ตกกระไดหัวใจพลอยรัก
เมื่อหนุ่มหน้าหวานใส ผู้รักความโสดและเสียงดนตรีเท่าชีวิต
ถูกประกาศิตจากบิดาให้แต่งงานทันทีกับหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้
ที่เขาไม่รู้จักสักนิด
แล้วเรื่องอะไรที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมง่าย ๆ เล่า
แต่เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก เมื่ออดีตคนรักของเขา
ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้เขารับผิดชอบ !!
ถูกประกาศิตจากบิดาให้แต่งงานทันทีกับหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้
ที่เขาไม่รู้จักสักนิด
แล้วเรื่องอะไรที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมง่าย ๆ เล่า
แต่เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก เมื่ออดีตคนรักของเขา
ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้เขารับผิดชอบ !!
Tags: แต่งงาน,น่ารัก,หวานแหวว,รักเพื่อน,รัก,สดใส
ตอน: บังเอิญ โลกกลม กรรมลิขิต
มาธวีอยาก จะเอาหัวเขกโต๊ะตายเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หญิงสาวกัดหลอดสีขาวสะอาดที่ปักอยู่ในแก้วใสทรงสูงบรรจุน้ำสะอาด ก่อนจะเป่าลมลงในน้ำนั้นเล่นแก้เบื่อ เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สมองมันเบลอไปหมด พอรู้ตัวอีกที่ปัณฑ์ธรก็พาเธอมายังร้านอาหารตามสั่งข้างทางที่ไหนสักแห่งริมข้างทางเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวสะบัดหัวแรง ๆ เพื่อเรียกสติ เหลือบมองร่างสูงที่เดินยิ้มร่าตรงมายังเธออย่างขยาด ๆ ก่อนที่เขาจะทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามเธอ แล้วเริ่มพล่ามอะไรตั้งมากมายเกี่ยวกับชีวิตตลอดเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมาโดยไม่รอให้เปิดปากถามเลยสักนิด หรือจะถามเธอสักหน่อยว่าอยากฟังเรื่องราวชีวิตบัดซบที่คงจะมีแต่วีรกรรมการไปหลีสาวของตัวเองที่ต่างแดนหรือไม่
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ค่อยอยากจะรับรู้มันสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะตอนนี้ เธอรู้แต่เพียงว่าปวดหัวจะระเบิดจากฤทธิ์ของมาร์ตินี่หลายแก้วที่วน เวียนปั่นป่วนอยู่ในท้องจนแทบจะกระฉอกออกมาหมดแล้ว
“ นี่...ตั้งใจฟังฉันพูดหรือ เปล่าเนี่ย ” ปัณฑ์ธรที่ พล่ามไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่ เกิดสังเกตขึ้นได้ว่าเพื่อนรักของเขานั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับ และเหมือนไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักประโยค ทั้ง ๆ ที่เขามีเรื่องอีกตั้งมากมายที่จะเล่าให้เธอฟัง มีเรื่องอีกตั้งมากมายที่เขาอยากให้เธอได้รับรู้
“ มึนหัวจะแย่อยู่แล้ว ” หญิงสาวทำหน้าพะอืดพะอมสุด ฤทธิ์ ก่อนจะโบกมือไปมา “ แกน่าจะให้ พี่แกไปส่งฉันมากว่าที่จะให้ฉันมานั่งฟังแกพล่ามอยู่นี่ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะเว้ย ”
มาธวีย่นจมูก ก่อนจะฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างแสนเสียดาย เพราะไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เธอได้เจอกับสุภาพบุรุษสุดหล่ออย่างพี่ชายของเพื่อนรัก ที่แอบหลงใหลได้ปลื้มมานานแสนนานนักแต่ยังเป็นสาววัยกระเตาะ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะได้อยู่ลำพังกับเขายังไม่ทันหนำใจ ก็โดนไอ้เพื่อนบ้านี่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
นึกแล้วยังเสียดายไม่หาย !!
“ ฮันนี่ ~ ”
ปัณฑ์ธรที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เรียกเธอด้วยชื่อเล่นที่ชวนเข้าใจผิด ส่งผลให้สิรดนัยทำหน้าเหวอ ก่อนจะขยับปากเหมือนถามเรื่องราวความเป็นไป แต่ยังไม่ทันที่ดอกพิกุลจะร่วง เพื่อนสนิทตัวแสบก็ดันโผเข้ากอดแนบแน่น พลางพล่ามพูดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ชวนเข้าใจผิดหนักกว่าเดิม สิรดนัยจึงเลือกที่จะเก็บความสงสัยของเขาเอาไว้ ก่อนจะทำหน้านิ่ง ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“ เอาไว้เรื่องนี้เราต้องคุยกันที่บ้าน นะนายปัณ ” เขาบอกเสียงจริงจัง แต่ปัณฑ์ธรกลับยักไหล่ เหมือนไม่สนใจเรื่องที่พี่ชายพูด
“ คืนนี้พี่จะไปส่งคนรักของแกก่อน เธอดูเมามากนะ ” เขาบอกพลาง เอื้อมมือมาแตะไหล่เธอเบา ๆ ซึ่งแค่เพียงสัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้หญิงสาวยิ้มหวานเยิ้มได้ทันที แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ซบอกอบอุ่นของผู้ชายในฝันอีกครั้ง ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็กระชากเธอลอยหวือไปอยู่ในอ้อมอกเขาทันที
ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เหมือนกับกำลังแสดงบทพระเอกปกป้องนางเอกจากพระรอง
“ ผมไปส่งฮันนี่เองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงแทนผมหรอก พี่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมจะตามไปที่หลัง ” นักดนตรีอินดี้บอกกับพี่ชายด้วยน้ำ เสียงที่หนักแน่น
แค่นั้นแหละ....ชีวิตของมาธวีก็จบลงแค่นั้น !!
“ ไอ้ฮัน แกเมาขนาดนั้นเลยเหรอวะ ”
ปัณฑ์ ธรมองเพื่อนคนสนิทที่ไม่พบกันนาน ซึ่งนอนฟุบลงไปกับโต๊ะ แถมดิ้นพราก ๆ จนผมหยิกลอนฟูยุ่งเหยิงของเธอแผ่กระจายทั่วโต๊ะอย่างแสนเวทนา
หญิงสาวโงหัวขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อที่ปัณฑ์ธรใช้เรียกเธอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง พลางนึกค่อนขอดในใจว่าทำไมตอนอยู่ต่อหน้าสิรดนัยเขาถึงไม่เรียกเธอว่า ‘ฮัน’ เฉย ๆ เหมือนเวลาอยู่ตามลำพัง แทนที่จะเรียกชื่อที่ชวนเข้าใจผิดอย่าง ‘ฮันนี่’ ซึ่งในชีวิตนี้มันเคยเรียกอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ในเมื่อเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว เธอเองก็เรียกร้องอะไรกลับคืนมาไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลย ความจริงหลังจากเรียนจบ มาธวีพยายามที่จะหลีกหนีจากปัณฑ์ธร เพราะไม่อยากจะกลับไปสู่วงเวียนชีวิตเดิม ๆ ที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของชายหนุ่มอีก ไม่ว่าจะเป็นการลงที่อยู่ในหนังสือรุ่นว่าเป็นที่บ้านเกิดที่กาญจนบุรี โดยไม่ให้ที่อยู่ที่กรุงเทพ กดแจ้งว่าเมล์ของปัณฑ์เธรเป็นแสปมหลังจากที่เธอเห็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของเขาที่ส่งมามากเกินกว่าเก้าฉบับ แล้วไหนจะย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์โดยไม่บอก เพียงเพื่อต้องการจะหนีจากผู้ชายคนนี้ให้สุดหล้าฟ้าเขียว ถึงแม้ว่าตัวเธอเองยังไม่สามารถรับพฤติกรรมที่ร้ายกาจชนิดที่ไม่น่าให้อภัยได้ของตัวเธอเอง แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องจมอยู่ในวงเวียนชีวิตที่น่าอเน็จอนาถแบบนั้นอีกแล้ว แม้ว่าแรก ๆ เธอจะรู้สึกเหมือนชีวิตจะมีบางสิ่งที่ขาดหายไป แต่ปัจจุบันนี้เธอก็สามารถตัดขาดจากเขาได้สนิทแล้วแท้ ๆ
แต่ทำไมมันต้องโผล่มาอีก(วะ)เนี่ย...!!
