หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ 2

เมื่อแสงสุรีย์เริ่มถักทอทาบทาขอบฟ้า ศาศวัตราก็ออกเดินทาง...หญิงสาวเดินไปตามทางเดินดินที่ทอดยาวไปทางด้านหลังของตัวบ้าน ผ่านแปลงกุหลาบหลากสีและพืชผักสำหรับนำไปขายในตลาด ตรงดิ่งไปยังคอกม้าขนาดเล็กที่แยกตัวออกมาไกลพอควร เพียงครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมกับเจ้าดำตัวโปรด ร่างเล็กลูบไล้แผงคอของมันอย่างแสนรัก กระซิบกระซาบพูดคุยหยอกล้ออยู่ชั่วอึดใจจึงกระโดดขึ้นควบ แล้วกระตุกบังเหียนให้มันโผนทะยานไปเบื้องหน้ามุ่งสู่ผืนป่ากว้างใหญ่ ตรงไปยังทิศทางที่คาดคะเนเอาไว้ว่าคณะทูตจะเดินทางผ่านมา

ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว กว่าเจ้าตัวจะสั่งให้เจ้าดำปลอดชะลอฝีเท้าและหยุดยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ศาศวัตราดึงผ้าที่ปิดจมูกลงต่ำ ตวัดสายตาสำรวจซ้ายขวาอย่างรอบคอบ พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด กลิ่นจางๆของควันไฟที่ลอยมาตามลมบอกชัดว่าเธออยู่ใกล้เป้าหมายมากพอดู จึงตัดสินใจกระโดดลงมายืนบนพื้น จัดการผูกบังเหียนเจ้าดำไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ก่อนบอกมันด้วยเสียงอ่อนโยน

“อยู่ที่นี่รอข้านะเจ้าดำ แล้วข้าจะรีบกลับมา”

เจ้าตัวส่งยิ้มให้อาชาตัวโปรดเสียหนึ่งที ดึงผ้าสีดำปิดทับใบหน้าเบื้องล่างตามเดิมก่อนเดินจากมา เร่งฝีเท้าแฝงตัวไปตามสุมทุมพุ่มไม้ที่ขนาบสองข้างของทางเดินดินที่บอกชัดว่ามีผู้คนใช้สัญจรไปมาอยู่บ่อยครั้ง

ท่ามกลางหญ้ารกชัฏ ร่างในชุดดำก้มต่ำคืบคลานทีละน้อยอย่างระแวดระวัง ครู่ใหญ่จึงแว่วเสียงพูดคุยต่ำๆของใครหลายคนลอยมาให้ได้ยิน ศาศวัตราชะงักฝีเท้าในบัดดล รีบก้มตัวลงต่ำมากยิ่งขึ้น พร้อมกับซ่อนตัวหลับอยู่หลังต้นไม้ ชะโงกเพียงใบหน้าออกมาเพื่อกวาดตามองสำรวจให้ทั่วบริเวณ จากสุดปลายสายตา เธอเห็นควันไฟลอยพวยพุ่งขึ้นมากลางอากาศ และเห็นคนสามสี่คนในชุดดำเดินขวักไขว่ไปมา พอจะคะเนได้ว่า ณ ที่ตรงนั้นคือที่พักแรมของคณะทูตจากหฤษคีรี ทว่า...จากตรงนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าชายอัคคัญญ์ทรงนำทหารมามากน้อยเพียงใด เพียงแค่หยิบมือ หรือมากกว่านั้น ศาศวัตราขยับกายหมายใจว่าจะขยับเข้าไปสำรวจโดยรอบที่พักแรมของชาวหฤษคีรีอีกสักนิด ก็พลันมีมือของใครบางคนตะปบลงบนบ่าของเธออย่างรวดเร็ว

หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เม้มริมปากแน่นเมื่อรู้ว่าตนเองพลาดท่าเสียแล้ว ทั้งที่แน่ใจว่าตนเองย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แถมมั่นใจว่าในบริเวณนี้ไม่มีทหารจากหฤษคีรีซ่อนตัวอยู่แล้วแท้ๆ หากเธอกลับคิดผิดถนัด!

ศาศวัตรากลั้นหายใจ อยากยกมือเช็ดเหงื่อเม็ดโตผุดพรายมาตามไรผม หากทำได้เพียงแค่ห้ามตัวเองไว้ ขณะที่สมองเล็กๆของเธอเฝ้าครุ่นคิดหาหนทางหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่...น่าจะเลวร้ายนี้ให้ได้เสียโดยเร็ว

“เจ้าเป็นใคร”

เสียงที่เอ่ยไม่ได้ห้วนสั้น หากก็ไม่ได้อ่อนโยนแต่อย่างใด ศาศวัตราสัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจ บ่งบอกว่าเขาเป็นคนที่เคยชินกับการออกคำสั่งมาตลอดชีวิต

เมื่อไม่ได้คำตอบจากเธอ ชายผู้นั้นก็ถามย้ำอีกครั้งอย่างช้าชัดทุกถ้อยคำ

“ข้าถามว่า...เจ้าเป็นใคร”

คนถูกถามผ่องลมหายใจยาว ก่อนตอบออกไปแต่โดยดี

“ข้าเป็นชาวอาวันตี”

เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยจะตรงใจคนถามนัก ร่างเล็กจึงถูกอีกฝ่ายดึงให้หันไปเผชิญหน้า คราแรกศาศวัตราขัดขืนเต็มที่ แต่เมื่อสู้แรงไม่ไหวเจ้าตัวจึงจำยอม หันไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้นแต่โดยดี

ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวมองสบใบหน้าขาวจัดหากคมเข้มด้วยไรหนวดเขียวครึ้มและแนวกรามแข็งแกร่งชวนให้เกรงขาม ดวงตาของเขาไม่เรียวเล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนของเธอ จมูกของเขาโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากที่บางจนแทบจะเป็นเส้นตรง คิ้วเข้มพาดเฉียงกำลังขมวดเข้าหากันบอกชัดถึงความสงสัยและไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของ

“มาทำอะไรแถวนี้”

“แค่ผ่านมา”

เขาถามสั้นๆ เธอก็ตอบออกไปสั้นๆได้ใจความเฉกกัน

“บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”

“ข้าไม่จำเป็นต้องบอก”

คิ้วเข้มกดลึกขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะปล่อยมือจากบ่าเล็ก แล้วยกสองแขนกอดอกตนเองไว้ ท่าทางการยืนอย่างอกผายไหล่ผึ่ง และรัศมีการคุกคามบอกชัดว่าชายผู้นี้น่าจะเป็นทหารและอาจมียศค่อนข้างสูงเสียด้วย...ศาศวัตราประเมินในใจ ขณะกวาดสายตาพิจารณาชุดแต่งกายของคนตรงหน้า เป็นเสื้อดำคอวีแขนสั้นกับกางเกงสีดำรัดข้อเท้า ตรงเอวมีเชือกสีดำพันผูกไว้สำหรับใช้คาดกริชเล่มเล็กประจำกาย

