียอีก” พิศสุดาเหน็บเขาอย่างอารมณ์ดี ให้หนุ่มใหญ่อมยิ้ม

“ผมจะทำอย่างนั้นกับลูกค้าคนสำคัญได้อย่างไรกันล่ะครับ..เชิญครับ” และหันเดินนำเข้าห้องทำงานของตน
ฉันทิกากวาดสายตามองมองห้องทำงานที่ตกแต่งเรียบง่ายค่อนข้างเป็นทางการ และมองรูปถ่ายใบหนึ่งที่แขวนบนผนัง เป็นรูปของเขาในเครื่องแบบตำรวจเต็มยศ ซึ่งเธอได้ฟังประวัติคร่าวๆของเขาจากเพื่อนรักขณะที่นั่งมาภายในรถบ้างแล้ว ว่าเขานั้นเคยเป็นนายตำรวจสายสืบ แต่มีปัญหากับผู้บังคับบัญชาทำให้ชีวิตราชการไม่รุ่ง จึงลาออกและผันตัวเองมาเป็นนักสืบ โดยเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนที่เป็นทนายความ และตัวเขารับผิดชอบในงานที่ตัวเองถนัด นั่นคือการสืบเสาะหาความจริง

“เชิญนั่งครับ” หนุ่มใหญ่ผายมือให้ทั้งสองไปยังโซฟารับแขก ส่วนตัวเขายังยืนเปิดประตูค้างไว้พลางเอ่ยถาม“จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

“ขอน้ำส้มคั้นเย็นๆให้เราก็พอค่ะ” พิศสุดาตอบโดยไม่รอขอความเห็นจากเพื่อน

สุเมธจึงหันไปบอกกับแม่บ้านที่ยืนรอฟังคำสั่งอยู่หน้าประตู และไม่กี่อึดใจต่อมา เครื่องดื่มก็ถูกนำมาให้ลูกค้าทั้งสองดื่มดับกระหายจนน้ำส้มพร่องไปได้ครึ่งแก้ว สุเมธจึงเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะครับ..ตอนนี้เราพร้อมที่จะคุยรายละเอียดกันแล้ว คุณต้องการให้ผมสืบเรื่องอะไรครับ” และคาดเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องสามีไปมีเมียน้อยอีกเช่นเคย

ฉันทิกาจ้องหน้าเขา
“คุณจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ ห้ามนำข้อมูลไปขายใครอีก”

สุเมธพูดยิ้มๆ
“นักสืบอย่างผมมีจรรยาบรรณครับ ขอเพียงแค่ให้คุณจ่ายผมครบทุกบาททุกสตางค์เท่านั้นพอ”

“ฉันจ่ายครบแน่” ฉันทิกาย้ำชัด “เอาล่ะ สิ่งที่ฉันต้องการคือ ฉันอยากให้คุณตามสืบเรื่องของราโมน่า หลานสาวของสามีฉันหน่อย ว่าตอนนี้เขากำลังคบอยู่กับผู้ชายคนไหน”

“หือ! ราโมน่า”

“ใช่ ราโมน่า เรืองรัตนากร..หวังว่าคุณคงรู้จักดีนะ”

สุเมธโคลงศีรษะ
“ดังทั่วบ้านทั่วเมืองเสียขนาดนี้ ถ้าผมไม่รู้จักก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพแล้วล่ะ..ว่าแต่ เรื่องนี้สามีคุณคงไม่รู้สินะครับ” เขาเปรยออกไปด้วยความแคลงใจ ว่าทำไมฉันทิกาถึงไม่ใช้ลูกน้องของชนาธิป ซึ่งเขามั่นใจว่าคนระดับนั้นต้องพอมีลูกน้องฝีมือดีที่จะสืบเรื่องนี้ได้ นอกเสียจากว่า ฉันทิกาต้องการปกปิดสามี และมันคงมีประเด็นอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนลึกลงไปเป็นแน่

ฉันทิกาพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ
“ใช่ และหวังว่าคุณจะไม่ไปบอกเขานะ”

คนฟังหัวเราะครืน
“ผมไม่ทุบหม้อข้าวตัวเองหรอกครับ..แต่งานนี้ มันต้องมีค่าใช้จ่ายสูงหน่อยนะครับ”

“ฉันไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ขอแค่คุณสามารถบอกได้ว่าผู้ชายคนที่ราโมน่าคบอยู่น่ะ เป็นใคร”

สุเมธยิ้มอย่างพอใจกับลูกค้าที่ไม่เรื่องมาก และคิดว่างานนี้เป็นเรื่องหมูๆ ไม่ต่างจากงานตามสืบความลับของดาราทั่วไป..ฉันทิกาเขียนเช็คเป็นค่าดำเนินการล่วงหน้าเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควรก่อนจะพากันกลับไป สุเมธจึงส่งต่องานนี้ให้กับลูกน้องอีกคนที่ช่ำชองในการติดตามคนในวงการบันเทิง



""""""""""""

ในตอนเช้าของบ้านรัตนากร..ก้องภพนั่งจิบกาแฟภายในห้องโถงหน้าบ้าน ขณะรอคณินหาเอกสารสัญญาอยู่ภายในห้องทำงาน..และได้ยินเสียงตึงตังมาจากบันไดจึงหันมอง เห็นอรดีในชุดนักศึกษากำลังวิ่งฉิวลงบันไดหน้าตื่น เพราะเธอมัวแต่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนจนลืมเวลาเดินทางไปมหาวิทยาลัย ซึ่งวันนี้เธอมีสอบย่อยด้วย และชะงักเท้าทันทีที่เห็นเขา

ก้องภพลุกขึ้นยืนและยิ้มเก๋ เป็นการหว่านเสน่ห์เฉกเช่นทุกครั้งที่พบเธอ
“จะรีบร้อนไปไหนหรือครับ คุณแอ้ม”

“ก็รีบไปมหา’ลัยน่ะสิคะ..บาย” ตอบพร้อมเอ่ยลาเขาเสร็จสรรพ ก่อนวิ่งออกไปเรียกหาคนขับรถลั่นบ้าน ทิ้งให้คนถามยืนยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น

ก้องภพมุ่ยหน้าเล็กน้อยกับเสน่ห์ของตนที่ดูท่าจะใช้ไม่ได้ผลกับอรดี พลางคิดว่า สาเหตุคงมาจากฉันทัชที่คอยขัดขวางเขาอยู่ก็เป็นได้

“ไม่เป็นไร..สำหรับเธอ เรายังมีเวลาทำความรู้จักกันอีกนาน”

‘แต่สำหรับคนอื่น เวลาเริ่มนับถอยหลังลงแล้ว !’

ชายหนุ่มหยัดยิ้ม ก่อนยอบตัวลงนั่งจิบกาแฟต่อไป



และภายในห้องครัว..แววตากำลังยืนหน้าอ่างล้างจาน สองมือลูบคลำจานในอ่างอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าอมยิ้ม สายตาทั้งคู่เป็นประกายวาววับเปี่ยมสุขกับสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในใจได้ไม่นานนัก พลัน! สะดุ้งเฮือกกับเสียงมารดาที่ตวาดแวดมาจากด้านหลัง

“นังตา! ล้างจานให้มันเร็วๆหน่อยซี่ ลูบๆคลำๆอยู่ได้ กลัวมันเจ็บรึไง”

แววตาหันมาทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะหันกลับไปเร่งทำงานของตนอย่างขัดใจ จนกระทั่งจานทุกใบถูกล้างจนสะอาดคว่ำอยู่ในตะแกรงรอการเช็ดเก็บเข้าตู้เป็นลำดับต่อไป