“ คิดอะไรของแกอยู่ เงียบเชียว ” เมื่อปัณฑ์ธรถามขึ้น เธอจึงหลุดออกจากภวังค์ความคิด แล้วกลับมาสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง
หญิงสาวถอนหายใจ พยายามใช้มือสางผมหยิกยุ่งเหยิงของเธอให้เข้าทรง ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างตั้งฉากกับโต๊ะ เพื่อรับน้ำหนักคางที่วางทาบลงมาในท่าเท้าคาง ทอดสายตาปรือ ๆ จนแทบลืมไม่ขึ้นของตนมองไปยังคู่สนทนา พร้อมตั้งสติที่มีกลับมาอยู่กับตัวและบอกกับตัวเองว่า วินาทีนี้ก็คงทำได้แค่ฟังคนตรงหน้านี้พล่ามไปก่อน ไว้สบโอกาสเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ได้ลาขาดกันอีกรอบแน่
มาธวีหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะปั้นหน้ามึน
“ แกกลับมาแล้วเหรอ ” หญิงสาวเริ่มที่จะให้ความสนใจกับคู่สนทนา โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามของเพื่อนรักที่ ถามมาก่อนหน้านี้ที่ถามว่าเธอเมามากขนาดไหน
“ สักสอง สาม เดือนแล้วล่ะ ” เขาเอ่ย ยิ้ม ๆ ก่อนจะใช้เท้าเตะหน้าแข้งเธอเบาๆ “ ฉันติดต่อแกไม่ได้เลยนะ แกเองก็ไม่คิดจะติดต่อฉันมาก่อนเลยใช่ไหม ”
ชายหนุ่มทำเสียงกระฟัดกระเฟียด เหมือนจะงอน
“ อืม...หลังจากไปส่งแกที่สนามบินวันนั้น ฉันก็มีเรื่องยุ่งๆเข้ามาในชีวิตตลอดเลย แถมตอนนั้นฉันโทรศัพท์หาย จำเบอร์ใครไม่ได้เลย ไม่รู้จะทำยังไง ฉันเป็นสาวเป็นนาง จะไปพยายามหาทางติดต่อกับแกก่อนมันก็ดูไม่งามใช่ป่ะล่ะ ความจริงตอนแรกก็อยากจะไปถามจากพี่ชายของแกที่บ้านแกอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าไปอ่ะ พูดก็พูดเถอะ พี่ชายแกนี่หล่อเหมือนเดิมเลยเนอะ ”
มาธวียิ้มหวานเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนคนฟังแทบจะปรับอารมณ์ไม่ทัน ก่อนถอนหายใจอย่างเสียดาย เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของสิรดนัย แล้วเพ้อฝันเล่น ๆ ว่า ถ้าผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วอย่างพี่แดนของเธอไม่ได้ปะ หน้าตรงๆกับ(ไอ้)ปัณฑ์ธรเสียก่อน เขาคงจะอาสาพาเธอไปส่งที่บ้าน ซึ่งช่วงเวลานั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์โรแมนติกแบบในละครเกาหลีที่นางเอกอ้วก ใส่พระเอกแล้วต้องซักรีดชุดสูทราคาแพงหูฉี่ ในที่สุดก็กลายมาเป็นความสัมพันธ์สุดโรแมนติกก็ได้
แหม แค่คิดก็เขินแล้ว
“ แกกำลังเพ้ออะไรอยู่ ” ปัณฑ์ธรถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวของเขาทำท่าเพ้อฝันไปไกลใกล้จะถึงดาวเนปจูน ก็ชักวิตก กลัวว่าเพื่อนตัวดีจะเรียกสติกลับมาไม่ได้ สังเกตได้จากดวงตา ที่เยิ้มจากความเมาอยู่แล้ว ก็ยิ่งเยิ้มเข้าไปใหญ่เมื่อเธอเริ่มเพ้อ
เขาหรี่ตามองร่างบางตรงข้าม ก่อนจะขี้หน้าเธออย่างพยายามคาดเดา
“ อย่าบอกนะว่าแก ยังไม่เลิกเพ้อถึงพี่ ฉันอีกอ่ะ ฉันบอกแล้วว่าอย่างแกอ่ะ หางตาพี่แดนเขาก็ไม่แล เค้าไม่มีทางเอาแกไปเมียหรอก เกิดเขาหน้ามืดตามัวขึ้นมาจริงๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่จะคัดค้านไม่ยอมรับแกเป็นพี่สะใภ้ ขืนแต่งแกเข้าตระกูลแล้วต้องพาไปออกงานนะ คนเขาจะเข้าใจผิดคิดว่างานนั้นเป็นงานวัด...” ปัณฑ์ธรบ่นด้วยน้ำเสียงและสายตาดูถูก ปนเอือมระอาเพื่อน ด้วยไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าการเจอกันไม่กี่ครั้งของมาธวีและผู้เป็นพี่ชาย จะทำให้เพื่อนรักของเขาเพ้อถึงเจ้าคนบ้าอำนาจมากถึงขนาดนี้
“ ทำไม ยะ ” มาธวีถาม เสียงสูง
“ ก็จะให้ไม่นึกว่าเป็นงานวัด ได้ไงล่ะ พอเห็นแก เขาก็นึกว่าแกเป็นสัตว์ประหลาดที่พี่ชายฉันพามาโชว์แบบที่งานวัดใหญ่ ๆ เขามีกันน่ะสิ ”
โหย..ปาก มัน
มาธวีทำปาก ขมุบขมิบเหมือนสาปส่ง ไอ้หนุ่มผมยาวตรงหน้า
ปัณฑ์ธรเหลือบมองดูปฎิกิริยาจากคนที่เพิ่งถูกหาว่าเป็นตัวประหลาดแล้วรู้สึก สะใจเป็นที่สุด จะว่าโรคจิตก็คงจะไม่ผิด เพราะเขาชอบนักล่ะที่จะทำให้คนตรงหน้าต้องมีอาการแบบนี้ จะว่าไปแล้วเขาเองไม่ได้เห็นท่าทางฮึดฮัด หน้าหงิก ๆ และปากสีชมพูอ่อนที่ขมุบขมิบบ่นพึมพำอยู่คนเดียวของมาธวีมานานหนักหนาแล้ว ทำให้นึกถึงสมัยที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน เขาก็ชอบแกล้งเธอเช่นนี้เป็นประจำ
ปัณฑ์ธรลอบยิ้ม ก่อนตบโต๊ะเสียงดังเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“ เอาเหอะ ๆ เลิกบ่นได้แล้ว แกมาที่นี่กับใครอ่ะ คนแบบแกคงไม่มาคนเดียว หรือว่ามากับหนุ่ม...ไม่หรอก อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้มากกว่า คนแบบแกจะไปรู้จักผู้ชายที่ไหนได้ นอกจากฉันกับคนในวง ”
พอ ฟังคำถามจบ มาธวีก็สปริงตัวขึ้นทันทีเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก แต่ด้วยความที่เธอยังคงเมามาร์ตินี่อยู่ ทำให้เซถลาและล้มลงไปกองกับพื้นภายในไม่กี่วินาที แต่แทนที่ปัณฑ์ธรผู้ที่อยู่ใกล้กับเธอมากที่สุดจะเข้ามาประคองร่างบางให้ลุกขึ้น เขากลับมองเธอและระเบิดหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ ปล่อยให้ผู้หญิงสติไม่เต็มเต็งค่อย ๆ คืบคลานขึ้นโต๊ะเชื่องช้า
มาธวีเหลือบมองเพื่อนที่แสนดีอย่างอาฆาต ก่อนจะปลงตก เพราะคิดได้ว่าไอ้การหัวเราะซ้ำเติมคนอื่น เป็น 'นิสัยส่วนตัวที่ฝังรากลึกยากจะแก้' ของปัณฑ์ธรไปแล้ว จึงได้ฝืนยิ้มและตอบคำถามเขาไป
“ ฉันมากับเพื่อนที่ทำงาน หายมานานแล้วยังไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย นี่ก็ออกมาข้างนอกโดยไม่ร่ำไม่ลา ป่านนี้พวกนั้นจะคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนเนี่ย...วันแรกก็เมาเละให้เห็น แถมยังออกมากับผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจอีก ”
ผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“ อันนั้นมันก็เรื่องของแกนะ ว่าแกจะแต่งเรื่องหลอกเขาว่าแกไปทำอะไร ยังไง กับใครก็เรื่องของแก แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าบ้านอยู่ไหนเดี๋ยวจะไปส่ง ฉันจะได้กลับบ้านนอนสักที เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ” เขาบอกพลางทำเสียงงัวเงียและอ้าปากหาวกว้างเสียจนเห็นลิ้นไก่ มาธวีเห็นแล้วได้แต่ทำท่าทีระอา
“ ไม่ต้องไป ส่งหรอก ” หญิงสาวปฎิเสธ ไม่ใช่เพราะอยากเล่นตัวเหมือนนางเอกละครโทรทัศน์หรือเกรงใจเพื่อน แต่ไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้รู้จักบ้านจนตามไปป่วนได้สะดวกต่างหาก
“ อย่าเล่นตัวได้ไหม ขอร้องเถอะ ” เขาบ่น สีหน้ารำคาญสุดฤทธิ์ “ ชีวิตนี้ อาจจะหาโอกาสดี ๆ ที่จะมีผู้ชายสุดหล่อไปส่งบ้านแบบนี้ไม่ ได้แล้วก็ได้นะ ”
ถ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ(ยะ)
“ เป็นพระ คุณอย่างสูงเลยเจ้าค่ะ ” หญิงสาวกระแทกเสียง ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเซอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้เธอไม่ได้ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างที่คิดไว้ เพราะมีท่อนแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งรุดเข้าไปประคองร่างบางไว้ได้ทัน
หญิงสาวกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เพราะไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหน ชนิดที่ว่าอยู่ในอ้อมแขนแนบชิดแบบนี้มาก่อน มาธวีค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองคนที่ช่วยประคองร่างของเธอเอาไว้ช้า ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าสีหน้าของคนที่ช่วยเธอเอาไว้นั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและ สมเพชเธอ ขนาดไหน มุมปากเขากระดกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย ซึ่งการกระทำต่อมาของไอ้ฮิปปี้ผมยาวคนตรงหน้าเธอคนนี้ที่ทำก็คือ ปล่อยมือทั้งสองข้างของเขาให้เธอร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างที่ควรจะเป็นในตอนแรก ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระอา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบตัวที่มีนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและชอบซ้ำ เติมคนอื่น
สิรดนัยละสายตาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ในมือทันที ที่ได้ยินเสียงรถของน้องแล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน มือหนาวางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟานุ่มด้วยท่าทางสบาย ๆ
ทันทีที่ปัณฑ์ธรเปิดประตูบานใหญ่ของบ้านเข้ามา เขาก็รับรู้ได้ถึงรังสีอมหิตที่แผ่นซ่านไปทั่วบ้านท่ามกลางแสงสว่างเพียงไม่ กี่ดวงจากหลอดไฟตรงห้องรับแขกที่เปิดข้างไว้ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าผู้ร่วมชายคาคนเดียวของเขาในบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ยังคงรอที่จะสนทนากับเขาอย่างที่ได้บอกเอาไว้ก่อนจากกัน ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปทางทิศที่มีแสงสว่างลอดผ่านความมืดเพื่อพบกับพี่ชาย ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก
สิรดนัยมองเห็นน้องชายที่เดินนิ่วหน้าเข้ามาทางเขาแล้วรู้สึกขัดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่เขาจะของคุยกับปัณฑ์ธร น้องชายของเขาต้องมีสีหน้าเบื่อหรือไม่ก็ละเหี่ยใจที่จะพูดคุย ชายหนุ่มเก๊กหน้าขรึมก่อนที่จะเอ่ยทักน้องชายด้วยเสียงทรงอำนาจ
“ พี่รออยู่นานแล้ว ไปส่งผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยไหม ”
“ ครับ ” ชายหนุ่มตอบรับ เสียงเอื่อย พลางทำหน้าเมื่อยเหมือนไม่อยากจะคุย ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มไม่ไกลจากพี่ชายนัก
“ พี่มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ ” ปัณฑ์ธรเลิกคิ้วถาม สีหน้ากวนอารมณ์ “ วันนี้ผมเหนื่อย มาก อยากพักผ่อน คงมีเวลาให้พี่ไม่มาก ”
สิรดนัยหรี่ตามองน้องชายอย่างใช้ความคิด ก่อนจะผ่อนลมหายใจแสดงความอ่อนใจกับพฤติกรรมของผู้เป็นน้องชาย ที่น้องชายเขาเป็นแบบนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่ไม่สามารถดูแล น้องชายให้ดีได้ตามที่พ่อแม่หวังเอาไว้
“ ปีนี้แกอายุ 25 แล้ว ควรที่จะทำตัวให้เป็นโล้เป็นพายเสียที ” เขาบอกอย่างจริงจัง “ แกเรียนจบมาตั้งนาน แต่ยังไม่มีการมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้แต่งานมีครอบครัวกับเขาเหมือนคนอื่น ๆ ”
ปัณฑ์ธรเลิกคิ้ว มองพี่ชายอย่างแปลกใจ
“ ผมรอพี่แดนแต่งก่อน ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ก่อนจะเอนตัวในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟานุ่ม “ พี่แก่กว่าผมตั้งหลายปี แถมมียัยเดือนเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็ก ๆ ทำไมไม่แต่งไปก่อนล่ะครับ ผมจะได้หมดห่วง ”
พอนักร้องหนุ่มพูดถึงว่าที่พี่สะใภ้ สิรดนัยก็ถึงกับทำหน้าเครียด เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสิรดนัยและเพ็ญนีต์ต่างเข้ากันไม่ได้แบบสุด ๆ เพ็ญนีต์นั้นอ่อนกว่าเขาเกือบสิบปี แม้เธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาภายในเวลาสามปีครึ่ง แต่ยังคงมีความคิดความอ่านแบบเด็ก ๆ เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ ความเป็นกุลสตรีติดลบ และห่างไกลคำว่า ‘เรียบร้อย’ ซึ่งน่าจะเป็นผู้หญิงแบบที่สิรดนัยชอบอยู่หลายขุม แต่ทุกคนต่างยังคงยืนยันว่าสมควรให้คนที่นิสัยเป็นผู้ใหญ่แบบสิรดนัย เหมาะแล้วที่จะดูแลเพ็ญนีต์
