ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 9 (ตามล่า... 1)

บทที่ 9
(ตามล่า... 1)

“หิวน้ำหรือเปล่า ดื่มน้ำหน่อยมั้ย”

เสียงคุณหมอสาวถามเพื่อนรักที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ดลินาไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว แผลถลอกตอนนี้เริ่มตกสะเก็ด รอยช้ำบนใบตอนนี้ไม้หลงเหลือให้เห็นแล้ว รจนาปรับเตียงให้เพื่อนนั่งได้สะดวกมากขึ้น แม้ว่าอาการของเธอยังไม่ดีถึงขั้นเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ก็ยังดีกว่านอนเป็นผักอยู่บนเตียง

รจนายกแก้วจรดหลอดไปที่ปากของดลินาเพื่อดื่มน้ำได้สะดวกมากขึ้น ดลินาเอ่ยขอบคุณเพื่อนรักเบาๆ เธอยังออกเสียงได้ไม่มากเพราะเวลาพูดเธอจะรู้สึกปวดบริเวณช่วงอก อาการบอบช้ำภายในยังส่งผลต่อหญิงสาวพอสมควร

แม้สภาพร่างกายโดยรวมดูจะไม่น่าเป็นห่วงมาก แต่คนป่วยรู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะทุกครั้งที่ขยับเธอจะรู้สึกปวดไปทั้งตัว เวลารจนามาทำกายภาพบำบัดให้ดลินาต้องกลั้นไม่ส่งเสียงร้องออกมา เธอไม่อยากให้เพื่อนหรือใครต้องเป็นห่วงเธอมากไปกว่านี้แล้ว

วันที่ดลินาลืมตาตื่นก็เห็นเพื่อนรักนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงร้องไห้ ใบหน้าแสดงออกถึงความดีใจ ดลินารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ทำให้ใครหลายคนต้องเป็นห่วง ยิ่งเห็นเพื่อนผู้ที่เข้มแข็งเสมอต้องหลั่งน้ำตาเพราะเธอดลินาได้แต่กล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจ

“เป็นไงบ้าง ยังปวดอยู่หรือเปล่า”

ส่ายหน้าปฏิเสธแทนการพูด ดลินาเห็นการกระทำของเพื่อนที่ตลอดเวลาคอยดูแลเธออย่างไม่รังเกียจดลินารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนคนนี้ น้ำตาแห่งความตื้นตันหลั่งลงมาเป็นสาย รจนาเห็นอย่างนั้นนึกว่าเพื่อนรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหนจึงได้ร้องไห้ออกมารู้สึกตกใจอย่างมาก

“เป็นไรข้าว! ร้องไห้ทำไม... แกเจ็บหรอ เจ็บตรงไหน บอกมาเดี๋ยวฉันดูให้”

ว่าแล้วคุณหมอสาวก็รีบเข้าไปดูอาการของเพื่อนรัก ดลินาจับมือของเพื่อนสาวแล้วออกแรงบีบมองรจนาด้วยสายใจที่ขอบคุณ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณของเพื่อนคนนี้อย่างไร

“แยม ฉันขอบใจ ขอบใจแกจริงๆ นะ”

ดลินาพยายามเค้นเสียงที่สั่นเครือเอ่ยขอบคุณรจนาจากใจจริง คนฟังได้ยินอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลออกเช่นเดียวกับดลินา

“บ้าหรอ... ทำไมพูดอย่างนั้น แกเพื่อนฉันถ้าฉันไม่ช่วยแกแล้วจะให้ไปช่วยใคร ถ้าเทียบกับน้ำใจและความจริงใจที่มีให้ฉันตลอดมาแล้วแค่นี้เล็กน้อยจะตายไป”

เพื่อนแท้มีแค่คนเดียวก็มากเกินพอ สำหรับรจนาแล้วคำว่าเพื่อนนั้นสำคัญกับเธอเป็นอย่างมาก เพราะการที่เธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลทำให้เพื่อนแท้ที่เธอต้องการนั้นแทบไม่มี ทุกคนล้วนเห็นแก่เงินของรจนาเสียมากกว่า มีเพียงดลินาเท่านั้นที่ไม่สนใจเรื่องนั้นเลยสักนิด ปฏิบัติตัวกับเธอเหมือนเธอเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่มีชนชั้น ไม่มีฐานะเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างเกินขึ้นด้วยใจ

