ที่หนึ่งของหัวใจ
เป็นที่รู้กันดีในบริษัทว่า CEO นามว่า พิรัลวัชร เป็นคนเจ้่าคิดเจ้าแค้น ชอบเอาชนะ และมองโลกในแง่ร้ายแบบสุดขั้ว - แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเอาชนะได้ คือ มิลลาดา เพื่อนในวัยเด็กที่แสนดีจนน่าหมั่นไส้

--------------------------------------------------------------

ความสัมพันธ์อันยาวนานของพิรัลวัชรและมิลลาดา เริ่มต้นในวันที่เขายอมถูกตีแทนเธอ และมอบลูกอมสำหรับนางฟ้าให้

อุบัติเหตุที่พรากชีวิตมารดาของพิรัลวัชรไป ได้เปลี่ยนพี่รัลที่แสนดีของมินนี่ให้กลายเป็นปีศาจตาขวางที่ชั่วร้าย

พิรัลวัชรอิจฉามิลลาดาเสมอมาตั้งแต่ป.1-ม.6 เพราะมิลลาดาสอบได้ที่ 1 ในขณะที่เขาสอบได้ที่ 2 แต่สิ่งที่ทำให้เขาเกลียดเธอมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มิลลาดาเป็นยัยแสนดีที่น่าหมั่นไส้ ให้อภัยคนไปทั่วจนน่าโมโห ชอบเข้าไปช่วยเหลือ(จุ้น)คนอื่นโดยที่ไม่มีใครขอ และมองโลกในแง่ดีจนเกือบจะเหมือนคนโง่

ทางเดียวและทางสุดท้ายที่เขาจะเอาชนะเธอได้ ก็คือ การเอาชนะใจ
และเขาจะสอนให้ยัยฉลาดที่ไม่ทันต่อโลกใบนี้รู้ว่า คนดีแต่ไม่โง่ น่ะเขาทำกันยังไง

มิลลาดามีความฝันอยู่สองสิ่งในชีวิตนี้ที่เธออยากจะทำให้สำเร็จ
หนึ่ง คือการเปิดสำนักพิมพ์นิยายรักและผลิตหนังสือในแนวที่ต้องการ
สอง คือการลบนิสัยชอบเอาชนะ ขวางโลก เห็นแก่ตัว และมองโลกในแง่ร้ายของพิรัลวัชร และทำให้เขากลายเป็นคนดีที่น่าคบหา

ในขณะที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายให้กลายเป็นคนที่ดีหรืออาจจะแย่กว่า อดีตและหัวใจของทั้งคู่ที่ค่อยๆเผยออกมาจะทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างไร

และพวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าอดีตที่หายไปพร้อมกับความทรงจำของพิรัลวัชรเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจนแทบจะทำให้หยุดหายใจ


***หมายเหตุ

ปกติไรเตอร์ไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทยเลยนะคะ อ่านแต่นิยายแปลโรมานซ์ ดังนั้นลักษณะงานเขียนก็เลยจะออกไปทางแนวนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านก็จะมองว่าแปลกได้นะคะ

บทบรรยายก็จะมีเยอะพอสมควร ในขณะที่บทพูดจะเขียนเฉพาะฉากที่มีผลต่อการดำเนินเรื่องเท่านั้นนะคะ


Tags: ที่หนึ่งของหัวใจ/โรมานซ์/คอมเมดี้/ซึ้งกินใจ/เศร้า/เพื่อน/ครอบครัว/ความทรงจำ/สืบสวน

ตอน: บทที่ 2 :: When Dream Becomes a Nightmare

บทที่ 2

หลังจากนั้นมิลลาดาก็นั่งกินโดนัทอย่างมีความสุข ในขณะที่พิรัลวัชรนั่งดูดกาแฟอย่างเซงๆ ก็ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเรื่องมากอะไรหรอกนะ แต่กาแฟชงสำเร็จ กับกาแฟคั่วของสตาร์บัคส์มันก็คนละเรื่องกันอยู่แล้ว

“กินนี่มะ จะได้อารมณ์ดีขึ้น” มิลลาดาฉีกพอนเดอริงแล้วยื่นมาจ่อที่ปากของพิรัลวัชรอย่างเอื้ออารี

