กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 20


20...


นับว่าเป็นโชคดีของอาลั้งที่ซาเสี่ยเนี้ยกลับจากไปธุระมา เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถงที่ใช้เป็นห้องโถงรับรองและพักผ่อนด้วย ก็เห็นอาไล้กำลังตีอาลั้งอย่างดุเดือด โดยมียี่เสี่ยเนี้ยนั่งมองอยู่ จึงถามยี่เสี่ยเนี้ยว่า
“ยี่อึ้ม (อึ้มเป็นสะใภ้ที่เป็นภรรยาของพี่ชายสามี) ตีอาลั้งทำไมเหรอ?”
“อั๊วจะสั่งสอนอีให้รู้จักเคารพอั๊ว” ยี่เสี่ยเนี้ยตอบ
“ค่อยพูดค่อยจากันไม่ดีกว่าหรือ?” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “แล้วเสียงตีเสียงเด็กร้องไห้อย่างนี้ เราก็พูดคุยกันไม่ถนัด”
ยี่เสี่ยเนี้ยรู้เจตนาของซาเสี่ยเนี้ยต้องการจะให้หยุดตีอาลั้ง ยังไงนางก็ยังมีความเกรงใจซาเสี่ยเนี้ยอยู่บ้าง จึงสั่งว่า “อาไล้หยุดตี”
อาไล้แสนเสียดาย จึงแกล้งหวดอีกขวับเต็มแรงก่อนจะหยุดมือ อาลั้งสะอึกสะอื้นพยายามจะให้เบาเสียง แต่ความเจ็บปวดยังไม่บรรเทาเบาบาง จึงสะอื้นอยู่ในลำคอ
“มันเรื่องอะไรกันเหรอคะยี่อึ้ม?” ซาเสี่ยเนี้ยถาม พลางนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวข้างโต๊ะไม้ฝังมุก
“อั๊วให้ตีอีที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เพียงสองวันก็ใช้เงินแต๊ะเอียหมด” ยี่เสี่ยเนี้ยเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ...เรื่องเงินแต๊ะเอียนี่เอง” ซาเสี่ยเนี้ยเหลือบมองอาไล้แวบหนึ่ง รู้ว่านางคงมายุยงยี่เสี่ยเนี้ย จึงว่าต่อว่า “อาลั้งไม่ได้ใช้เงินหมดหรอกค่ะ แต่อีส่งไปให้แม่ที่เมืองจีน อั๊วเห็นแล้วสงสาร เลยช่วยออกค่าส่งให้ มีตั๋วส่งเงินครบ อายี่อึ้มจะดูไหมคะ?”
ยี่เสี่ยเนี้ยยิ้มฝืนๆ “ไม่ต้องดูก็ได้ แต่อั๊วถามอี ทำไมอีไม่บอก”
“อั๊วเป็นคนสั่งอีเองว่า ไม่ให้บอกใคร เดี๋ยวคนอื่นจะมาขอให้อั๊วช่วยส่งโน่นส่งนี่ อั๊วก็เสียเงินค่าส่งโดยใช่เหตุ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย
“อย่างนี้ก็หมายความว่า อาลั้งกลัวซาเสี่ยเนี้ยมากกว่ายี่เสี่ยเนี้ยน่ะสิ” อาไล้โพล่งขึ้น ตั้งใจจะยุยี่เสี่ยเนี้ยให้เกลียดอาลั้งมากๆ
แต่ผลกลับเป็นว่า...ซาเสี่ยเนี้ยหันมาจ้องอาไล้ แล้วถามตรงๆ ว่า “แล้วลื้อล่ะ อาไล้?”