ประตูถูกเปิดเพราะกับร่างสูงใหญ่ของศิวกรเดินเข้ามา ภาพของสองสาวที่ร้องไห้เหมือนเด็กก็รู้สึกแปลกใจ รจนาเห็นผู้มาใหม่จึงรีบเช็ดน้ำตาให้ตัวเองก่อนจะเช็ดให้เพื่อนสาว

“ข้าวฉันไปก่อนนะ ต้องไปดูคนไข้ก่อน ถ้ารู้สึกไม่สบายเมื่อไหร่ต้องรีบเรียกพยาบาลนะเข้าใจหรือเปล่า”

รจนาบอกทิ้งท้ายก็จะเดินออกจากห้อง โดยที่เธอทักทายศิวกรก่อนออกจากห้อง ต้องการให้ทั้งคู่มีเวลาส่วนตัว ศิวกรเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอน แม้ใบหน้าซีดเซียวแต่ก็พยายามส่งยิ้มหวานให้กับเขา ศิวกรเห็นแล้วใจสั่นเขาเดินเข้าไปหาเธอปัดปอยผมที่ปรกหน้าหญิงสาวไปทัดหูให้ ก้มตัวลงให้ระดับสายตาของทั้งคู่อยู่ในรับเดียวกัน นิ้วหัวแม่มือลูบไล้แก้วเนียนที่ตอนนี้ไร้สีเลือดฝาดเช่นปกติอย่างรักใคร่

“เป็นไงบ้าครับ เจ็บแผล หรือปวดตรงไหนบ้าง”

“ไม่เจ็บแล้วค่ะ”

แน่นอนถึงแม้จะเจ็บดลินาก็ไม่มีทางบอกความจริง ศิวกรดูออกว่าเธอต้องรู้สึกทรมานมากแน่นอน เพราะดลินาพยายามนอนนิ่งๆ ไม่ขยับร่างกาย และไม่เอ่ยคำพูดมากนัก เพราะทุกครั้งที่เธอขยับจะรู้สึกปวดไปทั้งร่างกาย

“เบื่อหรือยัง อยากอ่านหนังสือหรือเปล่าเดี๋ยวผมจะอ่านให้คุณฟัง”

ดลินาส่ายหน้า เธอรู้ดีว่าเหตุการณ์ในวันนั้นสร้างความเจ็บปวดให้เขามากเพียงไหน แค่เรื่องงานผิดพลาดเธอเชื่อว่าเขาก็เครียดมากพอแล้ว แล้วไหนจะมาเรื่องเธออีก ศิวกรคงกล่าวโทษตัวเองทุกวันเป็นแน่ แม้เขาจะไม่ได้มาเยี่ยมเธอทุกวัยแต่เธอก็ดีใจที่เขาไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหน หากมีเวลาเขาจะปลีกตัวมาเฝ้าไข้เธอทุกครั้ง

เมื่อเห็นแววตาที่อ่อนล้า ใบหน้าซูบเซียวแล้วดลินาอดที่จะกั้นน้ำไว้ไม่อยู่ ความผิดพลาดในการเข้าจับกุมก้องภพครั้งนั้นเขาคงโดนเบื้องบนตำหนิอย่างมากแน่นอน เธออยากปลอบเขาแต่ร่างกายกลับไม่อำนวย ดลินารู้สึกเจ็บใจตัวเอง เธอมักจะเป็นภาระให้เขาเสมอมา

“ข้าวขอโทษ”

คำพูดนั้นกระชากใจคนฟังอย่างยิ่ง ศิวกรพยายามฝืดตัวไม่ให้สั่น ข่มอารมณ์หลากหลายที่พวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจ เขาพยามยามฝืนยิ้มให้หญิงสาวเมื่อไม่มีอะไรร้ายแรงน่าเป็นห่วง

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”

“ไม่จริง ข้าวดื้อแล้วก็เกเรด้วย”

“ไอ้เรื่องเกเรนี้ผมยังไม่เคยเห็นจริงๆ จังๆ เสียที แต่ไอ้เรื่องดื้อนี้สิผมเชื่อ”

ศิวกรหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างเตียง กุมมือหญิงสาวหวังส่งไออุ่นให้มือที่เย็นเฉียบของเธออุ่นขึ้น

“อีกสามวันผมต้องไปทำงาน คราวนี้จะไปนานหน่อยนะครับ”

“นานแค่ไหน”

ดลินาเอ่ยเสียงสั่นเครือ เพราะถ้าเขาเอ่ยออกมาอย่างนี้มันคงไม่ใช้งานสบายนั่งโต๊ะตากแอร์เป็นแน่

“อย่างน้อยสามเดือน”

เขาไม่อยากโกหกเธอ แม้จะผิดระเบียบแต่เขาอยากบอกให้เธอรับรู้ ต้องการแบ่งปันทุกอย่างเกี่ยวกับเขาให้เธอเข้าใจ ดลินาออกแรงบีบมือเพื่อให้รู้ว่าเธอจะอยู่ข้างเขาเสมอ ศิวกรยกมือของหญิงสาวขึ้นมาจรดริมฝีปากก่อนจะนำมาแนบแก้มที่สากเพราะไรเครา แววตามองมาฉายแววรักสุดหัวใจไม่ปิดบัง

“เรื่องก้องภพหรือเปล่าคะ”

“ตอนนี้ก้องภพจะซื้อขายรอบใหม่ เราโชคดีครับที่ได้รับการติดต่อมาจากตำรวจฮ่องกง เขาของความร่วมมือในการทำคดีครั้งนี้”

“ตำรวจฮ่องกงเลยหรือคะ”

ดลินาแปลกใจจนเพล่อขยับร่างเร็วไปนิด ผลที่ตามมาก็คือต้องกัดริมฝีปากไม่ให้ร้องออกมาเพราะความเจ็บ แต่ไม่มีทางที่จะหนีการรับรู้ของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง ศิวกรมีอาการตกใจ มืออุ่นเริ่มชื้นเหงื่อขึ้นมาทันที

“เป็นไรไปครับ เจ็บตรงไหน เดี๋ยวผมตามหมอให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ อย่ารบกวนคุณหมอเลย”

ศิวกรทำตามที่หญิงสาวบอก แต่สีหน้ายังแสดงออกถึงความกังวล คนตัวเล็กจึงส่งยิ้มให้คนตัวโตเพื่อเป็นการยืนยัน

“ตอนผมไม่อยู่คุณต้องเชื่อฟังคุณแยมนะครับ ห้ามดื้อเด็ดขาด คุณหมอเขาทำทานยาก็ต้องทาน”

ดลินาพยักหน้ารับคำพร้อมกับน้ำตาไหลผ่านแก้มใสนั้น ศิวกรเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลไม่ขาดสาย ศิวกรประคองหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขานั่งลงบนเตียงให้หญิงสาวซ้อนอยู่ด้านหน้า ผิวแก้วใสแนบลงบนอกกว้างแสนอบอุ่น เสียงหัวใจเต้นมั่นคง ทำให้ดลินารู้สึกว่าความอบอุ่นนี้คือบ้านของเขาเธอ

“ไม่ต้องร้องแล้วครับ ยิ่งคุณร้องผมยิ่งเป็นกังวล”

“ขอโทษ... ข้าวขอโทษ ไม่ร้องแล้วค่ะ”

ดลินาพยายามหยุดน้ำตา แต่ยกแขนไม่ขึ้นร่างหนาเลยจัดการเป็นคนเช็ดออกให้แทน เขายังคงประคองหญิงสาวให้นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เพราะเหนื่อยจากการร้องไห้บวกกับความอ่อนเพลียจากอาการบาดเจ็บ ดลินาเริ่มรู้สึกว่าเปลือกตาของตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เธออยากอยู่ในอ้อมกอดนี้ให้นานขึ้นอีกนิด อยากพูดกับเขาให้มากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ร่างกายกลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย

“ง่วงแล้วก็นอนเถอะครับ ผมอยู่นี้ไม่ไปไหนจะอยู่เป็นเพื่อนคุณทั้งคืน”