เขาพยายามจะปัดมือเธอออกไป แต่หันไปเห็นสายตาของคนในร้านที่มองอยู่ โดยเฉพาะสายตาของคุณยายเสื้อม่วงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป และสายตาของเด็กน้อยที่กำลังเกาะขาเขาและทำน้ำลายยืด ไหนจะสายตาของคนเป็นแม่ที่กำลังเดินมาอุ้มเด็กน้อยกลับไปอีก พิรัลวัชรก็เลยต้องอ้าปากจำใจกินก้อนแป้งเคลือบน้ำตาลเข้าไป

“อย่าซนสิลูก” ผู้หญิงคนนั้นอุ้มลูกขึ้นแล้วหันมาพูดกับพิรัลวัชร “ขอโทษนะคะ”
เด็กน้อยร้องไห้จ้าอย่างขัดใจ จนพิรัลวัชรอยากจะเอาพอนเดอริงอุดปากเด็กให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ รัลเขาเป็นคนรักเด็กน่ะค่ะ” มิลลาดาตอบแทน พลางยิ้มแบบนางฟ้า

“ได้น้ำตาลเข้าไปแล้ว อารมณ์ดีขึ้นบ้างยัง” มิลลาดาถามหลังจากที่แม่ของเด็กเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว

พิรัลวัชรไม่ตอบและเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ จนมิลลาดาทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นพร้อมกับดึงแก้วกาแฟไปจากมือของเขา

“สงสัยจะดุมากขึ้นกว่าเดิม งั้นรอนี่แปปนึง เดี๋ยวมา” เธอว่าแล้วเดินออกไปจากร้านพร้อมแก้วกาแฟ



พิรัลวัชรนั่งกระดิกเท้ามองเข็มนาฬิกาข้อมือ นี่มันเกือบจะสิบห้านาทีแล้วนะ หายไปไหนของเธอเนี่ย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความไปหาวัชรธันว์

‘อยู่ที่มิสเตอร์โดนัทชั้น 1’

ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนไปกดปุ่มโทรออกเบอร์ของมิลลาดา เธอก็เดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟแก้วเดิมในมือแล้วนั่งลงที่โต๊ะ

“อ่ะ ลองดูดสิ” มิลลาดาว่า พลางยื่นแก้วกาแฟมาตรงหน้า

“นี่มินเอาแก้วกาแฟไปทำอะไรมา” พิรัลวัชรอดสงสัยไม่ได้ ตามประสาคนที่ชอบคิดร้ายอยู่ตลอดเวลา

“ไม่ได้ใส่ยาพิษไว้หรอกน่า”

คราวนี้พิรัลวัชรยอมรับมาดื่ม แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่ามันเป็นกาแฟของร้านสตาร์บัคส์แบบที่เขาชอบ

“ไอซ์ คาราเมล มัคคิอาโต นมสดผสมน้ำเชื่อมวานิลลา ใส่กาแฟเอสเพรสโซ่ และน้ำแข็ง ราดด้วยคาราเมลซอส”

เขาอดแปลใจไม่ได้ที่มิลลาดารู้รสชาติใหม่ที่เขาชอบ ตอนนี้เป็นช่วงที่เขากำลังบ้าคาราเมล ตั้งแต่ช่วงที่สเวนเซ่นมีเทศกาลคาราเมล เขาก็เริ่มหันมาลองกินกาแฟใส่คาราเมลของสตาร์บั๊ค แต่ไม่มีอะไรยั่งยืนนักหรอก เดี๋ยวอีกสามสี่เดือน เขาก็อาจจะเปลี่ยนไปชอบกินชาเขียวปั่นก็ได้

ขณะที่พิรัลวัชรกำลังดูด ไอซ์ คาราเมล มัคคิอาโต อย่างอารมณ์ดี เขาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสูงๆขาวๆหล่อแบบพวกพระเอกเกาหลีเดินเข้ามาที่ร้านมิสเตอร์โดนัท และกำลังเดินมาทางโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่

สายตาของคนในร้านที่นั่งอยู่ตั้งแต่ตอนที่พิรัลวัชรกับมิลลาดาทะเลาะกันหน้าร้าน หันมามองทางโต๊ะของพิรัลวัชรทันที

“ขอโทษนะคะมิน ที่พี่มาช้า ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงหาที่จอดรถไม่ได้เลย สงสัยเป็นเพราะมีงานในห้างฯมั้ง” ศัศวัตพูดปนเสียงหอบนิดๆ

ขอโทษนะคะมิน งั้นเรอะ พิรัลวัชรส่งเสียง หึ ออกมาด้วยความหมั่นไส้ คนที่พูดคะขาสำหรับเขามีแค่ สอง ประเภทเท่านั้นแหละ ไม่ผู้ชายเจ้าชู้ไก่แจ้ ก็ไม้ป่าเดียวกัน และไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่เหมาะจะนำมาทำพันธุ์ทั้งสิ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีมินเจอรัลพอดี พี่วินจำที่มินเล่าให้ฟังได้มั้ยค่ะ”