“หมู่นี้เอ็งเป็นอะไร ดูเหม่อๆพิกล”
มารดาเอ่ยถามอย่างจับผิด แววตาส่ายหน้า

“หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่พักนี้อากาศมันร้อนไปหน่อย หนูก็เลยรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ”

“เฮ้อ เอ็งนี่ ทำตัวอ่อนปวกเปียกไปได้”

“หนูไม่ได้ทำนะ แต่มันเป็นเองต่างหาก..แล้วเมื่อคืนหนูก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย เลยกะว่าบ่ายนี้จะออกไปหาซื้อยาหน่อยน่ะ”

“ยาในตู้ไม่มีรึไง”

“มีแค่พาราฯน่ะ แต่หนูอยากได้ยาแก้ไอ กับแก้เจ็บคอด้วย” พูดจบก็กระแอมไอออกมา “แค่ก..ๆ..เนี่ย หนูเริ่มไอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“เออๆ แล้วรีบกลับล่ะ อย่าไปมัวเถลไถลนะ”

แววตายิ้มกว้าง
“จ้ะแม่”



ยามบ่าย..แววตาแต่งตัวสวยงามเกินกว่าจะเป็นการไปซื้อยาแค่ปากซอย แต่หญิงสาวก็มีวิธีพูดไม่ให้มารดาสงสัยได้ เธอเปิดประตูเล็กออกไปเรียกแท็กซี่ และบอกจุดหมายปลายทางก่อนจะหยิบเครื่องสำอางออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็ก บรรจงแต่งหน้าอย่างสุดความสามารถภายในรถ ซึ่งเธอจะลบมันออกตอนกลับบ้าน เพื่อมารดาจะได้ไม่ระแวงสงสัยอะไรไปมากกว่านี้

เมื่อลงจากรถแล้ว แววตาเดินเข้าซอยและผ่านร้านขายยาก้าวตรงไปยังอพาร์ตเม้นต์ขนาดกลาง ที่เปิดเป็นห้องพักรายวันและรายเดือน..รอยยิ้มเธอปรากฏชัดเจนพร้อมหัวใจเต้นรัว สองขารีบเร่งก้าวบันไดขึ้นชั้นสอง และหยุดหน้าประตูห้องหนึ่ง ก่อนจะเคาะบานไม้เบาๆ พร้อมพูดกับคนภายในห้อง

“ตามาแล้วค่ะ..เปิดประตูให้ตาหน่อย”

และเพียงครู่เดียว บานประตูก็เปิดออกรับเธอเข้าไปภายใน ก่อนปิดลงอีกครั้ง พร้อมๆกับร่างของแววตาเดินเข้าสู่อ้อมกอดของก้องภพ

“นึกว่าวันนี้ เธอจะไม่มาหาฉันเสียแล้วสิ”

“มาสิคะ ยังไงตาก็ต้องมาหาคุณ..ตาคิดถึงคุณจะแย่แล้ว”

เธอกระซิบออดอ้อน เรียกรอยยิ้มพึงใจให้คนฟัง
“น่ารักจัง”

และโน้มใบหน้าลงดื่มด่ำกับริมฝีปากที่เผยอรอคอย ก่อนเริ่มตักตวงความสุขจากเรือนร่างของแววตา



หลังห้วงอารมณ์พิศวาสผ่านไป แววตานอนอิงแอบอกกว้างของก้องภพอย่างสุขสม
“ตาไม่อยากกลับเลย..ตาอยากอยู่กับคุณแบบนี้ไปทั้งวันจังเลยค่ะ”

“อดทนหน่อยนะ สักวันเราจะได้อยู่ด้วยกัน” ก้องภพลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆขณะปลอบประโลม “และเมื่อถึงวันนั้น ฉันจะให้เธออยู่อย่างสุขสบาย ได้เป็นคุณนายคอยชี้นิ้วสั่งคนอื่นบ้าง อยากได้อะไรฉันก็จะหาให้เธอหมดเลย”

