ที่หนึ่งของหัวใจ
เป็นที่รู้กันดีในบริษัทว่า CEO นามว่า พิรัลวัชร เป็นคนเจ้่าคิดเจ้าแค้น ชอบเอาชนะ และมองโลกในแง่ร้ายแบบสุดขั้ว - แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเอาชนะได้ คือ มิลลาดา เพื่อนในวัยเด็กที่แสนดีจนน่าหมั่นไส้
--------------------------------------------------------------
ความสัมพันธ์อันยาวนานของพิรัลวัชรและมิลลาดา เริ่มต้นในวันที่เขายอมถูกตีแทนเธอ และมอบลูกอมสำหรับนางฟ้าให้
อุบัติเหตุที่พรากชีวิตมารดาของพิรัลวัชรไป ได้เปลี่ยนพี่รัลที่แสนดีของมินนี่ให้กลายเป็นปีศาจตาขวางที่ชั่วร้าย
พิรัลวัชรอิจฉามิลลาดาเสมอมาตั้งแต่ป.1-ม.6 เพราะมิลลาดาสอบได้ที่ 1 ในขณะที่เขาสอบได้ที่ 2 แต่สิ่งที่ทำให้เขาเกลียดเธอมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มิลลาดาเป็นยัยแสนดีที่น่าหมั่นไส้ ให้อภัยคนไปทั่วจนน่าโมโห ชอบเข้าไปช่วยเหลือ(จุ้น)คนอื่นโดยที่ไม่มีใครขอ และมองโลกในแง่ดีจนเกือบจะเหมือนคนโง่
ทางเดียวและทางสุดท้ายที่เขาจะเอาชนะเธอได้ ก็คือ การเอาชนะใจ
และเขาจะสอนให้ยัยฉลาดที่ไม่ทันต่อโลกใบนี้รู้ว่า คนดีแต่ไม่โง่ น่ะเขาทำกันยังไง
มิลลาดามีความฝันอยู่สองสิ่งในชีวิตนี้ที่เธออยากจะทำให้สำเร็จ
หนึ่ง คือการเปิดสำนักพิมพ์นิยายรักและผลิตหนังสือในแนวที่ต้องการ
สอง คือการลบนิสัยชอบเอาชนะ ขวางโลก เห็นแก่ตัว และมองโลกในแง่ร้ายของพิรัลวัชร และทำให้เขากลายเป็นคนดีที่น่าคบหา
ในขณะที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายให้กลายเป็นคนที่ดีหรืออาจจะแย่กว่า อดีตและหัวใจของทั้งคู่ที่ค่อยๆเผยออกมาจะทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างไร
และพวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าอดีตที่หายไปพร้อมกับความทรงจำของพิรัลวัชรเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจนแทบจะทำให้หยุดหายใจ
***หมายเหตุ
ปกติไรเตอร์ไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทยเลยนะคะ อ่านแต่นิยายแปลโรมานซ์ ดังนั้นลักษณะงานเขียนก็เลยจะออกไปทางแนวนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านก็จะมองว่าแปลกได้นะคะ
บทบรรยายก็จะมีเยอะพอสมควร ในขณะที่บทพูดจะเขียนเฉพาะฉากที่มีผลต่อการดำเนินเรื่องเท่านั้นนะคะ
--------------------------------------------------------------
ความสัมพันธ์อันยาวนานของพิรัลวัชรและมิลลาดา เริ่มต้นในวันที่เขายอมถูกตีแทนเธอ และมอบลูกอมสำหรับนางฟ้าให้
อุบัติเหตุที่พรากชีวิตมารดาของพิรัลวัชรไป ได้เปลี่ยนพี่รัลที่แสนดีของมินนี่ให้กลายเป็นปีศาจตาขวางที่ชั่วร้าย
พิรัลวัชรอิจฉามิลลาดาเสมอมาตั้งแต่ป.1-ม.6 เพราะมิลลาดาสอบได้ที่ 1 ในขณะที่เขาสอบได้ที่ 2 แต่สิ่งที่ทำให้เขาเกลียดเธอมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มิลลาดาเป็นยัยแสนดีที่น่าหมั่นไส้ ให้อภัยคนไปทั่วจนน่าโมโห ชอบเข้าไปช่วยเหลือ(จุ้น)คนอื่นโดยที่ไม่มีใครขอ และมองโลกในแง่ดีจนเกือบจะเหมือนคนโง่
ทางเดียวและทางสุดท้ายที่เขาจะเอาชนะเธอได้ ก็คือ การเอาชนะใจ
และเขาจะสอนให้ยัยฉลาดที่ไม่ทันต่อโลกใบนี้รู้ว่า คนดีแต่ไม่โง่ น่ะเขาทำกันยังไง
มิลลาดามีความฝันอยู่สองสิ่งในชีวิตนี้ที่เธออยากจะทำให้สำเร็จ
หนึ่ง คือการเปิดสำนักพิมพ์นิยายรักและผลิตหนังสือในแนวที่ต้องการ
สอง คือการลบนิสัยชอบเอาชนะ ขวางโลก เห็นแก่ตัว และมองโลกในแง่ร้ายของพิรัลวัชร และทำให้เขากลายเป็นคนดีที่น่าคบหา
ในขณะที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายให้กลายเป็นคนที่ดีหรืออาจจะแย่กว่า อดีตและหัวใจของทั้งคู่ที่ค่อยๆเผยออกมาจะทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างไร
และพวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าอดีตที่หายไปพร้อมกับความทรงจำของพิรัลวัชรเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจนแทบจะทำให้หยุดหายใจ
***หมายเหตุ
ปกติไรเตอร์ไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทยเลยนะคะ อ่านแต่นิยายแปลโรมานซ์ ดังนั้นลักษณะงานเขียนก็เลยจะออกไปทางแนวนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านก็จะมองว่าแปลกได้นะคะ
บทบรรยายก็จะมีเยอะพอสมควร ในขณะที่บทพูดจะเขียนเฉพาะฉากที่มีผลต่อการดำเนินเรื่องเท่านั้นนะคะ
Tags: ที่หนึ่งของหัวใจ/โรมานซ์/คอมเมดี้/ซึ้งกินใจ/เศร้า/เพื่อน/ครอบครัว/ความทรงจำ/สืบสวน
ตอน: บทที่ 1 :: Devil vs. Angel
บทที่ 1 (1/1)
วันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. พ.ศ. 2556
คนกรุงเทพฯชอบไปเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า วันเสาร์-อาทิตย์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมรถถึงติดทุกวันไม่เว้นวันหยุดสุดสัปดาห์