“จำได้สิค่ะ” ศัศวัตตอบ แล้วหันไปพูดกับพิรัลวัชรพลางยื่นมือให้ “สวัสดีครับคุณพิรัลวัชร ผมศัศวัต ยินดีที่ได้รู้จัก”

พิรัลวัชรเมินมือของศัศวัต “ก็ดีที่คุณมาแล้ว จะได้รับยัยตัวยุ่งนี่ไปซะที”

“ขอบคุณครับที่ช่วยดูแลมินให้” เมื่อเห็นพิรัลวัชรไม่สนใจ ศัศวัตจึงพูดต่อ “งั้นผมกับมินขอตัวก่อนนะครับ”

“ไปก่อนนะรัลๆ” มิลลาดาโบกมือให้พิรัลวัชรก่อนจะเดินตามศัศวัตไป
ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวินาทีศัศวัตก็หันกลับมามองพิรัลวัชรเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

“มีอะไรเหรอค่ะพี่วิน” มิลลาดาถามเมื่อเห็นศัศวัตไม่ยอมเดินออกจากร้าน

“อ๋อ! คุณพิรัลวัชร” ศัศวัตพูด “ผมรอใบเสนอราคาจากบริษัทคุณอยู่นะ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบกระเบื้องกับสุขภัณฑ์ของ YETCH ดีไซน์ใหม่ของบริษัทคุณเหมาะกับคอนเซ็ปต์ของคอนโดเฟสใหม่ของผม ถ้าคุณจะเสนอราคาให้ต่ำลงสักนิดนึง” เขาจีบมือให้ดูว่านิดนึงน่ะมันแค่ไหน “ผมคิดว่าเราน่าจะได้ทำธุรกิจร่วมกัน”

“แล้วผมจะลองคิดดู” พิรัชวัชรพยักหน้าตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ อันที่จริงเขามีราคาที่เหมาะสมที่จะเสนอให้กับบริษัทอิสระพัฒน์ฯอยู่แล้ว แต่พอเขารู้ว่าศัศวัตชอบดีไซน์ใหม่ของ YETCH ราคาที่จะเสนอให้ก็คงจะต้อง…
สูงขึ้น ไม่ใช่ต่ำลง

ลูกค้าที่ต้องการอะไรมากๆ...มักจะไม่เกี่ยงเรื่องราคาเท่าไหร่

และเขาชอบที่จะรีดเงินจากกระเป๋าของศัศวัตอยู่แล้ว เพราะนั่นหมายถึงการรีดเงินจากว่าที่สามีของมิลลาดา และมันทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นบ้า



“ไม่ต้องเสียใจนะพ่อหนุ่ม” เสียงแหบๆแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งจากโต๊ะข้างๆดังขึ้น

พิรัชวัชรหันไปทางต้นเสียงเห็นคุณยายเสื้อม่วงกำลังส่งยิ้ม พร้อมยื่นรูปภาพใบนึงมาให้ เขายื่นมือไปรับอย่างเสียไม่ได้แล้วพลิกดูรูป เห็นเป็นรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถักเปียสองข้างยิ้มโชว์ฟันหลอข้างหน้าสองซี่ ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะอายุประมาณหกขวบ

“หลานสาวยายสวยมั้ย ถ้าพ่อหนุ่มสนใจโทรหายายเบอร์นี้ได้เลยนะ” ว่าแล้วคุณยายเสื้อม่วงก็ยื่นเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนบนเศษกระดาษมาให้

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรครับ คุณยายรับคืนไปเถอะครับ” พิรัลวัชรไม่ยอมรับเศษกระดาษนั้น และพยายามจะส่งรูปคืนให้อย่างกระอักกระอ่วน แต่คุณยายก็ยังคงยัดเยียดทั้งสองอย่างนั้นกลับมาจนได้

“แล้วโทรมานะพ่อหนุ่ม” คุณยายสั่นมือขวาซึ่งทำท่าโทรศัพท์อยู่แนบหูขณะพูด ก่อนจะเดินออกจากร้านสวนกับวัชรธันว์ที่วิ่งเข้ามาแบบหลบๆซ่อนๆ
เมื่อวัชรธันว์เห็นพี่ชายนั่งถอนหายใจกุมขมับอยู่ที่โต๊ะก็รีบวิ่งเข้ามานั่งทันที และพยายามจับหมวกแก๊ปให้คลุมศรีษะให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง แต่หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นทำให้คนสนใจเขามากขึ้น

