ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: ตอนที่ ๒๐-๒๑


ยามเช้าภายในคฤหาสน์หรูของพิศสุดา ซึ่งเจ้าของบ้านสาววัยกลางคนกำลังนั่งกรีดกรายอย่างสบายอารมณ์ภายในสวนข้างสระว่ายน้ำ สายตาเพ่งมองเล็บยาวของตนเองที่เพิ่งบรรจงแต่งสีเล็บใหม่และยังไม่ทันจะแห้งสนิท จู่ๆเสียงเรียกของฉันทิกาก็ดังขึ้น

“พิศ !”

เจ้าของบ้านหันมองที่มาของเสียง และเห็นเพื่อนรักกำลังเดินจ้ำมาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มาหาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่แน่เลยใช่มั้ย” เอ่ยถามพร้อมโบกมือให้เด็กรับใช้ที่นั่งใกล้บริเวณนั้นมาเก็บอุปกรณ์เสริมสวยของเธอออกไปก่อนที่ร่างของผู้มาเยือนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้า วางกระแทกกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้ข้างตัว สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม กระวนกระวาย

“ใช่ ฉันมีเรื่องใหญ่มากๆ” ฉันทิกาตอบด้วยความฉุนเฉียวและเดินวนไปมา ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยอารมณ์เกรี้ยวกราดให้เพื่อนได้รับรู้

“เธอรู้มั้ย เมื่อวานนี้ไอ้นักสืบบ้านั่นมันโทรมาบอกยกเลิกงานของฉัน ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์ตั้งความหวังกับมันไว้มาก..แล้วดูซิ! ดูมันทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง..ไหนเธอบอกว่ามันเป็นมืออาชีพไง ฮึ! นี่ถ้าเมื่อวานไม่ติดว่าคุณหญิงวิภาโทรมาตามตัวไปหาด่วนล่ะก็ ฉันโทรมาเฉ่งเธอแล้ว”

พิศสุดานั่งหน้าเหวอ ตาปริบๆมองเพื่อนอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะ..อะไร..เธอหมายถึงเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย..แล้วไอ้นักสืบที่ว่าเนี่ย หมายถึงคุณสุเมธใช่มั้ย”

“ก็ใช่น่ะสิ..ไอ้นักสืบเฮงซวยนั่นล่ะ มันโทรมายกเลิกงานของฉัน..เธอได้ยินชัดมั้ย” ฉันทิกาย้ำใส่หน้าเพื่อนอย่างเดือดดาล

“เออๆ ชัดแจ๋วเลย..แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่าคนอย่างคุณสุเมธจะทิ้งงานไปกลางคันแบบนี้” พิศสุดาพึมพำตามความคิด เพราะรู้จักกับสุเมธมาพอสมควรและเธอเองก็แนะนำให้บรรดาเพื่อนๆของเธอที่มีปัญหาเดียวกันนี้ไปหาสุเมธ ซึ่งเขาก็ปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ว่าจ้างทุกครั้ง..แล้วทำไมครั้งนี้มันถึงมีปัญหา!?

“ฉันว่า..มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดแน่ๆเลยนะ น้อย”

“ฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่า มันคงรู้แล้วล่ะ ว่าโม้นาซุกใครไว้ แต่มันกลับไม่ยอมบอกฉัน ทั้งๆที่ฉันเสนอเงินให้มันอีกก้อนมันยังไม่เอาเลย ฮึ! มันน่าเจ็บใจมั้ยล่ะ”
ฉันทิกาแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง พิศสุดารีบปรามเพื่อน กลัวว่าอารมณ์โกรธจะพุ่งปรี๊ดจนเส้นเลือดฝอยแตกเสียก่อน

“ใจเย็นหน่อยเถอะน้อย..นั่งลงก่อนซิ เดินไป-มาอยู่แบบนี้ ฉันเห็นแล้วเวียนหัวแทน”

“เธอจะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง..ฉัน..ฉันอยากรู้นี่ว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร และที่สำคัญ มันจะใช่ผัวของฉันรึเปล่า”

“แหม..เธออย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันเลวร้ายถึงขนาดนั้นสิจ๊ะ..ฉันว่า คนที่สามารถทำให้คุณสุเมธทิ้งงานกลางคันไปได้น่ะมันต้องเป็นคนใหญ่คนโตคับฟ้าอย่างพวกนักการเมือง หรือพวกผู้มีสีตัวเป้งๆ หรือไม่อีกอย่างก็เป็นพวกมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลแล้วก็โหดมากๆด้วย คุณสุเมธถึงไม่อยากเสี่ยงด้วยน่ะ..และฉันก็คิดว่า สามีของเธอถึงแม้จะเข้าขั้นมหาเศรษฐีแต่เท่าที่ฉันเห็นและรู้จักมาหลายสิบปี ฉันว่าคุณชนาธิปไม่ได้น่ากลัวจนคนอย่างคุณสุเมธไม่กล้าแตะต้องหรอกนะ..เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันว่าผู้ชายที่หลานของเธอซุกไว้น่ะ ไม่ใช่สามีของเธอหรอก” และตบฝ่ามือเบาๆลงกับเก้าอี้ข้างตัว

“นั่งลงก่อน..แล้วทำใจให้ร่มๆเข้าไว้ เราจะได้มีสมาธิไว้คิดหาวิธีว่าจะทำยังไงต่อไป”

เมื่อได้ยินเพื่อนรักวิเคราะห์ออกมาเช่นนั้น ความกังวลใจที่มีท่วมท้นเมื่อครู่เริ่มคลายตัวลงมาพอสมควร จึงยอบตัวลงนั่งตามที่เพื่อนชี้นำ พร้อมพ่นลมหายใจอีกเฮือก
“ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นที่สุดแล้ว..แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่า เดี๋ยวนี้คนมันวิปริตมากขึ้นแค่ไหน ขนาดพ่อ-ลูกมันยังไม่เว้นกันเลยแล้วจะนับประสาอะไรแค่ลุง-หลาน..แล้วยิ่งนานวัน ฉันก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันหวาดระแวงมาตลอดมันกำลังจะเป็นความจริง..ตอนนี้ฉันเครียดมาก..เครียด! จนบางครั้งฉันคิดอยากจะกำจัดตัวปัญหาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย”

พิศสุดาตกตะลึงในความคิดของเพื่อน
“ว้ายตายแล้ว! อย่าได้ทำอย่างนั้นเด็ดขาดเชียวนะเธอ..คนทั้งคนนะจ๊ะ ไม่ใช่มด ปลวก จะได้คิดกำจัดกันง่ายๆน่ะ..แล้วถ้าขืนคุณชนาธิปรู้เข้าล่ะก็ ชีวิตเธอพังแน่ เพราะยังไงเสีย โม้นาก็เป็นหลานของเขา..แล้วอีกอย่าง เธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าสองคนนั่นเขาเป็นอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว โยนไอ้ความคิดบ้าๆนั่นทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้เลย”

ฉันทิกาเอนร่างพิงพนักอย่างอ่อนแรง
“ฉันก็แค่คิดเท่านั้น ใครจะกล้าทำจริงๆ”