รถบีเอ็มดับบลิวซีรีย์เจ็ดรุ่นปี 2013 สีดำขลับยิ่งกว่าขนอีกาพุ่งเข้าจอดในช่องจอดรถชั้น G ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งใหม่กลางใจเมือง ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมของผู้ขับ ทำให้รถหรูราคาหลายล้านสามารถเข้าจอดในช่องจอดนั้นได้ด้วยการหักพวงมาลัยเพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามนางเปมิกา ภรรยาวัยห้าสิบปีของผู้อำนวยการใหญ่บริษัท Pretty Gems International Co.,Ltd. ผู้ซึ่งมียอดซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯไม่ต่ำกว่าปีละ สิบล้านบาท คิดว่าผู้ที่ขับรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น มีทักษะในการขับรถที่ยอดแย่ และต่ำทรามอย่างมาก
ขณะที่หล่อนกำลังจะถอยรถโตโยต้าอัลติสคันเก่าของลูกสาวซึ่งหล่อนนำมาใช้แก้ขัดแทนรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งถูกคนขับรถบรรทุกที่เมาเหล้าเฉี่ยวชนเมื่อสองวันก่อน รถสีดำที่หล่อนคาดว่าผู้ขับน่าจะใจดำพอๆกับสีรถ ก็พุ่งเข้าจอดในช่องจอดรถที่หล่อนกำลังพยายามถอยจอดอยู่
เปมิกาเปิดประตูรถอย่างแรงและลงจากรถด้วยความโมโห ก่อนจะพบกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงโปร่งล่ำสันคนหนึ่งกำลังก้าวขายาวๆในกางเกงสแล็คเรียบกริบลงจากรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น นายทุเรศคนนั้น มีดวงหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำตาลอ่อน หน้าผาก จมูก คาง รับกันอย่างสมส่วน กรามแกร่งคมสัน ริมฝีปากอิ่ม จมูกโด่งตรง ตาสองชั้น นัยน์ตาสีดำสนิท และคิ้วคมเข้มได้รูปสวย ถ้ามองเผินๆแล้วเขาดูเหมือน ติ๊ก เจษฎาพร ผลดี แต่ถ้ามองอีกมุมก็เหมือน ทาเคชิ คาเนชิโร่ นักแสดงที่เล่นเป็นขงเบ้ง ในหนังสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ แต่เปมิกาคิดว่านายคนนี้ควรจะไปเล่นเป็น โจโฉ มากกว่า
“นี่คุณ! ขับรถแบบนี้ได้ยังไง” เปมิกาพูดใส่หลังของชายหนุ่มคนนั้น เมื่อนายโจโฉมีทีท่าว่าจะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไปอย่างหน้าตาเฉย
“มีอะไรเหรอครับ” พิรัลวัชรเดินกลับมายืนตรงหน้าเปมิกา ในขณะที่สายตาก็มองเลยไปที่รถโตโยต้าอัลติสสีเทาฝุ่นเขรอะด้านหลัง ก่อนจะปรับระยะมาโฟกัสมาที่ดวงหน้าไร้เครื่องสำอาง ผมยุ่งเหยิงมัดรวบไว้ข้างหลังแบบลวกๆ และเสื้อผ้าไร้ราคาที่คุณป้าตรงหน้าเขาใส่อยู่
“ฉันกำลังจะจอดรถตรงนี้!” เปมิกาชี้ไปที่รถบีเอ็มดับบลิวซีรีย์เจ็ด “คุณพุ่งเข้ามาจอดได้ยังไง ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังจะจอด”
“คุณป้าครับ” เขาทำเสียงเหมือนพยายามอธิบายเต็มที่ “นี่เป็นช่องจอดรถของลูกค้า VVIP นะครับ คุณป้าต้องไปจอดชั้นบนครับ”
เปมิกาแทบจะควันออกหูเมื่อได้ยินเช่นนั้น และหล่อนแน่ใจด้วยว่า แม่ของนายคนนี้จะต้องแก่กว่าหล่อนแน่ๆ แต่ในขณะที่หล่อนกำลังจะอ้าปากเถียงออกไป ชายหนุ่มผู้นั้นก็หายตัวไปในประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้าเสียแล้ว
พ่อแม่ของหมอนี่จะต้องไม่ได้สั่งสอนลูกแน่ๆ
เป็นความจริงที่น่าเศร้าที่พิรัลวัชรไม่ค่อยได้รับการสั่งสอน มารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆอายุเพียงเจ็ดขวบ และอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ทำให้เขาสูญเสียทั้งแม่และความทรงจำวัยเยาว์ไปอย่างไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องเรียนซ้ำชั้นหนึ่งปี และเรียนชั้นเดียวกับมิลลาดา ยัยนางฟ้าจอมจุ้นจ้านที่ชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่เข้าเรื่อง ชอบทำตัวแสนดี ไม่เคยคิดร้ายหรือพูดจาร้ายๆต่อคนอื่น จนทำให้ใครๆต่างพากันหมั่นไส้ แต่เรื่องที่เธอใจดีมีเมตตาจนดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมายบนโลกโสมมใบนี้ที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้พิรัลวัชรเกลียดเธอ
เพราะยัยนางฟ้านี่ดันเป็นอัจฉริยะตัวแม่ แบบที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักคน คล้ายๆกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของเธออาจจะยังไม่สามารถเทียบชั้นได้กับผู้ที่คิดค้นสูตรระเบิดปรมาณูทำลายล้างโลก แต่ก็ได้รับการชดเชยด้วยความสามารถทางด้านการคำนวณ การใช้ภาษา ทักษะทางด้านกีฬา และพรสวรรค์ด้านดนตรีอันยอดเยี่ยม จนทำให้ที่สองอย่างพิรัลวัชรดูหม่นหมองเหมือนผ้าขาวที่จมปลักอยู่ในโคลนตม
ขณะที่พิรัลวัชรเดินไปที่เวทีชั่วคราวขนาดใหญ่กลางห้างสรรพสินค้า Citron ชั้น G และสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อมองหาวัชรธันว์ น้องชายคนสุดท้องที่สุดแสนจะขี้ลืม และความจำสั้นพอๆกับปลาทอง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นของบรรดาฝูงเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงติ่งหู ซึ่งกำลังวิ่งไปทางเวทีรูปตัวทีนั้น เหมือนฝูงกระทิงวิ่งเข้าไปหาผ้าสีแดง ถ้าไม่กั้นคอกไว้พวกเธอคงบุกเข้ารุมทึ้งดาราชายผู้โชคร้ายคนใดคนหนึ่งในนั้นแล้ว
“กรี๊ดๆๆๆ พี่ธันว์! กรี๊ดๆๆๆๆ พี่ธันว์!! พี่ธันว์หล่อที่สุด!!!”
พิรัลวรัชสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อน้องชายตัวเอง เขายังไม่ชินกับความคิดที่ว่าวัชรธันว์ได้กลายเป็นดาราชายดาวรุ่งไปเสียแล้ว แม้แต่งานอีเว้นท์โปรโมทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกก็ยังมีแฟนคลับตามมาให้กำลังใจ เด็กรุ่นใหม่จะบ้าอะไรกันขนาดนี้
เมื่อเห็นว่างานของวัชรธันว์ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จภายในสิบยี่สิบนาทีนี้ พิรัลวัชรจึงตัดสินใจเดินหลบฝูงชนไปหาอะไรนั่งดื่มรอน้องชายเงียบๆ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับหลังหันและชนเข้ากลับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งวิ่งทะเล่อทะล่ามาชนเขาเข้าอย่างจัง และเนื่องจากจุดหมุนที่ไม่สมดุลจึงทำให้ชายหนุ่มซึ่งมีน้ำหนักกว่าเจ็ดสิบห้ากิโลกรัม และสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดเซนติเมตร ต้องลงไปนั่งจบกบอยู่ที่พื้น
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ” หญิงสาวถามพลางยื่นมือออกไป เพื่อจะช่วยเขาลุกขึ้นมา แต่พิรัลวัชรปฏิเสธความช่วยเหลือ
“ระวังหน่อยสิคุณ” พอพูดจบชายหนุ่มก็พยายามจะเดินไปร้านสตาร์บัคส์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ยอมหลีกทางให้ แถมยังจ้องเขาตาไม่กะพริบอีกด้วย
“เออ... ขอโทษนะคะ คุณคือ ธันว์ วัชรธันว์ รึเปล่าค่ะ”
พิรัลวัชรถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วรีบเดินหนีไปทางซ้าย แต่หนวดปลาหมึกคว้าหมับเข้าให้ที่แขนข้างขวา ส่งผลให้คิ้วข้างขวาของเขากระตุกขึ้นมาทันที
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ อย่าหาว่าผมไม่เตือน” พิรัลวัชรไม่พูดเปล่าพร้อมกับหันกลับมายืนประจันหน้าและส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายไปที่มือเล็กๆที่จับอยู่บนแขนของเขา
หญิงสาวไม่ปล่อยมือแต่กลับหยิบสมุดกับปากกาออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่ม
“เซ็นให้หน่อยนะคะ น้องสาวฉันเค้าชอบคุณมากเลยค่ะ”
“ขอโทษนะคุณผู้หญิง แต่ผมไม่ใช่วัชรธันว์ รอให้นรกเย็นก่อนเถอะ ผมถึงจะยอมให้เด็กสาวบ้าๆแบบพวกคุณมากรี๊ดใส่”
“หมายความว่ายังไงค่ะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆด้วยความงงงวย
“ผมบอกว่า ผมไม่ใช่วัชรธันว์ นี่คุณสายตาสั้นรึเปล่าเนี่ย”
“คุณรู้ได้ยังไงค่ะ พอดีวันนี้ฉันลืมเอาแว่นมาน่ะค่ะก็เลยมองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
“ก็ถ้าคุณสายตาดี คุณก็คงจะเห็นแล้วว่า วัชรธันว์อยู่บนเวทีโน้น” เขาเน้นทีละประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางชี้ไปทางเวที หญิงสาวหันไปมองตามมือของเขา
“ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็นเวทีจริงๆ ทุกอย่างเบลอไปหมด ว่าแต่คุณไม่ใช่วัชรธันว์จริงๆเหรอค่ะ”
“ไม่ใช่!” พิรัลวัชรกัดฟันตอบอย่างหมดความอดทน นี่ถ้าเขาขาดความยับยั้งชั่งใจ และสะกดคำว่าสุภาพบุรุษไม่เป็นอีกสักนิดล่ะก็ แม่สาวนี่ก็คงจะได้ไปนั่งก้มจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นให้สาสมกับที่ทะเล่อทะล่ามาชนเขาเมื่อครู่
“แต่คุณเหมือนเขามากจริงๆนะคะ คุณเป็นฝาแฝดหรือว่าพี่น้องของเขารึเปล่าค่ะ”
แม้ว่าพวกเขาจะมีแนวกรามแกร่งคล้ายๆกัน ปากเต็มอิ่มและฟันขาววาววับเป็นระเบียบคล้ายๆกัน ดวงตาเป็นประกายเจิดจรัสเมื่อหัวเราะหรือยิ้มเหมือนๆกัน สันจมูกโด่งตรงสวยแบบเดียวกัน และมีส่วนสูงต่างกันเพียงเล็กน้อยจนแทบจะดูไม่ออกด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ใครๆจะเรียกได้ว่าเป็นฝาแฝด
พอเจอคำถามแบบนี้เข้าไปพิรัลวัชรก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นพนักงานขายตรงเขาก็คงจะยอมจ่ายเงินค่าสินค้าที่เขาไม่ต้องการ เพียงเพื่อไล่เธอไปให้พ้นๆซะ แต่เขาไม่ใช่คนใจดีขนาดที่จะพูดว่า
‘ใช่ครับผมเป็นพี่ชายของเขา อยากได้ลายเซ็นเหรอครับ ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะขอให้’
ก็มันใช่ธุระของเขาซะที่ไหน!
ระหว่างที่ชายหนุ่มชั่งใจว่าจะลองปฏิเสธอย่างใจเย็นอีกครั้ง เผื่อผู้หญิงคนนี้จะยอมไปแต่โดยดี หรือว่าจะเล่นทีเผลอแล้ววิ่งหนีไปดื้อๆ นางฟ้าที่ไม่ได้รับเชิญก็บินลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยสัตว์บาปอย่างเขา
“รัล! นี่คุณกำลังนอกใจมินเหรอค่ะ” จากนั้นนางฟ้าก็ถือวิสาสะควงแขนซ้ายของเขาโดยไม่บอกกล่าว ลองมิลลาดาได้เริ่มแล้ว ก็ยากที่จะหยุดละครฉากนี้ลงได้โดยที่เขาไม่รู้สึกเสียหน้าในภายหลัง
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมไม่ใช่ วัชรธันว์ เห็นไหมว่า... ‘แฟน’ ผม เขาโมโหใหญ่แล้ว” พิรัลวัชรเล่นไปตามบทที่มิลลาดาเขียนขึ้น เขาไม่รู้สึกขอบคุณเธอเลยสักนิด เพราะมันเหมือนกับว่าเขาจัดการกับยัยงี่เง่านี่ด้วยตัวเองไม่ได้
“โอ้... ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ” หญิงสาวคนนั้นปล่อยแขนพิรัลวัชรอย่างไม่เต็มใจแล้วเดินคอตกไปทางเวที
“ดูเหมือนเธอจะยังมีความหวังลมๆแล้งๆว่ารัลเป็นธันว์อยู่นะ” มิลลาดาปล่อยแขนพิรัลวัชรแล้วมองตามหลังหญิงสาวคนนั้นไป
“แต่ฉันว่าเธอสลดเพราะคิดว่าต้องไปตบตีแย่งชิงธันว์กับติ่งหูพวกนั้นมากกว่า” พิรัลวัชรเสริม
“ติ่งหู?” มิลลาดาหันกลับมาหรี่ตามองเขา
“ใช่ ติ่งหู” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ และกอดอกมองมิลลาดา “ว่าแต่ มินมาทำอะไรที่นี่”
นี่เธอคงไม่ได้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์เลยหรอกนะ
“มินก็มาเดทกับพี่วินน่ะสิ”
พอได้ยินชื่อ ศัศวัต พิรัลวัชรก็ไล่สายตาตั้งแต่เท้าจรดหัวของมิลลาดา รองเท้าส้นสูงเปิดหัวส้นเข็มสองนิ้ว กระโปรงผ้าลูกไม้คลุมเข่าอวดเรียวขายาวเพรียวสวย เสื้อแขนยาวผ้าชีฟองสีชมพูหวานแหววที่ทำให้คนใส่ดูอ่อนกว่าวัยไปห้าปี กระเป๋ากุชชี่แบบถือใบเล็กกะทัดรัดซึ่งพิรัลวัชรคาดว่าศัศวัตเป็นคนซื้อให้ แต่งหน้าอ่อนๆด้วยเครื่องสำอางเกาหลี ทั้งๆที่ปกติลิปมันยังไม่ทา ก็เข้าใจน่ะนะว่าผู้หญิงคนไหนก็ต้องอยากดูดีในสายตาแฟนทั้งนั้น
ถึงกระนั้นพิรัลวัชรก็ต้องยอมรับว่า มิลลาดาเป็นคนสวยมากอยู่แล้วโดยไม่ต้องแต่งเติมให้มันประเจิดประเจ้อมากจนเกินงาม แค่อายไลเนอร์นิด บลัชออนหน่อย และจบด้วยลิปสติกสีพีช ก็สามารถเสริมให้ปากรูปพระจันทร์เสี้ยวดูเต็มอิ่มขึ้นจนน่าจูบ
น่าจูบงั้นเรอะ!
