กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 16


16...


“คุณชายเหรอ? ทำไมอีไม่มาต้อนรับอาเอี้ยกับอาไน่ล่ะ” อาลั้งถาม เพราะไม่เห็นบุตรชายของซาเสี่ยมาต้อนรับปู่ย่าเหมือนอย่างคุณหนูบุตรสาวของยี่เสี่ย
“อีไปโรงเรียน” อาเฮี่ยะตอบ
“โรงเรียนคืออะไร?” อาลั้งถาม เพราะที่หมู่บ้านที่เด็กหญิงเกิดก็ไม่มีโรงเรียน ส่วนใหญ่เด็กจะเรียนหนังสือกับพ่อแม่ที่มีความรู้ก่อน แล้วโตขึ้นจึงจะไปเข้าโรงเรียนในตัวเมือง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากอาลั้งเหลือเกิน
“คือที่ที่นักเรียนไปเรียนหนังสือกัน” อาเฮี่ยะตอบฉาดฉาน
แต่อาลั้งก็ยังคงมีคำถาม “แล้วนักเรียนคืออะไร?”
ทำเอาอาเฮี่ยะชักจะจนปัญญา อึ้งไปเป็นครู่ ก่อนจะนึกได้ “ก็คุณชายไงล่ะ คุณชายเป็นนักเรียน อีกประเดี๋ยวอีก็จะกลับจากโรงเรียนแล้ว”
“อั๊วอยากเห็นนักเรียน” อาลั้งเอ่ย
“งั้นลื้อต้องแอบดูเงียบๆ นะ อย่ากระโตกกระตาก” อาเฮี่ยะเอ่ย
“กระโตกกระตากคืออะไร?” อาลั้งถามเพราะไม่ค่อยเข้าใจ
“ก็คือส่งเสียงดัง ทำให้อีได้ยิน” อาเฮี่ยะอธิบาย แล้วเกาหัวที่ยุ่งเหยิงของตน “พาลื้อไปแอบดูคุณชาย มันจะรอดไหมนี่” เด็กหญิงที่โตกว่าบ่นกับตนเอง แล้วจูงมืออาลั้งให้ไปแอบดูที่ประตูที่ทะลุไปยังห้องโถงรับแขก เพราะอาเฮี่ยะเองก็อยากจะเห็นคุณชาย ซึ่งนานๆ ทีจะได้เห็น ในความรู้สึกของอาเฮี่ยะเด็กหญิงที่แก่แดด หล่อนยังฝังจิตฝังใจว่า คุณชายหล่อมาก หล่อกว่าพระเอกงิ้วคนไหนๆ ที่เคยเห็น
ทั้งสองแอบอยู่ที่มุมประตูไม่นาน เด็กชายอายุ 9 ขวบ ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ใส่ชุดนักเรียน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี คาดเข็มขัด สวมถุงน่องรองเท้าเรียบร้อยก็เดินเข้ามาในห้องโถง พร้อมกับซาเสี่ยเนี้ย มีคนรับใช้หญิงอายุราวสามสิบถือกระเป๋านักเรียนตามหลังเข้ามา
“อาป้อเหนื่อยมั้ยลูก?” ซาเสี่ยเนี้ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ครับ” คุณชายของตระกูลอึ๊งตอบมารดา
คนรับใช้หญิงวางกระเป๋านักเรียนลงที่เก้าอี้ข้างๆ คุณชาย แล้วเอ่ยว่า “บ่าวจะไปเอาน้ำกับขนมมานะคะ” แล้วนางก็เดินมาทางประตูที่อาเฮี่ยะกับอาลั้งแอบซ่อนอย่างรวดเร็ว
อาเฮี่ยะสะดุ้งโหยง จะบอกให้อาลั้งรู้ตัวก็ไม่ทันการณ์ เด็กหญิงจึงเผ่นพรวดเอาตัวรอดไปคนเดียว
พอดีหญิงรับใช้คนนั้นเห็นอาลั้งเข้า ก็ตะปบมือจับต้นแขนเด็กหญิงหมับอย่างแรง จนเด็กหญิงร้องโอ๊ย!