...แต่ชุดลักษณะนี้มิใช่ชุดทหารของหฤษคีรี ไม่ใกล้เคียงเสียด้วยซ้ำ...ถ้อยคำของอาจารย์เซติเมื่อหลายเดือนก่อน เธอยังจำได้ขึ้นใจ

‘ทหารของหฤษคีรีสวมชุดคล้ายกับอาวันตี ต่างกันก็ตรงสี ของเรานั้นสวมชุดสีเขียว ส่วนฝ่ายนั้นเป็นชุดสีน้ำตาล เสื้อน้ำตาลมีเข็มขัดคาดไว้ตรงเอว กางเกงขายาวสีน้ำตาลและรองเท้าหนังสีดำ’

“เจ้าบุกรุกเข้ามาในเขตของเรา”

สุ้มเสียงกังวานนั้นฉุดดึงความคิดของศาศวัตราให้กลับสู่ปัจจุบัน หญิงสาวมองจ้องใบหน้าขาวๆที่ขาวเกินกว่าจะเป็นทหารอย่างไม่ลดละ ไม่ได้แสดงความหวั่นไหว หวาดกลัว แต่กลับมองสำรวจอย่างพินิจพิจารณา

“ข้าแน่ใจว่าข้ายังอยู่ในอาณาเขตของอาวันตี มิใช่...รัฐอื่น”

คนตัวโตราวยักปักษ์หลั่นพยักหน้า เรียวปากบางยกขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อไปว่า

“ถูก...ในข้อที่ว่าเจ้ายังอยู่ในอาณาเขตของอาวันตี แต่ตอนนี้มกุฏราชกุมารแห่งหฤษคีรีประทับอยู่ไม่ไกลนัก ข้าจึงจำเป็นต้องกำหนดเขต ป้องกันไม่ให้ใครอื่นที่ไม่น่าไว้ใจเข้ามาได้ และเจ้าก็เป็นคนแรกที่บุกรุกเข้ามา”

“ข้าไม่ได้บุกรุก ข้าเพียงแต่เดินผ่านมาเท่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรีประทับอยู่แถวนี้” คนตัวเล็กเค้นเสียงให้ห้าวลึกขณะโต้กลับข้อกล่าวหานั้นอย่างฉะฉาน

“แน่ใจหรือว่าเพียงแต่เดินผ่านมาเท่านั้น”

“แน่” ศาศวัตรายืนยันเสียงแข็งพร้อมกับจ้องมองดวงตาสีนิลที่มีประกายกึ่งดุดัน กึ่งอ่อนโยนของคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้ากำลังจะกลับบ้าน...ขอตัว”

ยังไม่ทันจะเดินเลี่ยงไป มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่บ่าของเธออีกครั้ง

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้”

ศาศวัตราตวัดสายตาหันไปมองทางด้านหลัง แล้วปัดมือของอีกฝ่ายออก

“ทำไมข้าจะไปไม่ได้”

“เพราะข้า...ไม่ไว้ใจเจ้า”

ศาศวัตราอยากจะวิ่งหนีไปเสียให้พ้นๆ แต่วินาทีถัดมา เจ้าตัวก็เกิดเปลี่ยนใจเมื่อแผนบางอย่างวาบเข้ามาในความคิด

...การทำให้คนของหฤษคีรีไว้ใจไม่น่าใช่เรื่องยากสำหรับเธอนี่นะ...ลองแฝงตัวเข้าไปรวมอยู่กับกลุ่มคณะทูต อาจจะได้ยินได้ฟังอะไรดีๆก็เป็นได้

“แล้วจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร” หญิงสาวหลุบสายตาลงต่ำ ซ่อนประกายเจ้าเล่ห์ของตนเองไว้ ขณะเอ่ยต่อไปว่า

“ให้ข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทดีไหม เป็นการยืนยันว่าข้าบริสุทธิ์ใจและไม่ได้คิดร้ายต่อเจ้าชายของท่านแม้แต่นิดเดียว”

คนตัวโตนิ่งเงียบไปนาน...นานจนเธอจะถอดใจอยู่แล้ว จู่ๆเสียงห้าวต่ำก็ดังขึ้น

“ได้”

ริมฝีปากภายใต้ผ้าสีดำแย้มกว้างทีเดียว และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตจึงเปล่งประกายสดใสร่าเริงชวนมองยิ่งนัก ยังผลให้ชายชุดดำยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้น พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาคนตรงหน้า

“เจ้าชื่ออะไร” คนถูกถามก้าวถอยหลัง เพื่อเลี่ยงหลบไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้จนเกินไปนัก

“ท่านบอกชื่อท่านมาก่อนซิ”

แม้จะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแต่หญิงสาวก็หากริ่งเกรงไม่

“อัค”

“อัค? แค่นั้น?”

“แค่นั้น ...ถึงตาเจ้าแล้ว”

ศาศวัตรานิ่งไปอึดใจก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก

“ศวัต”

“เจ้าเป็นทหารสอดแนมหรือเปล่า” คนตัวเล็กเลิกคิ้วน้อยๆ ขณะเดินถอยหลังมาจนแผ่นหลังชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อหมดหนทางถอย เจ้าตัวก็เชิดหน้าแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาชี้หน้าอีกฝ่าย

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกนะ”

คนตัวโตหยุดชะงักทันควัน

“ทำไม”

“ข้าไม่ชอบอยู่ใกล้คนแปลกหน้า”

เหตุผลนั้นช่างดูไร้สาระจนชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้ ริมฝีปากบางแย้มออกเพียงน้อย ก่อนเจ้าตัวจะรีบเม้มปากเพื่อไม่ไห้อีกคนตรงหน้ามองเห็นว่าตนเองกำลังขบขัน

“ได้...ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้...ห่างจากเจ้า...” ว่าพลางยื่นแขนออกไป วางบนศีรษะคนตัวเล็กอย่างถือวิสาสะ “เท่าช่วงแขนของข้านี่ล่ะ”

ศาศวัตราปัดมือเขาออกและกำลังจะอ้าปากเพียง หากคำถามของเขาทำให้เธอต้องหุบปากสนิท

“ตอบข้ามาได้รึยัง ว่าเจ้ามาสอดแนมหรือเปล่า”

“ข้าไม่ใช่กองสอดแนม เป็นแค่พลทหารฝึกหัดเท่านั้น...หรือถ้าข้าเป็นทหารสอดแนมจริงๆ ข้าก็ไม่มีวันบอกท่านหรอกว่าข้าเป็น เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านจะถามกี่ร้อยกี่พันครั้ง ท่านก็ไม่มีวันได้ความจริงอยู่ดี...” คนตัวเล็กยกมือกอดอกแล้วยักไหล่ ท่าทางเช่นนั้นราวกับหนุ่มน้อยที่กำลังแสดงความไม่ยี่หระต่อเหตุการณ์ตรงหน้า