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ใคร ๆ ต่างก็ทราบดีว่าเพ็ญนีต์มีใจให้กับปัณฑ์ธร และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ใหญ่มากเพียงไร
“ แกควรแต่งงานก่อนพี่ ยายเดือนเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย อายุแค่ยี่สิบเท่านั้น ”
ปัณฑ์ธรกลั้นหัวเราะกับท่าทางเครียด ๆ ของพี่ชาย
“ พี่คงอยากยืดเวลาให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะ ” เขาลองใจพี่ชาย “ ใครก็อยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและเกิดจากความรัก ความเต็มใจของคนสองคนทั้งนั้น พี่เองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่อย่ามาบังคับผมเลยดีกว่าครับ พี่แดนคือคนที่ควรเข้าใจผมที่สุดไม่ใช่หรือ ”
“ แกมีคนรักอยู่แล้วงั้นหรือ ”
เขานึกถึงเด็ก ผู้หญิงคนเมื่อค่ำที่ปัณฑ์ธรเรียกเสียหวานแหววว่า ฮันนี่ เด็กผู้หญิงซึ่งเขาคุ้นหน้าเธอมาก หากแต่นึกไม่ออกว่าเคยพบเธอที่ใดคนนั้น ถ้าคนรักของปัณฑ์ธรคือเด็กคนนั้นจริง น้องชายของเขาก็คงเข้าข่ายพรากผู้เยาว์
“เด็กคนนั้นหรือ ” เขาถามเสียงเรียบ แต่น้องชายทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ “ ก็เด็กที่พี่เจอ ที่ผับเมื่อครู่ไง ที่แกเรียกเขาว่า ฮันนี่ ”
เท่านั้น ปัณฑ์ธรก็คลี่ยิ้มหวาน
“ ไม่เด็กสักหน่อยครับ อายุเท่าผม ผมอ่อนเดือนกว่าด้วยซ้ำ”
สิรดนัยพยักหน้าเข้าใจ ความจริงผู้หญิงคนนั้นก็บอกกับเขาเช่นกันว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เขาเองไม่อยากจะเชื่อเพราะเธอเมามาก อีกทั้งคิดไปเองว่าเธอคงจะกลัวว่าเขาจะจับส่งเจ้าหน้าที่ ว่าเธออายุไม่ถึง แต่เมื่อได้ยินคำยืนยันจากน้องชาย เขาก็มั่นใจ
“เธอเป็นลูกใครหลานใครกันล่ะ” คำถามของพี่ชายทำให้เขานึกขัน ลองนึกถึงภาพสาแหรกครอบครัวของมาธวีที่เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังเมื่อสมัยเรียนด้วยกัน ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“ผมไม่แน่ใจครับ รู้แต่ว่าพ่อมันเป็นกำนันหรืออะไรสักอย่างที่ต่างจังหวัด แม่รับจ้างซ่อมเสื้อผ้าอะไรแบบนี้ แล้วก็มีพี่ชายอีกคน อยู่ไหนผมก็ไม่แน่ใจ”
สิรดนัยนิ่งเงียบ ทันทีที่น้องชายพูดจบ เขาเม้มปากสนิทจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะมองน้องชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ แกรักเธอมากไหม...” เขาเห็นหน้าน้องชายเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จึงพยายามอธิบายขยายความ “พี่หมายถึง แกรักเขาจริงจัง หรือแกแค่คบกับเธอเล่น ๆ เหมือนพวกผู้หญิงที่ผ่านมา”
ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะรู้นิสัยของน้องชายดี ตั้งแต่ปัณฑ์ธรโตขึ้นมาเป็นผู้ชายเต็มตัว เขาก็คบหากับผู้หญิงมากมายแทบจะนับด้วยนิ้วไม่ถ้วน แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่เคยจริงใจกับใครสักคน ไม่เคยพาใครมาแนะนำ ไม่เคยพูดถึงใครเป็นพิเศษ มีก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปส่งเขาที่สนามบินวันที่ปัณฑ์ธรไปเรียนต่อต่าง ประเทศ ผู้หญิงที่น้องชายแนะนำว่าเป็น ‘คนสนิท’ ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ ผมก็ไม่ได้....” ปัณฑ์ธรกำลังจะพยายาม อธิบายให้พี่ชายของเขาเข้าใจสถานะที่แท้จริงของเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนว่าพี่ชายคนเก่งของเขาที่ชอบติดนิสัยคิดเองเออเองคนเดียวคิดไปไกลสุดกู่ จึวพยายามหาจังหวะที่จะบอกว่าที่เขาเรียกเธอแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนรัก แต่เพราะเธอชื่อว่า ‘ฮันนี่’ จริง ๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้เป็นพี่ชายก็ขัดคอขึ้นมาเสียก่อน
“ ก็ดีแล้ว ” คำพูดเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจของสิรดนัยทำให้ชายหนุ่มชะงัก และเหลือบมองพี่ชายด้วยความสนใจ “ เพราะแกจะต้องแต่งงานกับคนที่พี่ หาให้ ในเร็ววันนี้ เข้าใจนะ ปัณ ”
ปัณฑ์ธรขมวดคิ้วหนาอย่างไม่พอใจ ใบหม้าหวานงอง้ำบิดเบี้ยว นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว เรื่องน่าขันนี่ยังเกิดขึ้นในสังคมยุคโลกาภิวัตน์อีกเหรอ เขายืนตรงขึ้นมองผู้เป็นพี่ด้วยแววตาแข็งกร้าว ในขณะที่สิรดนัยวางตัวเรียบเฉยและไร้ความรู้สึกใดๆ นิ้วเรียวหยิบหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเปิดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ พี่หมายความว่ายังไงครับ ”
“ พี่ก็หมายความตามที่พูดนะ ทำไมแกต้องถามซ้ำ ” เขาตอบ โดยไม่ละสายตาจากหนังสือนิยายภาษาอังกฤษที่พิมพ์ด้วยขนาดอักษรตัวเล็กจิ๋วนั่น ราวกับมันสนุกมากมาย
“ ผมจำเป็นต้องฟังด้วยหรือครับ ” เขาเค้นเสียงถาม เริ่มเดือดปุดๆเพราะท่าทีทำเป็นทองไม่รู้ร้อนของพี่ชาย
“ แกไม่มีทางเลือกนะปัณ เด็กคนนั้น คนที่แกคบอยู่ตอนนี้ไม่คู่ควรกับแก แถมแกก็ดูเหมือนจะไม่ได้จริงจังอะไรกับเธอนี่ ”
นักร้องหนุ่มกำหมัดแน่น
“ งั้นแปลว่าถ้าผมจริงจังกับฮันนี่ ผมก็ไม่ต้องเป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้คนมาจูงจมูกเหมือนกับที่พี่ยอมงั้นสิ ! ”
“ ปัณฑ์ธร !!! ”
สิรดนัยปิดหนังสือลงอย่างแรง ก่อนจะกระแทกมันลงบนโซฟาโครมใหญ่ชนิดที่คนรักหนังสืออย่างเขาไม่เคยคิดจะทำ ชายหนุ่มขบกรามจนเป็นสันนูน มองใบหน้ากวนโมโหของน้องชายที่จ้องเขากลับอย่างท้าทาย
“ ผมไม่ใช่พี่นะ ถึงได้ยอมทำตามความต้องการคนอื่นเหมือนไร้สมองแบบนั้น เรียนมาก็สูง ทำไมไม่มีสมองคิดเอง !! ”
โครม !!!
สิรดนัยอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นและปล่อยมันไปเต็มแรงบนใบหน้าระเรื่อด้วยความโกรธของน้องชายอย่างสุดแรง ปัณฑ์ธรหน้าหันและเซไปตามแรงหมัดของพี่ชาย ความชาหนึบแล่นปลาบอย่างรวดเร็วไปทั่วใบหน้า
“ อ้าว มีอารมณ์เหมือนกันหรอกเหรอ หุ่นยนต์วัวตัวนี้ ”
ปัณฑ์ธรหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างสะใจ ยิ่งทำให้สิรดนัยอารมณ์ขึ้นหากแต่ชายหนุ่มก็ต้องหยุดอารมณ์ไว้ เขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนบ้าไปมากกว่านี้
“ ผมขอตัวก่อนนะครับพี่ แล้วเจอกัน ”
ปัณฑ์ธรบอกก่อนจะทำท่าตะเบ๊ะ พร้อมขยิบตาให้พี่ชายอย่างยียวน
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ค่อยอยากจะรับรู้มันสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะตอนนี้ เธอรู้แต่เพียงว่าปวดหัวจะระเบิดจากฤทธิ์ของมาร์ตินี่หลายแก้วที่วน เวียนปั่นป่วนอยู่ในท้องจนแทบจะกระฉอกออกมาหมดแล้ว
“ นี่...ตั้งใจฟังฉันพูดหรือ เปล่าเนี่ย ” ปัณฑ์ธรที่ พล่ามไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่ เกิดสังเกตขึ้นได้ว่าเพื่อนรักของเขานั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับ และเหมือนไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักประโยค ทั้ง ๆ ที่เขามีเรื่องอีกตั้งมากมายที่จะเล่าให้เธอฟัง มีเรื่องอีกตั้งมากมายที่เขาอยากให้เธอได้รับรู้
“ มึนหัวจะแย่อยู่แล้ว ” หญิงสาวทำหน้าพะอืดพะอมสุด ฤทธิ์ ก่อนจะโบกมือไปมา “ แกน่าจะให้ พี่แกไปส่งฉันมากว่าที่จะให้ฉันมานั่งฟังแกพล่ามอยู่นี่ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะเว้ย ”
มาธวีย่นจมูก ก่อนจะฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างแสนเสียดาย เพราะไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เธอได้เจอกับสุภาพบุรุษสุดหล่ออย่างพี่ชายของเพื่อนรัก ที่แอบหลงใหลได้ปลื้มมานานแสนนานนักแต่ยังเป็นสาววัยกระเตาะ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะได้อยู่ลำพังกับเขายังไม่ทันหนำใจ ก็โดนไอ้เพื่อนบ้านี่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
นึกแล้วยังเสียดายไม่หาย !!
“ ฮันนี่ ~ ”
ปัณฑ์ธรที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เรียกเธอด้วยชื่อเล่นที่ชวนเข้าใจผิด ส่งผลให้สิรดนัยทำหน้าเหวอ ก่อนจะขยับปากเหมือนถามเรื่องราวความเป็นไป แต่ยังไม่ทันที่ดอกพิกุลจะร่วง เพื่อนสนิทตัวแสบก็ดันโผเข้ากอดแนบแน่น พลางพล่ามพูดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ชวนเข้าใจผิดหนักกว่าเดิม สิรดนัยจึงเลือกที่จะเก็บความสงสัยของเขาเอาไว้ ก่อนจะทำหน้านิ่ง ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“ เอาไว้เรื่องนี้เราต้องคุยกันที่บ้าน นะนายปัณ ” เขาบอกเสียงจริงจัง แต่ปัณฑ์ธรกลับยักไหล่ เหมือนไม่สนใจเรื่องที่พี่ชายพูด
“ คืนนี้พี่จะไปส่งคนรักของแกก่อน เธอดูเมามากนะ ” เขาบอกพลาง เอื้อมมือมาแตะไหล่เธอเบา ๆ ซึ่งแค่เพียงสัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้หญิงสาวยิ้มหวานเยิ้มได้ทันที แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ซบอกอบอุ่นของผู้ชายในฝันอีกครั้ง ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็กระชากเธอลอยหวือไปอยู่ในอ้อมอกเขาทันที
ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เหมือนกับกำลังแสดงบทพระเอกปกป้องนางเอกจากพระรอง
“ ผมไปส่งฮันนี่เองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงแทนผมหรอก พี่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมจะตามไปที่หลัง ” นักดนตรีอินดี้บอกกับพี่ชายด้วยน้ำ เสียงที่หนักแน่น
แค่นั้นแหละ....ชีวิตของมาธวีก็จบลงแค่นั้น !!
“ ไอ้ฮัน แกเมาขนาดนั้นเลยเหรอวะ ”
ปัณฑ์ ธรมองเพื่อนคนสนิทที่ไม่พบกันนาน ซึ่งนอนฟุบลงไปกับโต๊ะ แถมดิ้นพราก ๆ จนผมหยิกลอนฟูยุ่งเหยิงของเธอแผ่กระจายทั่วโต๊ะอย่างแสนเวทนา
หญิงสาวโงหัวขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อที่ปัณฑ์ธรใช้เรียกเธอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง พลางนึกค่อนขอดในใจว่าทำไมตอนอยู่ต่อหน้าสิรดนัยเขาถึงไม่เรียกเธอว่า ‘ฮัน’ เฉย ๆ เหมือนเวลาอยู่ตามลำพัง แทนที่จะเรียกชื่อที่ชวนเข้าใจผิดอย่าง ‘ฮันนี่’ ซึ่งในชีวิตนี้มันเคยเรียกอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ในเมื่อเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว เธอเองก็เรียกร้องอะไรกลับคืนมาไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลย ความจริงหลังจากเรียนจบ มาธวีพยายามที่จะหลีกหนีจากปัณฑ์ธร เพราะไม่อยากจะกลับไปสู่วงเวียนชีวิตเดิม ๆ ที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของชายหนุ่มอีก ไม่ว่าจะเป็นการลงที่อยู่ในหนังสือรุ่นว่าเป็นที่บ้านเกิดที่กาญจนบุรี โดยไม่ให้ที่อยู่ที่กรุงเทพ กดแจ้งว่าเมล์ของปัณฑ์เธรเป็นแสปมหลังจากที่เธอเห็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของเขาที่ส่งมามากเกินกว่าเก้าฉบับ แล้วไหนจะย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์โดยไม่บอก เพียงเพื่อต้องการจะหนีจากผู้ชายคนนี้ให้สุดหล้าฟ้าเขียว ถึงแม้ว่าตัวเธอเองยังไม่สามารถรับพฤติกรรมที่ร้ายกาจชนิดที่ไม่น่าให้อภัยได้ของตัวเธอเอง แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องจมอยู่ในวงเวียนชีวิตที่น่าอเน็จอนาถแบบนั้นอีกแล้ว แม้ว่าแรก ๆ เธอจะรู้สึกเหมือนชีวิตจะมีบางสิ่งที่ขาดหายไป แต่ปัจจุบันนี้เธอก็สามารถตัดขาดจากเขาได้สนิทแล้วแท้ ๆ
แต่ทำไมมันต้องโผล่มาอีก(วะ)เนี่ย...!!