ก็ได้! เขายอมรับก็ได้ว่า มิลลาดา น่าจูบ ก็ใครใช้ให้เธอขโมยจูบแรกของเขาไป แถมยังไม่ใช่เฟิร์สคิสธรรมดาแต่เป็นเฟรนช์คิส เธอจูบได้ดีใช่ย่อยสำหรับจูบแรกของทั้งคู่
ตอนนั้นมิลลาดากระชากเขาเข้ามาจูบเหมือนที่พระเอกละครช่องหลายสีทำกับนางเอกผู้น่าสงสารเพื่อแก้แค้น เธอประกบปากบางเข้ากับปากเต็มอิ่มของเขาอย่างแรง หลังจากนั้นก็สอดลิ้นอุ่นๆเข้ามาแล้วลากไปตามไรฟันของเขา วินาทีแรกนั้นพิรัลวัชรตัวแข็งทื่อเหมือนพวกผู้หญิงที่ไม่เคยถูกจูบ แต่ก็ไม่มีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ผู้ชายที่ไม่เคยถูกจูบตัวแข็งทื่อนี่หน่า
หลังจากนั้นสติของเขาก็หลุดลอยไปและเริ่มกลายเป็นฝ่ายควบคุมการจุมพิตในครั้งนั้นอย่างตะกละตะกราม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีจูบจากผู้หญิงคนไหนที่สามารถเอาชนะจูบนั้นได้ และนี่เป็นหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่เขาต้องยอมรับว่า มิลลาดาชนะอย่างขาดลอย
จู่ๆมิลลาดาก็พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าพิรัลวัชรเงียบไปนาน
“...ตอนเดินอยู่ชั้นบนเห็นคนเขากรี๊ดกันก็เลยมองลงมาดูว่าเขาจัดงานอะไรกัน ก็พอดีเห็นธันว์ยืนอยู่บนเวที ก็เลยเดินลงมาข้างล่างนี่แหละ แล้วก็เห็นรัลกำลังถูกรัง...”
“พอๆๆๆ” พิรัลวัชรขัดขึ้น “แล้วไหนล่ะแฟนเธอ”
“พอดีพี่วินเขาติดงานด่วนน่ะ ก็เลยจะมาช้าไปชั่วโมงนึง”
“แล้วมินก็เชื่อน่ะเหรอว่าเขามีงานด่วนวันเสาร์ ทำไมลูกชายเจ้าของบริษัทถึงได้ต้องไปทำงานวันเสาร์ด้วยล่ะ”
“ก็เพราะว่าเขาเป็นวิศวกรก่อสร้างน่ะสิ ถ้าเขามีงานด่วนก็เป็นเพราะมีปัญหาที่ไซต์ก่อสร้าง”
หลักตรรกะของมิลลาดาก็พอมีเหตุผลอยู่ แต่ก็นั่นแหละพิรัลวัชรไม่เคยหยุดคิดอะไรในแง่ร้ายอยู่แล้ว ในขณะที่มิลลาดามักจะหาเหตุผลในแง่ดีมาลบล้างสิ่งร้ายๆที่เขาคิดอยู่เสมอ และนั่นทำให้เขาคิดสิ่งที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เมื่อคืนเขาอาจจะนอนกกนางแบบสักคนจนถึงเช้า วันนี้เลยตื่นไม่ไหวก็ได้ เมื่อกี้มินอาจจะโทรไปรบกวนขณะที่เขากำลังต่อยกที่สอง หรืออาจจะเป็นยกที่สาม หรือสี่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีความเป็นชายชาตรีมากแค่ไหนน่ะนะ”
“เคยได้ยินมั้ยที่เขาว่ากันว่า ความรักคือการไว้ใจ” มิลลาดายังไม่ละความพยายามที่จะทำให้พิรัลวัชรมองโลกในแง่ดี เธอไม่เคยเจอใครที่คิดร้ายกับทุกคนไปซะหมดไม่เว้นแม้แต่ทารกที่พึ่งเกิดแบบพิรัลวัชร
พึ่งเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองที่เขาคิดว่าเด็กทารกคนหนึ่งพยายามจะฆ่าเขาด้วยการแหวะใส่เสื้อเชิ้ตสั่งตัดจากอิตาลี
แม่ของเด็กเป็นผู้จัดการขายที่ศูนย์รวมสินค้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯของ YETCH พอดีว่าวันนั้นพี่เลี้ยงเด็กไม่สบาย ก็เลยต้องพาลูกมาที่ทำงานด้วย ซึ่งพนักงานทุกคนก็ต้อนรับขับสู้เด็กน้อยเป็นอย่างดี และปล่อยให้หนูน้อยนอนหลับอยู่ในห้องทำงานของแม่ จนกระทั่งตอนเที่ยงที่พวกเขาผลัดกันออกไปทานข้าว พิรัลวัชรก็เดินเข้ามาเพื่อจะคุยกับผู้จัดการขายเกี่ยวกับจำนวนลูกค้าขาจรที่เข้ามาซื้อสินค้าที่ศูนย์แห่งนี้ แต่เขากลับพบเจ้าตัวร้ายนอนร้องไห้อยู่แทน ชายหนุ่มบอกว่าเขาพยายามจะปลอบเด็กน้อย แต่ก็เหมือนการทำคุณบูชาโทษนั่นแหละ เพราะเด็กคนนี้ไม่สำนึกบุญคุณ และตอบแทนเขาด้วยของเหลวสีขาวขุ่นปนกับกรดไฮโดรคลอริกเหม็นเปรี้ยว
ซึ่งในภายหลังวัชรธันว์เล่าให้มิลลาดาฟังว่า พี่ชายของเขาคิดว่าแม่ของเด็กไม่พอใจกับจำนวนเงินโบนัสที่ได้รับปีที่แล้ว และพยายามประท้วงเงียบๆด้วยการเอาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงานและแหวะใส่เขา
“เธอมันก็เก่งไปซะทุกเรื่องล่ะนะ ยกเว้นก็แต่เรื่องจับโกหก อุตส่าห์ซื้อหนังสือสารพัดวิธีจับโกหกให้แล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักอ่าน” เขาโคลงศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ใครบอกว่ามินไม่อ่าน” มิลลาดาเถียง จริงๆแล้วเธออ่านจบตั้งแต่วันแรกที่พิรัลวัชรให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสิบปีก่อน และเธอก็ลืมมันไปแล้วด้วย ลืมแม้กระทั่งว่าเก็บไว้ตรงไหน
“ก็ถ้าอ่านแล้วความคิดมันก็น่าจะเปลี่ยนไปบ้างสิ แต่นี่ก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่เลย” พิรัลวัชรจิ้มหน้าผากมิลลาดาเบาๆ
ถ้าเธออ่านแล้วต้องกลายเป็นคนแบบเขาที่คอยจับผิดคนอื่นตลอดเวลา สู้เธอโดนคนทั้งโลกหลอกยังจะดีซะกว่า สบายใจและสบายสมองกว่ากันเยอะ
มิลลาดาปัดมือพิรัลวัชรออกจากหน้าผากและพูด “ช่างเถอะ แล้วนี่จะยืนคุยกันอีกนานมั้ย มินว่าเราไปหาร้านนั่งกันดีกว่า” ว่าแล้วมิลลาดาก็เดินนำพิรัลวัชรไปทางร้านมิสซิสโดนัท “แล้วรัลมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อย่าบอกนะว่าตามมากรี๊ดธันว์ด้วยอีกคน”
“ก็เอาประเป๋าเดินทางมาให้ธันว์น่ะสิ สงสัยคงคิดว่าฉันเป็นเบ้ละมั้ง เห็นบอกว่าพรุ่งนี้มีถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินจะออกเย็นนี้แล้ว แต่ดันลืมจัดกระเป๋า ถ้ากลับไปเอาของเองก็คงตกเครื่องบินแน่ๆ เพราะกรุงเทพฯไม่ว่าจะวันทำงาน หรือวันหยุดรถก็ติดเหมือนกันหมดทุกวัน”
“เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆนะรัลเนี่ย” มิลลาดายิ้ม
“เจ้าธันว์มันก็ดีแต่ปั้นหน้ายิ้ม ทำหล่อไปวันๆเท่านั้นแหละ แต่เรื่องการวางแผนนี่ใช้ไม่ได้ แถมยังขี้ลืมเป็นที่หนึ่ง” พิรัลวัชรบ่นไป มือก็ดึงแขนมิลลาดาให้เดินไปทางร้านสตาร์บัคส์ “แต่ก็ต้องยอมรับน่ะนะว่าการทำหน้าหล่อเนี่ย มันมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจมากกว่าการนั่งเครียดเซ็นเอกสารอยู่ในออฟฟิศ”