แววตายิ้มรับกับภาพความฝันอันสวยหรูในอนาคต ซึ่ง เธอกับก้องภพแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กันได้ราวสองเดือนแล้ว หลังจากที่ก้องภพมีท่าทีสนใจในตัวของเธอทุกครั้งที่ไปหาคณิน และในที่สุด เขาก็สารภาพว่าชอบเธอและพูดให้เห็นถึงความหวังที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น นำความดีใจและปลาบปลื้มให้เธอเหลือจะกล่าวจนไม่อาจปฏิเสธผู้ชายดีพร้อมอย่างเขาได้ และขณะนี้เธอก็ทั้งรักทั้งหลงเขาอย่างมากมาย ไม่ว่าเขาต้องการอะไร เธอก็พร้อมยอมทำให้อย่างไม่มีเกี่ยงงอน และสิ่งที่เขาขอจากเธอ คือการให้เธอคอยรายงานทุกการเคลื่อนไหวของสมาชิกภายในบ้านรัตนากรให้เขารู้เท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงของเธอเลย

“ตาอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจังเลยค่ะ”

“ฉันก็เหมือนกัน..แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อม ไว้รอให้ฉันเก็บเงินให้เยอะกว่านี้อีกหน่อย แล้วฉันจะได้ไปขอเธอกับแม่ของเธอ”

แววตาเงยใบหน้าขึ้นสบสายตากับเขา “ตาดีใจจังเลยค่ะ ที่คุณไม่รังเกียจผู้หญิงอย่างตาที่มีฐานะเป็นแค่คนรับใช้”

“ฉันรักเธอ”
ก้องภพยิ้มใส่ตาหวานฉ่ำของเธอ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นประโยคเดียวกัน

“ตาก็รักคุณค่ะ”

และแนบใบหน้าลงกับแผงอกกว้างอีกครั้งพร้อมกระชับกอด จึงไม่เห็นรอยยิ้มเหยียดหยามของก้องภพที่มีให้..ที่เขายอมลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับเธอนั้น เพียงเพราะต้องการเก็บเธอไว้ใช้งานต่างหาก และเขาจะเขี่ยเธอทิ้งทันทีที่หมดประโยชน์

“แล้วที่บ้านนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ คุณทัชแอบเผาอะไรฉันให้พ่อเขาฟังบ้างไหม”

“ไม่หรอกค่ะ ที่ตาได้ยินส่วนใหญ่ก็เห็นแต่พูดคุยกันเรื่องทั่วไปทั้งนั้น..แต่จะมีก็กับคุณผู้หญิงน่ะค่ะ ที่ตอนนี้กำลังจ้างนักสืบให้ตามคุณโม้นาอยู่”

มือที่ขยับเลื่อนลูบบนแผ่นหลังชะงักอย่างสนใจ “หือ! ตามสืบราโมน่าเรอะ..เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องผู้ชายค่ะ” แววตาขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางตลบชายผ้าปิดบังทรวงอก ขณะพูดเพิ่มเติม “คุณผู้หญิงสงสัยว่าคุณโม้นากำลังคบอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คุณปริพันธ์น่ะค่ะ..ตาได้ยินคุณผู้หญิงพูดกับเพื่อนว่า กลัวว่าคุณโม้นาจะคบผู้ชายเลวๆจนทำให้เสียชื่อเสียง คุณผู้หญิงเลยอยากรู้จะได้จัดการเสียแต่เนิ่นๆค่ะ”