“ท่านอย่าเสียเวลาถามอีกเลย”

จากนั้นศาศวัตราก็เอียงคอมองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วถามชัดถ้อยชัดคำ

“แล้วท่านล่ะ...เป็นใคร ทำหน้าที่อะไรในหฤษคีรี”

“ข้าจำเป็นต้องตอบเจ้าด้วยหรือ”

“ก็...เรากำลังจะเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่หรือ”

หญิงสาวตีขลุมหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้โดยพลัน

...เอาน่า สนิทๆกันไว้ก่อน เผลอๆอาจจะได้ข่าวดีๆไปบอกอาจารย์เซติก็เป็นได้

“ข้าไม่เคยมีเพื่อนจากหฤษคีรีสักคน...ดูๆแล้วเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้”

“เพื่อน?” คนตัวโตท้าวแขนลงบนต้นไม้ แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ ห่างเพียงคืบเดียวเท่านั้น ศาศวัตราผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด บัดนี้กลับใจสั่นไหวเพียงเพราะใครคนหนึ่งเข้ามา ‘ใกล้ชิด’ มากเกินไป

“ไหนท่านบอกว่าจะอยู่ห่างข้าหนึ่งช่วงแขนอย่างไรเล่า”

“ข้าอยู่ห่างไม่ได้หรอก เพราะข้าอยากเค้นความจริงจากเจ้า”

“ความจริงอะไร”

คนตัวโตมองลึกลงไปในดวงตากลมโตที่กะพริบปริบๆ...ความงดงามจากแววตาสุกสกาวทำให้เขาลืมตัวมองอย่างเผลอไผล และกว่าชายหนุ่มจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงห้าวลึกจากร่างเล็กนั่นละ

“ท่านอย่าจ้องข้าแบบนี้ได้ไหม ข้าอึดอัด!”

ร่างสูงรีบถอยห่างออกมาทันใด เกือบจะโพล่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ว หากก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนจะโพล่งออกมาตรงตามที่ใจคิดเมื่อครู่ว่า

“ข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้แน่นอนถ้าเจ้าเป็นผู้ชาย”

คนตัวเล็กแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง เธอกระแอมกระไอเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านกำลังกล่าวหาว่าข้าไม่ใช่ผู้ชายงั้นหรือ”

“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น”

ศาศวัตราเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วเอ่ยถามเรื่องที่คับข้องใจ

“ถามจริงเถอะท่าน...ถ้าข้าไม่ใช่ผู้ชาย ท่านจะไม่ยอมเป็นเพื่อนข้าอย่างนั้นหรือ”

ดวงตาสีนิลระริกไหว จะพึงพอใจ ขบขัน หรืออื่นใด ศาศวัตราเดาไม่ออก แต่มันทำให้เธอหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ก็ถ้าเจ้าเป็นหญิง...ข้าคง...” ชายหนุ่มยกมือลูบไรหนวดของตัวเอง “...อยากให้เจ้าเป็นมากกว่าเพื่อน”

คนที่ไม่เคยถูกบุรุษคนไหน ‘เกี้ยว’ มาก่อนถึงกับอ้าปากค้าง หน้าพลันร้อนวาบกว่าเดิมเป็นสองเท่า อยากจะต่อว่า โต้แย้ง หรือทำอะไรก็ได้นอกจากนิ่งเงียบอยู่เช่นนี้กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“เอาเถิด...” คนตัวโตถอยห่างออกไป แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเป็นทางการอีกครั้ง “ถ้าเจ้าอยากเป็นเพื่อนข้าอย่างจริงใจ ข้าก็ยินดี แต่ถ้าเจ้าอยากเป็นเพื่อนเพราะมีแผนอะไรในใจล่ะก็...”

เขาข่มขู่ด้วยเสียงดุดัน

“จุดจบของเจ้าไม่สวยแน่”

ศาศวัตราลอบกลืนน้ำลายก่อนเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย

“ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าเป็นพลทหาร แล้วท่านล่ะ...เป็นใคร”

คนตัวโตเลื่อนสายตาขึ้นมามองสบดวงตากลมโตแล้วตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ข้าเป็นทหารเช่นกัน...”

นั่นอย่างไรเล่า...ข้อสันนิษฐานในตอนแรกของเธอถูกเผง ดวงตาคู่สวยยังเปล่งประกายเริงรื่นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นคลางแคลงสงสัย

...ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมทหารของหฤษคีรีจึงได้สวมชุดที่แปลกแตกต่างออกไป ไม่ตรงกับที่อาจารย์เซติบอกเลยแม้แต่น้อยนิด...

คนตัวเล็กพยายามทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนมาอย่างสุดความสามารถ จนมาสะดุดเข้ากับคำว่านักรบทมิฬ...เธอเผยอริมฝีปากเล็กน้อย หัวใจกระตุกวูบเมื่อค้นพบว่าผู้ชายตัวสูงราวยักษ์ปักหลั่นผู้นี้อาจจะเป็น...

...คำตอบในใจเธอตรงเผงกับคำตอบจากนายทหารชุดดำที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงภูมิอกภูมิใจ

“ข้าเป็นทหาร...สังกัดหน่วยนักรบทมิฬ”

‘นักรบทมิฬ’ ...นักรบที่ทั้งดุร้าย ป่าเถื่อน และชอบเข่นฆ่าเป็นชีวิตจิตใจอย่างที่อาจารย์เซติเล่าให้ฟังหรือไร...

หญิงสาวตัวชาวาบ มองเห็นเค้าลางของความวุ่นวายอยู่รำไร

...ถ้าการเสด็จอาวันตีของเจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรีมีอะไรแอบแฝงอยู่ล่ะก็ นักรบทมิฬเหล่านี้คงเป็นตัวการสำคัญในการทำให้อาวันตีตกอยู่ในอันตราย

ศาศวัตราจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา ดวงตากลมโตระริกไหว...คราแรกเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม และสุดท้าย...แววตาคู่นั้นกลับบอกชัดถึงความกังวลในหัวใจ

และดูเหมือนชายชุดดำจะรับรู้ เมื่อเขาเอ่ยว่า

“เจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายกับอาวันตีหรือไร”

คนถูกถามเบิกตากว้างอย่างไม่นึกว่าชายหนุ่มจะจับความรู้สึกของเธอได้ หญิงสาวรีบหลุบสายตาลงต่ำก่อนส่ายหน้าเร็วรี่

“เปล่า”

“ไม่จริงหรอก...ข้าเห็น ดวงตาของเจ้าบอกทุกอย่างกับข้าแล้ว”

“ท่านอ่านดวงตาคนได้หรือไร...”