แต่มิลลาดาไม่ยอมโอนอ่อนตามแรงดึงง่ายๆ และพยายามลากพิรัลวัชรเข้าร้านมิสซิสโดนัทที่อยู่ห่างไปแค่สองเมตร
“แวะทานโดนัทที่มิสซิสโดนัทก่อนได้นะคะ วันนี้เรามีโปรโมชั่นใหม่ ซื้อ...” พนักงานหญิงมัดผมแกละสองข้างพยายามร่ายโปรโมชั่นยืดยาวต่อไป
“ทำไมเธอจะต้องกินร้านนี้ด้วย ฉันอยากดื่มกาแฟ” พิรัลวัชรพยายามยื้อแขนมิลลาดาไว้
“ที่นี่เราก็มีกาแฟขายนะคะคุณลูกค้า” พนักงานหญิงคนเดิมแทรกขึ้น
“แต่กาแฟที่นี่มันไม่ได้เรื่อง!” ชายหนุ่มพ่นออกมาอย่างเหลืออด จนพนักงานขายถอยหลังหนีเข้าไปอยู่ในร้าน
“แต่มินอยากกินโดนัท!” มิลลาดาโพล่งออกมาบ้าง
“ดี! งั้นเราก็แยกทางกัน!” เขาสลัดแขนมิลลาดาออก และทำท่าจะเดินไปอีกทาง
“ว๊าย! ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะคะคุณลูกค้า แค่กาแฟแก้วเดียวถึงกับต้องเลิกกันเลยเหรอค่ะ” พนักงานหญิงซึ่งใส่มินิสเกิร์ตและเสื้อสีขาวคาดดำแหวขึ้น
คราวนี้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา รวมทั้งคนที่นั่งกินโดนัทอยู่ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว ยังไงซะคนไทยก็ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่วันยังค่ำ
“ก็ได้ ก็ได้! ร้านนี้ ก็ร้านนี้!” พิรัลวัชรเอ่ยและเดินฟาดงวงฟาดงาเข้าไปในร้าน เพราะชายหนุ่มไม่ชอบเป็นจุดสนใจของคนอื่น
และเป็นอีกครั้งที่ปีศาจร้ายอย่างเขา จำต้องยอมแพ้ให้กับนางฟ้าอย่างมิลลาดา
วันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. พ.ศ. 2556
คนกรุงเทพฯชอบไปเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า วันเสาร์-อาทิตย์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมรถถึงติดทุกวันไม่เว้นวันหยุดสุดสัปดาห์
รถบีเอ็มดับบลิวซีรีย์เจ็ดรุ่นปี 2013 สีดำขลับยิ่งกว่าขนอีกาพุ่งเข้าจอดในช่องจอดรถชั้น G ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งใหม่กลางใจเมือง ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมของผู้ขับ ทำให้รถหรูราคาหลายล้านสามารถเข้าจอดในช่องจอดนั้นได้ด้วยการหักพวงมาลัยเพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามนางเปมิกา ภรรยาวัยห้าสิบปีของผู้อำนวยการใหญ่บริษัท Pretty Gems International Co.,Ltd. ผู้ซึ่งมียอดซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯไม่ต่ำกว่าปีละ สิบล้านบาท คิดว่าผู้ที่ขับรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น มีทักษะในการขับรถที่ยอดแย่ และต่ำทรามอย่างมาก
ขณะที่หล่อนกำลังจะถอยรถโตโยต้าอัลติสคันเก่าของลูกสาวซึ่งหล่อนนำมาใช้แก้ขัดแทนรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งถูกคนขับรถบรรทุกที่เมาเหล้าเฉี่ยวชนเมื่อสองวันก่อน รถสีดำที่หล่อนคาดว่าผู้ขับน่าจะใจดำพอๆกับสีรถ ก็พุ่งเข้าจอดในช่องจอดรถที่หล่อนกำลังพยายามถอยจอดอยู่
เปมิกาเปิดประตูรถอย่างแรงและลงจากรถด้วยความโมโห ก่อนจะพบกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงโปร่งล่ำสันคนหนึ่งกำลังก้าวขายาวๆในกางเกงสแล็คเรียบกริบลงจากรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น นายทุเรศคนนั้น มีดวงหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำตาลอ่อน หน้าผาก จมูก คาง รับกันอย่างสมส่วน กรามแกร่งคมสัน ริมฝีปากอิ่ม จมูกโด่งตรง ตาสองชั้น นัยน์ตาสีดำสนิท และคิ้วคมเข้มได้รูปสวย ถ้ามองเผินๆแล้วเขาดูเหมือน ติ๊ก เจษฎาพร ผลดี แต่ถ้ามองอีกมุมก็เหมือน ทาเคชิ คาเนชิโร่ นักแสดงที่เล่นเป็นขงเบ้ง ในหนังสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ แต่เปมิกาคิดว่านายคนนี้ควรจะไปเล่นเป็น โจโฉ มากกว่า
“นี่คุณ! ขับรถแบบนี้ได้ยังไง” เปมิกาพูดใส่หลังของชายหนุ่มคนนั้น เมื่อนายโจโฉมีทีท่าว่าจะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไปอย่างหน้าตาเฉย
“มีอะไรเหรอครับ” พิรัลวัชรเดินกลับมายืนตรงหน้าเปมิกา ในขณะที่สายตาก็มองเลยไปที่รถโตโยต้าอัลติสสีเทาฝุ่นเขรอะด้านหลัง ก่อนจะปรับระยะมาโฟกัสมาที่ดวงหน้าไร้เครื่องสำอาง ผมยุ่งเหยิงมัดรวบไว้ข้างหลังแบบลวกๆ และเสื้อผ้าไร้ราคาที่คุณป้าตรงหน้าเขาใส่อยู่
“ฉันกำลังจะจอดรถตรงนี้!” เปมิกาชี้ไปที่รถบีเอ็มดับบลิวซีรีย์เจ็ด “คุณพุ่งเข้ามาจอดได้ยังไง ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังจะจอด”
“คุณป้าครับ” เขาทำเสียงเหมือนพยายามอธิบายเต็มที่ “นี่เป็นช่องจอดรถของลูกค้า VVIP นะครับ คุณป้าต้องไปจอดชั้นบนครับ”
เปมิกาแทบจะควันออกหูเมื่อได้ยินเช่นนั้น และหล่อนแน่ใจด้วยว่า แม่ของนายคนนี้จะต้องแก่กว่าหล่อนแน่ๆ แต่ในขณะที่หล่อนกำลังจะอ้าปากเถียงออกไป ชายหนุ่มผู้นั้นก็หายตัวไปในประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้าเสียแล้ว
พ่อแม่ของหมอนี่จะต้องไม่ได้สั่งสอนลูกแน่ๆ
เป็นความจริงที่น่าเศร้าที่พิรัลวัชรไม่ค่อยได้รับการสั่งสอน มารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆอายุเพียงเจ็ดขวบ และอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ทำให้เขาสูญเสียทั้งแม่และความทรงจำวัยเยาว์ไปอย่างไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องเรียนซ้ำชั้นหนึ่งปี และเรียนชั้นเดียวกับมิลลาดา ยัยนางฟ้าจอมจุ้นจ้านที่ชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่เข้าเรื่อง ชอบทำตัวแสนดี ไม่เคยคิดร้ายหรือพูดจาร้ายๆต่อคนอื่น จนทำให้ใครๆต่างพากันหมั่นไส้ แต่เรื่องที่เธอใจดีมีเมตตาจนดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมายบนโลกโสมมใบนี้ที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้พิรัลวัชรเกลียดเธอ
