กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 21


21...


แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของชาติสยามก็เกิดขึ้นจริงๆ...เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช คือพระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ แต่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
อีกวันหนึ่งต่อมาข่าวนี้ล่ำลือกันปากต่อปากในหมู่ประชาชนทั้งชาวไทยชาวจีน และจากปากอาเฮี่ยะมาเข้าสู่หูอาลั้ง อาลั้งก็ได้แต่รับฟังอย่างอือๆ ออๆ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง แต่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจทั้งคนเล่าและคนฟัง
“เขาว่าต่อไปประชาชนจะเป็นใหญ่” อาเฮี่ยะเอ่ยตามที่ได้ยินมา
“เป็นใหญ่ยังไงล่ะ?” อาลั้งถาม
“คงเป็นอาเสี่ยทุกๆ คนมั้ง” อาเฮี่ยะตอบ เพราะผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในความเข้าใจของเด็กหญิงคือยี่เสี่ยกับซาเสี่ยที่เป็นเจ้าของร้าน
“อืมม์...” อาลั้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่ ก่อนจะถามว่า “แล้วพวกเราละอาเฮี่ยะ จะเป็นอะไร?”
เจอเข้ากับคำถามนี้ อาเฮี่ยะก็จนแต้ม ส่ายหน้าดิ๊ก “ไม่รู้สิ”
“เอ้า...มัวแต่คุยกันอยู่นั่นแหละ” เสียงหนึ่งดังขึ้น สองเด็กหญิงที่คุยกันไป ถูพื้นครัวกันไปสะดุ้งโหยง นึกว่าอาไล้มาเห็นเข้า
แต่พอมองขึ้นไปที่ต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นอาชิว ที่หาบน้ำกลับมา อาชิวเทน้ำใส่ตุ่ม แล้วนั่งลงพักเหนื่อยที่เก้าอี้
อาเฮี่ยะกุลีกุจอลุกไปเทน้ำชาให้อีกฝ่าย ก่อนจะถามว่า “เหนื่อยมั้ยเจ๊ชิว?”
“เหนื่อยสิ ลื้อลองมาหาบน้ำเหมือนอั๊วไหมล่ะ?” อาชิวว่า ก่อนจะจิบน้ำชาแก้กระหาย
“ไม่เอาหรอกเจ๊ อั๊วกลัวเจอทหาร” อาเฮี่ยะเอ่ย “เออ...พูดถึงทหารแล้ว เจ๊ไปหาบน้ำเจอหรือเปล่า?”
“เจอ...ทหารเฝ้าอยู่ทุกที่เลย” อาชิวเล่าให้เด็กหญิงทั้งสองฟัง “เมื่อวานนี้ ทหารอีไม่ให้คนออกจากบ้าน แต่วันนี้ออกไปทำงานได้ แต่ห้ามรวมกลุ่มพูดคุยกัน”
“ทำไมเหรอเจ๊ชิว?” อาลั้งถามอย่างสงสัย
“อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกัน” อาชิวตอบ “รู้แต่ว่าถ้าใครฝ่าฝืนก็จะถูกจับขังคุก”
สองเด็กหญิงตาโต “น่ากลัวจัง’
การขังคุกสำหรับชาวจีนที่มาอยู่ในเมืองสยามถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องร้ายแรงไม่มีคนไหนอยากลองลิ้มชิมรสชาติการเข้าคุกดูแม้แต่น้อย
อาชิวนั้นอายุสิบสอง มากกว่าอาลั้งสองปี แต่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่ามาก ดูเป็นเด็กแข็งแรง ผิดกับอาลั้งที่ดูบอบบาง อาชิวจึงรับหน้าที่หาบน้ำกับซักผ้าซึ่งเป็นงานหนัก แต่สำหรับอาลั้ง งานในหน้าที่นั้นก็เต็มมือเด็กหญิง ทั้งงานในครัวและในบ้าน อาเฮี่ยะจะมาช่วยก็แค่ช่วยกันล้างชามจาน กับถูพื้นครัว แล้วก็ออกไปช่วยขายของหน้าร้าน นอกนั้นงานเช็ดถูทำความสะอาดชั้นบนของตึกแถวสี่คูหาที่แบ่งเป็นห้องนอนของเจ้าของบ้านแต่ละห้องกับห้องโถงรับรอง ล้วนเป็นหน้าที่ของอาลั้ง รวมถึงการเป็นลูกมือแม่ครัวของอาไล้ด้วย
“แล้วคนข้างนอกเขาพูดอะไรกันบ้างหรือเปล่า?” อาเฮี่ยะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ที่อั๊วเดินผ่าน เขาพูดกันเยอะแยะเลย แต่อั๊วฟังไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาสยามกันน่ะ” อาชิวเอ่ย...เด็กหญิงที่โตที่สุดในสามคนนี้มาทำงานที่ร้านขายของที่นี่มาหลายปี แต่ไม่ชอบออกไปขายของ เพราะไม่อยากฝึกพูดภาษาสยามที่ไม่คุ้นปาก เพราะเคยพูดออกเสียงผิด แล้วถูกคนหัวเราะขบขันเอา อาชิวอายมาก นับแต่นั้นก็เลยไม่ยอมออกไปหน้าร้าน ยี่เสี่ยเนี้ยก็ไม่ฝืนใจ ปล่อยให้อาชิวทำงานอื่นๆ ไป...