ถามทั้งๆที่ยังก้มหน้า จึงไม่ทันได้ระวังเมื่อชายที่ชื่ออัคกระทำการอันอุกอาจเอื้อมมือมาตวัดผ้าสีดำที่ปกปิดใบหน้าส่วนล่างของเธอออกอย่างว่องไวโดยไม่ทันให้เธอได้ต่อต้านหรือขัดขืนแม้แต่น้อย ศาศวัตราสะดุ้งสุดตัว เบิกตากว้างราวไข่ห่านเลยทีเดียว

“ท่าน!”

“ขออภัย” นักรบทมิฬก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษด้วยท่าทีราวกับผู้สูงศักดิ์

“ถ้าทำให้เจ้าไม่พอใจ ก็ขอโทษด้วย”

ขณะที่คนฟังกำมือที่สั่นระริกของตัวเองแนบแน่น พร้อมกับเม้มปากจนเป็นเส้นตรง เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโมโหอย่างที่สุด

“เจ้าบอกเองว่าเรากำลังจะเป็นเพื่อนกัน...แต่เจ้ากลับไม่ยอมเปิดเผยหน้าตากับข้า แล้วเราจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรเล่า”

เมื่อฟังเหตุผลนั้นแล้ว ศาศวัตราถึงกับพ่นลมออกจากปาก ทั้งโมโห ทั้งหงุดหงิดที่ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งใดๆตอกกลับอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

“ก็จริงของท่าน”

หญิงสาวกัดฟันพูดอย่างเนิบช้า ตอนนี้แม้แต่ใบหน้าขาวๆของเขาเธอก็แทบไม่อยากจะมอง

...น่าโมโหนัก! นับตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจนมุมจนต้องนิ่งเงียบเช่นนี้มาก่อนเลย คอยดูเถอะ เธอจะขอเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับผู้ชายคนนี้ตลอดปีตลอดชาติเลยเชียว!

“ตอนนี้ท่านเห็นหน้าข้าแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยหน้าตาของข้าอีกต่อไป”

หญิงสาวเอื้อมมือไปจับผ้าสีดำ และกำลังจะเลื่อนมันขึ้นมาวางไว้ที่เดิมก็ถูกคนตัวโตจับมือไว้เสียก่อน มือแข็งบีบแน่นราวคีมเหล็กจนเธอนิ่วหน้า

เจ็บอย่างไร...ศาศวัตราก็จะไม่มีวันกรีดร้องออกมาอย่างเด็ดขาด เพราะ...การแสดงความอ่อนแอต่อ ‘ศัตรู’ ไม่ใช่สิ่งที่เธอพึงกระทำแม้แต่น้อย

“เอ๊ะ...” ยังไม่ทันจะต่อว่าหรือตำหนิ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“มือเจ้าช่างนุ่มนิ่มนัก...ถามจริงๆเถิด เจ้าเป็นชายและเป็นทหารจริงๆ...” เอ่ยถามพลางยกมือของเธอขึ้นมาอย่างพิจารณา ศาศวัตราเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย พยายามชักมือกลับอย่างสุดความสามารถ แต่เรี่ยวแรงของเขามากกว่าเธอหลายเท่า จึงยื้อยุดมือของเธอไว้ในอุ้งมือของตนเองได้อย่างสบาย

“...หรือว่าเป็นหญิงปลอมตัวมากันแน่”

คนฟังใจหายวาบ ถ้อยคำผรุสวาทที่กำลังจะเปล่งออกมาเมื่อครู่กลืนหายลงไปในลำคอโดยพลัน สมองวิ่งวุ่นเร็วจี๋เพื่อหาทางหลบเลี่ยงและนำพาอีกฝ่ายไปยังประเด็นอื่น มิใช่เรื่องชายหรือหญิงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“ท่านหายมานานเช่นนี้ ไม่เป็นห่วงเจ้าชายของท่านเลยหรือ...”

...นึกอะไรไม่ออก ก็พูดถึงเจ้าชายอัคคัญญ์นี่แหละ....ความเป็นเจ้าเหนือหัว กับนายทหารผู้จงรักภักดีคงทำให้เขานึกประหวัดไปถึงความปลอดภัยของพระองค์ท่านจนลืมเลือนเรื่องของเธอไปเสียสิ้น

“...บางทีอาจจะมีกองทหารจากอาวันตีเข้าไปสอดแนมอย่างที่ท่านสงสัยอยู่ก็เป็นได้ ข้าว่า...ท่านเอาเวลาที่มาวุ่นอยู่กับข้ารีบกลับไปเฝ้าเจ้าชายของท่านยังจะดีกว่า”

คนตัวโตไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด แต่กลับก้าวเท้ายาวๆออกเดินโดยจับจูงเธอให้เดินตามด้วย

...จริงๆจะเรียกว่าเดินตามก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะตอนนี้ ศาศวัตราเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งเพื่อให้ตามเขาทัน ส่วนมือใหญ่ก็ยังพันธนาการมือเล็กไว้ไม่มั่นราวเป็นของสำคัญที่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป

“ท่านจะพาข้าไปไหน” แม้ว่าศาศวัตราจะตะโกนถามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ชายหน้าสวย ตาดุตรงหน้าก็ไม่ยอมปริปากตอบแม้สักคำ พาลทำให้คนตัวเล็กหงุดหงิดใจยิ่งนัก อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อ ‘จัดการ’ ท่าทางวางอำนาจของอีกฝ่ายให้สาสม แต่จำต้องยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้เพราะ ‘งาน’ ที่ได้รับมอบหมายมามิใช่การก่อปัญหาหรือสร้างศัตรู แต่เป็นการสืบหาข่าวและสอดแนมต่างหาก

...ที่สำคัญ ถ้าเธอทำพลาด นั่นย่อมหมายถึงความไม่ปลอดภัยของตัวเองและทุกๆคนในอาวันตีอีกด้วย

เดินลัดเลาะหมู่แมกไม้เพียงไม่นาน กลิ่นควันไฟที่เจือจางในบรรยากาศเมื่อครู่ก็รุนแรงและชัดเจนขึ้น ทำให้ศาศวัตราพอจะเดาได้ว่าคนตรงหน้าพาเธอมาที่ใด

ใจหนึ่งยินดีและฮึกเหิมที่รู้ว่าตนเองจะได้ ‘สืบ’ อย่างใกล้ชิดในวงล้อมของคณะทูตแห่งหฤษคีรี

หากอีกใจหนึ่งกลับนึกหวั่น เพราะถ้าเธอมีพิรุธและทำให้คนของหฤษคีรีรู้ว่า เป้าหมายที่เธอมาที่นี่คือสิ่งใด ชีวิตของเธอคงต้องจบสิ้นภายในป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว เพื่อกระตุ้นเตือนและให้กำลังใจตนเองว่าเธอต้องทำได้

...อาจารย์อุตส่าห์ไว้ใจให้เธอทำงานนี้ แล้วเธอจะทำให้ท่านผิดหวังได้อย่างไรเล่า!