“จะว่าได้เหรอ ไอ้อารมณ์หึงหวงเนี่ยมันร้ายนัก ใครจะไปรู้ล่ะว่าถ้าขาดสติไปชั่ววูบน่ะ เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ขนาดฉันเป็นคนใจเย็นกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันยังเกือบเอาปืนไล่ยิงนังเมียน้อยเลย แล้วถ้าขืนเธอยังคิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ สักวัน..เธออาจได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแน่”

คนฟังมองสบสายตาเขม็งของเพื่อนชั่วครู่ก็ถอนหายใจฟึดฟัด
“แล้วเธอมีวิธีอะไรพอจะช่วยฉันให้เลิกหวาดระแวงกับไอ้เรื่องบ้าๆนี้มั้ยล่ะ”

พิศสุดากรีดนิ้วดูเล็บของเธออีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อน
“ไม่ยาก ก็แค่..หาสามีเป็นตัวเป็นตนให้แม่หลานสาวของคุณชนาธิปเสียสิ”

ฉันทิกานิ่งขึงไปชั่วครู่ ใบหน้าเริ่มเจือรอยยิ้ม
“นั่นสิ! ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกับเรื่องนี้นะ”

“ก็บอกแล้ว ว่าให้ทำใจร่มๆ” พิศสุดาหยัดยิ้มพึงใจที่เพื่อนเห็นดีเห็นงามข้อเสนอแนะของเธอ “และตอนนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาเสาะหาว่าที่หลานเขยเสียด้วย เพราะดูเหมือนว่า ลูกชายของระพีพรรณจะเข้ามารอบนโพเดี่ยมเรียบร้อยแล้วนะ”

ฉันทิกานึกไปถึงปริพันธ์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่ความกังวลยังคงมีอีกระลอก
“ฉันก็อยากให้สองคนนี่ลงเอยกันเสียที..แต่แม่โม้นาน่ะสิ ยืนยันแต่ว่าตาปอเป็นแค่พี่ชายเท่านั้น แล้วอีกอย่าง จู่ๆเธอจะให้ฉันไปเร่งเร้าให้ผู้ชายมาขอ ทางนั้นคงคิดกับเราแปลกๆแน่”

“เราก็อย่าไปแสดงท่าทีเร่งรัดให้สองคนนั่นแต่งงานกันจนออกนอกหน้าสิ..เราก็แค่ค่อยตะล่อมให้ตาปอเข้ามากระชับสัมพันธ์ให้เร็วแล้วก็ถี่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น และฉันว่า ทางฝ่ายตาปอน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะเจ้าตัวเขาก็เปิดเผยว่าชอบคนของเราเต็มประตูเข้าไปแล้ว แถมระพีพรรณเขาเองก็เป็นพวกบ้าเห่อดาราด้วย แค่เรากระตุ้นหน่อยก็คงรีบแจ้นมาแล้ว ปัญหาก็อยู่ที่คนของเราเท่านั้นล่ะ ว่าเธอจะมีปัญญาทำให้โม้นายอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการรึเปล่า”

พิศสุดาเสนอแนะในสิ่งที่ตนเองคาดเดาได้ เพราะเธอกับระพีพรรณนั้นถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากเหมือนฉันทิกา แต่เธอก็เรียนมหาวิทยาลัยในต่างแดนมาด้วยกันและในปัจจุบันก็ยังคบหาสมาคมกันตามงานสังคม จึงพอจะรู้จักนิสัยใจคอมากพอสมควร

ฉันทิกาคิดตามแล้วก็แค่นเสียงพูดอย่างมาดมั่น
“ไม่ว่ายังไง ฉันต้องบังคับให้ราโมน่าแต่งงานกับตาปอให้เร็วที่สุด”

แต่พิศสุดากลับไม่เห็นด้วยในความคิดนี้
“โอ้ยๆ จะไปบังคับแบบนั้นไม่ได้นะเธอ”

ฉันทิกามองเพื่อนตาขวาง
“เอ๊ะ! ทำไมจะไม่ได้”

“เรื่องอะไรที่มันกระทบต่อจิตใจมันก็ต้องอาศัยเวลาบ้าง จู่ๆเธอจะให้หนูโม้นาเลิกจากฝ่ายนั้นเพื่อมาแต่งงานกับฝ่ายนี้ เธอคิดดูเอาเองเถอะว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย..แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายที่หนูโม้นาคบด้วยน่ะ มันเป็นใคร นิสัยยังไง..ดีไม่ดี เกิดเจ้าผู้ชายคนนั้นมันไม่ยอมเลิกด้วยแล้วฉุดคนของเราไปเก็บไว้แทน หรือไม่ก็สติหลุดมายิงตาปอทิ้งล่ะก็ คราวนี้ได้เป็นเรื่องฉาวกระฉ่อนให้อับอายกันถ้วนหน้าแน่”

คนฟังนิ่งขึง
“..นั่นสิ”

“เรื่องลมเพชรลมหึงน่ะมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เพราะฉะนั้น เธอต้องให้เวลาหนูโม้นาไปเคลียร์กับทางนั้นบ้าง..ทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นอะไรได้ดั่งใจเธอไปหมดเสียหมดหรอกนะเธอ”

พิศสุดาเหน็บนิสัยใจร้อน เอาแต่ใจของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะให้ความสนใจสำรวจตรวจตราสีเล็บของเธอ แต่ก็ยังสำทับมาลอยๆ
“ถ้าเธออย่างจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ก็ตามใจนะ..”

แน่นอน ว่าฉันทิกาไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดเรื่องอื้อฉาวแน่ ทั้งๆที่เธอแสนจะคับแค้นใจ ที่อะไรๆมันไม่ได้ดั่งใจเธอเอาเสียเลย..ถ้าหากเธอรู้ว่า ผู้ชายที่ราโมน่าซุกซ่อนไว้เป็นใคร เธอก็คงจะไปเจรจากับผู้ชายคนนั้นให้เด็ดขาดเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อไม่สามารถรู้ได้ เธอก็คงต้องใช้วิธีอย่างที่เพื่อนรักบอก..เพราะตัวราโมน่าเองนั้น ต่อให้เธอคาดคั้นยังไงก็คงไม่ปริปากพูดความจริงเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจเตลิดหนีตามผู้ชายคนนั้นจนทำให้ชื่อเสียงวงตระกูลเสียหายไม่ต่างจากที่น้องสะใภ้เคยทำไว้ก็เป็นได้ ซึ่งเธอจะไม่มีวันให้เหตุการณ์คล้ายๆกันนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด

ฉันทิกาพ่นลมหายใจหนักหน่วง แล้วพูดกับเพื่อนรัก
“..เห็นที..ฉันคงต้องทำตามข้อเสนอของเธอเสียแล้ว”




ขณะกำลังนั่งทานอาหารกลางวันกับปริพันธ์..ราโมน่าเพิ่งวางสายจากฉันทิกาด้วยใบหน้าครุ่นคิด เมื่อผู้เป็นป้าออกคำสั่งว่าต้องการพบเดี๋ยวนี้ บอกเพียงว่ามีเรื่องสำคัญต้องการจะพูดด้วย และฟังจากน้ำเสียง เธอรู้สึกได้ทันทีถึงความมึนตึงที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า ตัวเธอได้กระทำการอะไรที่เป็นการขัดใจป้าอีกแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะพยายามทำดีแค่ไหนเธอก็ไม่สามารถชนะใจป้าสะใภ้คนนี้ได้เสียที ถึงขนาดยอมออกจากบ้านเพื่อเป็นการเอาใจก็แล้ว แต่ ความสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมา จนบางครั้งนึกอยากจะถามออกไปตรงๆเลย ว่าตัวเธอทำผิดอะไรนักหนา ถึงได้ถูกจงเกลียดจงชังถึงขนาดนี้