เสียงทุ่มนุ่มของศิวกรพูดพลางลูบหลังหญิงสาวราวกับจะช่วยขับกล่อมให้เธอหลับใหล ร่างกายของหญิงสาวต้องการพักผ่อน ศิวกรก้มมองใบหน้าเธอดั่งต้องการสลักดวงหน้านี้ลงในหัวใจ ไว้คิดถึงยามอยู่ไกลกัน เป็นกำลังใจยามเหนื่อยล้า เป็นดั่งดวงใจที่ทำให้เขารู้ว่ายังมีคนรอคอยเขาให้กลับมาหา

“อยู่กับข้าวก่อนนะคะ อย่าทิ้งข้าวไปไหนนะ”

หญิงสาวฝืนความเหนื่อยล้า เธอพูดออกมาทีละคำอย่างยากลำบาก มือบางที่ดูผอมลงเล็กน้อยไม่นุ่มนิ่มดังแต่ก่อนวางทาบลงบนอกหนา ศิวกรเอื้อมคว้ามือนั้นไว้ก่อนบรรจงประทับริมฝีปากลงอย่างรักใคร่

“ครับ... ทราบแล้วครับเจ้าหญิง บ่าวจะอยู่กับเจ้าหญิงคืนนี้ไม่ไปไหน”

เขาประคองร่างบางไว้ในอ้อมแขนมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่หลับใหลไปในที่สุด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดเขายังคงจ้องใบหน้านั้น โอบกอดร่างบางอย่างไม่รู้จักเมื่อยล้า จนร่างของคุณหมอสาวเดินเข้ามาในห้อง รจนามองภาพที่ศิวกรโอบประคองร่างของเพื่อนรักอยู่ในอ้อมแขน เขาจัดให้เพื่อนรักของเธอนอนในท่าที่ไม่ทำให้อึดอัด ดูน่าสบายจนน่าอิจฉา เขามองใบหน้าของดลินาไม่ละสายตาไปไหน มันช่างเป็นภาพที่สวยงาม รจนาต้องกลั้นน้ำตาทำจิตใจให้เข้มแข็งแล้วเดินเข้ามาในห้อง

ศิวกรรู้สึกถึงว่ามีร่างของใครบางคนเข้ามาในห้อง เขาหันมามองผู้เข้ามาใหม่ก็เห็นคุณหมอสาวยืนอยู่ข้างเตียง ยิ้มให้เขาอย่างเศร้าสร้อย

“ได้เวลาให้ยาแล้วค่ะ”

“เธอเพิ่งจะหลับไปได้ไม่นาน รอให้ตื่นก่อนได้หรือเปล่าครับ”

“ยานี้ต้องฉีดค่ะให้ตอนนอนได้ ช่วยจับแขนเธอให้หน่อย”

ศิวกรทำตามคุณหมออย่างว่าง่าย รจนาจัดการฉีดยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้เพื่อนรักโดยมีศิวกรเผ้ามองอยู่ไม่ห่าง ข้อมือซ้ายของหญิงสาวยังต้องเข้าเฝือกไปอีกสักพักแต่รจนาบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงกระดูกประสานตัวกันเป็นอย่างดี แต่คงจะรู้สึกปวดอยู่บ้าง ส่วนอวัยวะภายในที่บอบช้ำเมื่อได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว

เมื่อรจนาจัดการฉีดยาให้ดลินาแล้วจึงตรวจการเต้นของหัวใจเพื่อนรักก็รับรู้ได้ว่าถึงแม้จะแผ่วเบาแต่ก็เป็นจังหวะสม่ำเสมอ รจนายิ้มอย่างพอใจจึงถอดหัวฟังออก ศิวกรรอจังหวะที่คุณหมอตรวจร่างกายเบื้องต้นคนในอ้อมแขนเรียบร้อยจึงพูดธุระของตน

“อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“ถึงแม้จะค่อยเป็นค่อยไป อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ผู้กองไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“ครับ... คุณหมอครับผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง ช่วยดูแลข้าวแทนผมหน่อยนะครับ”

“คุณจะไปนานแค่ไหนคะ”

“อย่างน้อยสามเดือน”

“นานขนาดนั้นเชียว”

รจนารู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้รับรู้คำขอจากปากของชายหนุ่ม พลันกระหวัดนึกถึงเพื่อนของเขาอีกคนที่ครั้งนี้คงไม่แคล้วต้องไปทำงานร่วมกัน นั้นทำให้รจนายิ่งรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกหลายเท่า

