กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 17


17...


พอเก็บหน้าร้านแล้ว เด็กๆ ก็ช่วยกันทำงานบ้าน อาเฮี่ยะล้างชามจานกะละมังใหญ่โดยมีอาลั้งเป็นลูกมือ อาเฮี่ยะเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นอาไล้ที่เป็นแม่ครัวนั่งคุยกับอาซุงอยู่ห่างออกไป ก็กระซิบพูดกับอาลั้งว่า
“อั๊วรู้ว่าลื้อกินไม่อิ่ม”
อาลั้งพยักหน้า ขอบตาแดงๆ
“อาไล้อีแกล้งลื้อ ลื้อรู้มั้ย?” อาเฮี่ยะกระซิบบอก
“อีจะแกล้งอั๊วทำไม?” อาลั้งถามซื่อๆ
“อีจะแกล้งลื้อทำไม อั๊วไม่รู้ แต่อั๊วจะช่วยตักข้าวต้มให้ลื้อ อีก็ไม่ยอม บอกว่าของใครก็ให้คนนั้นตักเอง อั๊วจะไปตามให้ลื้อมาตัก อีก็ไม่ยอมอีก บอกว่าถ้าอั๊วไปตามลื้อ อีจะตีอั๊ว”
“แล้วยังงี้อั๊วจะทำยังไงดี?” อาลั้งถามเสียงเบา เกรงจะได้ยินไปถึงอาไล้ แต่นับเป็นโชคดีของเด็กทั้งสอง เพราะอาไล้กำลังคุยกับอาซุงอย่างออกรสชาติ จึงไม่ได้สนใจจะมองเด็กทั้งสอง
“ลื้อก็ต้องคอยมองดูสิ พอเห็นคนที่หน้าร้านพลัดกันมาในครัว ลื้อก็รีบมาตักข้าวต้มของลื้อไปวางไว้ที่โต๊ะให้พักให้หายร้อน เพราะที่นี่ต้องรีบกิน กินเสร็จพวกผู่ใหญ่เขาจะได้มากินกัน พวกเราก็ช่วยกันเก็บหน้าร้าน ลื้อต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ” อาเฮี่ยะบอก
“ได้…อั๊วจะจำเอาไว้”

เมื่ออาลั้งแก้ปัญหาเรื่องกินข้าวต้มไปได้ ก็เกิดเรื่องใหญ่ในคืนถัดมา ยี่เสี่ยเนี้ยหน้าบึ้งตึง ปกตินางก็หน้าตาดูเอาเรื่องอยู่แล้ว ยิ่งบึ้งตึงก็ยิ่งดูดุน่ากลัว
“อาง้อ อากี อาเฮี่ยะ อาซิว…พวกลื้อคนไหนไปตัดปีกนกพิราบแข่งของอากู๋ น้องชายอั๊ว” นางถามเด็กทั้งสี่ที่ยืนอยู่ต่อหน้า แต่ยังเว้นไม่ถามอาลั้งที่ยืนตัวสั่นรวมอยู่ด้วย
เมื่อตอนกลางวัน อาเฮี่ยะเพิ่งแอบพาอาลั้งขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้นสี่ ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ด้านหนึ่งใช้เป็นที่ตากผ้า ส่วนริมซ้ายสุดนั้นมีกรงนกพิราบกรงใหญ่ ซึ่งเลี้ยงนกพิราบไว้สามสิบกว่าตัว มีทั้งพ่อแม่นก และลูกนก อาเฮี่ยะยังบอกอาลั้งว่า
“อากู๋เป็นน้องชายของยี่เสี่ยเนี้ย เป็นเจ้าของนกทั้งหมดนี้ นกพวกนี้เขาว่าราคาแพงมาก สมัยก่อนเขาใช้ส่งจดหมาย แต่สมัยนี้มีคนส่งจดหมายแล้ว เขาก็เอานกพิราบมาแข่งกัน
“แข่งยังไงหรือ?” อาลั้งถามอย่างสงสัย
“อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นแต่อากู๋ไล่นกให้บินไปบินมา พอพอใจแล้วก็เอาอาหารมาล่อให้นกเข้ากรง ถ้าตัวไหนไม่ยอมเข้ากรง อากู๋ก็เอาสวิงดักเอามาจับเข้ากรง” อาเฮี่ยะเล่า
“สวิงเป็นยังไงเหรอ” อาลั้งถามเพราะยังไม่เคยเห็น
“นั่นไง” อาเฮี่ยะชี้สวิงอันใหญ่ที่วางพิงฝาด้านข้างกรงนก ซึ่งใหญ่พอที่คนจะเข้าไปข้างในเพื่อแซะขี้นกได้
“อากู๋หวงนกมาก เวลาจะให้คนมาแซะขี้นกให้ อีจะมายืนคุม” อาเฮี่ยะว่าตบท้าย
“ไหน...คนไหนตัดปีกนก”
เสียงยี่เสี่ยเนี้ยทำให้อาลั้งสะดุ้ง เพราะกำลังคิดเพลินๆ เด็กหญิงหันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า
“อั๊วเปล่าทำๆๆๆ...” เสียงปฏิเสธของเด็กหญิงสี่คนพัลวัน
ยี่เสี่ยเนี้ยจึงหันมาทางอาลั้ง เรียกชื่อเสียงเข้ม “อาลั้ง”
อาลั้งสะดุ้งตกใจ เพราะอาลั้งเป็นเด็กขี้ตกใจมาตั้งแต่อาศัยอยู่กับอาเง็กซึ่งเป็นแม่ที่ซื้อตัวอาลั้งแล้ว
แต่การตกใจของเด็กหญิงกลับกลายเป็นที่ต้องสงสัยของยี่เสี่ยเนี้ย
“ลื้อใช่มั้ยที่ตัดปีกนก?”