“โอ๊ย ผมจะบ้าตายพี่รัล ทำไมคนถึงเยอะแบบนี้ก็ไม่รู้ กว่าผมจะหลบมาได้เล่นเอาเหนื่อยเลย” วัชรธันว์เขย่าแขนพิรัลวัชรที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาดูกาแฟอย่างเอาเป็นเอาตาย “พี่รัลๆฟังผมหน่อย เมื่อกี้ผมเห็นพี่มินกับแฟนเค้าด้วย”

“พี่ก็เห็น มีอะไรเหรอ”

“พี่ก็เห็นเหรอ!” วัชรธันว์ทำเสียงตกใจเต็มที่

“ก็ใช่น่ะสิ ก็ตอนรอธันว์ พี่เจอมินโดยบังเอิญ ก็เลยมานั่งรอที่นี่จนแฟนเค้ามารับนั่นแหละ”

วัชรธันว์หันไปมองซ้ายมองขวารอบๆร้าน เมื่อเห็นว่าโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่ห่างไปพอสมควร จึงเขยิบเข้าไปใกล้พิรัลวัชรแล้วกระซิบ “เมื่อวานผมเห็นแฟนพี่มินออกไปกับนางแบบคนนึงในงานแฟชั่นโชว์ที่ผมไปเดินแบบด้วย”

“จริงเหรอ...” สิ่งที่ได้ยินทำให้พิรัชวัชรอดสงสัยไม่ได้ ดูเหมือนว่าการมองโลกในแง่ร้ายของเขากำลังจะกลายเป็นความจริง

“และผมยังได้ยินเรื่องซุบซิบอย่างอื่นมาด้วย ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าแฟนพี่มิน นอกใจชัวร์”

“อืม...” พิรัชวัชรทำเสียงในลำคออย่างใช้ความคิด ก่อนที่ปากเต็มอิ่มจะบิดยิ้มและหัวเราะออกมา

ปกติแล้วคนที่ไม่รู้จักพิรัลวัชรดี ก็มักจะคิดว่าเขาไม่ปกติ และเลี่ยงการสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการหัวเราะโดยไร้สาเหตุ ส่วนคนที่สนิทในระดับหนึ่งก็มักจะพูดว่า ‘นายเหมือนคนบ้าเลยรู้ตัวมั้ย’ แต่สำหรับน้องชายอย่างวัชรธันว์แล้ว มันเป็นเรื่องปกติสามัญธรรมดาที่พิรัลวัชรจะเป็นแบบนี้ ซึ่งในกรณีนี้น้องชายอย่างเขาสันนิษฐานได้อย่างเดียวว่า จะต้องเป็นแผนการร้ายอะไรบางอย่าง อย่างแน่นอน

“เดี๋ยวธันว์เล่ารายละเอียดให้พี่ฟังตอนนั่งรถไปสนามบินนะ วันนี้พี่ไปส่งเอง แล้วค่อยให้เลขาฯพี่มาเอารถธันว์กลับ”

“ได้ แต่ขอผมดื่มนี่หน่อยนะ คอแห้งมาก” ว่าแล้ววัชรธันว์ก็หยิบแก้วกาแฟไปดื่ม ก่อนจะพ่นออกมาอย่างรวดเร็ว “นี่มันกาแฟหรือว่าอะไรเนี่ย”

“ก็กาแฟน่ะสิ ไอซ์ คาราเมล มัคคิอาโต” พิรัลวัชรพูดหน้าตาเฉยๆ ทั้งๆที่รู้ว่าวัชรธันว์ไม่ชอบคาราเมล

“ผมเกลียดคาราเมล แหวะ” วัชรธันว์ทำท่าจะอ้วกออกมา “ใครทำแบบนี้เนี่ย คงไม่ใช่พี่หรอกนะ”

อันที่จริงแล้วแต่ก่อนวัชรธันว์เคยชอบและคลั่งไคล้คาราเมลมากๆ แต่หลังจากที่เขากินขนมหวานและเครื่องดื่มที่ทำจากคาราเมลมากเกินไปจนเกิดอาเจียนขึ้นมา เขาก็เกลียดกลิ่นและรสสัมผัสของคาราเมลมาตั้งแต่วันนั้น