เพราะยัยนางฟ้านี่ดันเป็นอัจฉริยะตัวแม่ แบบที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักคน คล้ายๆกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของเธออาจจะยังไม่สามารถเทียบชั้นได้กับผู้ที่คิดค้นสูตรระเบิดปรมาณูทำลายล้างโลก แต่ก็ได้รับการชดเชยด้วยความสามารถทางด้านการคำนวณ การใช้ภาษา ทักษะทางด้านกีฬา และพรสวรรค์ด้านดนตรีอันยอดเยี่ยม จนทำให้ที่สองอย่างพิรัลวัชรดูหม่นหมองเหมือนผ้าขาวที่จมปลักอยู่ในโคลนตม
ขณะที่พิรัลวัชรเดินไปที่เวทีชั่วคราวขนาดใหญ่กลางห้างสรรพสินค้า Citron ชั้น G และสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อมองหาวัชรธันว์ น้องชายคนสุดท้องที่สุดแสนจะขี้ลืม และความจำสั้นพอๆกับปลาทอง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นของบรรดาฝูงเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงติ่งหู ซึ่งกำลังวิ่งไปทางเวทีรูปตัวทีนั้น เหมือนฝูงกระทิงวิ่งเข้าไปหาผ้าสีแดง ถ้าไม่กั้นคอกไว้พวกเธอคงบุกเข้ารุมทึ้งดาราชายผู้โชคร้ายคนใดคนหนึ่งในนั้นแล้ว
“กรี๊ดๆๆๆ พี่ธันว์! กรี๊ดๆๆๆๆ พี่ธันว์!! พี่ธันว์หล่อที่สุด!!!”
พิรัลวรัชสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อน้องชายตัวเอง เขายังไม่ชินกับความคิดที่ว่าวัชรธันว์ได้กลายเป็นดาราชายดาวรุ่งไปเสียแล้ว แม้แต่งานอีเว้นท์โปรโมทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกก็ยังมีแฟนคลับตามมาให้กำลังใจ เด็กรุ่นใหม่จะบ้าอะไรกันขนาดนี้
เมื่อเห็นว่างานของวัชรธันว์ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จภายในสิบยี่สิบนาทีนี้ พิรัลวัชรจึงตัดสินใจเดินหลบฝูงชนไปหาอะไรนั่งดื่มรอน้องชายเงียบๆ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับหลังหันและชนเข้ากลับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งวิ่งทะเล่อทะล่ามาชนเขาเข้าอย่างจัง และเนื่องจากจุดหมุนที่ไม่สมดุลจึงทำให้ชายหนุ่มซึ่งมีน้ำหนักกว่าเจ็ดสิบห้ากิโลกรัม และสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดเซนติเมตร ต้องลงไปนั่งจบกบอยู่ที่พื้น
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ” หญิงสาวถามพลางยื่นมือออกไป เพื่อจะช่วยเขาลุกขึ้นมา แต่พิรัลวัชรปฏิเสธความช่วยเหลือ
“ระวังหน่อยสิคุณ” พอพูดจบชายหนุ่มก็พยายามจะเดินไปร้านสตาร์บัคส์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ยอมหลีกทางให้ แถมยังจ้องเขาตาไม่กะพริบอีกด้วย
“เออ... ขอโทษนะคะ คุณคือ ธันว์ วัชรธันว์ รึเปล่าค่ะ”
พิรัลวัชรถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วรีบเดินหนีไปทางซ้าย แต่หนวดปลาหมึกคว้าหมับเข้าให้ที่แขนข้างขวา ส่งผลให้คิ้วข้างขวาของเขากระตุกขึ้นมาทันที
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ อย่าหาว่าผมไม่เตือน” พิรัลวัชรไม่พูดเปล่าพร้อมกับหันกลับมายืนประจันหน้าและส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายไปที่มือเล็กๆที่จับอยู่บนแขนของเขา
หญิงสาวไม่ปล่อยมือแต่กลับหยิบสมุดกับปากกาออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่ม
“เซ็นให้หน่อยนะคะ น้องสาวฉันเค้าชอบคุณมากเลยค่ะ”
“ขอโทษนะคุณผู้หญิง แต่ผมไม่ใช่วัชรธันว์ รอให้นรกเย็นก่อนเถอะ ผมถึงจะยอมให้เด็กสาวบ้าๆแบบพวกคุณมากรี๊ดใส่”
“หมายความว่ายังไงค่ะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆด้วยความงงงวย
“ผมบอกว่า ผมไม่ใช่วัชรธันว์ นี่คุณสายตาสั้นรึเปล่าเนี่ย”
“คุณรู้ได้ยังไงค่ะ พอดีวันนี้ฉันลืมเอาแว่นมาน่ะค่ะก็เลยมองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
“ก็ถ้าคุณสายตาดี คุณก็คงจะเห็นแล้วว่า วัชรธันว์อยู่บนเวทีโน้น” เขาเน้นทีละประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางชี้ไปทางเวที หญิงสาวหันไปมองตามมือของเขา
“ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็นเวทีจริงๆ ทุกอย่างเบลอไปหมด ว่าแต่คุณไม่ใช่วัชรธันว์จริงๆเหรอค่ะ”
“ไม่ใช่!” พิรัลวัชรกัดฟันตอบอย่างหมดความอดทน นี่ถ้าเขาขาดความยับยั้งชั่งใจ และสะกดคำว่าสุภาพบุรุษไม่เป็นอีกสักนิดล่ะก็ แม่สาวนี่ก็คงจะได้ไปนั่งก้มจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นให้สาสมกับที่ทะเล่อทะล่ามาชนเขาเมื่อครู่
“แต่คุณเหมือนเขามากจริงๆนะคะ คุณเป็นฝาแฝดหรือว่าพี่น้องของเขารึเปล่าค่ะ”
แม้ว่าพวกเขาจะมีแนวกรามแกร่งคล้ายๆกัน ปากเต็มอิ่มและฟันขาววาววับเป็นระเบียบคล้ายๆกัน ดวงตาเป็นประกายเจิดจรัสเมื่อหัวเราะหรือยิ้มเหมือนๆกัน สันจมูกโด่งตรงสวยแบบเดียวกัน และมีส่วนสูงต่างกันเพียงเล็กน้อยจนแทบจะดูไม่ออกด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ใครๆจะเรียกได้ว่าเป็นฝาแฝด
พอเจอคำถามแบบนี้เข้าไปพิรัลวัชรก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นพนักงานขายตรงเขาก็คงจะยอมจ่ายเงินค่าสินค้าที่เขาไม่ต้องการ เพียงเพื่อไล่เธอไปให้พ้นๆซะ แต่เขาไม่ใช่คนใจดีขนาดที่จะพูดว่า
‘ใช่ครับผมเป็นพี่ชายของเขา อยากได้ลายเซ็นเหรอครับ ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะขอให้’
ก็มันใช่ธุระของเขาซะที่ไหน!