ปริพันธ์ลอบมองเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของเธอ จึงเอ่ยถามอย่างห่วงไย
“มีปัญหาอะไรเหรอครับ”

ราโมน่าลืมเสียสนิทใจว่ากำลังนั่งทานอาหารอยู่กับชายหนุ่ม และเมื่อตั้งสติได้เธอก็ยิ้มให้กับเขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ โม้นาแค่เผลอไปคิดถึงเรื่องงานเท่านั้นเอง..แล้วก็ เดี๋ยวโม้นาคงต้องรบกวนพี่ปอไปส่งที่บ้านหน่อยนะคะ คุณป้าโทรมาบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย”

“ได้สิครับ ไม่เห็นจะเป็นการรบกวนอะไรพี่เลย..แล้วจะให้พี่รอด้วยมั้ยครับ”

“เอ่อ ไม่ต้องหรอกค่ะ บางทีคืนนี้โม้นาอาจจะค้างที่บ้านเลย”

“โอเคครับ งั้นเรามาทานต่อกันดีกว่า จะได้ไปหาคุณป้ากัน” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม พลางตักอาหารใส่ในจานข้าวของเธอให้


ฉันทิกาโบกมือไล่คนรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้บริเวณห้องนั่งเล่นออกไปให้หมดเมื่อเห็นราโมน่าเดินเข้ามา เธอลอบกวาดมองรูปลักษณ์สวยงาม เปล่งปลั่งของอีกฝ่ายด้วยจิตริษยา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบขณะที่ราโมน่ายอบตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงหน้า
“ขับรถมาเอง รึใครมาส่งล่ะ”

“พี่ปอมาส่งค่ะ”

“แล้วอยู่ไหนล่ะ ฉันไม่เห็นเลย”

“กลับไปแล้วค่ะ”

“เอ้า! แล้วทำไมไม่ชวนเขาเข้ามานั่งดื่มน้ำดื่มท่าก่อนล่ะ เขาอุตส่าห์ขับรถมาส่งนะ..เฮ้อ เรานี่ไม่ไหวเลยจริงๆ”

ราโมน่าก้มหน้าหน้านิ่ง กล้ำกลืนต่อคำตำหนินั้น

ฉันทิกาปรายสายตามอง แล้วก็เริ่มพูดเข้าเรื่อง
“เอาล่ะ เรื่องนั้นช่างเถอะ..ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญมากๆเกี่ยวกับอนาคตของเธอ”

คนฟังเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน
“อนาคตของโม้นาหรือคะ!?”

“ใช่..อนาคตระหว่างเธอกับคุณปอ”

ราโมน่ายิ่งมึนงง แต่ฉันทิกาก็ขยายความในวินาทีต่อมาให้หญิงสาวตื่นตะลึง
“ฉันจะให้เธอแต่งงานกับคุณปอ”

“แต่งกับพี่ปอ!”

“ใช่ เธอได้ยินไม่ผิดหรอก”

“ไม่นะคะคุณป้า โม้นาไม่ได้รักพี่ปอแบบนั้น” หญิงสาวค้านเสียงแข็ง และทำให้ฉันทิกาเริ่มหงุดหงิดใจกับความยุ่งยาก

“คุณปอไม่ดีตรงไหน เธอถึงรักเขาไม่ได้”

ที่เธอไม่สามารถรับรักปริพันธ์ได้ เป็นเพราะหัวใจของเธอได้มอบให้อนาวินไปจนหมดสิ้นแล้วน่ะสิ..ราโมน่าได้แต่ตอบคำถามนี้ในใจ ก่อนเริ่มคิดหาทางบ่ายเบี่ยง “ไม่ใช่ว่าพี่ปอเขาจะไม่ดี..เพียงแต่โม้นาคิดกับเขาแค่เพื่อนหรือพี่ชายเท่านั้น..แล้วอีกอย่าง..โม้นายังไม่เคยคิดถึงเรื่องการแต่งงานกับใครด้วยค่ะ”

ฉันทิกาผุดขึ้นยืนอย่างเหลืออด
“ที่เธอไม่คิด ก็เพราะไอ้ผู้ชายที่เธอซุกอยู่น่ะมันไม่สามารถเอาออกมาป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ใช่มั้ยล่ะ”

“คุณป้า!” คนฟังหลุดอุทาน หัวใจแทบหลุดกระเด็น เมื่อคิดว่าฉันทิการู้ว่าเธอกำลังแอบคบอยู่กับอนาวิน

“ไง จริงอย่างที่ฉันพูดใช่มั้ย”

แต่หญิงสาวยังพยายามปากแข็ง
“..เปล่านะคะ..โม้นาไม่ได้ซุกใครไว้..”

“เธออย่ามาโกหกฉันนะราโมน่า ฉันจ้างนักสืบจนรู้หมดแล้ว ว่าเธอแอบไปนอนค้างกับไอ้ผู้ชายคนไหนมา” ฉันทิกาตีขลุม พลางจ้องจับพิรุธเขม็ง “หรือเธอจะให้ฉันเอารูปไอ้ผู้ชายคนนั้นไปให้คุณชัชดูเลยดีมั้ย” ซึ่งเธอก็เห็นถึงใบหน้าเผือดซีด แววตาตื่นตระหนกของอีกฝ่ายชัดเจน
ราโมน่ารู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวพังครืนลงมาต่อหน้า เธอทั้งหวาดกลัวและหวาดระแวงเกินกว่าจะตั้งสติคิดทบทวนสิ่งใด จิตใจประหวั่นพรั่นพรึงถึงชนาธิปด้วยความอดสูใจ ว่าคุณลุงผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอจะเสียความรู้สึกและเสียใจมากแค่ไหนเมื่อล่วงรู้ความลับนี้

“..คุณป้า..อย่าบอกคุณลุงนะคะ..”

ฉันทิกาเหยียดยิ้ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลงเชื่ออย่างสนิทใจ
“คุณชัชจะไม่รู้เรื่องนี้..ถ้าเธอเลิกกับเจ้าหมอนั่นอย่างเด็ดขาด แล้วก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของคุณปอ”

ราโมน่าน้ำตาร่วงเผาะกับสิ่งที่ถูกบังคับต้องเลือก ระหว่างลุงของเธอกับอนาวิน ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใครก็สร้างความเจ็บปวดให้เธออย่างแสนสาหัส

“ว่าไงล่ะราโมน่า เธอเลือกที่จะเป็นหลานรักของคุณลุงต่อไป หรือเลือกที่จะเป็นคนอกตัญญูแล้วก็ทำให้ครอบครัวเสื่อมเสีย..เหมือนกับที่แม่ของเธอเคยทำไว้”

ราโมน่ามองสบสายตาเหยียดหยามของฉันทิกา ด้วยความชอกช้ำกับเรื่องในอดีตของมารดาที่มักจะเป็นเหล็กแหลมให้คนอื่นหยิบยกมาทิ่มแทงใจเธอได้เสมอ

“..คุณป้า..โม้นาไม่เคยคิดอยากจะเป็นเหมือนแม่เลยนะคะ..”