“ช่วยดูแลเธอด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันดูแลยายข้าวให้ดีที่สุด เมื่อคุณกลับคุณจะได้เห็นเธอกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง”

“ขอบคุณครับ”

ศิวกรกล่าวขอบคุณรจนาจากใจจริง ก่อนจะหันกลับมาสนใจคนในอ้อมแขนอีกครั้ง คุณหมอสาวเห็นว่าควรจะให้เวลาเพื่อนกับคนรักอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกสักพัก จึงได้ปลีกตัวออกมาจากห้อง เมื่อออกมาก็เห็นทนงศักดิ์กำลังเดินตรงมาทางนี้

รจนารีบคว้าแขนเขาไม่ให้เขาเดินเข้าไปในห้องทนงศักดิ์ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวกำลังทำอะไรอยู่ จึงตั้งท่าจะชวนคุณหมอทะเลาะ แต่รจนาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียงก่อน

“อย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนเขาสองคนเลยค่ะ ให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินดังนั้นทนงศักดิ์จึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินตามคุณแรงรั้งของคุณหมอสาว ทนงศักดิ์เห็นคุณหมอสาวอยู่ในอาการเคร่งเครียดก็ประหลาดใจ

“เป็นไรครับ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นระวังหน้าย่นนะครับ”

“คุณนี้มันสุดยอดจริงๆ... ไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือไง วันๆ จ้องแต่จะทะเลาะกับฉันเนี่ย”

“การสนทนานำมาซึ่งการพบปะกันฉันมิตรนะครับ”

“ฉันมิตรกับผีน่ะสิ”

รจนาติรวนกลับอย่างโมโห แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาจะต้องไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย จิตใจก็เริ่มสับสน... เธอจะไม่ได้เห็นหน้าเขาไปอีก 3 เดือน ทนงศักดิ์มองคุณหมอสาวที่อยู่ดีๆ ก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองแล้วเกิดความสงสัย

“นี้คุณเป็นไร ทำไมอยู่ดีๆ เงียบไปล่ะ”

“เรื่องของฉัน”

“บร๊ะ! พอผมถามดีๆ คุณก็ตีรวนผมเสียอย่างนั้น”

“นิสัยฉันเป็นอย่างนี้แล้วจะทำไม”

“ไม่ทำไมหรอกครับ พยศแบบนี้เวลาปราบนี้สิถึงจะสนุก”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

รจนาฟังคำพูดของทนงศักดิ์ที่สามารถตีความได้หลายอย่าง พลันเกิดความรู้สึกร้อนที่ใบหน้า

“แล้วคุณตีความว่าอย่างไรล่ะครับ”

“ไม่พูดด้วยแล้ว”

พอโดนต้อนรจนาไม่รู้จะตอบเขากลับอย่างไร ตัดสินใจเดินหนีแต่คุณตำรวจหนุ่มรั้งแขนของหญิงสาวไว้ เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าสวยเฉียบแสดงอาการเขินอายใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอก็พลันเต้นแรงขึ้น รจนาเริ่มทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกทนงศักดิ์จ้องมองแบบนั้น

“นะ... นี้คุณ คุณจะมองอีกนานมั้ย”

“เอ่อขอโทษทีครับ”

ทนงศักดิ์รีบปล่อยแขนของคุณหมอ... ทำอะไรลงไปวะเนี่ย ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน

“คุณได้ข่าวว่าต้องไปทำงาน”

“อ่ะ! อ๋อใช่ครับ ศิลาบอกคุณหรือ”

“ใช่... แล้วไปที่ไหน”

“บอกไม่ได้ครับต้องขอโทษด้วย”

บอกไม่ได้... แสดงว่ามันคงไม่ใช่เรื่องอะไรที่สามารถจัดการได้ง่ายแน่ๆ

“เอ่อแล้วมันอันตรายมากหรือเปล่า”

ทนงศักดิ์ไม่ตอบคำถามนั้น แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนในหน้าคร้ามแดดนั้น

“นั้นแน่... ห่วงผมล่ะสิ”

“ห่วง? อะไรใครห่วงคุณกัน”

“ไม่ต้องฟอร์มก็ได้ครับ คุณเป็นห่วงผมก็บอกมาตรงๆ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

“บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย”