“เปล่าคะ หนูไม่ได้ทำ” อาลั้งส่ายหน้า
“ลื้อไม่ต้องปฏิเสธ ต้องเป็นลื้อแน่ๆ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“หนูเปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า ขอบตาแดงๆ
อากู๋น้องชายยี่เสี่ยเนี้ยเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ อายุราวยี่สิบเศษ เอ่ยถามเป็นครั้งแรก “ลื้อขึ้นไปที่ดาดฟ้าหรือเปล่า?”
“ขึ้นค่ะ” อาลั้งรับสารภาพตามตรง
“ลื้อขึ้นไปทำอะไร?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามต่อ
“ขึ้นไปดูนกค่ะ” อาลั้งกล่าวความจริง ซึ่งยิ่งเป็นหลักฐานผูกมัดตัวเอง
อาเฮี่ยะได้ยินก็เสียวไส้ กลัวเรื่องที่ตนเป็นคนพาอาลั้งขึ้นไปดูนกจะเปิดเผยแต่ก่อนจะกลับลงมา อาเฮี่ยะได้ขอให้อาลั้งสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องที่ตนพามาดูนกกับใคร ซึ่งอาลั้งก็ยินยอมสาบาน
“แล้วลื้อก็ตัดปีกนกใช่ไหม?” อากู๋ถามอย่างโกรธจัด
“เปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า
“ปากแข็ง” ยี่เสี่ยเนี้ยว่า “ถ้าลื้อไม่รับ อั๊วจะให้ตีลื้อจนกว่าจะรับ ว่าไง?”
“หนูเปล่าค่ะ หนูแค่ขึ้นไปดูนกเฉยๆ ไม่ได้ทำอย่างอ่ื่น” อาลั้งไม่กล้าเอ่ยพาดพิงถึงอาเฮี่ยะเพราะได้เอ่ยสาบานเอาไว้
อาเฮี่ยะเองก็กลัวเหลือเกินว่าอาลั้งจะเอ่ยถึงตน
“อาไล้...ลื้อตีอีจนกว่าอีจะยอมรับ” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่ง
“ค่ะ” อาไล้ได้โอกาส จัดแจงหยิบหวายอันเท่านิ้วชี้และยาวกำลังเหมาะมือมาหวดใส่อาลั้งอย่างไม่นับ
“โอ๊ยๆๆ…หนูไม่ได้ทำค่ะ”
พอดีอาเอี้ยกับอาไน่กลับจากการไปเยี่ยมญาติมา
“มันเรื่องอะไรหรือ?” อาไน่ถาม
“อาไล้ตีต่อไปไม่ต้องหยุดมือ” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่ง
“ค่ะ” อาไล้รับคำ หวดสุดแรง
อาไน่เห็นแล้วอดสงสารเด็กหญิงไม่ได้ จึงเอ่ย “หยุดตีก่อนแล้วค่อยๆ ถามไม่ได้หรืออาจิง”
“ไม่ได้หรอกค่ะอาไน่ มันเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ต้องตีถึงจะยอมพูดความจริง”
แต่ในความเป็นจริงนั้น อาลั้งทนเจ็บไม่ไหวต้องพูดโกหกว่า “ค่ะ หนูทำ อย่าตีหนูเลย”
อาไล้ยังแกล้งหวดอีกควับสุดแรงก่อนจะหยุดตี
“ลื้อทำยังไงบอกมาซิ” ยี่สี่เนี้ยออกคำสั่ง
อาลั้งนึกไม่ออก เพราะไม่ได้ทำ จึงนั่งสะอื้นฮักๆ อยู่กับพื้น