“งั้นเธอก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นเดี๋ยวนี้ ด้วยการแต่งงานกับผู้ชายดีๆอย่างคุณปอสิ..ฉันจะได้มั่นใจว่าเธอจะไม่เหมือนแม่ของเธอ”

“ตลอดมา..โม้นาทำตามสิ่งที่คุณป้าต้องการทุกอย่าง..แต่เรื่องนี้..คุณป้าอย่าบังคับโม้นาเลยนะคะ..โม้นาไม่อยากแต่งกับพี่ปอจริงๆ”

“ที่ฉันต้องคอยบงการเธอก็เพราะฉันไม่อยากให้เธอทำตัวเสื่อมเสียเหมือนอย่างที่พวกญาติๆของเธอคอยจับผิดว่า เมื่อไหร่เธอจะออกลายเหมือนอย่างแม่ของเธอเคยทำไว้ไงล่ะ..เธอไม่รู้หรอกว่า การที่ฉันต้องคอยดูแลไม่ให้เธอออกนอกลู่นอกทางนั้น ฉันเองก็รู้สึกกดดันแล้วก็เหนื่อยมากแค่ไหน ต้องคอยคิดหาแต่สิ่งดีๆมาประเคนให้เธอ และคุณปอก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะหาให้ แล้วต่อจากนั้น เธออยากจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนมันก็เป็นจิตสำนึกของเธอเอง ฉันกับคุณชัชจะไม่ขอเกี่ยวอีกแล้ว”

“..คุณป้า..ไม่เคยเชื่อใจโม้นาเลยหรือคะ..”

“ตราบใดที่เธอยังลอยไปลอยมายั่วผู้ชายทั้งเมืองอยู่อย่างนี้ ฉันไม่มีวันเชื่อใจเธอหรอก”

ราโมน่าสะท้อนใจกับสิ่งที่ได้ยิน และแค่นถาม“..ถ้าโม้นายอมแต่งกับพี่ปอ..มันจะทำให้คุณป้าเชื่อใจอย่างนั้นหรือคะ”
“ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แม้กับคุณชัชเองเขาก็จะรู้สึกหมดห่วง หมดกังวลกับเธอ เพราะอย่างน้อย คุณปอเขาก็เป็นคนดีสามารถดูแลเธอได้ และที่สำคัญ เขาเองก็รักเธอ..แค่นี้เอง เธอทำให้ฉันกับคุณชัชไม่ได้รึไง”

ฉันทิกาชักเหลืออดกับการโยกโย้ของราโมน่า
“หรือเธอหลงไอ้ผู้ชายคนนั้นจนไม่สนใจอะไรแล้วใช่มั้ย..ดี! ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เชิญไปอยู่กับมันเลย..ให้คนทั้งเมืองมันรู้ว่า เด็กที่คุณชัชพยายามเลี้ยงดูอย่างดี อุ้มชูให้มีหน้ามีตา แต่สุดท้าย มันก็ใฝ่ต่ำทำตัวแหลกเหลวเหมือนอย่างแม่ของมัน!”
ความเกลียดชังเต็มเปี่ยมในน้ำเสียง พลางขยับตัวหมายจะก้าวออกจากห้อง แต่ราโมน่ารีบมาขวาง อ้อนวอนด้วยความรู้สึกที่ใกล้สลายเต็มทน

“..คุณป้า อย่าบอกคุณลุงนะคะ..โม้นาจะยอมทำตามทุกอย่าง..ได้โปรด..อย่าบอกคุณลุงเลย..” พลางทรุดตัวลงนั่งต่อหน้าอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้าเจิ่งนองน้ำตาก้มต่ำสะอื้นไห้จนตัวโยน

ฉันทิกามองภาพตรงหน้าด้วยความชิงชังที่ปะปนด้วยความสังเวชใจ และคิดว่า ราโมน่าคงจะรักและอาลัยอาวรณ์ผู้ชายคนนั้นมากทีเดียว ถึงได้นั่งร้องไห้ไม่ต่างอะไรกับคนสิ้นสภาพเช่นนี้ และนึกอยากเค้นถามให้กระจ่างเสียเดี๋ยวนี้ ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครกันแน่! แต่ก็พยายามยับยั้งใจไว้สุดกลั้น เพราะขืนทำเช่นนั้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะสงสัยว่ากำลังถูกหลอกแล้วอาจจะส่งผลเสียต่อแผนการที่กำลังจะสำเร็จลุล่วงก็เป็นได้

“ในเมื่อเธอรับปากฉันแล้ว เธอก็ต้องทำให้ได้ และที่สำคัญ เธอต้องไปเคลียร์ปัญหาของเธอให้เรียบร้อยก่อนจะแต่งงานกับคุณปอ แล้วก็เคลียร์ให้เร็วที่สุดด้วย..ธุระของฉันกับเธอก็มีแค่นี้ล่ะ อย่าลืมทำตามที่ฉันสั่งล่ะ”

ฉันทิกาก้าวเดินออกจากห้องด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ที่สามารถกำจัดตัวเหตุแห่งความหวาดระแวงของเธอไปได้อย่างดีเกินคาดเสียอีก..โดยไม่สนใจจะรับรู้ความรู้สึกทุกข์ทรมานของร่างที่ยังนั่งสะอื้นไห้

........................................................................

บทที่ ๒๑

ภายในห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของโรงแรมชั้นนำ บรรดาแขกผู้มาร่วมงานต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหรา ผู้คนต่างยิ้มทักทายและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน..แต่สำหรับราโมน่า ค่ำคืนนี้เปรียบเสมือนลานประมูลที่เธอกลายเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งที่กำลังถูกขายทอดตลาด เมื่ออีกด้านหนึ่งของมุมห้อง ผู้เป็นป้าและพิศสุดากำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของปริพันธ์ ซึ่งชายหนุ่มนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายผู้ให้กำเนิด และบ่อยครั้งที่เขาหันสายตามามองพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความยินดีปรีดา โดยไม่รู้เลยว่า ตัวเธอนั้นกล้ำกลืนความขื่นขมไว้มากมายเบื้องหลังรอยยิ้มที่ฝืนตอบเขาไป เพราะเธอรู้ดีว่า ค่ำคืนนี้ ป้าของเธอกำลังเจรจาเสนอเธอให้กับปริพันธ์ และดูจากสีหน้าท่าทางของทุกคนก็เหมือนว่า การเจรจาครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี


ปริพันธ์ขอตัวเดินมาหาราโมน่า หญิงสาวมองหน้าเขา..พูดคุยกับเขา..เต้นรำกับเขา..แต่จิตใจกำลังนึกถึงผู้ชายอีกคนและประหวั่นไปถึงวันที่เขารู้ว่า เธอกำลังจะต้องแต่งงานกับปริพันธ์ แล้วเมื่อถึงวันนั้น เขาจะรู้สึกเช่นไร จะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนอย่างที่เธอกำลังเป็นในขณะนี้ไหม..ทว่า อีกเสี้ยวใจของเธอกลับภาวนา ขอให้เขาคิดว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น เพราะเธอไม่อยากเห็นเขาต้องเจ็บปวดเช่นเธอ ไม่อยากให้เขาต้องมาจมปรักกับเธอในขณะที่ปัญหารอบตัวเขานั้นก็มีมากเกินพอแล้ว..แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่เธอขอก็คือ ขอให้เขาจดจำเธอไว้ ให้เขาจำว่าครั้งหนึ่ง เธอเคยได้รักเขาและรักเขามากแค่ไหน..เธอขอแค่นั้นจริงๆ