วันเวลาไหลเรื่อยผ่านไป สำหรับบางคนนั้นมันช่างแสนอืดอาด แต่กับบางคนมันกลับวิ่งเร็วจนแทบจะตามไม่ทัน...ดังเช่นอาลั้ง เด็กหญิงมีงานเต็มมือตั้งแต่ลืมตาตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทำงานอย่างไม่มีเวลาทักจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนทุกวัน...สิ่งที่จรรโลงใจให้เด็กหญิงรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็คือจดหมายจากแม่ กับวันตรุษจีนที่ได้หยุดพักผ่อนเพียงวันเดียว
แต่ก่อนจะถึงวันตรุษจีนวันหนึ่ง ก็เป็นวันไหว้ ซึ่งจะมีงานมากเป็นพิเศษ งานจะยุ่งมากจนในครัวอาชิวต้องมาช่วยอีกคน อาชิวบอกกับอาเฮี่ยะกับอาลั้งที่นั่งล้างถ้วยชามหม้อข้าวอยู่ไม่ไกลจากกระทะทอดเป็ดไก่ที่ตนกำลังดูอยู่ว่า
“เย็นวันนี้...อั๊วก็จะกลับบ้านแล้ว”
“เจ๊ชิวจะกลับกี่วันละ?” อาเฮี่ยะถาม
“กลับเลย” อาชิวตอบ
“กลับเลย...” อาลั้งทวนคำ รู้สึกใจหาย “เจ๊จะไม่กลับมาที่นี่อีกเหรอ?”
“อืมม์...” อาชิวทำเสียงรับคำในลำคอ มือก็ใช้ตะหลิวพลิกไก่ในกระทะ “อั๊วหมดสัญญาจ้างงานแล้ว ยี่เสี่ยเนี้ยก็ไม่ต่อสัญญา อีว่าแม่อั๊วเรียกค่าจ้างแพงไป”
“แล้วนี่กลับไปเจ๊จะไปทำอะไร?” อาเฮี่ยะถามราวกับเป็นผู้ใหญ่
“แม่หางานให้อั๊วแล้ว เห็นว่าเป็นลูกจ้างร้านขายข้าวขาหมูในตลาด แม่ว่าได้เงินเดือนเป็นเดือนๆ ไม่ได้ทีละปีอย่างที่นี่” อาชิวเล่า “แต่แม่บอกว่าไม่เป็นไร อั๊วจะได้หัดทำขาหมูด้วยเผื่อเอาไว้ไปค้าขายเอง”
“ดีเนอะ” อาเฮี่ยะเอ่ยกับอาลั้ง
อาลั้งไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่ก็พยักหน้าเออออ
“ก่อนไป...อั๊วมีเรื่องจะบอกลื้ออาลั้ง” อาชิวเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรเหรอ?” อาลั้งถามมือก็ง่วนอยู่กับการล้างถ้วยชาม
“บอกกับลื้อตอนนี้ไม่ได้ เอาไว้ก่อนอั๊วจะไป อั๊วจึงจะบอกลื้อ” อาชิวเอ่ยเสียงเบาทว่าจริงจัง
“แล้วอั๊วฟังด้วยคนได้ไหม?” อาเฮี่ยะถามอยากรู้เสียยิ่งกว่าอาลั้ง
“ก็ได้” อาชิวพยักหน้า
พอดีอาไล้เข้ามาในครัว ถามเสียงดังทันทีว่า “อะไรได้ ไม่ได้”
“อีถามว่าจะกินไก่ได้ไหม อั๊วบอกว่าได้” อาชิวเปลี่ยนเรื่อง
อาไล้ค้อนอาลั้งกับอาเฮี่ยะแล้วเอ่ยว่า “ตะกละ”

เย็นนั้น...เมื่อเด็กหญิงทั้งสามทำงานเสร็จเรียบร้อย และอาชิวได้รับอั้งเปาจากเจ้านายทุกคนตามประเพณีแล้ว ทั้งสามก็พากันมาอยู่ในห้องนอนที่ใช้นอนรวมๆ กัน