ยี่เสี่ยเนี้ยเห็นแล้วรำคาญลูกนัยน์ตามาก จึงตวาดว่า “ยังไม่รีบพูดอีก เดี๋ยวอั๊วก็ให้อาไล้ตีต่อหรอก”
อาลั้งสะดุ้งเฮือกเนื้อตัวสั่นระริก ร้องว่า “พอๆ แล้วค่ะ หนูบอก...หนูจับนกมาตัดปีกเองค่ะ”
“ลื้อจับนกยังไง บอกมาให้ละเอียดซิ” ยี่เสี่ยเนี้ยคาดคั้น
“หนู...หนู...” อาลั้งเหลือบมองอาเฮี่ยะแวบหนึ่ง ก็นึกถึงสวิง “หนูเอาสวิงครอบนกแล้วค่อยจับค่ะ”
“เห็นไหมอาไน่ นี่ถ้าไม่ตีก็ไม่ยอมรับ” ยี่เสี่ยเนี้ยพูดกับอาไน่ ซึ่งได้แต่ถอนหายใจสงสารอาลั้ง
“อาไล้ตีต่อไปอีกสิบที โทษฐานตัดปีกนก”
เสียงหวายหวดขวับๆ เสียงอาลั้งร้องไห้ อาไน่ส่ายหน้า เดินขึ้นห้องนอน พร้อมกับอาเอี้ย
พอเข้าห้อง อาไน่พูดกับสามี “อั๊วจะซื้ออาลั้งกลับ แล้วพากลับเมืองจีนไปด้วยกัน”
“เด็กทำผิด อาจิงก็ต้องตี” อาเอี้ยเอ่ย
“เด็กทำผิดก็ตีให้หลาบจำ ไม่ใช่ตียังกับหมูกับหมายังงี้” อาไน่ว่า โกรธลูกสะใภ้คนรองที่ทำเหมือนไม่ไว้หน้าท่านด้วย
“ก็แล้วแต่ลื้อแล้วกัน อั๊วจะเอนหลังสักหน่อย” ว่าแล้วอาเอี้ยก็เอากระป๋องยาฝิ่นที่เพิ่งซื้อมาไว้ใต้เตียง ก่อนจะเอนตัวลงนอน
สักพักอาลั้งก็เข้ามาในห้อง ยังสะอึกสะอื้นแต่กลั้นไว้ไม่ให้มีเสียง เนื้อตัวเป็นริ้วแดงลายพร้อย
“มานี่ซิอาลั้ง” อาไน่เรียกเด็กหญิง
“ขา...อาไน่” เด็กหญิงขานรับ หวั่นๆ ว่าจะถูกลงโทษอีก
“มานั่งตรงนี้” อาไน่ชี้พื้นหน้าเตียงในขาของอาไน่ให้เด็กเข้ามานั่ง
อาลั้งทำตามอย่างว่าง่าย
“ลื้อไปตัดปีกนกจริงเหรอ?” อาไน่ถาม
อาลั้งไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี เพราะที่นี่ไม่ใช่ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด แต่เป็นไปทำอย่างไรอย่าให้เจ้านายไม่พอใจจึงจะรอดตัว
“ลื้อบอกความจริงอั๊วมา อั๊วไม่ตีลื้อหรอก” อาไน่เอ่ย
“หนูเปล่าทำค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยพลางน้ำตาร่วง
“แล้วทำไมถึงยอมรับว่าทำ?” อาไน่ถาม
“หนูทนเจ็บไม่ไหวค่ะ”
อาไน่มองเข้าไปในดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ แล้วทอดถอนหายใจ ก่อนจะกำชับว่า “ลื้อบอกความจริงกับอั๊วได้ แต่ลื้อบอกความจริงกับคนอื่นไม่ได้เข้าใจมั้ย?”
“เพราะอะไรหรือคะอาไน่?” เด็กหญิงถามอย่างสงสัย
“เพราะคนที่ได้ยินจะเอาไปบอกอาจิง แล้วอาจิงจะโกรธตีลื้อให้ยอมรับสารภาพอีก ยังไงโทษถูกตีก็ถูกตีไปแล้ว ก็อย่าให้ถูกตีซ้ำสองอีก เข้าใจไหม?”