ซาเสี่ยเนี้ยได้ยินเข้าก็ถามว่า “มีอะไรหรืออาไล้?”
“มีเด็กแอบอยู่ตรงนี้คนหนึ่งคะ...ซาเสี่ยเนี้ย” อาไล้ตอบ ยังจับแขนอาลั้งไว้แน่นเกินความจำเป็น
“เอาตัวมาซิ” ซาเสี่ยเนี้ยสั่ง
อาไล้ก็ลากตัวเด็กหญิงเข้าไปยืนต่อหน้าซาเสี่ยเนี้ย ก่อนจะปล่อยแขนเด็ก ยังบิดเนื้อเด็กทีหนึ่งก่อน

“เด็กที่มาพร้อมอาเอี้ยอาไน่นี่นา” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยอย่างจำหน้าได้
อาลั้งได้แต่ยืนก้มหน้าทำตาปริบๆ
“คุกเข่าลง” เสียงอาไล้สั่ง
อาลั้งรีบคุกเข่าลงตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืน
“ลื้อชื่ออะไร?” ซาเสี่ยเนี้ยถามเพราะจำชื่อไม่ได้
“หนูชื่ออาลั้งคะ” เด็กหญิงตอบ ใจเต้นโครมๆ
“อาลั้ง...อั๊วจำได้แล้ว” ซาเสี่ยเนี้ยพยักหน้าแล้วถามต่อ “ลื้อมาแอบทำอะไรอยู่ตรงนั้น?”
“คือ...หนู...” อาลั้งเค้นสมองคิดว่าจะตอบอย่างไรดี ที่จะได้ไม่ถูกตี “อยากเห็นนักเรียนค่ะ”
“หือ...” อาป้อทำเสียงในลำคอ ก่อนจะถามว่า “นักเรียนแปลกตรงไหนหรือ”
“ต้องเป็นคนเก่ง เก่งมากๆ ค่ะ” อาลั้งตอบอย่างที่จินตนาการอยู่ในใจ
“เอ้า...แล้วเห็นหรือยัง?” ซาเสี่ยเนี้ยถามยิ้มๆ
“เห็นแล้วคะ” อาลั้งตอบ
“แล้วที่เห็นเป็นอย่างไร?” ซาเสี่ยเนี้ยถามต่อ
“คุณชายแต่งตัวแบบนี้แปลกมาก แต่ดูดีมากๆ” เด็กหญิงตอบตามตรง
“ชุดนี้เขาเรียกชุดนักเรียน ผู้ชายใส่กางเกง ผู้หญิงใส่กระโปรง” คุณชายตอบ รู้สึกถูกชะตาเด็กรับใช้คนใหม่ที่ชื่ออาลั้ง “ไว้ลื้อเป็นนักเรียนก็จะได้ใส่”
“จริงๆ หรือคะ?” อาลั้งตื่นเต้นดีใจ
ป๊อก...อาไล้เขกหัวเด็กหญิงทีหนึ่ง
“แบบลื้อไม่มีวันได้ใส่หรอก ลื้อเป็นขี้ข้าไม่ใช่คุณหนู จะได้เป็นนักเรียนได้”
คุณชายนึกเคืองๆ อาไล้ที่เขกเด็กหญิงจึงว่า “อาไล้ ลื้ออย่าตีอีสิ
“ค่ะ” อาไล้รับคำ พลางแอบค้อนเด็กหญิงอย่างไม่พอใจที่ทำให้ตนถูกว่า
“ก็จริงของอาไล้เขา” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “อาลั้งเป็นเด็กของยี่เสี่ยเนี้ย อีจะให้เรียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ อาโน้ยเองก็ไปเรียนแค่วันเดียวก็ไม่ยอมไปเรียนอีก”
“แต่หลวงท่านออกกฎหมายให้เด็กอายุตั้งแต่แปดขวบขึ้นไปต้องเรียนหนังสือทุกคน ถ้าใครไม่เรียน ผู้ใหญ่จะถูกปรับ”
คุณชายเอ่ยยังไม่ทันจบดี ซาเสี่เนี้ยก็กะพริบตาให้ลูกชายหยุดพูด อาป้อเข้าใจความหมายของมารดาจึงหยุดพูด
“เอาละ...ลื้อได้เห็นนักเรียนแล้ว ลื้อก็กลับไปห้องอาเอี้ยอาไน่ เผื่อท่านจะใช้สอยอะไรบ้าง”