“ก็มินนี่เม้าส์ไงล่ะ... ธันว์ก็น่าจะรู้หนิว่า พี่มินของธันว์น่ะ... ไม่ชอบแหกกฎ”



หนึ่งสัปดาห์ก่อน

และเป็นวันเกิดของพิรัลวัชรและมิลลาดา

หากวัดระยะห่างเป็นหน่วยกิโลเกมตร สำนักงานใหญ่ของบริษัท สยามสุขภัทณพิบูลย์ จำกัด กับสำนักงานใหญ่ของบริษัท พี.เค.เฟอร์นิเจอร์ จำกัด ก็อยู่ห่างกันไม่ถึงห้ากิโลเมตร และหากรถวิ่งด้วยความเร็วอย่างน้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แค่เพียงสิบสองนาทีก็สามารถไปถึงกันได้

แต่ตอนนี้พิรัลวัชรกำลังติดแหง็กอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่เชื่อมระหว่างสำนักงานสองแห่งนี้เข้าด้วยกันเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เขานั่งไม่ติดเก้าอี้และคอยจ้องว่าเมื่อไหร่รถคันข้างหน้าจะขยับไปสักที และถ้ารถโตโยต้าคัมรี่คันที่อยู่ข้างหน้ามีชีวิตล่ะก็ มันก็คงจะเสียวท้ายน่าดูที่ถูกรถบีเอ็มดับบลิวจี้ก้นประหนึ่งว่าเป็นการใช้ปืนจี้บังคับตัวประกัน

ในฐานะที่เขาเกิดและโตในกรุงเทพฯ การที่สื่อต่างชาติจัดอันดับให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดอันดับสามของโลกในปี 2012 เป็นสิ่งที่ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ เขารู้ว่ากรุงเทพฯมีความสวยงามและมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งซึ่งพวกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากแห่กันมาเพื่อที่จะชมสถานที่เหล่านั้น แต่ก็มีหลายที่ที่เขาไม่เคยไปเที่ยวแม้แต่ครั้งเดียว และไม่นึกสนใจอยากจะไปด้วย อย่างไรก็ตามเขาไม่แปลกใจสักนิดที่กรุงเทพฯได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองหลวงที่รถติดที่สุดในโลก เพราะหลังจากที่เขาใช้เวลากว่าหกปีอยู่ในประเทศที่รถติดน้อยกว่านี้ เขาก็ไม่ชินกับการนั่งแช่ตากแอร์อยู่ในรถนานๆ

หลังจากผ่านไปห้าสิบห้านาทีรถของเขาก็ค่อยๆคืบคลานมาถึงที่กลับรถหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท พี.เค.เฟอร์นิเจอร์ จำกัด และเขาก็พบว่ามีแท่งคอนกรีตกั้นจุดกลับรถเอาไว้อย่างน่าโมโห เขาสบถอย่างทำอะไรไม่ได้และขับต่อไปเพื่อไปกลับรถตรงที่กลับรถข้างหน้า และต้องทนรถติดในถนนฝั่งตรงข้ามอีกกว่าสิบห้านาที กว่าที่เขาจะเลี้ยวรถเข้าไปในจุดหมายปลายทางที่เขาต้องการได้

เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาได้รับสายจากวัชรธันว์ เขาก็รีบโทรหามิลลาดาแต่เธอไม่รับสาย เขาเลยโทรไปที่สำนักงานแทน และได้รับคำตอบหลังจากที่พนักงานต้อนรับให้เขาถือสายรออยู่ประมาณห้านาทีว่า มิลลาดาประชุมอยู่ หลังจากใช้สมองไตร่ตรองดูแล้วเขาคิดว่า การขับรถมารับเธอที่นี่ด้วยตัวเองและพาไปที่โรงแรม คงจะง่ายกว่าการเกลี้ยกล่อมให้เธอขับรถตามเขาไปที่โรงแรมแน่ๆ

ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาพนักงานต้อนรับก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ เมื่อจดจำได้ว่าเขาเคยมาที่นี่บ่อยๆในฐานะแขกคนสำคัญของคุณอนุวัติ

“สวัสดีค่ะ คุณพิรัลวัชร วันนี้คุณอนุวัตไม่อยู่เข้าไปดูโรงงานที่นนทบุรีค่ะ”

“วันนี้ผมมาพบคุณมิลลาดา ไม่ทราบว่าตอนนี้เธอเลิกประชุมรึยัง” เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะประชาสัมพันธ์อย่างร้อนใจ