ดวงตากลมโตที่มีรอยวูบไหวเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นมั่นคง แน่วนิ่ง และพร้อมจะสู้ยิบตาในบัดดล

ชายร่างสูงใหญ่จับจูง หรือพูดให้ถูกกว่านั้นคือ...ลากเธอมาภายในกลุ่มชายหนุ่มเกือบๆยี่สิบคน เท่าที่คะเนด้วยสายตาคร่าวๆ ครึ่งหนึ่งนั้นสวมชุดดำแบบเดียวกับคนที่แนะนำตัวว่าอัคสวมใส่ ส่วนที่เหลือนั้นสวมชุดทหารสีน้ำตาลตามแบบฉบับของหฤษคีรี

ศาศวัตราใจหายวาบเมื่อรับรู้ในตอนนั้นว่า ‘นักรบทมิฬ’ รวมกลุ่มอยู่ในคณะทูตถึงครึ่งหนึ่ง เผลอๆอาจจะมากกว่าครึ่งเสียด้วยซ้ำ!

ทำไม...คนพวกนี้ต้องการสิ่งใดจากอาวันตีกันแน่ แค่ต้องการเจริญสัมพันธไมตรี หรือมีแผนการอื่นใด

ข้อสงสัยนั้น ศาศวัตราให้คำตอบที่แน่ชัดลงไปไม่ได้ เพราะถ้าจะให้รู้แน่ชัดในวันนี้คงต้องโพล่งถามออกไปเพียงเท่านั้น และการถามเช่นนั้นคงทำให้เธอถูกบั่นคอตายเสียงตรงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

นายทหารหน่วยนักรบทมิฬนามว่าอัคพาเธอมาหยุดยืนหน้ากองไฟที่มีควันสีขาวลอยม้วนตัวขึ้นสู่เบื้องบน ยามเมื่อลมพัดโชย ก็ปรากฏรูปรอยแปลกตาก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากปลายหางตาเธอเห็นใครบางคนกำลังปรี่เข้ามาหา หน้าตาท่าทางร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่มือใหญ่หยาบกร้านอย่างคนที่มักจับดาบ จับกริชรบราฆ่าฟันมาตลอดชีวิตซึ่งกำลังกุมมือเธอแนบแน่นมาตลอดทางนั้นก็คลายออก เขาก้มหน้ากระซิบเบาๆกับเธอว่า

“รออยู่ที่นี่ก่อน อย่าคิดหนีไปไหนล่ะ”

ถึงเขาไม่พูดแบบนั้น ศาศวัตราก็ไม่คิดจะทะเล่อทะล่าหนีไปไหนอยู่แล้ว เพราะ ‘ข่าว’ ที่มาสืบยังไม่ได้อะไรเพิ่มเติมแม้แต่น้อย อีกทั้งชายชุดดำที่ต่างก็มองมายังเธออย่างเพ่งเล็งราวจ้าวป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อนั้น ทำให้เธอตระหนักได้ว่าชีวิตของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ศาศวัตราเบือนสายตาหันไปมองชายที่นำเธอมาที่นี่ ก็เห็นเขากำลังส่งเสียงพูดคุยกับนายทหารที่สวมชุดทหารสีน้ำตาลคนหนึ่ง ในชั่ววินาทีหนึ่ง หญิงสาวกำลังจะละสายตาจากมาก็พอดีสะดุดตาเข้ากับผ้าโพกศีรษะสีน้ำตาลซึ่งมีขนนกสีขาวเหลือบดำติดอยู่ทางด้านหน้าค่อนไปทางขวา ใกล้ๆกันนั้นเป็นตราประจำราชวงศ์ชามัลฮ์...ตรารูปดาบไขว้บนพื้นสีดำสนิท แสดงถึงดินแดนแห่งนักรบผู้ที่ใครๆต่างยากต่อกร...เป็นตราที่อาจารย์เซติเคยวาดให้เธอดูและอธิบายแต่ละส่วนอย่างละเอียดเมื่อหลายเดือนก่อน

และตอนนี้เธอก็ยังจำมันได้ขึ้นใจไม่ผิดเพี้ยน...

ศาศวัตรายกมือกอดอก แตะลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้มพร้อมกับกระเดาะไปมาจนเกิดเสียง ท่าทางและลักษณะเช่นนี้ มารดาของเธอเคยต่อว่าอยู่หลายครั้ง ถึงกระนั้นเวลาเผลอตัวหรือยามต้องใช้ความคิดหนักหน่วง เธอก็มักลืมตัวทำมันอยู่ร่ำไป

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...หญิงสาวกำลังลอบพิจารณาชายในชุดทหารสีน้ำตาลเข้มคนนั้น คนที่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรี

เจ้าชายพระองค์นี้ดูหล่อเหลาไม่หยอกทีเดียว วงพักตร์รูปไข่ค่อนข้างขาวรับกับนาสิกโด่งเป็นสัน ตรงปลายงองุ้มเล็กน้อย ดวงเนตรเรียวดูอ่อนโยนเป็นมิตร คิ้วเข้มโค้งได้รูปชวนมอง และเรียวโอษฐ์บางเฉียบราวอิสตรี...วรกายของพระองค์ดูแบบบาง ไม่ได้องอาจผึ่งผายอย่างชายที่ชื่ออัคคนนั้นเลย ที่สำคัญคือความนอบน้อมอย่างเกินพอดีที่พระองค์ทรงมีต่อนักรบทมิฬหนุ่มคนนั้นช่างน่าสงสัยยิ่งนัก

มันทำให้ศาศวัตราได้คิด...

คนตัวเล็กกัดริมฝีปากตัวเอง ขณะหรี่ตาพิจารณาชายทั้งสองอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ เพียงครู่เดียวเท่านั้นเจ้าตัวก็ได้ข้อสรุป

เจ้าชายที่ดูไม่สมเป็นเจ้าชายอาจเป็นตัวปลอมที่มีไว้สำหรับ ‘หลอกตา’ ใครๆในอาวันตี ซึ่งคนที่จะเลือกมานั้นย่อมต้องเป็นคนที่ดูอ่อนแอ ไม่มีพิษสงเช่นนี้ ส่วนเจ้าชายตัวจริงน่ะหรือ...ก็คนที่แนะนำตัวว่าเป็นทหารหน่วยนักรบทมิฬนั่นไง...ลองนึกดูซิ ชื่อ ‘อัค’ มันไม่ใกล้เคียงกับอัคคัญญ์มากไปหน่อยหรือไร...