“อั๊ว...อั๊วเหรอ” ยามกะทันหัน และอยู่ต่อหน้าเจ้านายทั้งสอง อาไล้อ้ำอึ้งไม่กล้าพูดออกไป
“ใช่…ลื้อนั่นแหละ ลื้อเคารพอั๊วหรือยี่อึ้มมากกว่ากัน?” ซาเสี่ยเนี้ยมองนางเขม็ง
“ย่อมต้อง…” อาไล้คำนวณในใจ เวลานี้ดูเหมือนยี่เสี่ยเนี้ยจะมีอำนาจปกครองบ้านเหนือกว่าซาเสี่ยเนี้ย แต่ยี่เสี่ยเนี้ยมีเพียงลูกสาวคนเดียว ในขณะที่ซาเสี่ยเนี้ยมีลูกชาย ต่อไปในอนาคต ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของคุณชาย ลูกชายของซาเสี่ยเนี้ยแต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำตอบนี้ของคนตอบไม่ดี ตนมีหวังตายยังเขียด...นางจึงอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “เท่ากันค่ะ”
“ลื้อตอบว่าเท่ากัน” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “อาลั้งอีก็คงเหมือนลื้อ แต่อีเป็นเด็กจึงแยกแยะไม่ถูกว่าสมควรทำอย่างไร แต่ลื้อโตแล้ว ลื้อน่าจะรู้ตัวว่าสมควรทำอย่างไร”
อาไล้ถูกตำหนิแบบผู้ดีๆ เข้า ก็หน้าแดงก่ำ ก้มหน้างุด
“เป็นอั๊วพบอาลั้งอีนั่งเหม่อ มือกำซองอั้งเปาเอาไว้แน่น อั๊วก็เลยถามอีว่า จะเอาเงินนั้นไปทำอะไร อีบอกว่า อีอยากส่งให้แม่ที่เมืองจีน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร อั๊วจึงอาสาช่วยส่งให้อีเองแหละค่ะยี่อึ้ม” ซาเสี่ยเนี้ยบอกต่อยี่เสี่ยเนี้ย
“ขอบใจแทนอาลั้งนะ ซาซิ่ม (ซิ่มเป็นคำเรียกสะใภ้ที่เป็นน้องชายสามี)” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยกับคู่สะใภ้
“ไม่ต้องขอบใจหรอกค่ะ เด็กกตัญญู อั๊วเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้” ซาเสี่ยเนี้ยใจจริงนั้น อยากเรียกตัวอาลั้งไปทายาให้ แต่เห็นว่าถ้าทำอย่างนั้นต่อหน้ายี่เสี่ยเนี้ยที่มีอคติต่อเด็กอยู่ เด็กจะถูกเขม่นเข้าอีก จึงเอ่ยขอตัว “อั๊วขอตัวก่อนนะยี่อึ้มจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวสักหน่อย” ว่าแล้วซาเสี่ยเนี้ยก็ผละจากไป
ยี่เสี่ยเนี้ยพอไม่มีคนนอกก็มองอาไล้เขม็ง เรียกเสียงดุ “อาไล้”
“ขา…” อาไล้ขานรับเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ลื้อเกือบจะทำให้อั๊วเสียผู้ใหญ่”
“คือ…” อาไล้จะรีบอธิบายเอาตัวรอด
แต่ยี่เสี่ยเนี้ยตวาดเบาๆ ว่า “หยุด…แล้วฟังอั๊วพูด…อั๊วไม่ใช่คนโง่…ลื้อคงจะคิดเอาเงินอาลั้ง พอไม่ได้ก็มาฟ้องอั๊ว”
“เปล่าค่ะ จริงๆ นะคะอั๊วสาบานได้” อาไล้แก้ตัวเสียงอ่อน
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ทีหลังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงเข้ม “อั๊วแค่เรื่องคุมค้าขายที่หน้าร้านก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ปล่อยให้คนมีเวลาว่างอย่างซาเสี่ยเนี้ยช่วยส่งเงินส่งทองให้อาลั้งอีก็แล้วกัน” ท้ายประโยคยังอดว่ากระทบคู่สะใภ้ไม่ได้