“ค่ะอาไน่” เด็กหญิงรับคำทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจสักเท่าไร
“อั๊วว่าอั๊วจะพาลื้อกลับเมืองจีนด้วย” อาไน่บอกเด็กหญิง
“จริงหรือคะอาไน่?”
“อืมม์...” อาไน่พยักหน้า
เด็กหญิงดีใจจนบอกไม่ถูก เมืองสยามที่ใครๆ ว่าเป็นแผ่นดินทอง อาลั้งเคยจินตนาการว่าจะต้องมีทองคำกองสุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มาเข้าจริงๆ มันไม่ได้เหมือนอย่างที่เด็กหญิงคิดหวังว่าจะกอบโกยทองกลับไปให้แม่ที่เมืองจีน ซ้ำเจ้านายโดยตรงคือยี่เสี่ยเนี้ยก็ดุแสนดุราวกับเสือ พอฟังว่าจะได้กลับเมืองจีน คืนนั้นเด็กหญิงก็ฝันหวาน
ฝันว่า...โบยบินข้ามน้ำข้ามทะเลกลับไปหาแม่!
อาลั้งโผเข้ากอดแม่อย่างดีใจเป็นที่สุด...
ทว่า...ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงอาเอี้ย
“อาลั้ง...ลื้อทำยังงี้กับของรักของอั๊วได้ยังไง!”
อาลั้งสะดุ้งตื่น งัวเงียถามว่า “อาเอี้ยมีอะไรหรือคะ?”
“ยังมีหน้ามาถามอีก...ดูซิ ยาฝิ่นของอั๊ว...หมดกัน!”
อาลั้งรู้สึกหัวเหนียวเหนอะหนะ คลำดูมันเป็นของสีดำเหนียวๆ ติดเต็มเปียเส้นเล็กๆ ข้างหนึ่ง และที่พื้นก็เปื้อนเต็มไปหมด เพราะเด็กหญิงนอนดิ้นไปถูกกระป๋องยาฝิ่นหก
อาไน่ใช้ไม้ไผ่ที่เป็นซี่พัดช่วยตักยาฝิ่นที่เหลือกลับเข้ากระป๋อง ปากก็ปลอบโยนสามีว่า “ใจเย็นๆ ค่ะอาเอี้ย ยังเหลือยาฝิ่นอีกหนึ่งในสี่”
อาเอี้ยโมโหจัดจึงเขกหัวเด็กหญิงโป๊กหนึ่ง พร้อมกับประกาศว่า “อั๊วจะไม่เอาลื้อกลับเมืองจีนด้วย”
“อาเอี้ยๆ พาหนูกลับเมืองจีนนะคะ” เด็กหญิงขอร้อง
“ไปๆ ให้พ้น” อาเอี้ยไม่มองหน้า ส่งเสียงเรียก “อาซุงๆ...”
“ขา...” อาซุงขานแล้วโผล่หน้าเข้ามาในห้อง
“พาอีไปสระผม” อาเอี้ยสั่ง
“ค่ะ” อาซุงรับคำ แล้วมาคว้าแขนครึ่งลากครึ่งจูงอาลั้งไปสระผม แต่อาซุงไม่สระผมให้เฉยๆ นางคว้ากรรไกรมาตัดเปียของอาลั้งฉับ
“ป้าซุงตัดผมหนูทำไม?” อาลั้งถาม
“ยาฝิ่นมันเหนียว สระไม่ออกหรอก ตัดทิ้งไปนั่นแหละดี” อาซุงเอ่ย ในใจยินดีที่ได้กลั่นแกล้งเด็กหญิง...ไว้เปียสวยนักนะยะ ตัดทิ้งซะเลย สมน้ำหน้า
เมื่อตัดเปียไปข้างหนึ่งก็ต้องตัดสองข้างให้ผมเสมอกัน แล้วอาซุงจึงสระผมให้ นางสระไป กระชากผมเด็กไป พลางบ่น “ทำเรื่องยุ่งยากให้อั๊วแต่เช้า”
สองวันต่อมา อาเอี้ยกับอาไน่กลับเมืองจีน อาไน่ขอร้องให้พาอาลั้งกลับไปด้วย แต่อาเอี้ยที่ยังโมโหไม่หายยืนกรานไม่ยอม อาไน่ก็จนปัญญา
อาลั้งจึงอยู่ในเมืองสยามต่อไป
อาไล้ที่เป็นแม่ครัวและคุมงานเด็กๆ จงใจใช้งานอาลั้งทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือไม่ให้ออกไปขายของหน้าร้าน เพราะเกรงว่า...โตขึ้นเด็กหญิงจะรู้จักค้าขาย หรือมีคนมาซื้อของแล้วเกิดถูกตาต้องใจมาสู่ขอ ได้แต่งงานดีๆ นางอยากให้อาลั้งเป็นสาวแก่อยู่แต่ก้นครัวเหมือนนาง