หรือถ้าเจ้าชายพระองค์นี้เป็นตัวจริง หากก็ยังแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ นั่นแสดงว่าอำนาจทางการทหารของหฤษคีรีตกอยู่ในมือนักรบทมิฬทั้งหมด เผลอๆอาจรวมถึงอำนาจแห่งการปกครองทั้งหมดอีกด้วย

และ...อย่างสุดท้ายคือ เจ้าชายพระองค์นี้อาจทรงกำลัง ‘แสดง’ ละครให้ใครอื่นเห็นว่าพระองค์อ่อนแอ หากแท้จริงแล้วทรง ‘ซ่อน’ ความฉลาดเฉลียวและแข็งแกร่งไว้ภายใน

สามข้อสันนิษฐานนำมาซึ่งข้อสรุปเดียวเท่านั้น...อาวันตีจะประมาทหฤษคีรีไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว!

คนตัวเล็กระบายลมหายใจบางเบา พร้อมกับครุ่นคิดหาคำตอบจากข้อสันนิษฐานของตนว่าข้อใดกันแน่ที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่สุด

สองหนุ่มคุยกันอยู่ครู่เดียว ชายในชุดดำก็สาวเท้าตรงมาหาเธอ แล้วเอ่ยว่า

“เจ้าอยากเข้าเฝ้าเจ้าชายอัคคัญญ์ไม่ใช่หรือไร”

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนที่คนตรงหน้าจะเอ่ยต่อ

“งั้นก็เชิญที่กระโจมนั้นได้เลย” ชายหนุ่มชี้มือไปทางด้านหลัง ตรงกระโจมสีดำซึ่งตั้งใต้ต้นไม้ใหญ่ศาศวัตราเห็นเจ้าชายอัคคัญญ์ประนับนั่งรออยู่บนพระที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเม้มริมฝีปากก่อนพยักหน้า แล้วสาวเท้ามั่นคงตรงไปยังกระโจมหลังนั้นอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อมายืนตรงหน้าที่ประทับ ร่างเล็กก็คุกเข่าลงบนพื้น แล้วยกมือข้างขวาแตะหน้าผากก่อนเลื่อนมาวางตรงอกข้างซ้าย...เป็นการแสดงความเคารพตามแบบฉบับของหฤษคีรีซึ่งต่างจากของอาวันตีที่ทำเพียงกำมือทุบเบาๆลงบนอกข้างซ้ายเท่านั้น

การกระทำเช่นนั้นทำให้คนตรงหน้าเลิกขนงอย่างประหลาดพระทัย

“เจ้ารู้ธรรมเนียมการทำความเคารพของชาวหฤษคีรีด้วยหรือ”

“พะยะค่ะ” หญิงสาวทำเสียงห้าว ทูลตอบเพียงสั้นๆเท่านั้น

“รู้มาจากไหนล่ะ”

“อาจารย์พะยะค่ะ” ด้วยดวงตาที่หลุบต่ำมองเพียงพื้นดินทำให้เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าชายอัคคัญญ์ทรงทำพระพักตร์เช่นไร คงได้แต่คาดเดาว่าอาจจะกำลังแย้มสรวล หรือทำพระพักตร์เรียบเฉย หรืออาจทรงกำลังตื่นตะลึงอยู่ก็เป็นได้

“ข้าได้ยินจาก...” ทรงกระแอมกระไอเล็กน้อย ก่อนรับสั่งต่อ “...จากอัค ว่าเจ้ามาด้อมๆมองๆแถวนี้ เจ้าบอกเหตุผลว่าแค่ผ่านมา ไม่ได้มาสอดแนมข้า...จริงหรือ”

“พะยะค่ะ”

“แล้วเจ้ามาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”

“บ้านของกระหม่อมอยู่แถวๆนี้พะยะค่ะ บ่อยครั้งที่กระหม่อมมักขี่ม้าเข้ามาในป่า เพื่อชื่นชมธรรมชาติหรือไม่ก็หาของป่าพะยะค่ะ”

“อ้อ...งั้นรึ”

เจ้าชายอัคคัญญ์ไม่ได้รับสั่งว่ากระไรต่อ แต่คนที่พูดคือชายที่ชื่ออัคคนนั้นซึ่งตอนนี้กำลังยืนเคียงข้างเจ้าเหนือหัวของตนเองอยู่นั่นล่ะ

“แม้เจ้าจะให้เหตุผลเช่นนั้น แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าอยู่ดี” สุ้มเสียงวางอำนาจ และออกจะข่มบารมีของเจ้าชายอัคคัญญ์อยู่ในที

“กระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะทรงปล่อยเด็กคนนี้ไปหรอกนะพะยะค่ะ”

ถ้อยนำนั้นชวนให้ศาศวัตรากรุ่นโกรธอยู่ในอก และทำให้เธอแน่ใจอย่างแน่นอนแล้วว่า ชายผู้นี้ ‘สำคัญ’ ไม่น้อยทีเดียว

...ฉลาดหลักแหลม เก่งกาจ และดูมีอำนาจมากกว่าใคร มากกว่ามกุฎราชกุมารแห่งหฤษคีรีด้วยซ้ำไป บางทีคนคนนี้แหละที่คือเจ้าชายตัวจริง!

“แล้ว...” สุรเสียงอ่อนโยนของเจ้าชายอัคคัญญ์ดังขึ้น “ควรทำอย่างไรดี”

ถ้อยรับสั่งเหมือนการขอความเห็น ชวนให้ศาศวัตราอดนึกถึงถ้อยคำของอาจารย์เซติไม่ได้

‘ได้ยินข่าวลือว่าเจ้าชายรัชทายาทของหฤษคีรีจะเดินทางมาด้วย พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ เก่งฉกาจรอบตัว เจ้าต้องระวังให้ดีรู้ไหม’

...นี่น่ะหรือที่ว่าทรงมีพระปรีชาสามารถ เก่งกาจรอบตัว...คงเป็นแค่ข่าวลือเลื่อนเปื้อนไร้สาระเสียแล้วกระมัง

“กระหม่อมคิดว่า...” ความคิดของศาศวัตราหยุดลงเพียงแค่นั้นเมื่อเสียงห้าวต่ำของใครบางคนดังขึ้น

“ควรให้เด็กหนุ่มคนนี้ถอดผ้าโพกศีรษะและปลดเสื้อคลุมสีดำข้างนอกออกให้หมด เพื่อตรวจดูว่ามีอาวุธอะไรซุกซ่อนไว้หรือไม่ และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยพะยะค่ะ”

ศาศวัตรากัดฟันกรอด กำมือเข้าหากันแน่น พร้อมกับตอกย้ำกับตัวเองว่า

...ชายผู้นี้คงได้เป็นศัตรูของเธอตลอดปีตลอดชาติเสียจริงๆแล้ว อย่าหวังเลยว่าจะได้ผูกมิตร ผูกสัมพันธ์กันไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนก็ตาม!