เมธิกากลับจากโรงพยาบาลเพื่อดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน หลังจากที่เธอหมกมุ่นอยู่แต่กับอาการของสามีจนแทบไม่ได้ใส่ใจในความเป็นไปภายในบ้านเลย และเธอใช้เวลาง่วนอยู่กับการสั่งการแม่บ้าน และบรรดาคนรับใช้ทุกคนจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว เธอจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

และเมื่อเข้ามาถึงภายในห้องพักฟื้น บาสที่ตามนายหญิงกลับไปบ้านด้วยตามคำสั่งของนายใหญ่ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกน้องของผู้เป็นนาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะประจำอยู่ที่กาสิโนกำลังเดินสวนออกมา..ชายหนุ่มร่างใหญ่โน้มศีรษะลงเล็กน้อยให้กับนายหญิงที่ยิ้มมุมปากให้ก่อนเดินผ่านเข้าไปยังห้องด้านใน

และเมื่อนายหญิงให้หลังไปแล้ว บาสจึงเอ่ยปากทักทาย
“มาเยี่ยมเสี่ยเรอะ”

“เปล่า..แค่เอางานมาส่ง”

“งานอะไร”

“เดี๋ยวนายก็รู้” มีรอยยิ้มเจือในสีหน้า และขณะที่ร่างสูงใหญ่กำลังก้าวผ่าน เขาก็เอ่ยกระซิบเตือน “..แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ” และตบไหล่บอดี้การ์ดหนุ่มเบาๆก่อนจะเดินจากไป

บาสนิ่วหน้าเหลียวมองตามหลังร่างที่เปิดประตูก้าวพ้นไป และหันกลับไปยังห้องที่เจ้านายนอนด้วยความสงสัย..หลังจากที่เกิดเรื่องจนไมค์ บอดี้การ์ดคนสนิทของเจ้านายออกไปตามล่าคนร้าย เขาก็ได้รับมอบหมายให้คอยรับคำสั่งแทน และหากเจ้านายต้องการให้ทำสิ่งใดจะต้องออกคำสั่งผ่านเขาทุกครั้ง..ทว่าครั้งนี้ ผู้เป็นนายกลับสั่งการให้คนอื่นที่ทำงาน ราวกับไม่อยากให้เขารู้เห็นเรื่องนี้อย่างนั้นล่ะ
ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดได้ไม่นานนัก ผู้เป็นนายหญิงก็เดินออกมา เพื่อจะไปหาเพื่อนรักที่ดูแลสามีอยู่อีกห้อง และเธอก็บอกเขาก่อนจะเดินจากไปว่า

“คุณเล่ยเรียกเธอแน่ะ”

“ครับ”

ชายหนุ่มรอจนเมธิกาเดินพ้นไปจากห้อง เขาจึงหันเดินเข้าไปหาเจ้านายที่กำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงที่ปรับระดับไว้ ในมือถือบางอย่างเล็กๆไว้ และแม้ว่าใบหน้าของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานจะซีดเซียว แต่แววตายังเต็มเปี่ยมด้วยประกายวาวอย่างผู้ทรงอำนาจ และขณะนี้ก็แฝงด้วยความขุ่นเคืองที่ทำให้เขาถึงกับเย็นวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนมองสบสายตาผู้เป็นนายได้ไม่เต็มตานัก

“เอ่อ..เสี่ยมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“อั๊วอยากให้นายช่วยตอบคำถามกับเรื่องนี้ให้หน่อย” อชิรบอกน้ำเสียงราบเรียบและกดปลายนิ้วสัมผัสกับสิ่งที่ถือในมือ

และในเสี้ยววินาที บาสถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากเย็น เมื่อภาพความสนิทสนมระหว่างอนาวินกับราโมน่าปรากฏชัดบนหน้าจอโทรทัศน์ และผู้เป็นนายยังคงเลื่อนภาพความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้เขาดูไปเรื่อยๆ ซึ่งเขาพอจะสังเกตได้ว่า ภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นภาพที่ดึงออกมาจากกล้องวงจรปิด และแต่ละสถานที่นั้นก็เป็นภายในอาณาจักรของเครือไพศาลกรุ๊ปทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องเป็นคนในเท่านั้นที่จะนำภาพเหล่านี้ออกมาได้และแม้จะรู้ดีว่า อนาวินนั้นสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ แต่ก็ยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะปกปิดไม่ให้ข่าวนี้รู้มาถึงหูผู้เป็นบิดาได้

“นายมีอะไรจะรายงานอั๊วเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ย” เสียงที่เอ่ยถามยังคงราบเรียบ แต่บาสสำนึกได้ถึงแรงกดดัน และหากเขาตอบอะไรออกไปไม่โดนใจผู้เป็นนาย คาดว่าเขาอาจสิ้นชีพได้ในพริบตา

“..คือ..”

“เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านเลยนะ”

หัวใจที่เคยแข็งแกร่ง กล้าเผชิญหน้ากับความตายอย่างองอาจ บัดนี้กลับเหี่ยวแฟบและนึกอยากจะสลายตัวหายไปในอากาศเสียเดี๋ยวนี้..และเมื่อบาสสบประกายตาวาวดุดันของผู้เป็นนายอีกครั้ง หัวใจของเขากระตุกวาบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ ที่เขาเห็นก็พรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น !



และในเวลาต่อมาไม่นาน..อนาวินจำต้องทิ้งงานเอกสารและเลื่อนนัดลูกค้าออกไป เมื่อได้รับคำสั่งจากบิดาว่าต้องการพบเขาด่วน..ชายหนุ่มเดินผ่านบรรดาลูกน้องเข้าไปหาบิดาที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง โดยมีร่างสูงเพรียวของบอดี้การ์ดหนุ่มยืนอยู่ไม่ห่างและมองสบเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และทำท่าจะก้าวเดินออกมา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยคำสั่ง

“นายอยู่นี่ล่ะ ไม่ต้องไปไหน”

“ครับ..” บาสรับคำสั่งเบาๆและพยายามยืนให้นิ่งที่สุด เพื่อเตรียมรับแรงกดดันของสองพ่อลูก

อนาวินมองปฏิกิริยาของบอดี้การ์ดหนุ่มอย่างสงสัยและระแวง ก่อนหันไปถามบิดา
“ป๊ามีเรื่องอะไรสำคัญเหรอครับ ถึงเรียกผมให้ออกมาด่วนแบบนี้”

และภาพของเขากับราโมน่าก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งให้หัวใจของผู้ถามกระตุกวาบ ความเย็นเยียบพุ่งปราดเข้าจู่โจมหัวใจในทันใด..สายตาอาฆาตมาดร้ายตวัดมองไปที่บาส เมื่อคิดว่าเขาเป็นคนนำเรื่องนี้มาบอกบิดา