รจนาเถียง แม้จะเถียงไม่เต็มคำก็เถอะ แถมใบหน้าสวยยังแดงแจ๋อีก ทนงศักดิ์เห็นคุณหมอสาวแล้วก็สงเสียหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะมองคุณหมอสาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“เพิ่งรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกดีใจที่มีคนเป็นห่วงมันเป็นยังไง”

***************************************************************

ที่อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น แถวชานเมืองกรุงเทพมหานคร ที่ชั้น 3 และ 4 ถูกดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นบ่อนการพนันขนาดย่อม สถานที่แห่งนี้เปิดให้บริการแก่ผีพนันมาได้ปีกว่าแล้ว เพราะมีการสร้างที่ซับซ้อนโดยมีสำนักงานบริษัทมาเป็นฉากบังหน้าทำให้ไม่เป็นที่สงสัยมากนัก

เหล่าผีพนันที่หวังรวยทางลัดต่างลงพนันกันอย่างขาดสติ ต้องการจะทวงคืนเงินที่ลงทุนไปให้ได้ แต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งหมดตัว พอหมดตัวก็สร้างหนี้กู้เงินเอามาเล่นใหม่ เป็นวงจรหมุนเวียนอยู่เช่นนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่สิ้นคิดยิ่งนัก สำหรับศิวกรแล้วเขารังเกียจสิ่งนี้จริงๆ

เขาปลอมตัวเข้ามาในบ่อการพนันแห่งนี้พร้อมกับทนงศักดิ์ที่ตอนนี้แยกตัวไปอีกทางหนึ่ง บรรยากาศภายในคละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ เครื่องดื่มชนิดต่างๆ ที่เดินให้บริการโดยรอบ และเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังคละเคล้ากันไป ศิวกรที่ตอนนี้ยืนดูอยู่ที่ตู้ม้าแฝงตัวอย่างแนบเนียน ที่ลายล้อมไปด้วยผีพนันกำลังยืนเชียร์ให้เบอร์ของม้าที่ตอนลงพนันไปนั้นชนะ

ที่มุมหนึ่งเขาเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องที่ตีทึบยากที่จะเดาว่าภายในมีอะไรอยู่ เขายืนมองเพียงช่วยครู่ก่อนจะหันกลับมาสนใจตู้ม้าพนันเพื่อให้ผิดสังเกตมากนัก ทนงศักดิ์เองก็เห็นความเคลื่อนไหวนั้นจากโต๊ะโปกเกอร์ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ว่าภายในเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ทั้งสองต่างคนต่างออกจากบ่อนการพนันแห่งนั้น แล้วขับรถไปคนล่ะทิศเพื่อไปตามสถานที่นัดหมาย ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านกลางเมืองที่ถูกเปิดใช้ชั่วคราว ภายในเป็นสำนักงานย่อม มีคนทำงานเพียงไม่กี่คนที่สามารถนับได้ด้วยมือแค่ข้างเดียว กำลังนั่งทำงานตามที่ได้รับมอบหมายไว้

ศิวกรแกะอุปกรณ์ปลอมตัวออกแล้วส่งเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บภาพส่งให้หมวดอรุณที่นั่งอยู่ไม่ห่างเพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ถ่ายไว้ได้ หลังจากกลับเข้ามาในห้อง ส่วนทนงศักดิ์ตามเข้ามาสมทบหลังจากศิวกรมาถึงประมาณครึ่งชั่วโมง พร้อมกับข้อมูลจากกล้องอีกตัวเช่นกัน

ที่มุมหนึ่งมีนายตำรวจจากฮ่องกง 2 นายนั่งดูข้อมูลที่ได้รับทางอีเมลอย่างเคร่งเครียด ตำรวจสองประเทศได้ปฏิบัติงานร่วมกันได้มา 2 อาทิตย์กว่าแล้ว และดูจะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

“นั้นใช้นายหลันหรือเปล่า ใส่หมวกเลยดูไม่ชัด”

เสียงหมวดอรุณถามขึ้นเป็นภาษาสากลเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร

“ไม่ใช่... นั้นน่าจะเป็นลูกน้องของนายหลันมากกว่า รู้สึกจะเรียกว่า “หงเฟย” เป็นลูกน้องคนสนิท”