“ไม่ลงโทษมันที่แอบมาดูคุณชายก่อนหรือคะ?” อาไล้ถามซาเสี่ยเนี้ย
“ทำไมต้องลงโทษล่ะ...ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร” ซาเสี่ยเนี้ยตัดบท พลางหันมาบอกอาลั้ง “ไปได้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ...ซาเสี่ยเนี้ย”
อาลั้งคำนับ แล้วลุกเดินออกจากห้องโถงนั้นอย่างโล่งใจ

“อั๊วนะ...เกลียดอีจริงๆ” อาไล้หั่นผักไปบ่นไปอยู่ในครัว
คนที่รับฟังอาไล้บ่นก็คืออาซุง ซึ่งกำลังปอกหัวไช้เท้า
“อั๊วก็เกลียด” อาซุงเอ่ยเสริมขึ้น “มันมารยาสาไถยเป็นที่สุด ก่อนจะมาเมืองสยามนี่มันแกล้งปวดท้อง จะให้แม่มันมาตบอั๊ว ลื้อคิดดูสิ”
“ตาย...แล้วลื้อทำยังไง” อาไล้ถาม
“อั๊วก็ต้องหายาให้อีไป ไม่งั้นอาเนี้ยกับอาไน่จะกลุ้มใจ” อาซุงพูดเอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
“ลื้อมันคนดี นี่ถ้าเป็นอั๊ว อั๊วจะตบกับมันสักฉาด” อาไล้ซึ่งอายุสามสิบกำลังแข็งแรงเอ่ยอย่างคันไม้คันมือ
“เอาน่าๆ” อาซุงเสแสร้งถอนหายใจ “นี่ลูกสาวอีมาอยู่ทางนี้ อีคงต้องหาทางมาเมืองสยามกันอีกแน่ๆ”
“อั๊วจะเล่นานนังเด็กคนนี้ก่อน ลื้อคอยดู” อาไล้กล่าวอย่างอาฆาตมาดร้าย ยังคงโกรธอาลั้งที่เป็นต้นเหตุให้ตนถูกคุณชายดุ
นางเดินไปคนหม้อข้าวต้มหม้อใหญ่ เห็นข้าวสุกดีแล้ว ก็ราเอาฟืนที่ติดไฟออกจากเตาและอีกครู่ต่อมา เด็กๆ สี่ห้าคนก็เข้ามาในครัว ต่างกุลีกุจอตักข้าวต้มใส่ชาม มาวางเรียงไว้บนโต๊ะไม้ทรงกลม อาเฮี่ยะไม่เห็นอาลั้งอยู่ในกลุ่มเด็กด้วย ก็จะตักข้าวต้มอีกชามเผื่อให้อาลั้ง
เสียงอาไล้ก็ดังเอ็ดขึ้น “นั่นลื้อจะตักข้าวต้มให้ใคร อาเฮี่ยะ”
“อ๋อ...ตักให้อาลั้งไงเจ๊” อาเฮี่ยะตอบฉาดฉาน
“ใครให้ลื้อตัก” อาไล้เสียงดุ
“ไม่มี” อาเฮี่ยะเริ่มสังหรณ์ไม่ดี
“ไม่มี ก็ไม่ต้องตัก ข้าวต้มนี่ของใคร คนนั้นต้องมาตักเอาเอง” อาไล้ประกาศิต
“งั้น...อั๊วไปเรียกอาลั้งมาตัก” อาเฮี่ยะเอ่ยเสียงไม่ดังนัก
“ไม่ต้องจุ้น” เสียงอาไล้ราวฟ้าผ่า “อาเฮี่ยะ ถ้าลื้อไปเรียกอีมาตักข้าวต้ม อั๊วจะตีลื้อเอามั้ย”
“ไม่เอา...ไม่เอาจ้ะเจ๊” อาเฮี่ยะส่ายหน้าดิก
“พวกลื้อไปทำงานต่อได้แล้ว แล้วถึงเวลากินข้าว อั๊วจะเคาะระฆัง ถึงตอนนั้นอาเฮี่ยะ ลื้อก็เรียกอาลั้งมาด้วยก็แล้วกัน”
“จ๊ะ” อาเฮี่ยะรีบออกจากครัว ไม่กล้าขัดคำสั่งของอาไล้ เพราะรู้ดีว่าถ้าถูกนางตีเอา เจ้านายก็ไม่เอาเรื่องนาง เพราะนางเป็นแม่ครัว
แล้วไม่นาน เสียงระฆังก็ดังขึ้น...เก๊งงง!