อาลั้งทำงานเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด มีเวลาพักก็ตอนนอนเท่านั้น ยังดีที่อาง้อซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดเพราะมีอายุมากที่สุดคือ 11 ปี รับหน้าที่หาบน้ำใช้จากแม่น้ำเจ้าพระยามาใส่ตุ่มในบ้านที่มีเกือบสิบใบ แต่อาง้อก็ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น นอกจากไปช่วยขายของที่หน้าร้านบ้าง
วันหนึ่งชีวิตที่ซ้ำซากจำเจของอาลั้งก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่สองคนมาที่ร้านของยี่เสี่ย เพื่อสำรวจว่ามีเด็กไม่เรียนหนังสือหรือเปล่า อาไล้ก็กระซิบบอกอาลั้งว่า
“ลื้อต้องบอกอีว่า ลื้อไม่ชอบเรียนหนังสือ”
“ทำไมละอาไล้...ก็อั๊วอยากเรียนหนังสือ อยากรู้หนังสือ” อาลั้งบอกตรงๆ
อาไล้ยกมือเขกหัวเด็กหญิงอย่างแรง
“เขกหัวอั๊วทำไม?”
“ให้รู้สำนึกสิว่า ลื้อเป็นแค่ขี้ข้าริอ่านจะเรียนหนังสือเหรอ ขืนลื้อไม่พูดว่าไม่อยากเรียนหนังสือ ยี่เสี่ยเนี้ยจะให้อั๊วตีลื้อจนตาย”
เด็กหญิงมองอีกฝ่ายตาปริบๆ
ครู่ต่อมา เด็กทั้งห้าคนก็ถูกเรียกมาที่ห้องโถงรับแขกพร้อมกับมีผู้ชายสองคนใส่เครื่องแบบสีกากี กำลังพูดคุยกับยี่เสี่ยเนี้ยเป็นภาษาสยาม ซึ่งอาลั้งไม่รู้จัก ก่อนที่คนสวมแว่นจะหันมาถามอาง้อเป็นภาษาจีน
“ลื้ออายุเท่าไหร่?”
“สิบเอ็ดปี” อาง้อตอบเป็นภาษาจีน
“ลื้อเรียนหนังสือหรือยัง?” เจ้าหน้าที่คนนั้นถามต่อ
“อั๊วไม่ได้เรียนหนังสือ อั๊วไม่ชอบเรียนหนังสือ” อาง้อตอบฉาดฉาน
เจ้าหน้าที่คนนั้นก็หันไปถามอากี ซึ่งมีอายุ 10 ขวบ ด้วยคำถามแบบเดิม คำตอบที่ได้รับก็เหมือนกับอาง้อ
เจ้าหน้าที่ก็ไล่เลียงมาถึงอาซิวกับอาเฮี่ยะที่มีอายุ 9 ขวบ
ซึ่งเด็กทั้งสองก็ตอบพร้อมเพรียงกันว่า “อั๊วไม่ชอบเรียนหนังสือ”
พอเจ้าหน้าที่หันมาทางอาลั้ง ยี่เสี่ยเนี้ยก็เอ่ยขัดขึ้นว่า
“ไม่ต้องถามคนนี้หรอก”
“ทำไมหรือ?“ เจ้าหน้าที่สงสัย
“อีเป็นเด็กที่เกิดที่เมืองจีน เป็นหลานอั๊วเอง เพิ่งมาอยู่ได้หกเดือน”
“อ้อ…ไม่ได้เกิดในสยามรึ?” เจ้าหน้าที่หันมาถามอาลั้ง
อาลั้งเลิกลักมองยี่เสี่ยเนี้ย
นางโกรธก็ตวาดแว้ด “ก็ตอบไปสิ”
“ค่ะ...หนูเกิดที่เมืองจีน”
“อายุเท่าไหร่แล้ว?” เจ้าหน้าที่ยังคงซักถามต่อ





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2556, 15:33:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2556, 15:33:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1376





<< ตอนที่ 16   ตอนที่ 18 >>
ree 22 ม.ค. 2556, 21:38:35 น.
สนุก ชวนติดตามอ่ะ


อ้อย 22 ม.ค. 2556, 23:04:56 น.
ใครก็ได้ช่วยอาลั้งทีค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account