“ คิดอะไรของแกอยู่ เงียบเชียว ” เมื่อปัณฑ์ธรถามขึ้น เธอจึงหลุดออกจากภวังค์ความคิด แล้วกลับมาสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง
หญิงสาวถอนหายใจ พยายามใช้มือสางผมหยิกยุ่งเหยิงของเธอให้เข้าทรง ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างตั้งฉากกับโต๊ะ เพื่อรับน้ำหนักคางที่วางทาบลงมาในท่าเท้าคาง ทอดสายตาปรือ ๆ จนแทบลืมไม่ขึ้นของตนมองไปยังคู่สนทนา พร้อมตั้งสติที่มีกลับมาอยู่กับตัวและบอกกับตัวเองว่า วินาทีนี้ก็คงทำได้แค่ฟังคนตรงหน้านี้พล่ามไปก่อน ไว้สบโอกาสเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ได้ลาขาดกันอีกรอบแน่
มาธวีหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะปั้นหน้ามึน
“ แกกลับมาแล้วเหรอ ” หญิงสาวเริ่มที่จะให้ความสนใจกับคู่สนทนา โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามของเพื่อนรักที่ ถามมาก่อนหน้านี้ที่ถามว่าเธอเมามากขนาดไหน
“ สักสอง สาม เดือนแล้วล่ะ ” เขาเอ่ย ยิ้ม ๆ ก่อนจะใช้เท้าเตะหน้าแข้งเธอเบาๆ “ ฉันติดต่อแกไม่ได้เลยนะ แกเองก็ไม่คิดจะติดต่อฉันมาก่อนเลยใช่ไหม ”
ชายหนุ่มทำเสียงกระฟัดกระเฟียด เหมือนจะงอน
“ อืม...หลังจากไปส่งแกที่สนามบินวันนั้น ฉันก็มีเรื่องยุ่งๆเข้ามาในชีวิตตลอดเลย แถมตอนนั้นฉันโทรศัพท์หาย จำเบอร์ใครไม่ได้เลย ไม่รู้จะทำยังไง ฉันเป็นสาวเป็นนาง จะไปพยายามหาทางติดต่อกับแกก่อนมันก็ดูไม่งามใช่ป่ะล่ะ ความจริงตอนแรกก็อยากจะไปถามจากพี่ชายของแกที่บ้านแกอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าไปอ่ะ พูดก็พูดเถอะ พี่ชายแกนี่หล่อเหมือนเดิมเลยเนอะ ”
มาธวียิ้มหวานเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนคนฟังแทบจะปรับอารมณ์ไม่ทัน ก่อนถอนหายใจอย่างเสียดาย เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของสิรดนัย แล้วเพ้อฝันเล่น ๆ ว่า ถ้าผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วอย่างพี่แดนของเธอไม่ได้ปะ หน้าตรงๆกับ(ไอ้)ปัณฑ์ธรเสียก่อน เขาคงจะอาสาพาเธอไปส่งที่บ้าน ซึ่งช่วงเวลานั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์โรแมนติกแบบในละครเกาหลีที่นางเอกอ้วก ใส่พระเอกแล้วต้องซักรีดชุดสูทราคาแพงหูฉี่ ในที่สุดก็กลายมาเป็นความสัมพันธ์สุดโรแมนติกก็ได้
แหม แค่คิดก็เขินแล้ว
“ แกกำลังเพ้ออะไรอยู่ ” ปัณฑ์ธรถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวของเขาทำท่าเพ้อฝันไปไกลใกล้จะถึงดาวเนปจูน ก็ชักวิตก กลัวว่าเพื่อนตัวดีจะเรียกสติกลับมาไม่ได้ สังเกตได้จากดวงตา ที่เยิ้มจากความเมาอยู่แล้ว ก็ยิ่งเยิ้มเข้าไปใหญ่เมื่อเธอเริ่มเพ้อ
เขาหรี่ตามองร่างบางตรงข้าม ก่อนจะขี้หน้าเธออย่างพยายามคาดเดา
“ อย่าบอกนะว่าแก ยังไม่เลิกเพ้อถึงพี่ ฉันอีกอ่ะ ฉันบอกแล้วว่าอย่างแกอ่ะ หางตาพี่แดนเขาก็ไม่แล เค้าไม่มีทางเอาแกไปเมียหรอก เกิดเขาหน้ามืดตามัวขึ้นมาจริงๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่จะคัดค้านไม่ยอมรับแกเป็นพี่สะใภ้ ขืนแต่งแกเข้าตระกูลแล้วต้องพาไปออกงานนะ คนเขาจะเข้าใจผิดคิดว่างานนั้นเป็นงานวัด...” ปัณฑ์ธรบ่นด้วยน้ำเสียงและสายตาดูถูก ปนเอือมระอาเพื่อน ด้วยไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าการเจอกันไม่กี่ครั้งของมาธวีและผู้เป็นพี่ชาย จะทำให้เพื่อนรักของเขาเพ้อถึงเจ้าคนบ้าอำนาจมากถึงขนาดนี้
“ ทำไม ยะ ” มาธวีถาม เสียงสูง
“ ก็จะให้ไม่นึกว่าเป็นงานวัด ได้ไงล่ะ พอเห็นแก เขาก็นึกว่าแกเป็นสัตว์ประหลาดที่พี่ชายฉันพามาโชว์แบบที่งานวัดใหญ่ ๆ เขามีกันน่ะสิ ”
โหย..ปาก มัน
มาธวีทำปาก ขมุบขมิบเหมือนสาปส่ง ไอ้หนุ่มผมยาวตรงหน้า
ปัณฑ์ธรเหลือบมองดูปฎิกิริยาจากคนที่เพิ่งถูกหาว่าเป็นตัวประหลาดแล้วรู้สึก สะใจเป็นที่สุด จะว่าโรคจิตก็คงจะไม่ผิด เพราะเขาชอบนักล่ะที่จะทำให้คนตรงหน้าต้องมีอาการแบบนี้ จะว่าไปแล้วเขาเองไม่ได้เห็นท่าทางฮึดฮัด หน้าหงิก ๆ และปากสีชมพูอ่อนที่ขมุบขมิบบ่นพึมพำอยู่คนเดียวของมาธวีมานานหนักหนาแล้ว ทำให้นึกถึงสมัยที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน เขาก็ชอบแกล้งเธอเช่นนี้เป็นประจำ
ปัณฑ์ธรลอบยิ้ม ก่อนตบโต๊ะเสียงดังเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“ เอาเหอะ ๆ เลิกบ่นได้แล้ว แกมาที่นี่กับใครอ่ะ คนแบบแกคงไม่มาคนเดียว หรือว่ามากับหนุ่ม...ไม่หรอก อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้มากกว่า คนแบบแกจะไปรู้จักผู้ชายที่ไหนได้ นอกจากฉันกับคนในวง ”
พอ ฟังคำถามจบ มาธวีก็สปริงตัวขึ้นทันทีเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก แต่ด้วยความที่เธอยังคงเมามาร์ตินี่อยู่ ทำให้เซถลาและล้มลงไปกองกับพื้นภายในไม่กี่วินาที แต่แทนที่ปัณฑ์ธรผู้ที่อยู่ใกล้กับเธอมากที่สุดจะเข้ามาประคองร่างบางให้ลุกขึ้น เขากลับมองเธอและระเบิดหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ ปล่อยให้ผู้หญิงสติไม่เต็มเต็งค่อย ๆ คืบคลานขึ้นโต๊ะเชื่องช้า
มาธวีเหลือบมองเพื่อนที่แสนดีอย่างอาฆาต ก่อนจะปลงตก เพราะคิดได้ว่าไอ้การหัวเราะซ้ำเติมคนอื่น เป็น 'นิสัยส่วนตัวที่ฝังรากลึกยากจะแก้' ของปัณฑ์ธรไปแล้ว จึงได้ฝืนยิ้มและตอบคำถามเขาไป
“ ฉันมากับเพื่อนที่ทำงาน หายมานานแล้วยังไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย นี่ก็ออกมาข้างนอกโดยไม่ร่ำไม่ลา ป่านนี้พวกนั้นจะคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนเนี่ย...วันแรกก็เมาเละให้เห็น แถมยังออกมากับผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจอีก ”
ผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“ อันนั้นมันก็เรื่องของแกนะ ว่าแกจะแต่งเรื่องหลอกเขาว่าแกไปทำอะไร ยังไง กับใครก็เรื่องของแก แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าบ้านอยู่ไหนเดี๋ยวจะไปส่ง ฉันจะได้กลับบ้านนอนสักที เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ” เขาบอกพลางทำเสียงงัวเงียและอ้าปากหาวกว้างเสียจนเห็นลิ้นไก่ มาธวีเห็นแล้วได้แต่ทำท่าทีระอา