“อาเฮี่ยะปิดประตูลงกลอนซะ” อาชิวเอ่ยบอกเด็กหญิงอายุอ่อนกว่า
“เดี๋ยวป้าไล้มาก็เข้าห้องไม่ได้” อาเฮี่ยะเอ่ย
“เรื่องที่อั๊วจะพูดให้ป้าไล้รู้ไม่ได้ ไม่งั้นอีจะต้องเอาไปฟ้องยี่เสี่ยเนี้ยแน่ๆ” อาชิวบอกกับรุ่นน้องทั้งสอง
“เรื่องสำคัญมากเลยเหรอ?” อาลั้งถามขึ้นเสียงแผ่วเบา เพราะเกรงจะได้ยินออกไปนอกห้อง
อาชิวพยักหน้าแทนคำตอบ อาเฮี่ยะจึงรีบใส่กลอนประตู แล้วเข้ามานั่งรวมกัน อาชิวไขตะเกียงดวงเล็กให้สว่างมากขึ้น
“มันเรื่องอะไร?” อาเฮี่ยะแทบจะทนรอฟังไม่ไหว
“มันเป็นเรื่องของอาลั้ง” อาชิวเอ่ยเบาๆ “เรื่องนี้อั๊วเก็บเป็นความลับมานาน เพราะอั๊วกลัวจะถูกตีด้วย แต่ตอนนี้อั๊วจะไปแล้ว อั๊วก็เลยจะบอกอาลั้งให้รู้”
“เรื่องอะไรเหรอ?” อาลั้งถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“เรื่องที่ลื้อถูกตีเพราะถูกหาว่าตัดปีกขนนกไง” อาชิวว่า
อาลั้งนิ่งอึ้ง ตนไม่ได้ตัดขนปีกนก หลังจากถูกตีซาเสี่ยเนี้ยเคยถามตนอีกครั้งว่าใช่ตนไหมที่ตัดขนปีกนก พอบอกความจริงว่าไม่ใช่ ซาเสี่ยเนี้ยกลับบอกว่า ห้ามพูดอย่างนั้น ไหนๆ ตนก็ถูกทำโทษไปแล้ว ต้องปล่อยให้เรื่องแล้วๆ ไป ถ้าปฏิเสธตนจะถูกทำโทษซ้ำอีก...พอมาถึงวันนี้อาชิวพูดถึงเรื่องนี้ อาลั้งจึงไม่กล้าออกปากพูดว่าอะไร
แต่อาเฮี่ยะนั้นอยากรู้อย่างมากจนถึงมากที่สุด เด็กหญิงรีบเร่งอีกฝ่ายว่า “เจ๊ชิวรู้เรื่องอะไรหรือ?”
“อาลั้งไม่ได้ตัดขนปีกนก” อาชิวเอ่ยเสียงเบา
“งั้นใครตัด” อาเฮี่ยะซัก “เป็นอากี หรืออาง้อ?” เด็กหญิงเอ่ยถึงลูกจ้างสองคนที่หมดสัญญาว่าจ้างไปก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่” อาชิวส่ายหน้า “แต่เป็นคุณหนูโน้ย”
“หา!!” สองเสียงอุทานพร้อมๆ กัน
จนอาชิวต้องจุ๊ปาก “จุ๊ๆ...เบาๆ กันหน่อย เดี๋ยวคนข้างนอกจะได้ยิน”
เด็กหญิงสองคนพยักหน้าให้กันและกัน พลางพูด “เบาๆ”
“เจ๊รู้ได้ยังไง?” อาลั้งถาม
“วันนั้นอั๊วจะเอาผ้าที่ลืมเอาไว้ขึ้นมาตากอีกผืน พอขึ้นไปที่ดาดฟ้าก็เห็นคุณหนูโน้ยอยู่ในกรงนกกำลังจับนกอยู่ ปกติคุณหนูโน้ยไม่เคยเข้าใกล้กรงนก เพราะรังเกียจว่าสกปรกและเหม็น แต่วันนั้นเข้าไปในกรงนกโดยไม่มีใครรู้เห็น อั๊วก็เอะใจว่าจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น อั๊วก็ฉวยโอกาสที่คุณหนูโน้ยไม่เห็นอั๊ว รีบลงไปชั้นล่าง แล้วเงียบไว้ แล้วก็เกิดเรื่องจริงๆ
นึกถึงความเจ็บปวดของวันนั้น อาลั้งอดน้ำตาไหลไม่ได้ “ทำไมวันนั้น เจ๊ไม่พูดความจริงออกมา?”