“ค่ะ” อาไล้รับคำเสียงอ่อย
“ลื้อก็เอาอาลั้งไปใส่หยูกใส่ยาซะ ถ้าเกิดอีเป็นไข้ขึ้นมา ลื้อก็ทำงานแทนอีด้วย”
“หา!” อาไล้อุทาน เพราะเมื่อครู่นางตีไม่ยั้งมือ ถ้าเด็กเป็นไข้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“มีอะไรไม่พอใจเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม
“ไม่มีค่ะ” อาไล้รีบปฏิเสธ
“ถ้าไม่มีก็ไปทำตามที่อั๊วสั่งเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ” อาไล้รับคำแล้วไม่กล้ารอช้า รีบจูงอาลั้งออกจากห้องโถงพักผ่อนนั้นโดยเร็ว ไม่เพียงแต่ทายาให้เท่านั้น นางยังรีบต้มยาแก้ไข้ให้อาลั้งกินเพื่อดักไม่ให้เด็กหญิงเป็นไข้ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเด็กหญิง แต่กลัวว่าตนเองจะต้องทำงานแทน
พอให้อาลั้งกินยาและนอนพักแล้ว…อาไล้ก็มานั่งคิดแค้น
‘เกลียดนักอีเด็กคนนี้ นี่ก็ทำให้อั๊วเข้าหน้ายี่เสี่ยเนี้ยไม่ติดไปเป็นพักใหญ่…แต่อย่าคิดนะว่า อั๊วจะรามือแค่นี้ ฟ้องยี่เสี่ยเนี้ยไม่ได้ ก็ยังมีคุณหนูโน้ยอยู่ อั๊วจะยุให้คุณหนูโน้ยเกลียดลื้อเข้ากระดูกดำเลย’

หลังจากกลับไปอยู่บ้านกับพ่อกับแม่ได้สี่วันช่วงวันหยุดตรุษจีน อาเฮี่ยะก็กลับมาทำงานที่ร้านดังเดิม พอพบหน้ากัน เด็กหญิงทั้งสองต่างดีใจ
“อั๊วเอาขนมเข่งทอดมาให้ลื้อกินด้วย” อาเฮี่ยะกระซิบบอกอาลั้ง “ฝีมือแม่อั๊วเอง อร่อยที่สุดเลย”
“จริงเหรอ?” อาลั้งถามอย่างดีใจ
“ไม่เชื่อ...ลื้อลองกินดูสิ” อาเฮี่ยะหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลที่มีรอยคราบน้ำมันออกจากห่อผ้า มาเปิดออก แล้วยื่นมาให้อาลั้ง
อาลั้งหยิบชิ้นขนมเข่งที่หั่นและชุบแป้งทอดมากินอย่างเอร็ดอร่อย อาเฮี่ยะเองก็หยิบกินด้วย เคี้ยวหนึบหนับพลางถามเพื่อนสนิทว่า “อาลั้ง...ขนมเข่งทอดของแม่อั๊วอร่อยที่สุดใช่เปล่า?”
“อือๆ...” อาลั้งพยักหน้าเห็นด้วย แต่เพราะกำลังเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยจึงปากไม่ว่างจะมาตอบรับ
ขณะที่เด็กหญิงทั้งสองกำลังกินขนมเพลิน ก็มีอันต้องงงงัน เมื่อเห็นคุณหนูโน้ยเดินเข้ามาหา เพราะปกติคุณหนูจะไม่เข้ามาในครัวที่จะทำให้ชุดสวยของหล่อนเปื้อนได้
แต่วันนี้คุณหนูโน้ยเดินเข้ามาในครัว แถมเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเด็กหญิงทั้งสอง สายตาของคุณหนูโน้ยมองอาลั้งอย่างเกลียดชัง ก่อนจะเบนไปที่อาเฮี่ยะแล้วถามขึ้นว่า
“อาเฮี่ยะ…ลื้อบอกอั๊วมาตรงๆ ระหว่างอั๊วกะอาลั้งใครสวยกว่ากัน?”