เด็กๆ ช่วยขายของอายุ 9 ขวบ ถึง 11 ปี ต่างดีใจเพราะรู้ว่าเสร็จสิ้นงานในวันนี้แล้ว พากันวางมือแล้วเข้าครัวไปกินข้าวต้ม
อาเฮี่ยะเจออาลั้งที่กำลังเมี่ยงมองคนซื้อขายกันที่หน้าร้าน ก็เรียก “อาลั้ง ไปกินข้าวกันในครัว”
อาลั้งเดินตามอาเฮี่ยะไปอย่างว่าง่าย...พอเข้าถึงครัว เด็กๆ ห้าคนต่างนั่งประจำที่ชามใครชามมัน ยกชามข้าวต้มพุ้ยกินกับกับข้าวอย่างรวดเร็ว
อาลั้งหันซ้ายหันขวา...ก็เจอเข้ากับใบหน้าที่ยิ้มเหี้ยมๆ ของอาไล้
“เอ้า...รีบเอาชามมาตักข้าต้มในหม้อสิ จะตกมากแค่ไหนก็ได้นะ แต่ต้องกินให้ทันคนอื่นๆ คนอื่นๆ กินเสร็จ ลื้อก็ต้องกินเสร็จ ห้ามชักช้าเป็นอันขาด”
ทำให้อาลั้งลนลาน กว่าจะหาชามข้าวเจอ เอาไปตักข้าวต้มในหม้อที่ยังร้อนจัด พอมานั่งลงกิน ความร้อนของข้าวต้มที่ไม่ได้ตักพักให้เย็นก่อนอย่างคนอื่น ก็ทำให้อาลั้งร้อนลวกปากกินได้ไม่ถึงสองคำทุกคนก็อิ่มกันหมดแล้ว เด็กๆ ลุกไปวางชามในอ่างไม้
พอคนอื่นลุกไปหมด อาไล้ก็เข้ามาชิงชามอาลั้งไป
“เลิกกินได้แล้ว”
“แต่อั๊วยังไม่อิ่ม” อาลั้งขอบตาแดงๆ
“ลื้อไม่ต้องมาสำออย...อั๊วพูดแล้ว ลื้อก็ได้ยินชัดเจน คนอื่นเขากินอิ่มได้ ลื้อก็ต้องอิ่มเหมือนกัน”
พร้อมกับคำพูด...อาไล้ก็เทชามข้าวต้มในมือที่ยังร้อนกรุ่นลงในอ่างเศษอาหาร อาลั้งมองด้วยความเสียดายสุดแสน ตั้งแต่เล็กมา อาลั้งไม่เคยกินอิ่มจริงๆ กับเขาสักมื้อ เห็นที่นี่มีข้าวต้มหม้อใหญ่ แถมเนื้อข้าวมีมากกว่าน้ำ ก็ดีใจคิดว่าจะได้กินอิ่มสักที
แต่อาไล้กลับเทข้าวดีๆ ทั้งชามลงในอ่างเศษอาหาร...อาลั้งมีความทุกข์ของตนเองก็ยงอดหวนคิดถึงแม่ไม่ได้...ถ้าข้าวชามนั้นให้แม่กิน แม่คงจะดีใจมาก!