ทั้งห้องหันมาสนใจรูปของชายปริศนาที่เดินเข้าไปในห้องตีทึบนั้น นายตำรวจต่างเชื้อชาติต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตน เสียงของนายตำรวจชาวฮ่องกงที่ชื่อ เดวิด ฉาน ก็เอ่ยขึ้น ส่วนนายตำรวจอีกคนที่ดูอาวุโสน้อยกว่าชื่อ “เฉินกวน” เข้ามาร่วมกับปฏิบัติการครั้งนี้

“ส่งนายหงเฟยมาเจรจา ผมว่ามันต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาครับ เชื่อว่ามูลค่าคงไม่ต่ำกว่าสิบล้านยูเอสดอล์ลาร์”

“คุณฉานครับ คุณคงเห็นภาพอาวุธที่นายก้องภพมีไว้ในครอบครองว่ามีจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นอาวุธร้ายแรง ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าที่ตลาดมืดของฮ่องกงเขามีความต้องการแบบไหน”

ทนงศักดิ์เป็นคนถามบ้าง

“ตอนนี้ปืน... กำลังเป็นที่ต้องการครับ”

“เชื่อว่าตอนนี้คงอยู่ในขั้นเจรจากันมากกว่า เราคงต้องช่วยกันวางแผนให้รอบคอบอย่าให้พลาดเหมือนครั้งที่แล้ว”

ทนงศักดิ์เอ่ยอีกครั้ง ศิวกรแววตาไหววูบเล็กน้อยก่อนจะปรับมาให้กลับมาเยือกเย็นเป็นปกติ การลดจำนวนคนลงในการปฏิบัติงานครั้งนี้เพราะต้องการให้เป็นความลับสุดยอด และสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น พวกเขามีอำนาจเต็มในการทำคดีครั้งนี้

แล้วต่างคนต่างก็กลับไปสนใจงานของตัวเองอีกครั้ง ศิวกรเหลือบไปเห็นซองกระดาษ A4 สีน้ำตาลปิดผนึกวางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูโดยที่หน้าซองพิมพ์ชื่อของเขาอย่างเด่นชัด หมวดอรุณนายตำรวจรุ่นน้องเห็นเข้าจึงรีบแจ้งถึงที่มาที่ไปของซองนั้น

“อ้อ! มันถูกส่งมาเมื่อช่วงสายครับ เห็นจ่าหน้าถึงพี่ศิลา มันถูกส่งที่สถานีจ่าดำเขาเลยจัดการส่งต่อมาให้ คิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ”

ศิวกรพยักหน้ารับ เขาผลิกซองนั้นกลับไปกลับมาเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ พอลองลูบคลำก็ไม่เป็นมีสิ่งใดนูนออกมาให้รู้ว่าเข้าในมีของ ศิวกรเตรียมจะแกะซองนั้นออกก็ได้ยินเสียงเพื่อนเบรกไว้ก่อน

“เดี๋ยว! ไอ้ศิลาอย่าเพิ่งแกะ อะไรก็ไม่รู้ขืนแกะซี้ซั้วก็แย่น่ะสิ”

“ถ้าไม่แกะแล้วจะรู้ได้ไงว่าข้างในมันมีอะไร”

“เดี๋ยวแกจะแกะใช่มั้ย เดี๋ยวแป๊บขอฉันหนีไปตั้งหลักไกลๆ ก่อน”

ศิวกรรู้ว่าทนงศักดิ์ตั้งใจจะแกล้งเขา จึงไม่ว่าอะไรหันไปสนใจจัดการกับซองปริศนานั้น เมื่อเขาเปิดซองออกภายในมีกระดาษ A4 บรรจุอยู่ภายในเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้น เขาหยิบมันออกมาภายในกระดาษมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดแต่ก็พอจะอ่านเข้าใจ เนื้อความในนั้นทำเอาแววตาของศิวกรวาวโรจน์ขึ้นมาทันที



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2556, 22:12:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ม.ค. 2556, 22:12:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1207





<< บทที่ 8 (เพื่อเธอ... 3)   บทที่ 9 (ตามล่า... 2) >>
Auuuu 24 ม.ค. 2556, 00:09:10 น.
มีคำว่าอะไรอยู่ข้างในหว่าาา?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account