เจอเข้ากับคำถามแปลกประหลาดอย่างนี้โดยไม่ทันตั้งตัว อาเฮี่ยะถึงกับอ้าปากค้างโดยมีขนมคาอยู่เต็มปาก!
“ลื้อตอบอั๊วมาเดี๋ยวนี้” คุณหนูโน้ยคาดคั้น
อาเฮี่ยะพยายามกล้ำกลืนขนมลงคอก่อนจะตอบว่า “อั๊วไม่รู้”
พอได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจ คุณหนูโน้ยก็หันมาเอาเรื่องอาลั้ง
“แล้วลื้อล่ะอาลั้ง ลื้อตอบมา ลื้อหรืออั๊วใครสวยกว่ากัน?”
อาลั้งยังเด็ก และยังไม่สนใจความสวยความงาม จึงตอบคำถามนี้ไม่ได้เหมือนกัน “อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้ไม่ได้” คุณหนูโน้ยกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “มีคนบอกว่าลื้อไปพูดให้ใครต่อใครฟังว่า ลื้อสวยกว่าอั๊ว”
“ใครเป็นคนบอก?” เสียงซาเสี่ยเนี้ยถามขึ้น...ซาเสี่ยเนี้ยจะเข้ามาดูซุปที่ตุ๋นบำรุงลูกชาย พอดีมาได้ยินเข้า จึงถามโดยที่พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นใคร “อาไล้ใช่มั้ย?”
“เอ่อ...อ่า...” คุณหนูโน้ยอึกอัก เพราะรับปากอาไล้ว่าจะไม่บอกใครว่านางเป็นคนบอกเรื่องนี้ต่อตน “เปล่าค่ะ ซาซิ่ม”
“งั้น...ใครเป็นคนบอก?” ซาเสี่ยเนี้ยถามเสียงอ่อนโยน
แต่คุณหนูโน้ยเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก อ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “มีหลายคน หนูจำไม่ได้แล้วค่ะว่ามีใครบ้าง”
“เอาอย่างนี้นะอาโน้ย...” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ถ้าได้ยินใครพูดเรื่องนี้ให้มาบอกซาซิ่ม ซาซิ่มจะตบปากมันที่มันพูดเท็จ เพราะอาโน้ยของซาซิ่มสวยที่สุดอยู่แล้ว” ท้ายประโยคซาเสี่ยเนี้ยเยินยอคุณหนูโน้ย เพื่อให้หล่อนพอใจ แล้วจะได้ไม่หาเรื่องอาลั้งอีกต่อไป
แต่คุณหนูโน้ยนั้นยังคาใจอาลั้ง เพียงแต่อยู่ต่อหน้าซาเสี่ยเนี้ยจะเล่นงานอีกฝ่าย ยังไม่ค่อยถนัดนัก จึงจำใจต้องรับปากว่า “ค่ะ...ซาซิ่ม”
“อาโน้ยออกไปข้างนอกเถอะ เดี๋ยวเสื้อสวยๆ จะเปื้อน” ซาเสี่ยเนี้ยบอก
“ค่ะ” คุณหนูโน้ยรับคำ แล้วเดินออกจากครัวไป
ซาเสี่ยเนี้ยหันมามองอาลั้งแล้วถอนหายใจ
‘เด็กหนอเด็ก...ช่างมีเวรมีกรรมหนักหนาสาหัสเสียจริง ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ต้องจากอกแม่มาไกลถึงต่างแดน แล้วยังถูกคนพาลจ้องทำร้ายอีก!’