ระหว่างที่ชายหนุ่มชั่งใจว่าจะลองปฏิเสธอย่างใจเย็นอีกครั้ง เผื่อผู้หญิงคนนี้จะยอมไปแต่โดยดี หรือว่าจะเล่นทีเผลอแล้ววิ่งหนีไปดื้อๆ นางฟ้าที่ไม่ได้รับเชิญก็บินลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยสัตว์บาปอย่างเขา
“รัล! นี่คุณกำลังนอกใจมินเหรอค่ะ” จากนั้นนางฟ้าก็ถือวิสาสะควงแขนซ้ายของเขาโดยไม่บอกกล่าว ลองมิลลาดาได้เริ่มแล้ว ก็ยากที่จะหยุดละครฉากนี้ลงได้โดยที่เขาไม่รู้สึกเสียหน้าในภายหลัง
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมไม่ใช่ วัชรธันว์ เห็นไหมว่า... ‘แฟน’ ผม เขาโมโหใหญ่แล้ว” พิรัลวัชรเล่นไปตามบทที่มิลลาดาเขียนขึ้น เขาไม่รู้สึกขอบคุณเธอเลยสักนิด เพราะมันเหมือนกับว่าเขาจัดการกับยัยงี่เง่านี่ด้วยตัวเองไม่ได้
“โอ้... ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ” หญิงสาวคนนั้นปล่อยแขนพิรัลวัชรอย่างไม่เต็มใจแล้วเดินคอตกไปทางเวที
“ดูเหมือนเธอจะยังมีความหวังลมๆแล้งๆว่ารัลเป็นธันว์อยู่นะ” มิลลาดาปล่อยแขนพิรัลวัชรแล้วมองตามหลังหญิงสาวคนนั้นไป
“แต่ฉันว่าเธอสลดเพราะคิดว่าต้องไปตบตีแย่งชิงธันว์กับติ่งหูพวกนั้นมากกว่า” พิรัลวัชรเสริม
“ติ่งหู?” มิลลาดาหันกลับมาหรี่ตามองเขา
“ใช่ ติ่งหู” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ และกอดอกมองมิลลาดา “ว่าแต่ มินมาทำอะไรที่นี่”
นี่เธอคงไม่ได้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์เลยหรอกนะ
“มินก็มาเดทกับพี่วินน่ะสิ”
พอได้ยินชื่อ ศัศวัต พิรัลวัชรก็ไล่สายตาตั้งแต่เท้าจรดหัวของมิลลาดา รองเท้าส้นสูงเปิดหัวส้นเข็มสองนิ้ว กระโปรงผ้าลูกไม้คลุมเข่าอวดเรียวขายาวเพรียวสวย เสื้อแขนยาวผ้าชีฟองสีชมพูหวานแหววที่ทำให้คนใส่ดูอ่อนกว่าวัยไปห้าปี กระเป๋ากุชชี่แบบถือใบเล็กกะทัดรัดซึ่งพิรัลวัชรคาดว่าศัศวัตเป็นคนซื้อให้ แต่งหน้าอ่อนๆด้วยเครื่องสำอางเกาหลี ทั้งๆที่ปกติลิปมันยังไม่ทา ก็เข้าใจน่ะนะว่าผู้หญิงคนไหนก็ต้องอยากดูดีในสายตาแฟนทั้งนั้น
ถึงกระนั้นพิรัลวัชรก็ต้องยอมรับว่า มิลลาดาเป็นคนสวยมากอยู่แล้วโดยไม่ต้องแต่งเติมให้มันประเจิดประเจ้อมากจนเกินงาม แค่อายไลเนอร์นิด บลัชออนหน่อย และจบด้วยลิปสติกสีพีช ก็สามารถเสริมให้ปากรูปพระจันทร์เสี้ยวดูเต็มอิ่มขึ้นจนน่าจูบ
น่าจูบงั้นเรอะ!
ก็ได้! เขายอมรับก็ได้ว่า มิลลาดา น่าจูบ ก็ใครใช้ให้เธอขโมยจูบแรกของเขาไป แถมยังไม่ใช่เฟิร์สคิสธรรมดาแต่เป็นเฟรนช์คิส เธอจูบได้ดีใช่ย่อยสำหรับจูบแรกของทั้งคู่
ตอนนั้นมิลลาดากระชากเขาเข้ามาจูบเหมือนที่พระเอกละครช่องหลายสีทำกับนางเอกผู้น่าสงสารเพื่อแก้แค้น เธอประกบปากบางเข้ากับปากเต็มอิ่มของเขาอย่างแรง หลังจากนั้นก็สอดลิ้นอุ่นๆเข้ามาแล้วลากไปตามไรฟันของเขา วินาทีแรกนั้นพิรัลวัชรตัวแข็งทื่อเหมือนพวกผู้หญิงที่ไม่เคยถูกจูบ แต่ก็ไม่มีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ผู้ชายที่ไม่เคยถูกจูบตัวแข็งทื่อนี่หน่า
หลังจากนั้นสติของเขาก็หลุดลอยไปและเริ่มกลายเป็นฝ่ายควบคุมการจุมพิตในครั้งนั้นอย่างตะกละตะกราม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีจูบจากผู้หญิงคนไหนที่สามารถเอาชนะจูบนั้นได้ และนี่เป็นหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่เขาต้องยอมรับว่า มิลลาดาชนะอย่างขาดลอย
จู่ๆมิลลาดาก็พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าพิรัลวัชรเงียบไปนาน
“...ตอนเดินอยู่ชั้นบนเห็นคนเขากรี๊ดกันก็เลยมองลงมาดูว่าเขาจัดงานอะไรกัน ก็พอดีเห็นธันว์ยืนอยู่บนเวที ก็เลยเดินลงมาข้างล่างนี่แหละ แล้วก็เห็นรัลกำลังถูกรัง...”