แม่ของอาฮวยไปหาอาตั่วที่ร้านขายของ บอกกับอาตั่วว่า “ลื้อตามอั๊วไปที่บ้าน อั๊วมีของจะฝากไปให้อาฮวย”
“ของอะไรหรือแม่” อาตั่วถามแม่ยาย
“ก็ข้าวสารไง...อั๊วเอามาที่นี่ไม่เหมาะ เดี๋ยวเถ้าแก่ลื้อคิดว่าลื้อขโมยข้าวสาร ลื้อก่อนกลับก็ไปเอาที่บ้าน แต่ต้องซ่อนไว้ให้ดีนะ อย่าให้พ่อกับพี่อาฮวยรู้เข้าละ” แม่อาฮวยเอ่ย
“แม่...อั๊วเกรงใจ...”
อาตั่วกล่าวไม่ทันจบ แม่อาฮวยก็ขัดขึ้นว่า
“ลื้อไม่ต้องมาทำพูดดี...นี่ถ้าลูกสาวอั๊วไม่ท้อง อั๊วไม่ให้แต่งกับลื้อหรอก คนอะไรจน จนไม่มีปัญญาเลี้ยงเมียคนเดียว เดี๋ยวลูกออกมาจะกินอะไรนี่”
บ่นแล้วแม่อาฮวยก็ถอนใจใหญ่ ก่อนจะหันกายเดินจากไป อาตั่วปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ก็เดินจ๋องๆ ไปยังบ้านของแม่ยาย เห็นนางถือถุงผ้าดิบสีขาวซึ่งใส่ข้าวสารมาให้ เขาก็รับมา ค้อมศีรษะคำนับแล้วก็เดินจากไป
อาตั่วไม่กล้าพูดมากหรือทำเสียงอะไร เพราะเกรงจะได้ยินไปถึงหูพ่อตากับพี่เมียแล้วจะเกิดเรื่องตามมาไม่รู้จบ
แต่เรื่องก็เกิดจนได้...เมื่อเขากลับถึงบ้าน แล้วเอาข้าวสารให้เมีย ที่เก็บข้าวสารไว้อย่างดีในห้องนอน ไม่ยอมให้ข้าวสารกระเซ็นกระสายไปถึงแม่ผัวหรือน้องผัวแม้แต่เมล็ดเดียว อาฮวยหุงข้าวสวยให้ตัวเองกับสามีกินเท่านั้น แต่นางก็ยังไม่พอใจ
พออาตั่วนั่งลง นางก็บ่น
“กินแต่ข้าวกับผัก ไม่มีอะไรบำรุงเด็กในท้องอั๊วเลย”
“แล้วลื้อจะกินอะไรอีกล่ะ?” อาตั่วถามอย่างรำคาญเล็กน้อย
“ไก่...อั๊วจะกินไก่” อาวยเอ่ย
“ไก่ที่ไหน?” อาตั่วเอ่ยอย่างอ่อนใจ
“ก็ไก่ที่แม่ลื้อเลี้ยงไง?”
“นั่นแม่เอาไว้ไหว้ตรุษสารท” อาตั่วเอ่ย ออกจะตกใจกับความคิดของเมีย
“ช่างปะไร...อั๊วจะกินนี่ ลื้อก็ต้องเชือดไก่มาให้อั๊วกิน”
“ไม่ได้” อาตั่วเผลอตัวตวาดเมียเป็นครั้งแรก
อาฮวยสะดุ้ง อ้าปากค้างอยู่ครู่ ก่อนจะตะเบ็งเสียง “ลื้อตวาดอั๊วเหรอ ลื้อกล้าตวาดอั๊วเหรอ?”