แต่อชิรขัดขึ้นในห้วงอารมณ์โกรธของเขา
“เจ้าบาสไม่ได้บอกอะไรป๊าหรอก..แต่เพราะมันไม่บอกนี่ล่ะ มันจึงต้องโดนหางเลขไปด้วย”

ความกรุ่นโกรธของอนาวินในตัวบาสค่อยคลายลง ก่อนจะหันมาทางบิดา และบีบบังคับสมองและร่างกายทุกส่วนให้ร่วมมือกันหาทางเอาตัวรอดจากความขุ่นเคืองของบิดาในครั้งนี้ไปให้ได้

ชายหนุ่มหายใจลึก ก่อนตอบออกไปด้วยใบหน้าปกติ
“ก็ไม่มีอะไร..ผมกับเขาก็แค่คบกันสนุกๆเท่านั้น” ในเมื่อหลักฐานออกมาชัดเจนถึงขนาดนี้ เขาคงเลี่ยงไปเรื่องอื่นไม่ได้

“ผู้หญิงมีทั้งเมือง ทำไมต้องไปวุ่นวายกับคนนี้..ป๊าเคยสั่งห้ามแล้วใช่มั้ย”

น้ำเสียงเข้มที่ถามออกมา อนาวินรู้ดีว่าบิดานั้นพยายามเก็บกดอารมณ์โกรธไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งไม่บ่อยนักที่เขาต้องเผชิญอารมณ์ด้านนี้ของผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้นแล้ว เขาต้องทบทวนแต่ละคำพูดในการตอบออกไปให้ดีที่สุด

“..ผมขอโทษ ที่เผลอใจไปกับอารมณ์ชั่ววูบ..แต่ผมคิดว่าจะคบกับเธอไม่นานเท่านั้น..แล้วตอนนี้ ผมกับเธอก็ใกล้จบกันแล้ว..เราจะไม่ติดต่อกันอีก” อนาวินยืนยันเสียงแข็งด้วยใจที่เต้นระทึกกับสายตาของบิดาที่จ้องเขม็ง

“แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยอมเลิกกับเราง่ายๆขนาดนี้เลยเรอะ”

“ผมกับเธอต่างก็รู้สถานะของพวกเราดีครับ..ก็อย่างที่บอก เราก็แค่คบกันสนุกๆเท่านั้น..ไม่มีอะไรผูกพันมากไปกว่านี้ครับ”

อชิรยังคงจับจ้องลูกชาย เขาอยากจะเชื่อในคำพูดของลูกทั้งหมด..ทว่า บางสิ่งบางอย่างในตัวของลูกนั้นมันทำให้เขาไม่อาจปักใจเชื่อได้ แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าไม่ถูกไล่ต้อนให้จนมุมจริงๆ ลูกชายของเขาจะไม่มีวันปริปากในสิ่งที่เก็บงำไว้เด็ดขาด

“ถ้าไม่มีอะไรจริงอย่างที่พูดมาก็แล้วไป..แต่ถ้าเรายังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น ป๊าจะเป็นคนจัดการเอง”

อนาวินใจตกฮวบ ไม่อาจห้ามปฏิกิริยาเผือดซีดบนใบหน้าได้..บิดาไม่อาจทำอะไรเขาได้ เป็นเพราะความรักที่มีให้ตามสายเลือดเป็นเกราะป้องกันอย่างดี แต่บุคคลที่ถือว่าเป็นฝ่ายศัตรู ความปราณีก็คงไม่มีให้ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์คลุมเครือเช่นนี้..และเพียงแค่คิดว่า ราโมน่าต้องตกอยู่ในอันตรายจากคำสั่งของบิดา เขาก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว

‘ไม่! เราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!’

อนาวินลั่นคำสาบานก้องในใจ..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้องให้แลกด้วยอะไร เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องราโมน่า
“ป๊าหมดธุระแล้ว เรากลับไปทำงานต่อได้แล้ว..ยังมีหลายอย่างที่รอให้สะสาง”

“ครับ”

อนาวินรับคำ และก่อนที่เขาจะหันเดินไป บิดาได้เอ่ยสำทับเสียงเย็นอีกครั้ง

“อย่าลืมนะจิล ห้ามกลับไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีกเด็ดขาด”

และชายหนุ่มก็รับคำอีกครั้ง
“ครับ”

อชิรมองลูกชายเดินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเปรยให้บอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายได้ฟัง
“อั๊วว่าเจ้าจิลมันโกหก”

บาสไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา นอกจากคอยรับคำสั่งที่คาดว่าผู้เป็นนายจะสั่งให้เขาทำในไม่ช้า
“คอยจับตามันไว้ให้ดี แล้วรายงานอั๊วให้หมดทุกอย่าง..และถ้าครั้งนี้ นายยังทรยศต่อความไว้วางใจ นายจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว”

“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกครับ เสี่ย”

“ดี เพราะอั๊วก็ไม่อยากเสียนายไปเหมือนกัน” อชิรมองสบสายตาคนสนิท บ่งบอกถึงความหมายที่พูดออกไป ก่อนถอนใจยาว

“ไปตามคุณนายกลับมาที อั๊วง่วงนอนแล้ว”

“ครับ”

บาสเดินออกจากห้องทำตามที่เจ้านายสั่ง ในขณะที่ความกังวลใจยังคงค้างคาอยู่กับอชิร..เขาไม่อาจวางใจในปัญหาต่างๆได้ ทั้งความวุ่นวายภายในบริษัทที่ยังมีคลื่นใต้น้ำรอวันก่อตัวถาโถม ข่าวการตามไล่ล่าคนร้ายจากลูกน้องคนสนิทก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนจะหวังพึ่งตำรวจนั้นก็เลิกคิดไปได้เลย เพราะจากสิ่งที่เขาทบทวนไล่ลำดับมา ดูเหมือนพวกตำรวจที่คอยรับใช้เขาเกือบทุกคนมีเรื่องให้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจนต้องถูกสั่งย้ายด่วน ซึ่งเหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นก่อนที่รถของเขาจะถูกโจมตีไม่ถึงเดือน ส่วนพวกที่เหลือก็ไม่กล้ากระดิกตัวทำอะไร เพราะต่างก็มีชนักปักหลัง ขืนขยับตัวมาช่วยเร่งรัดในคดีของเขามากนักอาจถูกอำนาจมืดสั่งเก็บเข้ากรุโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเขายังไม่อาจประติดประต่อได้ว่าใครบ้างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ และสภาพร่างกายของเขาก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้คิดหรือขยับตัวทำอะไรได้มากนัก จึงได้แต่นิ่งรอความคืบหน้าจากบรรดาลูกน้องคนสนิทที่เขาสั่งการให้สืบเสาะหาความจริงในทุกๆทาง..แต่ขณะที่รอ เจ้าลูกชายตัวดีกลับสร้างปัญหาให้สถานการณ์มันยุ่งยากเข้าไปอีก และตัวเขาเองนั้นก็ไม่ใจเด็ดพอที่จะกระทำการอะไรรุนแรงต่อสายเลือดที่เขารักได้

‘ฮึ! มันน่าหงุดหงิดชะมัด’



อนาวินมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดทางที่กลับเข้าบริษัท..เอกสารที่ต้องเซ็นยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ แต่ร่างสูงเพรียวกลับถอดเสื้อสูทโยนพาดบนพนักพิงก่อนทิ้งร่างลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่อย่างคนไร้เรี่ยวแรง..ขณะนี้ ทุกปัญหาที่สุมอยู่ภายในหัวเขาไม่อาจเทียบได้กับความกระวนกระวายใจที่เขามีต่อราโมน่าเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้สึกถึงภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหาราโมน่า และมันทำให้เขาตระหนักได้ว่า หญิงสาวมีความสำคัญต่อจิตใจเขามากแค่ไหน และมันให้น่าคับแค้นใจที่ความบาดหมางระหว่างสองตระกูลยังไม่สามารถหันหน้าเข้ามาเจรจาปรองดองกันได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคลุมเครือ ทำให้เขาจำต้องบังคับฝืนใจตอบข้อกังขาของบิดาออกไปเช่นนั้น ทั้งที่ใจจริงแล้ว เขาอยากจะบอกบิดาเหลือเกินว่า ราโมน่านั้นมีค่าและมีความหมายสำหรับเขามากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น

โมรียาเคาะบานประตูไม่กี่ครั้งก่อนเปิดเดินนำเตชิตเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต และเห็นพี่ชายกำลังนั่งกุมขมับก่อนจะหันมาทางเธอ เอ่ยทักทายเสียงเนือยๆ
“วันนี้มีอะไรอีกล่ะ”

ร่างโปร่งระหงไหวไหล่ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ท่านประธานใหญ่ ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มที่อนาวินรู้สึกเกลียดเข้าไส้
“ไม่มีอะไร..แค่จะมาดูหน้าเฮียหน่อยเท่านั้น” เรียวนิ้วขาวเล็กบอบบางหยิบจับโน่นนี่บนโต๊ะเล่น พลางเหลือบสายตามองปฏิกิริยาของพี่ชาย ขณะพูดต่อ “ได้ข่าวว่า ป๊าเรียกเฮียไปพูดเรื่องของแม่นั่น”

“รู้ได้ไง” อนาวินถามเสียงแข็ง

“แหม! หนูเล็กก็เป็นลูกของป๊าเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ยังพอมีอำนาจสั่งการบ้างล่ะ”

คนฟังเหลือบสายตามองไปยังร่างสูงเพรียวที่ยืนอยู่ริมกระจก สายตามองออกไปด้านนอกโดยไม่มีทีท่าจะสนใจฟังบทสนทนาของสองพี่น้อง สายตาดุดันของอนาวินตวัดกลับมาจับจ้องน้องสาวอีกครั้ง
“หวังว่าที่ป๊ารู้เรื่องของโม้นา มันคงไม่ได้ออกมาจากปากของเธอหรอกนะ”

หญิงสาวพิงพนัก จ้องสายตาตอบกลับพี่ชาย
“ถึงหนูเล็กจะเกลียดแม่นั่นมากแค่ไหน แต่หนูเล็กก็ไม่มีวันทรยศเฮียหรอก”

ชายหนุ่มละสายตาจากน้องพลางพยักหน้ายอมรับ
“นั่นสิ..” และทอดร่างพิงพนักโซฟาอย่างคนไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง “เฮียไม่รู้ว่าจะต้องจัดการยังไงกับเรื่องนี้ดี..”

“ที่เฮียไม่รู้ว่าจะต้องจัดการยังไงกับเรื่องนี้..ก็แปลว่า เฮียหลงเสน่ห์แม่นั่นเข้าเต็มเปาแล้วสินะ ไม่อย่างนั้นก็คงจะเขี่ยทิ้งไปง่ายๆเหมือนแม่พวกที่แล้วๆมา”

น้ำเสียงประชดประชันเจือมาในประโยค แต่อนาวินไม่ใส่ใจ
“เฮียก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกกับโม้นาได้มากขนาดนั้น..”

โมรียามองท่าทางอับจนหนทางของพี่ชายอย่างขัดใจ
“ฮึ! เห็นเฮียเป็นแบบนี้แล้ว หนูเล็กยิ่งเกลียดแม่นั่นชะมัด”

อนาวินไม่ชอบใจคำพูดนั้น แต่เขาก็ไม่ได้โกรธเคืองผู้พูดแต่อย่างใด
“โม้นาไม่ผิดอะไร..ทุกสิ่งทุกอย่างเฮียเป็นคนเริ่มต้น..แต่ถ้าจะผิด ก็ผิดตรงที่เฮียกับโม้นาเกิดมาอยู่กันคนละขั้วเท่านั้น”

น้ำเสียงที่เอ่ยตอบเลื่อนลอยอยู่ในความหม่นหมองของจิตใจ เมื่อตระหนักถึงเส้นทางระหว่างเขากับราโมน่าได้สิ้นสุดลงแล้ว..แต่ตัวเขาล่ะ จะสามารถทำใจยอมรับการแยกจากอันแสนทรมานในครั้งนี้ได้มั้ย!




ภายในโต๊ะอาหารของบ้านรัตนากร..ราโมน่าไม่รู้สึกถึงรสชาติความอร่อยของอาหารที่เธอเคยโปรดปรานเลยสักนิด เมื่อจิตใจของเธอยังมีแต่ความว้าวุ่น บทสนทนาของเหล่าสมาชิกดังแว่วเข้ามา แต่เธอไม่ได้สนใจฟังสักนิดว่าในเนื้อหานั้นได้พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง..ชนาธิปลอบสังเกตอาการเหม่อลอยของหลานสาว พลางนึกถึงบทสนทนาของเพื่อนรักตอนที่กำลังออกรอบกันถึงข่าวดีที่สองตระกูลกำลังจะเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น โดยลูกชายกับหลานสาวของเขา ซึ่งตัวเขานั้นก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เพราะรู้จักนิสัยใจคอของปริพันธ์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและเห็นว่าชายหนุ่มมีคุณสมบัติมากพอที่จะดูแลและให้ความสุขแก่หลานรักของเขาได้ แต่เมื่อมาเห็นหลานสาวมีท่าทีเซื่องซึม เขาจำต้องทบทวนการตัดสินใจต่ออนาคตของหลานสาวอีกครั้ง

“โม้นา..”

ราโมน่าเงยใบหน้าจากจานอาหาร หันสายตามาทางคุณลุง ซึ่งกำลังมองเธออย่างห่วงใย
“คะ..คุณลุง”

“..เมื่อสอง-สามวันก่อน ลุงตุลย์เขาเกริ่นกับลุงว่า แม่ของตาปออยากจะขอหนูไปเป็นลูกสะใภ้น่ะ..หนูจะว่ายังไงล่ะ”

ชญาภาถึงกับชะงักงัน หันใบหน้ามองบิดาก่อนจะตวัดไปจับจ้องคำตอบจากปากของราโมน่า ด้วยหัวใจเจ็บร้าว เมื่อคิดว่า กำลังจะสูญเสียชายหนุ่มที่หมายปองให้กับญาติสาวที่เธอแสนจะชิงชัง