“สักครู่นะคะ” พนักงานต้อนรับโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย “คุณมิลลาดาเลิกประชุมแล้วค่ะ แต่เธอพึ่งเรียกผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเข้าไปคุยต่อค่ะ”

“ผมมีเรื่องด่วนที่จะคุยกับเธอ ห้องทำงานของเธออยู่ใกล้ๆห้องคุณอนุวัตใช่มั้ย”

“ใช่ค่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบเขาก็เดินดุ่มๆเข้าไปด้านในเลยโดยที่ไม่ฟังเสียงห้ามของพนักงานต้อนรับหญิง

เสียงออดหมดเวลาทำงานดังขึ้นและพนักงานจำนวนหนึ่งซึ่งตั้งตารอเสียงนี้มานานเหมือนกับเด็กนักเรียนที่หลับรอเวลาเลิกเรียนก็เดินสวนพิรัลวัชรออกมา พลางสงสัยว่าใครกันที่เดินเข้าไปในห้องทำงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน



เขารู้ว่าเขากำลังทำตัวเสียมารยาทอย่างไม่น่าให้อภัย หลังจากที่เคาะประตูเพียงสองครั้งและยังไม่ทันได้รับเสียงอนุญาตเขาก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา

การคาดเดาของเขาไม่ผิดพลาดเลยสักนิด มิลลาดากำลังคุยกับผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณจัดซื้อในปีหน้า และคงไม่มีอะไรจะมาดึงเธอออกไปจากงานตรงหน้าได้ ถ้าหากว่าเธอยังคุยธุระที่ค้างคาอยู่ไม่เสร็จ

ในขณะที่ผู้หญิงผมสั้นอายุประมาณสี่สิบกว่าๆซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเงยหน้าขึ้นมามองว่า ใครกันที่อาจหาญเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต มิลลาดากลับก้มหน้าอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อไป เหมือนกับว่าเธอไม่รับรู้ว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในห้อง

สมาธิขั้นสูงของเธอทำให้เธอสามารถอ่านหนังสือตลอดทั้งวันได้โดยไม่ต้องหยุดพัก เวลาที่เธอเรียนเธอสามารถฟังอาจารย์ได้ตลอดทั้งคาบโดยที่สามารถจับใจความสำคัญได้หมดทุกประโยคไม่มีหลุด เธอใช้เวลาในการทบทวนบทเรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำคะแนนได้ดีกว่าเขาที่อ่านหนังสือไม่ต่ำกว่าห้าสิบชั่วโมงได้อย่างสบายๆ ดังนั้นในตอนเด็กๆเขาจึงอิจฉาเธอมากที่เธอได้รับพรสววรค์นี้มาตั้งแต่เกิด

แต่ก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่ข้อดีย่อมจะมาพร้อมกับข้อเสีย สมาธิขั้นสูงของมิลลาดาเกือบจะทำให้เธอถูกรถชนตายมาแล้ว ถ้าเขาไม่ทันมองตอนที่เธอข้ามถนนในวันนั้น เธอก็อาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ในเวลานี้ก็ได้

“ตัวเลขที่คุณนุชเสนอมาฉันว่าเหมาะสมแล้ว ฉันจะนำแผนงบประมาณไปคุยกับท่านประธานอีกที” มิลลาดาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารและนั่งพิงพนักเก้าอี้ ในสายตาเธอยังคงมีแต่นีรนุชซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า และในสมองก็มีแต่เรื่องการจัดทำรายงานส่งให้ท่านประธาน “คุณนุชค่ะ ฉันเข้าใจว่ามีความขัดแย้งระหว่างคุณกับคุณณรงค์ผู้จัดการฝ่ายผลิตเกี่ยวกับความรับผิดชอบเรื่องสินค้าชำรุด คุณณรงค์บอกว่าที่เกิด defect มากขนาดนั้นเป็นเพราะคุณนุชสั่งวัตถุดิบจาก Supplier ที่ไม่ได้คุณภาพ คุณนุชมีอะไรจะชี้แจงมั้ยค่ะ”

“ฉันว่าตอนนี้มันก็เลยเวลาเลิกงานแล้วนะมิน ทำไมเธอไม่ปล่อยให้พนักงานที่น่าสงสารกลับบ้านไปล่ะ” พิรัลวัชรเอ่ยแทรก

“รัล เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ตั้งแต่ ตัวเลขที่คุณเสนอมาฉันว่ามันเหมาะสม...” เขาเดินเข้ามาในห้องและสังเกตเห็นว่าผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ชื่อว่า นุช อะไรนั่นมีท่าทางโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามของมิลลาดา

“รัลมีอะไร ถ้าจะมาหาคุณพ่อ วันนี้คุณพ่อไปโรงงานที่นนทบุรี”

“ทำไมใครๆถึงชอบคิดว่าฉันมาหาคุณพ่อของเธอกันนะ” เขาทำหน้าผิดหวัง และเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆนีรนุช “วันนี้ฉันมาหาเธอโดยเฉพาะ และเธอต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้”

“ตอนนี้มินกำลังทำงานอยู่ ขอเวลาอีกสามสิบนาที รัลช่วยออกไปรอนอกห้องก่อนนะ”

“ไม่ได้ เธอต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็หันไปมองนีรนุช “ขออนุญาตนะครับ แต่ผมมีธุระด่วนที่ต้องขอยืมตัวคุณมิลลาดา”

ไม่กี่วินาทีต่อไปมาเขาก็คว้ากระเป๋าสะพานของมิลลาดามาถือไว้ ก่อนจะคว้าแขนเธอเพื่อดึงให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่เหมือนกับว่าก้นของมิลลาดาทากาวตราช้างไว้กับเก้าอี้อย่างไรอย่างนั้น เขาก็เลยต้องใช้กำลังที่มีมากกว่าเข้าสู้

“รัลจะพามินไปไหน” เธอเริ่มโวยเมื่อถูกเขาลากไปเกือบจะถึงประตูอยู่แล้ว

แต่ก่อนจะออกจากห้องเขาก็หันกลับไปมองนีรนุชซึ่งนั่งงงอยู่ที่เก้าอี้ “อย่าลืมเขียนรายงานเรื่องการจัดซื้อวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพนะครับ เมื่อคุณมิลลาดามาทำงานในวันจันทร์ ผมหวังว่าเธอจะพบคำชี้แจงของคุณนุชวางไว้บนโต๊ะแล้ว” แล้วมุมปากข้างขวาของเขาก็กระตุกขึ้นนิดๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่’



“พามินมาที่โรงแรมนี่ทำไม” เสียงมิลลาดาดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในลิฟต์ มีอย่างที่ไหนบุกเข้ามาลากเธอถึงที่ทำงานทั้งๆที่ยังคุยงานไม่เสร็จ ระหว่างทางก็ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ เอาแต่ขับรถเร็วอย่างบ้าระห่ำเหมือนพวกแก๊งค์ค้าอาวุธเถื่อนข้ามชาติกำลังหนีเอฟบีไอก็ไม่ปาน

พอมาถึงโรงแรมก็หลบไปโทรศัพท์แบบมีพิรุธน่าสงสัย แต่มีเหรอที่เธอจะนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้เฉยๆอย่างที่เขาสั่ง มิลลาดาจึงแอบเดินตามพิรัลวัชรไปและได้ยินเขาคุยโทรศัพท์

“...กำลังจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละ ชั้นยี่สิบ ห้อง 2013 ใช่มั้ย โอเค เฝ้าไว้นะอย่าให้พลาด”

พอพิรัลวัชรกำลังจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง เสียงลิงค์โทนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง มิลลาดาเห็นเขาดูหน้าจอมือถือแล้วกดสายทิ้ง แต่เสียงลิงค์โทนก็ดังขึ้นมาอีกหลายครั้งจนเขาตัดสินใจรับสายด้วยความรำคาญ

“มีอะไรรึเปล่าครับคุณแป้ง พอดีว่าผมมีธุระด่วนมาก... ใช่ครับ วันนี้วันเกิดผม แล้วทำไมเหรอ... อยากเจอผมงั้นเหรอ... แต่วันนี้ผมไม่ว่างไงครับ ไว้วันหลังดีมั้ย... ไม่เห็นจำเป็นเลยหนิครับ วันไหนๆก็เหมือนกันแหละครับ... ผมว่าคุณสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาคุยกับผมดีกว่านะ ผมไปล่ะ”

แล้วมิลลาดาก็เห็นเขากดปิดเครื่องก่อนจะเดินออกมา เธอจึงรีบวิ่งกลับไปนั่งที่ล็อบบี้ตามเดิม พลางเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือไปด้วยเหมือนกำลังเบื่อเต็มที่

แต่พอพิรัลวัชรเดินกลับมาเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก นอกจากลากเธอเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้นยี่สิบด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจแบบที่น้อยครั้งนักเธอจะได้เห็น และนั่นทำให้มิลลาดานึกกลัว