“ ไม่ต้องไป ส่งหรอก ” หญิงสาวปฎิเสธ ไม่ใช่เพราะอยากเล่นตัวเหมือนนางเอกละครโทรทัศน์หรือเกรงใจเพื่อน แต่ไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้รู้จักบ้านจนตามไปป่วนได้สะดวกต่างหาก
“ อย่าเล่นตัวได้ไหม ขอร้องเถอะ ” เขาบ่น สีหน้ารำคาญสุดฤทธิ์ “ ชีวิตนี้ อาจจะหาโอกาสดี ๆ ที่จะมีผู้ชายสุดหล่อไปส่งบ้านแบบนี้ไม่ ได้แล้วก็ได้นะ ”
ถ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ(ยะ)
“ เป็นพระ คุณอย่างสูงเลยเจ้าค่ะ ” หญิงสาวกระแทกเสียง ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเซอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้เธอไม่ได้ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างที่คิดไว้ เพราะมีท่อนแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งรุดเข้าไปประคองร่างบางไว้ได้ทัน
หญิงสาวกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เพราะไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหน ชนิดที่ว่าอยู่ในอ้อมแขนแนบชิดแบบนี้มาก่อน มาธวีค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองคนที่ช่วยประคองร่างของเธอเอาไว้ช้า ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าสีหน้าของคนที่ช่วยเธอเอาไว้นั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและ สมเพชเธอ ขนาดไหน มุมปากเขากระดกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย ซึ่งการกระทำต่อมาของไอ้ฮิปปี้ผมยาวคนตรงหน้าเธอคนนี้ที่ทำก็คือ ปล่อยมือทั้งสองข้างของเขาให้เธอร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างที่ควรจะเป็นในตอนแรก ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระอา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบตัวที่มีนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและชอบซ้ำ เติมคนอื่น
สิรดนัยละสายตาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ในมือทันที ที่ได้ยินเสียงรถของน้องแล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน มือหนาวางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟานุ่มด้วยท่าทางสบาย ๆ
ทันทีที่ปัณฑ์ธรเปิดประตูบานใหญ่ของบ้านเข้ามา เขาก็รับรู้ได้ถึงรังสีอมหิตที่แผ่นซ่านไปทั่วบ้านท่ามกลางแสงสว่างเพียงไม่ กี่ดวงจากหลอดไฟตรงห้องรับแขกที่เปิดข้างไว้ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าผู้ร่วมชายคาคนเดียวของเขาในบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ยังคงรอที่จะสนทนากับเขาอย่างที่ได้บอกเอาไว้ก่อนจากกัน ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปทางทิศที่มีแสงสว่างลอดผ่านความมืดเพื่อพบกับพี่ชาย ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก
สิรดนัยมองเห็นน้องชายที่เดินนิ่วหน้าเข้ามาทางเขาแล้วรู้สึกขัดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่เขาจะของคุยกับปัณฑ์ธร น้องชายของเขาต้องมีสีหน้าเบื่อหรือไม่ก็ละเหี่ยใจที่จะพูดคุย ชายหนุ่มเก๊กหน้าขรึมก่อนที่จะเอ่ยทักน้องชายด้วยเสียงทรงอำนาจ
“ พี่รออยู่นานแล้ว ไปส่งผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยไหม ”
“ ครับ ” ชายหนุ่มตอบรับ เสียงเอื่อย พลางทำหน้าเมื่อยเหมือนไม่อยากจะคุย ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มไม่ไกลจากพี่ชายนัก
“ พี่มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ ” ปัณฑ์ธรเลิกคิ้วถาม สีหน้ากวนอารมณ์ “ วันนี้ผมเหนื่อย มาก อยากพักผ่อน คงมีเวลาให้พี่ไม่มาก ”
สิรดนัยหรี่ตามองน้องชายอย่างใช้ความคิด ก่อนจะผ่อนลมหายใจแสดงความอ่อนใจกับพฤติกรรมของผู้เป็นน้องชาย ที่น้องชายเขาเป็นแบบนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่ไม่สามารถดูแล น้องชายให้ดีได้ตามที่พ่อแม่หวังเอาไว้
“ ปีนี้แกอายุ 25 แล้ว ควรที่จะทำตัวให้เป็นโล้เป็นพายเสียที ” เขาบอกอย่างจริงจัง “ แกเรียนจบมาตั้งนาน แต่ยังไม่มีการมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้แต่งานมีครอบครัวกับเขาเหมือนคนอื่น ๆ ”
ปัณฑ์ธรเลิกคิ้ว มองพี่ชายอย่างแปลกใจ
“ ผมรอพี่แดนแต่งก่อน ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ก่อนจะเอนตัวในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟานุ่ม “ พี่แก่กว่าผมตั้งหลายปี แถมมียัยเดือนเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็ก ๆ ทำไมไม่แต่งไปก่อนล่ะครับ ผมจะได้หมดห่วง ”
พอนักร้องหนุ่มพูดถึงว่าที่พี่สะใภ้ สิรดนัยก็ถึงกับทำหน้าเครียด เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสิรดนัยและเพ็ญนีต์ต่างเข้ากันไม่ได้แบบสุด ๆ เพ็ญนีต์นั้นอ่อนกว่าเขาเกือบสิบปี แม้เธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาภายในเวลาสามปีครึ่ง แต่ยังคงมีความคิดความอ่านแบบเด็ก ๆ เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ ความเป็นกุลสตรีติดลบ และห่างไกลคำว่า ‘เรียบร้อย’ ซึ่งน่าจะเป็นผู้หญิงแบบที่สิรดนัยชอบอยู่หลายขุม แต่ทุกคนต่างยังคงยืนยันว่าสมควรให้คนที่นิสัยเป็นผู้ใหญ่แบบสิรดนัย เหมาะแล้วที่จะดูแลเพ็ญนีต์
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ใคร ๆ ต่างก็ทราบดีว่าเพ็ญนีต์มีใจให้กับปัณฑ์ธร และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ใหญ่มากเพียงไร
“ แกควรแต่งงานก่อนพี่ ยายเดือนเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย อายุแค่ยี่สิบเท่านั้น ”
ปัณฑ์ธรกลั้นหัวเราะกับท่าทางเครียด ๆ ของพี่ชาย
“ พี่คงอยากยืดเวลาให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะ ” เขาลองใจพี่ชาย “ ใครก็อยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและเกิดจากความรัก ความเต็มใจของคนสองคนทั้งนั้น พี่เองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่อย่ามาบังคับผมเลยดีกว่าครับ พี่แดนคือคนที่ควรเข้าใจผมที่สุดไม่ใช่หรือ ”