พลันที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินอาดๆเข้ามาหาอย่างไม่รีรอใดๆทั้งสิ้น เห็นดังนั้นศาศวัตราถึงกับพรวดพราดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกระดาษ ดวงตาตื่นตระหนกชัดเจนราวกับกระต่ายป่าที่พยายามวิ่งหนีให้พ้นจากคมเขี้ยวหมาป่าที่แสนดุร้าย

คนตัวเล็กกัดฟันกรอดเมื่อเห็นประกายแวววามจากดวงตาสีดำสนิทของคนตรงหน้า

เขากำลังหัวเราะเยาะเธอ!

ตั้งแต่เกิดจวบจนวันนี้ยังไม่เคยมีใครมองเธอด้วยแววตาเช่นนี้เลยสักครั้ง...เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกก็ไม่ปาน....มันน่าจับมาควักลูกตาเสียจริงๆ!!

ถ้อยคำนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไว้ในใจเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น หากเอาเข้าจริงแล้ว ศาศวัตราไม่มีทางกระทำการอันรุนแรงเช่นนี้กับใครหรือกับสัตว์ใหญ่น้อยก็ตาม ขนาดออกไปล่าสัตว์ เธอยังไม่กล้ายิงธนูใส่พวกมันเลย นับประสาอะไรกับการทำร้ายคนอื่น เธอไม่มีวันทำอย่างแน่นอน

‘ศาตั้งใจจะเรียนการต่อสู้จากอาจารย์เพื่อไว้ใช้เอาตัวรอดและป้องกันตัวเอง...ศาไม่มีวันใช้ความรู้เหล่านี้ไปทำร้ายใครหรอก นอกจากคนคนนั้นจะทำร้ายศาก่อน’

“ไงล่ะ เจ้าหนุ่มน้อยตัวเปี๊ยก...ถึงกับกลัวตัวสั่นเลยเชียวหรือ”

ถ้อยคำดูถูกกลายๆนั้นเรียกให้สติที่เตลิดเปิดเปิงของเธอกลับคืนมา หญิงสาวหยุดก้าวถอยหลัง แล้วปักหลักยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนเชิดหน้ามองคนตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น ดื้อดึง

“อย่ามาเรียกข้าว่าตัวเปี๊ยกนะ”

“ไม่ให้เรียกตัวเปี๊ยกแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ลองก้มดูตัวเองเสียก่อนดีไหม” ว่าพลางยกมือกอดอกแล้วเดินวนรอบตัวหญิงสาวอย่างเนิบช้า

“ตัวของเจ้าน่ะสูงยังไม่ถึงอกของข้าเลย” สุ้มเสียงจงใจเยาะเย้ยเต็มที่ “ผู้ชายที่ตัวเล็กขนาดนี้ถูกเรียกว่าตัวเปี๊ยกมันก็ดูเหมาะสมดี...ไม่ใช่หรือ”

ประโยคสุดท้ายเจ้าตัวโน้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็ก และผลที่ได้คือถูกอีกฝ่ายใช้มือข่วน หรือจะเรียกว่าตะปบลงบนหน้าของเขาก็ว่าได้ ยังดีที่ชายหนุ่มว่องไวมากพอจึงเบี่ยงตัวหลบได้ทัน หากก็ไม่วายโดนปลายเล็บของเจ้าตัวจ้อยจนได้แผลตรงปลายคาง

...รู้สึกแสบๆคันๆ และเจ็บใจอยู่นิดๆ...

ฝ่ายศาศวัตรานั้น เมื่อรู้ตัวว่าตนเองลืมตัวประทุษร้ายทหารของหฤษคีรีเข้าแล้วก็ยิ่งหน้าเสียใจเสียเป็นสองเท่า

...เธอทำพลาดอีกแล้ว ช่างโง่เง่าอะไรเช่นนี้!

หญิงสาวก่นด่าตัวเองอีกครั้ง ...บางทีเธออาจจะยังไม่พร้อมสำหรับงานใหญ่เช่นนี้ก็เป็นได้

ศาศวัตรามั่นใจว่าการต่อสู้ของเธอนั้นไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไขโดยด่วน เห็นจะเป็นการควบคุมอารมณ์ของตนเองนี่แหละ

‘เจ้าน่ะยังเด็กนัก จะทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆรู้ไหม’

อาจารย์เซติเคยพูดไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว ตอนนั้นเธอแค่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น แต่มาบัดนี้ หญิงสาวประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่อาจารย์เอื้อนเอ่ยนั้นเป็นความจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก รับรู้ในบัดดลว่าชะตากรรมของตัวเองคงต้องมาจบลงตรงที่ถูกทหารของหฤษคีรีประหารเสียแล้วกระมัง

“ช่างเถิด...ข้าไม่ค้นตัวเจ้าแล้วก็ได้”

ได้ยินเช่นนั้นศาศวัตราถึงกับเงยหน้ามองคนพูดอย่างตื่นตะลึง ดวงตาสีดำสนิทดูดุดันคู่นั้น บัดนี้ทอประกายประหลาด...แบบที่เธอเดาความหมายไม่ออก และถึงขั้นเก็บเอาไปครุ่นคิดทั้งคืนเสียด้วย

“ท่านว่า...อะไรนะ”

“ข้าบอกว่า...ไม่จำเป็นต้องค้นตัวเจ้าแล้ว เพราะจากที่เจ้าข่วนหน้าข้าเมื่อครู่ ก็ย่อมหมายความว่าอาวุธของเจ้าที่มีอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเล็บคมกริบของเจ้าเพียงเท่านั้น”

จากนั้นนายทหารหน่วยรบทมิฬที่ศาศวัตราจำได้ขึ้นใจว่าชื่ออัคก็ดุ่มเดินกลับไปยังกระโจม แล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับมกุฎราชกุมารแห่งหฤษคีรี ก่อนเจ้าตัวจะเดินกลับมาหาเธอ ระหว่างนั้นหญิงสาวได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง

“ไป...เจ้ากลับบ้านได้แล้ว ข้าจะไปส่ง”

จากที่คิดว่าคงต้องถูกลงโทษถึงขั้นประหาร กลายเป็นว่าเธอถูกปล่อยให้เป็นอิสระ แถมอีกฝ่ายยังใจดีถึงขั้นจะไปส่งถึงที่บ้านอีกด้วย...ศาศวัตราถึงขั้นงงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว

“เอ้า...ยังทำยืนเป็นเบื้อใบ้อยู่อีก หรือเจ้าอยากถูกจับมัดมือมัดเท้าอยู่ที่นี่โทษฐานเข้ามาสอดแนมล่ะ”

“อะไรกัน ...ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าไม่ได้เป็นกองสอดแนม ข้าแค่เป็นคนที่บังเอิญผ่านมาทางนี้ก็เท่านั้น” คนตัวเล็กสวนกลับทันควันหลังจากตั้งสติได้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบออกไปจากที่นี่ซะ” ไม่พูดเปล่า คนตัวโตยังถือวิสาสะยกร่างเล็กขึ้นพาดบ่า แล้วสาวเท้าเร็วๆตรงไปยังทางที่ได้พบเธอเมื่อครู่นี้

“ท่านทำอะไรน่ะ! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!” หญิงสาวทั้งดิ้นรน ทั้งทุบตี แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ...เหตุการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขายหน้า เพราะคนที่เชื่อมั่นในฝีมือการต่อสู้ของตนเองอย่างเธอกลับพ่ายแพ้ทหารตัวโตสังกัดหน่วยนักรบทมิฬคนนี้อย่างหมดท่าน่ะซิ!