“พอๆๆๆ” พิรัลวัชรขัดขึ้น “แล้วไหนล่ะแฟนเธอ”
“พอดีพี่วินเขาติดงานด่วนน่ะ ก็เลยจะมาช้าไปชั่วโมงนึง”
“แล้วมินก็เชื่อน่ะเหรอว่าเขามีงานด่วนวันเสาร์ ทำไมลูกชายเจ้าของบริษัทถึงได้ต้องไปทำงานวันเสาร์ด้วยล่ะ”
“ก็เพราะว่าเขาเป็นวิศวกรก่อสร้างน่ะสิ ถ้าเขามีงานด่วนก็เป็นเพราะมีปัญหาที่ไซต์ก่อสร้าง”
หลักตรรกะของมิลลาดาก็พอมีเหตุผลอยู่ แต่ก็นั่นแหละพิรัลวัชรไม่เคยหยุดคิดอะไรในแง่ร้ายอยู่แล้ว ในขณะที่มิลลาดามักจะหาเหตุผลในแง่ดีมาลบล้างสิ่งร้ายๆที่เขาคิดอยู่เสมอ และนั่นทำให้เขาคิดสิ่งที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เมื่อคืนเขาอาจจะนอนกกนางแบบสักคนจนถึงเช้า วันนี้เลยตื่นไม่ไหวก็ได้ เมื่อกี้มินอาจจะโทรไปรบกวนขณะที่เขากำลังต่อยกที่สอง หรืออาจจะเป็นยกที่สาม หรือสี่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีความเป็นชายชาตรีมากแค่ไหนน่ะนะ”
“เคยได้ยินมั้ยที่เขาว่ากันว่า ความรักคือการไว้ใจ” มิลลาดายังไม่ละความพยายามที่จะทำให้พิรัลวัชรมองโลกในแง่ดี เธอไม่เคยเจอใครที่คิดร้ายกับทุกคนไปซะหมดไม่เว้นแม้แต่ทารกที่พึ่งเกิดแบบพิรัลวัชร
พึ่งเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองที่เขาคิดว่าเด็กทารกคนหนึ่งพยายามจะฆ่าเขาด้วยการแหวะใส่เสื้อเชิ้ตสั่งตัดจากอิตาลี
แม่ของเด็กเป็นผู้จัดการขายที่ศูนย์รวมสินค้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯของ YETCH พอดีว่าวันนั้นพี่เลี้ยงเด็กไม่สบาย ก็เลยต้องพาลูกมาที่ทำงานด้วย ซึ่งพนักงานทุกคนก็ต้อนรับขับสู้เด็กน้อยเป็นอย่างดี และปล่อยให้หนูน้อยนอนหลับอยู่ในห้องทำงานของแม่ จนกระทั่งตอนเที่ยงที่พวกเขาผลัดกันออกไปทานข้าว พิรัลวัชรก็เดินเข้ามาเพื่อจะคุยกับผู้จัดการขายเกี่ยวกับจำนวนลูกค้าขาจรที่เข้ามาซื้อสินค้าที่ศูนย์แห่งนี้ แต่เขากลับพบเจ้าตัวร้ายนอนร้องไห้อยู่แทน ชายหนุ่มบอกว่าเขาพยายามจะปลอบเด็กน้อย แต่ก็เหมือนการทำคุณบูชาโทษนั่นแหละ เพราะเด็กคนนี้ไม่สำนึกบุญคุณ และตอบแทนเขาด้วยของเหลวสีขาวขุ่นปนกับกรดไฮโดรคลอริกเหม็นเปรี้ยว
ซึ่งในภายหลังวัชรธันว์เล่าให้มิลลาดาฟังว่า พี่ชายของเขาคิดว่าแม่ของเด็กไม่พอใจกับจำนวนเงินโบนัสที่ได้รับปีที่แล้ว และพยายามประท้วงเงียบๆด้วยการเอาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงานและแหวะใส่เขา
“เธอมันก็เก่งไปซะทุกเรื่องล่ะนะ ยกเว้นก็แต่เรื่องจับโกหก อุตส่าห์ซื้อหนังสือสารพัดวิธีจับโกหกให้แล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักอ่าน” เขาโคลงศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ใครบอกว่ามินไม่อ่าน” มิลลาดาเถียง จริงๆแล้วเธออ่านจบตั้งแต่วันแรกที่พิรัลวัชรให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสิบปีก่อน และเธอก็ลืมมันไปแล้วด้วย ลืมแม้กระทั่งว่าเก็บไว้ตรงไหน
“ก็ถ้าอ่านแล้วความคิดมันก็น่าจะเปลี่ยนไปบ้างสิ แต่นี่ก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่เลย” พิรัลวัชรจิ้มหน้าผากมิลลาดาเบาๆ
ถ้าเธออ่านแล้วต้องกลายเป็นคนแบบเขาที่คอยจับผิดคนอื่นตลอดเวลา สู้เธอโดนคนทั้งโลกหลอกยังจะดีซะกว่า สบายใจและสบายสมองกว่ากันเยอะ
มิลลาดาปัดมือพิรัลวัชรออกจากหน้าผากและพูด “ช่างเถอะ แล้วนี่จะยืนคุยกันอีกนานมั้ย มินว่าเราไปหาร้านนั่งกันดีกว่า” ว่าแล้วมิลลาดาก็เดินนำพิรัลวัชรไปทางร้านมิสซิสโดนัท “แล้วรัลมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อย่าบอกนะว่าตามมากรี๊ดธันว์ด้วยอีกคน”
“ก็เอาประเป๋าเดินทางมาให้ธันว์น่ะสิ สงสัยคงคิดว่าฉันเป็นเบ้ละมั้ง เห็นบอกว่าพรุ่งนี้มีถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินจะออกเย็นนี้แล้ว แต่ดันลืมจัดกระเป๋า ถ้ากลับไปเอาของเองก็คงตกเครื่องบินแน่ๆ เพราะกรุงเทพฯไม่ว่าจะวันทำงาน หรือวันหยุดรถก็ติดเหมือนกันหมดทุกวัน”
“เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆนะรัลเนี่ย” มิลลาดายิ้ม
“เจ้าธันว์มันก็ดีแต่ปั้นหน้ายิ้ม ทำหล่อไปวันๆเท่านั้นแหละ แต่เรื่องการวางแผนนี่ใช้ไม่ได้ แถมยังขี้ลืมเป็นที่หนึ่ง” พิรัลวัชรบ่นไป มือก็ดึงแขนมิลลาดาให้เดินไปทางร้านสตาร์บัคส์ “แต่ก็ต้องยอมรับน่ะนะว่าการทำหน้าหล่อเนี่ย มันมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจมากกว่าการนั่งเครียดเซ็นเอกสารอยู่ในออฟฟิศ”
แต่มิลลาดาไม่ยอมโอนอ่อนตามแรงดึงง่ายๆ และพยายามลากพิรัลวัชรเข้าร้านมิสซิสโดนัทที่อยู่ห่างไปแค่สองเมตร
“แวะทานโดนัทที่มิสซิสโดนัทก่อนได้นะคะ วันนี้เรามีโปรโมชั่นใหม่ ซื้อ...” พนักงานหญิงมัดผมแกละสองข้างพยายามร่ายโปรโมชั่นยืดยาวต่อไป
“ทำไมเธอจะต้องกินร้านนี้ด้วย ฉันอยากดื่มกาแฟ” พิรัลวัชรพยายามยื้อแขนมิลลาดาไว้
“ที่นี่เราก็มีกาแฟขายนะคะคุณลูกค้า” พนักงานหญิงคนเดิมแทรกขึ้น
“แต่กาแฟที่นี่มันไม่ได้เรื่อง!” ชายหนุ่มพ่นออกมาอย่างเหลืออด จนพนักงานขายถอยหลังหนีเข้าไปอยู่ในร้าน
“แต่มินอยากกินโดนัท!” มิลลาดาโพล่งออกมาบ้าง
“ดี! งั้นเราก็แยกทางกัน!” เขาสลัดแขนมิลลาดาออก และทำท่าจะเดินไปอีกทาง
“ว๊าย! ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะคะคุณลูกค้า แค่กาแฟแก้วเดียวถึงกับต้องเลิกกันเลยเหรอค่ะ” พนักงานหญิงซึ่งใส่มินิสเกิร์ตและเสื้อสีขาวคาดดำแหวขึ้น
คราวนี้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา รวมทั้งคนที่นั่งกินโดนัทอยู่ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว ยังไงซะคนไทยก็ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่วันยังค่ำ
“ก็ได้ ก็ได้! ร้านนี้ ก็ร้านนี้!” พิรัลวัชรเอ่ยและเดินฟาดงวงฟาดงาเข้าไปในร้าน เพราะชายหนุ่มไม่ชอบเป็นจุดสนใจของคนอื่น
และเป็นอีกครั้งที่ปีศาจร้ายอย่างเขา จำต้องยอมแพ้ให้กับนางฟ้าอย่างมิลลาดา
ฌลารักษ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ม.ค. 2556, 22:00:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2556, 23:45:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1765
<< บทนำ :: The Beginning of Loss | บทที่ 2 :: When Dream Becomes a Nightmare >> |