ก้องภพแค่นยิ้มกับเรื่องที่ได้ยิน
“คุณผู้หญิงของเธอนี่ ช่างมีเวลาว่างเยอะจริงๆนะ ถึงได้สนใจกับเรื่องแบบนี้น่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณโม้นา คุณผู้หญิงเขาอยากรู้ไปหมดล่ะค่ะ..ตาเคยได้ยินคนใช้ในบ้านพูดกันนะคะ ว่าคุณผู้หญิงน่ะหึงคุณผู้ชายค่ะ ก็เลยหาเรื่องไล่คุณโม้นาออกจากบ้าน แต่ตาว่าไม่ใช่แค่หึงคุณผู้ชายอย่างเดียวหรอกนะคะ แม้แต่คุณทัชเองคุณผู้หญิงยังหวงยิ่งกว่าคุณภาเสียอีก ขนาดพวกคนรับใช้ในตึกน่ะมีแต่คนแก่ๆทั้งนั้น พวกสาวๆน่ะคุณผู้หญิงให้อยู่แต่ในครัว ไม่ค่อยให้ขึ้นตึกหรอกค่ะ เวลาใครเข้ามาใกล้คุณทัชก็จะเหล่แล้วเหล่อีก จนไม่มีพวกสาวๆกล้าเข้าใกล้คุณทัชแล้วล่ะค่ะ ตาเองก็เหมือนกัน”

“ดีแล้วล่ะ เพราะฉันก็ไม่อยากให้เธอไปใกล้ชิดผู้ชายคนอื่นเหมือนกัน”

แววตายิ้มอย่างภูมิใจว่าเขาหึงหวงเธอ เชื่อในคำหลอกล่อของเขาจนหมดใจ

ก้องภพมองเวลา และหันบอกเธอเสียงขรึม
“เดี๋ยวฉันต้องรีบกลับไปทำงานต่อแล้ว”

หัวใจคนฟังห่อเหี่ยวที่ต้องแยกจากเขาและกลับไปใช้ชีวิตเดิมๆอันแสนน่าเบื่ออีก
“ตาก็ต้องรีบกลับเหมือนกันค่ะ”

แววตาลงจากเตียงหยิบเสื้อผ้าของตนมาสวม ในขณะที่ก้องภพยังคงนั่งบนเตียง จนกระทั่งหญิงสาวสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ก็โผมานั่งใกล้ตัวเขาอีกครั้ง
“ตาไปก่อนนะคะ”

“อืมม์..แล้วถ้าบ้านนั้นมีอะไรคืบหน้า อย่าลืมบอกฉันด้วยนะ”

“ค่ะ ถ้าได้เรื่องอะไรแล้ว ตาจะรีบบอกคุณทันทีเลยค่ะ” ตอบพร้อมยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาอย่างรักใคร่ ก่อนผละออกจากห้องไป

ก้องภพมองตามพร้อมเบ้หน้าเล็กน้อย
“นังโง่เอ้ย!”

................................................................................................

จบตอนค่า
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2555, 17:08:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2555, 17:08:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2445





<< ตอนที่ ๑๖   บทที่ ๑๘-๑๙ >>
Gingfara 15 ต.ค. 2555, 19:06:06 น.
ก้องภพ เลวสุดๆ อินๆๆ อ๊ายๆๆๆๆๆ


sirynth 15 ต.ค. 2555, 22:55:29 น.
Poor Ramona, they are all so mean, esp. her aunt in law.


anOO 16 ต.ค. 2555, 16:23:14 น.
พี่จิวคงจะพอช่วยไม่ให้ใครตามสืบโม้นาได้นะ


Moomint 18 ต.ค. 2555, 10:50:39 น.
มาลงชื่ออ่านนรุ่นลูกนะคะ^^ พอดีพึ่งได้ซื้อรุ่นพ่อมาอ่านจบไปเมื่อคืนสดๆร้อนๆเลย และกำลังคิดว่าพลาเล่มนี้ไปตั้งนานได้ไง สนุกมากกกก หนูยังกรี๊ดดพี่เล่ยไม่หาย ในแง่ผู้ชายคนนึงที่รักผู้หญิงคนนี้มาเนี่ย ต้องยกให้เฮียเล่ยจริงๆ ><


Zephyr 21 ต.ค. 2555, 00:26:14 น.
ยังเลวได้อีก ก้องภพ นายจบไม่สวยแน่!!!
จะสงสารหรือสมน้ำหน้าแววตาดีนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account