“ แกมีคนรักอยู่แล้วงั้นหรือ ”
เขานึกถึงเด็ก ผู้หญิงคนเมื่อค่ำที่ปัณฑ์ธรเรียกเสียหวานแหววว่า ฮันนี่ เด็กผู้หญิงซึ่งเขาคุ้นหน้าเธอมาก หากแต่นึกไม่ออกว่าเคยพบเธอที่ใดคนนั้น ถ้าคนรักของปัณฑ์ธรคือเด็กคนนั้นจริง น้องชายของเขาก็คงเข้าข่ายพรากผู้เยาว์
“เด็กคนนั้นหรือ ” เขาถามเสียงเรียบ แต่น้องชายทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ “ ก็เด็กที่พี่เจอ ที่ผับเมื่อครู่ไง ที่แกเรียกเขาว่า ฮันนี่ ”
เท่านั้น ปัณฑ์ธรก็คลี่ยิ้มหวาน
“ ไม่เด็กสักหน่อยครับ อายุเท่าผม ผมอ่อนเดือนกว่าด้วยซ้ำ”
สิรดนัยพยักหน้าเข้าใจ ความจริงผู้หญิงคนนั้นก็บอกกับเขาเช่นกันว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เขาเองไม่อยากจะเชื่อเพราะเธอเมามาก อีกทั้งคิดไปเองว่าเธอคงจะกลัวว่าเขาจะจับส่งเจ้าหน้าที่ ว่าเธออายุไม่ถึง แต่เมื่อได้ยินคำยืนยันจากน้องชาย เขาก็มั่นใจ
“เธอเป็นลูกใครหลานใครกันล่ะ” คำถามของพี่ชายทำให้เขานึกขัน ลองนึกถึงภาพสาแหรกครอบครัวของมาธวีที่เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังเมื่อสมัยเรียนด้วยกัน ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“ผมไม่แน่ใจครับ รู้แต่ว่าพ่อมันเป็นกำนันหรืออะไรสักอย่างที่ต่างจังหวัด แม่รับจ้างซ่อมเสื้อผ้าอะไรแบบนี้ แล้วก็มีพี่ชายอีกคน อยู่ไหนผมก็ไม่แน่ใจ”
สิรดนัยนิ่งเงียบ ทันทีที่น้องชายพูดจบ เขาเม้มปากสนิทจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะมองน้องชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ แกรักเธอมากไหม...” เขาเห็นหน้าน้องชายเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จึงพยายามอธิบายขยายความ “พี่หมายถึง แกรักเขาจริงจัง หรือแกแค่คบกับเธอเล่น ๆ เหมือนพวกผู้หญิงที่ผ่านมา”
ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะรู้นิสัยของน้องชายดี ตั้งแต่ปัณฑ์ธรโตขึ้นมาเป็นผู้ชายเต็มตัว เขาก็คบหากับผู้หญิงมากมายแทบจะนับด้วยนิ้วไม่ถ้วน แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่เคยจริงใจกับใครสักคน ไม่เคยพาใครมาแนะนำ ไม่เคยพูดถึงใครเป็นพิเศษ มีก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปส่งเขาที่สนามบินวันที่ปัณฑ์ธรไปเรียนต่อต่าง ประเทศ ผู้หญิงที่น้องชายแนะนำว่าเป็น ‘คนสนิท’ ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ ผมก็ไม่ได้....” ปัณฑ์ธรกำลังจะพยายาม อธิบายให้พี่ชายของเขาเข้าใจสถานะที่แท้จริงของเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนว่าพี่ชายคนเก่งของเขาที่ชอบติดนิสัยคิดเองเออเองคนเดียวคิดไปไกลสุดกู่ จึวพยายามหาจังหวะที่จะบอกว่าที่เขาเรียกเธอแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนรัก แต่เพราะเธอชื่อว่า ‘ฮันนี่’ จริง ๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้เป็นพี่ชายก็ขัดคอขึ้นมาเสียก่อน
“ ก็ดีแล้ว ” คำพูดเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจของสิรดนัยทำให้ชายหนุ่มชะงัก และเหลือบมองพี่ชายด้วยความสนใจ “ เพราะแกจะต้องแต่งงานกับคนที่พี่ หาให้ ในเร็ววันนี้ เข้าใจนะ ปัณ ”
ปัณฑ์ธรขมวดคิ้วหนาอย่างไม่พอใจ ใบหม้าหวานงอง้ำบิดเบี้ยว นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว เรื่องน่าขันนี่ยังเกิดขึ้นในสังคมยุคโลกาภิวัตน์อีกเหรอ เขายืนตรงขึ้นมองผู้เป็นพี่ด้วยแววตาแข็งกร้าว ในขณะที่สิรดนัยวางตัวเรียบเฉยและไร้ความรู้สึกใดๆ นิ้วเรียวหยิบหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเปิดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ พี่หมายความว่ายังไงครับ ”
“ พี่ก็หมายความตามที่พูดนะ ทำไมแกต้องถามซ้ำ ” เขาตอบ โดยไม่ละสายตาจากหนังสือนิยายภาษาอังกฤษที่พิมพ์ด้วยขนาดอักษรตัวเล็กจิ๋วนั่น ราวกับมันสนุกมากมาย
“ ผมจำเป็นต้องฟังด้วยหรือครับ ” เขาเค้นเสียงถาม เริ่มเดือดปุดๆเพราะท่าทีทำเป็นทองไม่รู้ร้อนของพี่ชาย
“ แกไม่มีทางเลือกนะปัณ เด็กคนนั้น คนที่แกคบอยู่ตอนนี้ไม่คู่ควรกับแก แถมแกก็ดูเหมือนจะไม่ได้จริงจังอะไรกับเธอนี่ ”
นักร้องหนุ่มกำหมัดแน่น
“ งั้นแปลว่าถ้าผมจริงจังกับฮันนี่ ผมก็ไม่ต้องเป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้คนมาจูงจมูกเหมือนกับที่พี่ยอมงั้นสิ ! ”
“ ปัณฑ์ธร !!! ”
สิรดนัยปิดหนังสือลงอย่างแรง ก่อนจะกระแทกมันลงบนโซฟาโครมใหญ่ชนิดที่คนรักหนังสืออย่างเขาไม่เคยคิดจะทำ ชายหนุ่มขบกรามจนเป็นสันนูน มองใบหน้ากวนโมโหของน้องชายที่จ้องเขากลับอย่างท้าทาย
“ ผมไม่ใช่พี่นะ ถึงได้ยอมทำตามความต้องการคนอื่นเหมือนไร้สมองแบบนั้น เรียนมาก็สูง ทำไมไม่มีสมองคิดเอง !! ”
โครม !!!
สิรดนัยอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นและปล่อยมันไปเต็มแรงบนใบหน้าระเรื่อด้วยความโกรธของน้องชายอย่างสุดแรง ปัณฑ์ธรหน้าหันและเซไปตามแรงหมัดของพี่ชาย ความชาหนึบแล่นปลาบอย่างรวดเร็วไปทั่วใบหน้า
“ อ้าว มีอารมณ์เหมือนกันหรอกเหรอ หุ่นยนต์วัวตัวนี้ ”
ปัณฑ์ธรหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างสะใจ ยิ่งทำให้สิรดนัยอารมณ์ขึ้นหากแต่ชายหนุ่มก็ต้องหยุดอารมณ์ไว้ เขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนบ้าไปมากกว่านี้
“ ผมขอตัวก่อนนะครับพี่ แล้วเจอกัน ”
ปัณฑ์ธรบอกก่อนจะทำท่าตะเบ๊ะ พร้อมขยิบตาให้พี่ชายอย่างยียวน
อิษฎา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2554, 00:41:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2554, 00:41:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1699
<< บทนำ | ทะเลยังสวยเหมือนเดิม >> |
ปูสีน้ำเงิน 25 พ.ค. 2554, 19:42:05 น.
พี่ชายเผด็จการกับน้องจังนะ
พี่ชายเผด็จการกับน้องจังนะ