อาตั่วทั้งกดดันทั้งหงุดหงิด เพราะตอนนี้ตัวเองก็เข้าหน้าแม่กับน้องไม่ติดอยู่แล้ว ยังจะให้ไปเชือดไก่ที่แม่อุตส่าห์เลี้ยงไว้เพื่อไหว้เจ้าอีก จึงรับคำเสียงดังว่า “เอ่อ...”
ได้ยินคำนั้น อาฮวยก็ร้องไห้โฮ พร้อมกับยกมือขึ้นทึ้งผมเผ้าของตนเองจนยุ่งเหยิง “อั๊วจะไปตาย อั๊วจะไปตายให้ลื้อดู”
เสียงร้องไห้โฮๆ ของอาฮวย ทำให้อาซิ่วที่เป็นแม่ผัวกับอายี่ที่เป็นน้องสามีโผล่หน้ามาดู
“มีอะไรกันเหรอ” อาซิ่วถามอาตั่ว
แต่อาตั่วเงียบไม่ตอบว่าอะไร
“มีอะไรหรืออาฮวย?” อาซิ่วถามลูกสะใภ้
“อีไม่รักอั๊วแล้ว” อาฮวยชี้ไปที่อาตั่ว แล้วชี้นิ้วกราด “พวกลื้อทุกคนก็ไม่รักอั๊ว”
“เอาอะไรมาพูด” อาซิ่วว่า
“ถ้าพวกลื้อรักอั๊ว ลื้อทำอะไรให้อั๊วบ้าง อั๊วกำลังท้องกำลังไส้ พวกลื้อเคยหาของกินบำรุงให้อั๊วเหรอ มีแต่ผักผัดน้ำ หรือไม่ก็ถั่วลิสงคั่ว กรวดคั่วเกลือ” อาฮวยว่าฉอดๆ
“ก็บ้านเรามีปัญญากินแค่นี้นี่” อาซิ่วว่า
“ใครว่า...บ้านเรามีของดี แต่ไม่ยอมให้อั๊วกินต่างหาก” อาฮวยเถียง
“ของดีอะไรของลื้อ?” อายี่อดรนทนไม่ไหวต้องออกปากถาม
“ก็ไก่ยังไงละ!” อาฮวยว่า “ไก่ที่อาม่าเลี้ยงเอาไว้”
“ไก่ตัวนั้น เราจะเลี้ยงไว้ไหว้เจ้า” อาซิ่วบอกลูกสะใภ้
“เห็นไหม...พวกลื้อมีของดี แต่ไม่ยอมให้อั๊วกิน” อาฮวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อั๊วถามหน่อยเถอะ เจ้ากับคนเป็นๆ สองชีวิต ชีวิตอั๊วกับลูกในท้องอั๊ว อันไหนสำคัญกว่ากัน”
“ลื้อกับลูกย่อมสำคัญกว่า” อาซิ่วตอบ พลางส่ายหน้า น้ำตาร่วง
“งั้น...อาม่าก็ยอมให้อั๊วกินไก่” อาฮวยดีใจ
“แต่ไก่นั่นยังไม่ทันโตเลยนะพี่สะใภ้” อายี่เอ่ย
“ช่างเหอะ” อาซิ่วยกมือปรามลูกชายคนเล็ก “คนท้องอยากกินอะไรแปลกๆ เป็นเรื่องธรรมดา” แล้วบอกกับลูกชายคนโต “ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก พรุ่งนี้จัดการเชือดไก่ ต้มน้ำแกงให้อาฮวยกิน”




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ม.ค. 2556, 11:44:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ม.ค. 2556, 11:44:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1322





<< ตอนที่ 15   ตอนที่ 17 >>
อ้อย 18 ม.ค. 2556, 17:19:31 น.
อีฮวยนี่น่าโดนผัวตบสักฉาด

สงสารอาลั้งเมื่อไรจะโดตสักทีจะได้สู้คนอื่นเขาได้ มีแต่พวกใจยักษ์ใจมารทั้งนั้น


konhin 18 ม.ค. 2556, 21:53:17 น.
น่าสงสาร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account