ราโมน่าไม่ทันจะได้ตอบ ฉันทิกาก็รีบแทรกขึ้นมา
“จะว่ายังไงล่ะคะคุณ สองคนนี่เขาก็คบกันมาตั้งหลายปีแล้ว แต่งๆกันไปเสียก็ดี คนอื่นเขาจะได้เลิกเอาคนของเราไปนินทาเสียๆหายๆเสียที..เนี่ย คุณพรรณเขาก็เห่อโม้นามากนะคะ เที่ยวเอาไปอวดกับใครต่อใครใหญ่เลยว่า โม้นาน่ะเธอจับจองไว้ให้ลูกชายแล้ว คนอื่นห้ามแย่งไปเด็ดขาด” เธอตอบสามีด้วยรอยยิ้ม แต่ชนาธิปยังคงรอคำยืนยันจากหลานสาว..ราโมน่าจึงแค่นยิ้มตอบออกไป

“..โม้นาก็แล้วแต่คุณลุงกับคุณป้าค่ะ”

“เรื่องแบบนี้หนูต้องเป็นคนตัดสินใจเอง จะมาให้ลุงกับป้าเป็นคนตัดสินใจให้ไม่ได้หรอก..ลุงอยากให้หนูคิดให้ดีๆ ก่อนจะตอบตกลงเขาไป เพราะนี่คือความสุขของหนูทั้งชีวิต”

“คุณปอแสนดีเสียขนาดนี้ ยังจะต้องคิดอะไรกันอีก”
ฉันทิกาเปรยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ พลางตวัดสายตาวาววับไปทางราโมน่าเป็นการกำชับหญิงสาวให้ตระหนักถึงข้อตกลง

ราโมน่ากล้ำกลืนความขื่นขม เพื่อตอบถึงบทสรุปที่ทำให้ใจของเธอเจ็บปวด
“..หนูรักพี่ปอค่ะ..และหนูก็คิดว่า พี่ปอต้องทำให้หนูมีความสุขมากแน่ๆค่ะ คุณลุง”

“เห็นไหมล่ะคะ คนของเราเองก็ชอบพอเขาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ” ฉันทิกาตอบด้วยรอยยิ้มแห่งความปรีดา และอรดีที่ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆก็พูดแสดงความยินดีกับข่าวนี้ จนถูกฉันทัชแซวกับการดีใจจนออกนอกหน้าของเธอ จนเกิดการปะทะคารมกันเล็กน้อยให้พอครื้นเครง แต่สำหรับชญาภา..เธอไม่สามารถทนนั่งในบรรยากาศชื่นมื่นนี้ได้อีกต่อไป

“หนูอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบไปดูเอกสารด้วย” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินขึ้นห้องไป




ในยามค่ำคืน..ราโมน่าออกมายืนบนระเบียง มองไปยังความเวิ้งว้างของท้องฟ้าหม่นมัว ไร้ดวงจันทร์และหมู่ดาว แต่ไม่นานนัก เธอก็ต้องหันกลับมายังประตู เมื่อเสียงของชญาภาดังขึ้น

“มายืนเพ้อฝันถึงงานแต่งรึไง”

“ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น”

ชญาภาเบ้หน้าอย่างไม่เชื่อ
“ฮึ! ใครจะไปรู้ล่ะ เธออาจจะกำลังดีใจอยู่ก็ได้ ว่าต่อไปนี้จะไม่มีใครหน้าไหนมาพูดได้ว่าเธอเที่ยวอ่อยผู้ชายทั่วทั้งเมืองน่ะ..ในเมื่อ เธอมีคุณปอเป็นกันชนให้อย่างดีแล้วนี่”

“คุณภา!” ราโมน่าเสียงเข้ม “ฉันไม่เคยทำตัวอย่างนั้นนะ”

ญาติผู้พี่กวาดสายตามองทั่วตัวของเธอด้วยสายตาดูหมิ่น
“ถ้าเธอไม่ทำอย่างที่เขาพูด แล้วจะมาร้อนตัวทำไม..นอกเสียจากว่า เธอเป็นแบบนั้นจริงๆ”

ราโมน่ากัดฟันกรอด แค่นเสียงถามอย่างคับแค้นใจ “ฉันไม่เข้าใจ..ดูเหมือนว่าคุณจะจงเกลียดจงชังฉันเสียเหลือเกินนะ..ไม่ว่าฉันจะทำอะไร มันก็ผิดไปหมดเสียทุกอย่าง..ทำไม..ฉันไปทำอะไรให้รึไง”

ชญาภาหน้าตึง เธอจะบอกได้อย่างไร ว่าความเกลียดชังญาติสาวนั้น มันก่อตัวมาจากความอิจฉาในรูปลักษณ์สวยงามเย้ายวน เรียกความดึงดูดจากเหล่าผู้คนที่พบเห็น และที่สำคัญ ยังแย่งชิงความสนใจจากชายที่เธอหมายปองไปจนไม่เหลือที่ว่างสำหรับเธอเลยสักเสี้ยวของหัวใจ
“คนที่เกิดมาเพื่อให้ใครต่อใครมารักมาสนใจอย่างเธอน่ะไม่มีวันเข้าใจหรอก..แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ขอให้เธอความสุขในชีวิตคู่ก็แล้วกัน ราโมน่า”

ชญาภาเดินจากไปแล้ว เหลือแต่ราโมน่าที่ยังยืนอยู่ในกรอบของความทุกข์ระทมที่ไม่อาจบอกใครให้เข้าใจได้ เธอจะมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อเธอได้มอบหัวใจให้อนาวินไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ตัวของเธอกลับจำต้องอยู่กับผู้ชายอีกคน..ขณะนี้ ทุกวินาทีที่หายใจ เธอตระหนักถึงแรงบดขยี้ที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว..เธอจะทำเช่นไรถึงจะหลุดพ้นปัญหานี้ไปได้ ก่อนที่หัวใจของเธอจะแหลกสลายไปเสียก่อน..จะทำอย่างไรดี!

.............................................................................................................

จบอีกสองตอนค่า

ถึงจะช้าหน่อย แต่่ก็ขอให้ตามอ่านกันไปเรื่อยๆนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2556, 16:06:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2556, 16:19:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1968





<< บทที่ ๑๘-๑๙   บทที่ ๒๒-๒๓ >>
Zephyr 11 ก.ค. 2556, 18:53:18 น.
โอ้ย รักแท้จะแพ้อุปสรรคมั้ยนะ
เสี่ยเล่ยอ่า ทำไมทำยังงี้ แงๆๆๆ


ระรินใจ 12 ก.ค. 2556, 10:25:09 น.
อิอิ เสี่ยเล่ยก็มีอคตินิดหน่อนตามประสาคนเป็นพ่อค่า


nunoi 12 ก.ค. 2556, 11:20:55 น.
โอ้ยยย สงสารทั้งคู่เลย แล้วจะแก้ปัญหากันยังไงหล่ะเนี๊ยะ


ระรินใจ 13 ก.ค. 2556, 00:16:12 น.
พี่จิลแกดับเครื่องชนอย่างเดียวเลยค่ะคุณ nunoi


bloomberg 17 ก.ค. 2556, 13:45:15 น.
ไรเตอร์หายไปนานจนแทบจะต่อไม่ติดเลยทีเดียว แต่เพราะรักและลุ้นโม้นากับเฮียจิลก็เลยจำได้
ปัญหาเยอะเหลือเกินจนแทบจะไม่มีบทหวานของทั้งคู่ให้แม่ยกชุ่มฉ่ำหัวใจกันเลยล่ะคร่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account