“อย่าดิ้นน่า! เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้ก็หนักเหมือนกันนะเจ้า” ร่างสูงปรามคนที่กำลังชักดิ้นชักงออยู่บนบ่า ขณะมุ่งมั่นเดินไปข้างหน้าต่อไปอย่างไม่คิดจะปล่อยคนตัวเล็กลงพื้นแม้แต่น้อย

ชั่วครู่ทีเดียวกว่าอัคจะพาหนุ่มน้อยตัวกะเปี๊ยกมาถึงจุดหมาย เขาวางเธอลงบนพื้น แต่แทนที่จะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มกลับยื้อยุดข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เดินมา หรือขี่ม้ามา”

คนถูกถามไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับยกขาหมายจะเตะใส่หน้าแข้งคนตรงหน้าเข้าเต็มเปา แต่ชายหนุ่มก็หลบได้ทันควัน

“อะไรกัน!...เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไง เพื่อนที่ไหนจะประทุษร้ายเพื่อนถึงสองครั้งสองคราแบบนี้”

ศาศวัตราเม้มปากสนิท พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเองให้นิ่งเข้าไว้ พร้อมกับท่องในใจว่า

...เป็นมิตร เป็นมิตร และเป็นมิตร...

เธอต้องทำตัวเป็นมิตรเข้าไว้ เพื่อจะได้สืบหาความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ของคณะทูตจากหฤษคีรีสำหรับการมาเยี่ยมเยียนอาวันตีในครั้งนี้หลังจากที่ไม่เคยเดินทางไปมาหาสู่กันเลยตลอดสิบกว่าปี

“ขอโทษ” หญิงสาวจำใจเอ่ยคำว่าขอโทษออกไป

“ก็ท่านทำให้ข้าโกรธนี่นา” บ่นอุบอิบอีกสองสามประโยคจึงเอื้อนเอ่ยแกมขอร้อง

“ปล่อยข้าเถอะ ข้าเจ็บ...”

เพราะถ้อยคำนั้นเองทำให้มือใหญ่คลายออก...เล็กน้อย

“ถ้าปล่อยแล้วเจ้าอย่าประทุษร้ายข้าอีกล่ะ แล้วอย่าวิ่งหนีไปไหนด้วย”

ศาศวัตรายอมพยักหน้าแต่โดยดี แม้ในใจจะขุ่นเคืองอารมณ์สักเพียงใด หากเจ้าตัวก็พยายามเก็บกดมันเอาไว้ ...ภาพในหัวของเธอตอนนี้คือภาพที่ตัวเองกำลังใช้มีกรีดหมอนที่ยัดนุ่นจนแน่นออกเป็นชิ้นๆไม่เหลือชิ้นดี

...คอยดูเถิด กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ เธอจะระบายอารมณ์ให้สาแก่ใจเลย!

“ว่าไง เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

“ข้าขี่ม้ามา”

“อยู่ไหนล่ะ” คนตัวเล็กทำปากยื่นยาวไปทางด้านหลังของคนตรงหน้า

“หลังพุ่มไม้นู่น”

เมื่อได้คำตอบ อัคก็ยอมปล่อยมือเธอข้างหนึ่ง แต่อีกข้างยังคงเกาะกุมไว้มั่น พร้อมทั้งจับจูงเธอให้เดินตรงไปยังหลังพุ่มไม้นั้นอีกด้วย

ไม่นานนักคนทั้งสองก็นั่งอย่างเรียบร้อยบนหลังม้า โดยมีร่างเล็กนั่งซ้อนอยู่ทางด้านหลัง

“กอดข้าไว้ซิเจ้าตัวเปี๊ยก เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก”

คนนั่งหน้าแนะนำอย่างใจดี หากคนข้างหลังกลับทำเสียงบางอย่างในลำคอราวกับไม่พอใจหรือขยะแขยงเป็นนักหนา

“ขืนกอดกัน ฟ้าจะผ่าเอาน่ะซิ”

“ไม่หรอกน่า” คนตัวโตถือวิสาสะกระชากแขนทั้งสองของเธอให้กอดเอวเขาไว้โดยพลัน จากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ศาศวัตราจะชักมือออก ม้าตัวนั้นก็ห้อไปข้างหน้าเต็มฝีเท้าจนทำให้เธอแทบคะมำ และไม่สามารถดึงมือออกจากเอวหนาของคนตรงหน้าได้เลยเพราะถูกอีกฝ่ายจับยึดไว้อย่างแน่นหนา

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ เมื่อพบว่าฝีมือการขี่ม้าของนายทหารผู้นี้ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย ตรงกันข้าม...ออกจะเก่งกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

เห็นแล้วก็ให้นึกหงุดหงิดใจนัก

...นี่เธอจะแพ้เจ้ายักษ์ขี้เก๊กคนนี้อยู่ร่ำไปเลยหรืออย่างไร!...

ศาศวัตราหมายมั่นปั้นมือไว้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไปเธอจะตั้งใจเรียนให้หนักขึ้น และรอให้เธอโตกว่านี้อีกสักหน่อย...สองสามปีข้างหน้า ถ้ามีโอกาสล่ะก็เธอจะขอแข่งม้ากับเขา และเธอมั่นใจด้วยว่าผลการแข่งขันเธอจะต้องชนะ...

...ไม่มีทางที่ตายักษ์ตัวโตคนนี้จะชนะเธอแน่นอน เชื่อซิ!...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โซดา,คิมหันต์,จิรารัตน์ : ขอบคุณมากค่า ^___^


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
https://www.facebook.com/sasipawriter




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2556, 09:30:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2556, 10:11:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1806





<< บทนำ+บทที่ 1   บทที่ 3+บทที่ 4 >>
แว่นใส 21 ม.ค. 2556, 12:02:27 น.
เจอคู่กันแล้วมั้งเนี่ย พระเอกเราน่าจะรู้ว่าเป็นผู้หญิงนะ


โซดา 21 ม.ค. 2556, 14:35:44 น.
อิอิ ชอบอ่ะ


angelK 22 ม.ค. 2556, 09:10:52 น.
"ศาศวัตราปัดมือเขาออกและกำลังจะอ้าปากเพียง" นี่ ต้องเป็น "กำลังจะอ้าปากเถียง" หรือเปล่าคะ?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account