ผ่านตรุษจีนมาราวสองเดือนเศษ ขณะที่อาลั้งกำลังถูพื้นห้องครัวอยู่ อาเฮี่ยะก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา แล้วกระซิบบอกกับเด็กหญิงว่า “มีข่าวใหญ่ๆ”
“ข่าวใหญ่อะไรหรือ?” อาลั้งถามไปมือก็ทำงานไป
“พรุ่งนี้พระเจ้าอยู่หัวจะมาเปิดสะพานใหญ่” อาเฮี่ยะบอกตามที่ได้ยินคนขายของที่หน้าร้านคุยกัน
“พระเจ้าอยู่หัวคืออะไร?” อาลั้งยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ก็คือฮ่องเต้ของประเทศสยามไง” อาเฮี่ยะที่รอบรู้มากกว่าอธิบาย
“แล้วสะพานใหญ่ล่ะ?” อาลั้งถามต่อ
“สะพานใหญ่น่ะใหญ่มากเลย จะเปิดให้รถยนต์ข้ามด้วย รถลากข้ามด้วย คนเดินข้ามด้วย ข้ามจากบางกอกไปฝั่งธน” อาเฮี่ยะอธิบาย
“โอ้โห...ใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?” อาลั้งนึกสภาพสะพานที่ใหญ่โตขนาดที่อาเฮี่ยะเล่าไม่ค่อยออก
“อั๊วอยากจะไปดูพระเจ้าอยู่หัว” อาเฮี่ยะเสียงอ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไปเข้าเฝ้ารับเสด็จหรือไม่ “ตอนนี้ที่หน้าร้านคุยกันว่าจะปิดร้านสักวัน เพื่อไปดูพระเจ้าอยู่หัวเปิดสะพานใหญ่หรือเปล่า...อั๊วล่ะภาวนาว่าขอให้ได้ไปเถอะ”
“อั๊วก็ภาวนาด้วย” อาลั้งเอ่ย อยากได้เห็นงานใหญ่งานโตกับเขาบ้าง
พอดีอาไล้เดินเข้ามาในครัว พอเห็นเด็กทั้งสองสนทนากัน ก็หงุดหงิดใจ จึงถามลอยๆ ว่า “คุยอะไรกัน?”
อาเฮี่ยะไม่ค่อยกลัวอาไล้นัก เพราะอาไล้เห็นอาเฮี่ยะเป็นเด็กลูกจ้าง ถ้ารังแกไปเดี๋ยวเกิดเด็กไปฟ้องพ่อแม่มาเอาเรื่องจะลำบาก จึงไม่ค่อยรังแกหรือใช้งานอาเฮี่ยะหนักเท่าอาลั้ง
“อั๊วเล่าเรื่องพระเจ้าอยู่หัวจะเปิดสะพานใหญ่พรุ่งนี้ให้อาลั้งฟัง ไม่รู้ว่ายี่เสี่ยจะปิดร้านสักวันหนึ่งหรือเปล่า ถ้าปิดร้าน อั๊วจะได้ไปดู” อาเฮี่ยะว่า
“อั๊วไปดูด้วยนะ” อาลั้งยิ้มแก้มป่อง
“อาเฮี่ยะอาจจะไปดูได้ แต่อาลั้งลื้ออย่าฝันหวานไปเลย ยังไงๆ ลื้อก็ไม่ได้ไปดูกับเขาหรอก” อาไล้ยิ้มสะใจ
“ทำไมล่ะ?” เด็กสองคนถามพร้อมเพรียง
“เพราะอาลั้งต้องอยู่เฝ้าบ้าน ไปกันหมด เดี๋ยวเกิดมีขโมยขโจรขึ้นบ้านจะทำยังไง” อาไล้เอ่ย เหมือนมีเหตุผล
แต่...อาลั้งคิด ถ้าตนอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว เกิดมีขโมยมาจริงๆ ตนจะทำอะไรได้ คงได้ถูกโจรตีตายไปก็เท่านั้น!