ทุกครั้งที่มิลลาดาคิดว่าเธอเข้าใกล้พิรัลวัชรเข้าไปได้อีกนิด เขาก็มักจะลอยห่างออกไปทุกทีโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้และปล่อยเขาไว้ในโลกของเขาเพียงลำพัง ก็ถ้าเขาอยากจะเน่าตายอยู่ในนั้นคนเดียวก็ตามใจเขาเถอะ ส่วนเธอก็จะเดินไปตามทางของเธอตามใจเธอเหมือนกัน
เมื่อตัวเลขบนลิฟต์แสดงหมายเลขแปด พิรัลวัชรก็หันมาหามิลลาดา และเดินเข้ามาใกล้จนเธอต้องถอยไปชนผนังลิฟต์

“เมื่อกี้ มินว่าอะไรนะ” เขาถาม

“มินถามว่า รัลพามินมาที่นี่ทำไม”

“อ๋อ ฉันก็จะ…” เขาเดินเข้ามาใกล้อีกจนเธอหลับตาหดตัวชิดผนังลิฟต์มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยความตกใจ

“เซอร์ไพร์ส! เธอน่ะสิ ก็วันนี้วันเกิดพวกเราไม่ใช่เหรอ” พูดจบเขาก็เดินถอยหลังออกไป

ส่วนมิลลาดาก็เตะใส่หน้าแข้งพิรัลวัชรหนึ่งทีแรงๆด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเดินตามเขาออกมาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นยี่สิบ

“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องเลย รัลๆเนี่ย” เธอบ่นปนขำกับความเพี้ยนของเขา

หลังจากเดินผ่านมาได้ประมาณสามห้อง พิรัลวัชรก็หันกลับมามองมิลลาดาด้วยท่าทีขึงขัง

“ฟังฉันให้ดีนะมิลลาดา”

คราวนี้อะไรอีกล่ะ

“พูดสิ มินฟังอยู่”

“ฉันรู้มาว่าแฟนของเธอกำลังนอกใจเธอ”

“แล้วยังไง” เธอเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แต่เธอไม่ประหลาดใจสักนิดที่พิรัลวัชรเป็นคนบอก ก็ถ้าใครสักคนจะบอกเรื่องนี้กับเธอก็มีแต่เขาเท่านั้นนี่แหละ
นี่มันก็ครั้งที่สามสิบเข้าไปแล้วที่เขาพูด เรื่องศัศวัตนอกใจเธอ ทำให้มันเกินคำว่าหวังดีไปไกลโขแล้ว และดูเหมือนการสาปแช่งมากกว่า

“เธอบอกว่า ความรักคือการไว้ใจใช่มั้ย”

“ใช่! ความรักคือการไว้ใจ ความรักคือการเชื่อใจ” ต่อให้พูดจนปากเปื่อยคำๆนี้ก็คงจะไม่ซึมลงไปในสมองของเขาหรอก เธอคิดอย่างเหนื่อยใจ

“ตามมาแล้วจะรู้เอง” เขากระตุกมุมปากขวาขึ้นอย่างมีเลศนัย เมื่อคิดถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้จะต้องมีฉากตบ หรือถ้าเป็นกรณีของมินลาดาอาจจะเป็นการใช้ขายาวๆสวยๆของเธอสร้างความเสียหายใดๆก็ได้บนร่างกายของศัศวัต หรืออาจจะเป็น...จุดยุทธศาสตร์ นั่นจะต้องเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ที่น่ารื่นรมย์มากทีเดียว

“เธออาจจะคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ความรักมามากกว่าฉัน มันก็จริงอยู่ แต่ความรักไม่ใช่ความยินยอมพร้อมใจของคนทั้งสองฝ่ายหรอกเหรอ และถ้าเธออยากรู้ว่า ความรัก ความไว้ใจ ของเธอมันมีค่าแค่ไหนล่ะก็...” เขาเดินนำไปข้างหน้าอีกสิบกว่าเมตร แล้วจ้องหมายเลขสีทอง 2013 บนประตูห้อง ก่อนจะหันกลับมามองมิลลาดาที่เดินตามเขามาติดๆ

“ลองกดออดห้องนี้ดูสิ” พิรัลวัชรพูดอย่างเชิญชวน

และคิดว่าวันนี้...คำพูดของเขาช่างคมคายจริงๆ






ฌลารักษ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ม.ค. 2556, 15:10:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ส.ค. 2556, 09:44:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1615





<< บทที่ 1 :: Devil vs. Angel    คุยกับนักอ่านค่ะ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account