แล้วก็เป็นไปตามที่อาไล้ว่า...วันรุ่งขึ้นยี่เสี่ยเนี้ยปิดร้านหนึ่งวัน อนุญาตให้ลูกจ้างทุกคนไปรอรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ตามริมถนนที่จะไปยังสะพานพระพุทธยอดฟ้า และครอบครัวยี่เสี่ยเนี้ยกับซาเสี่ยก็ไปด้วย ทิ้งอาลั้งให้เฝ้าบ้านคนเดียว โดยปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างมิดชิด
อาลั้งทำงานบ้านไปก็จินตนาการไปว่า ขบวนแห่จะสวยงามเพียงไร แล้วเช็ดน้ำตาเงียบๆ คนเดียว

พอกลับจากดูขบวนเสด็จของพระเจ้าอยู่หัว อาเฮี่ยะก็กลับมานอนแผ่หลาด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องเบียดเสียดนั่งตากแดดอยู่หลายชั่วโมง ยิ่งหน้านี้เป็นหน้าร้อนด้วย แดดยิ่งแรง จนผิวอ่อนๆ ของเด็กเป็นสีแดงเพราะแสงแดด
“เป็นยังไงบ้างอาเฮี่ยะ สนุกมั้ย?” อาลั้งถามทันที
“สนุกมากเลย” อาเฮี่ยะตอบ “มีทหารแต่งตัวเป็นสีๆ เยอะแยะไปหมด มีม้าด้วย ม้าก็แต่งตัวนะ”
“แล้วพระเจ้าอยู่หัวล่ะ?” อาลั้งถามถึงฮ่องเต้ของประเทศสยาม เพราะคิดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
“พระเจ้าอยู่หัวก็แต่งตัวสวยที่สุด” นั่นคือสิ่งที่อาเฮี่ยะจำได้
อาลั้งยิ้ม ก็รู้หรอกว่าสวย แต่สวยยังไง เด็กหญิงนึกไม่ออก ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ตัวเองได้เห็นเป็นบุญตาสักครั้ง!
อาเฮี่ยะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างนึกได้ บอกต่อเพื่อนสนิทว่า “เขาว่าวันนี้เป็นวันจักรี ตรงกับวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 สะพานใหญ่มีชื่อว่าสะพานพุทธ”
“สะพานพุทธ...” อาลั้งทวนคำ ก่อนจะถามต่อว่า “แปลว่าอะไร?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” อาเฮี่ยะส่ายหน้า
อาลั้งถอนหายใจเบาๆ “อั๊วอยากเห็นพระเจ้าอยู่หัวสักครั้งจริงๆ เลย”
“ก็เหมือนในรูปที่ติดอยู่หน้าร้านนั่นแหละ” อาเฮี่ยะเอ่ยเพื่อปลอบเพื่อน ไม่ให้ผิดหวังมากเกินไป ก่อนจะวกถึงเรื่องที่เขาลือกัน “เขาว่ากันนะว่าถ้าเปิดสะพานใหญ่แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น”
“อะไรเปลี่ยนแปลงเหรอ?” อาลั้งถามตามประสาเด็ก
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าเปลี่ยนแปลง แต่อะไรเปลี่ยน อะไรแปลง อั๊วก็ไม่รู้” อาเฮี่ยะก็ตอบตามประสาเด็ก ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบบอกอาลั้งว่า “ลื้ออย่าไปบอกใครนะ เขาว่าเรื่องนี้คอขาดบาดตายกันทีเดียว”
“จริงเหรอ?” อาลั้งกระซิบถามบ้าง
“จริง” อาเฮี่ยะทำเสียงหนักแน่น
แต่ถึงอาเฮี่ยไม่กำชับ อาลั้งก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครอยู่แล้ว เพราะลูกจ้างที่เหลืออยู่ช่วยงานบ้านเวลานี้ก็มีเพียงอาเฮี่ยะกับอาซิว อาซิวอายุมากกว่าอาลั้งสองปี มีหน้าที่ซักเสื้อผ้ากับตักน้ำ ส่วนอาเฮี่ยะนั้นพูดเก่งจึงอยู่หน้าร้านเสียส่วนใหญ่ และอาซิวก็ไม่สุงสิงกับอาลั้งด้วย!




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ม.ค. 2556, 09:20:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ม.ค. 2556, 09:20:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1412





<< ตอนที่ 19   ตอนที่ 21 >>
ree 29 ม.ค. 2556, 19:15:52 น.
สงสารอาลั้งจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account