“อั๊วพูดออกไปคนที่จะถูกตีไม่ใช่คุณหนูโน้ย แต่เป็นอั๊ว” อาชิวเอ่ย “คุณหนูโน้ยไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนทำ ปล่อยให้ลื้อถูกตีได้ อีก้ปฏิเสธแล้วให้อั๊วถูกตีได้”
“พวกเราไปบอกซาเสี่ยเนี้ยกัน” อาเฮี่ยะเสนอ
“อย่า...” อาชิวกับอาลั้งพูดพร้อมกัน
“รื้อฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ ยี่เสียเนี้ยไม่ตีคุณหนูโน้ยหรอก แต่จะตีพวกเราแทน” อาชิวเอ่ย “แล้วซาเสี่ยเนี้ยก็เกรงใจยี่เสี่ยเนี้ย ไม่ออกหน้าแทนพวกเราหรอก”
“จริงของเจ๊” อาลั้งเอ่ย เพราะรู้อยู่ว่าซาเสี่ยเนี้ยไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้อีก
“ที่อั๊วบอกความจริงให้ลื้อฟังในวันนี้ เพราะอั๊วจะกลับบ้านแล้ว คงไม่มีโอกาสเจอกันอีก จึงบอกให้ลื้อรู้ตัว ระวังตัวให้ดี ระวังคุณหนูโน้ยให้ดี”
การสนทนาของสามเด็กหญิงจบลงเพียงแค่นั้น...ในห้องนอนที่เคยนอนเรียงรายหกคน เหลือเพียงสามคน คืออาเฮี่ยะ อาลั้ง และป้าไล้

พออาชิวกลับไปแล้ว งานของอาชิวก็ตกมาเป็นหน้าที่ของอาเฮี่ยะและอาลั้ง หลังวันตรุษจีนเพียงวันเดียว ป้าไล้ก็สั่งว่า “อาเฮี่ยะ ลื้อพาอาลั้งไปหาบน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยามาใส่ตุ่ม เร็วๆ นะอย่าชักช้า มีงานอื่นรออยู่อีกเพียบ”
สองเด็กหญิงจึงหาบถังเปล่าเดินตามกันไป...นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมานอกบ้านของอาลั้ง อาลั้งจึงค่อนข้างตื่นเต้น ระหว่างทางต้องผ่านบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นคุณยายใจดี นางเยี่ยมหน้าต่างออกมาเห็นอาเฮี่ยะ นางจำได้ เพราะนางเคยมาซื้อของกับอาเฮี่ยะสองสามครั้ง จึงทักเป็นภาษาสยามว่า
“จะไปไหนกันหรือ?”
“จะไปหับน้ำค่ะ” อาเฮี่ยะตอบเป็นภาษาสยามที่มีบางคำไม่ชัด
แต่ยายก็ฟังรู้เรื่อง พยักหน้าเหี่ยวย่น สายตาเมตตา บอกว่า “เดินกันดีๆ นะหนูท่าน้ำมันลื่น”
“ค่ะ” อาเฮี่ยะรับคำ แล้วเดินต่อ
อาลั้งเดินตาม พลางถาม “ลื้อพูดอะไรกับอี”
“อั๊วพูดภาษาสยาม” อาเฮี่ยะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ แล้วแปลคำพูดเมื่อครู่ให้อาลั้งฟัง
“ลื้อเก่งจริงๆ” อาลั้งชื่นชมอย่างจริงใจ “ลื้อสอนอั๊วได้ไหม”
“ได้สิ” อาเฮี่ยะไม่หวงวิชา “ก่อนอื่นต้องเริ่มต้นจากคำทักทาย”
“ดีๆๆ” อาลั้งพยักหน้า
“เอาคำแรกนะ...” “ไปไหนมา?””
“ไปไหนมา?” อาลั้งพยายามเลียนเสียง และนี่เป็นภาษาสยามคำแรกที่อาลั้งหัดพูด

ท่าน้ำคาคร่ำด้วยผู้คนที่บ้างมาหาบน้ำ บ้างมาซักเสื้อผ้า ท่าน้ำที่ทันสมัย เพราะเป็นท่าน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก สามารถมองเห็นสะพานพุทธที่อยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไป สร้างความตื่นเต้นให้กับอาลั้งอย่างมาก แต่เด็กหญิงมีเวลาชื่นชมอยู่เพียงสองสามวินาที ก็ต้องรีบตักน้ำ พอถังน้ำทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำ การหาบคอนก็ไม่สบายเหมือนขามา ทั้งสองหาบหนักจนแทบอยากโยนหาบทิ้ง แต่ทำไม่ได้ ได้แต่อดทนหาบเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าจนเต็มทุกตุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว สองเด็กหญิงหิวซก รีบกินข้าวกันจนแทบสำลัก ในขณะที่หูก็ได้ยินป้าไล้บ่น
“พวกลื้อมันขี้เกียจใช่ไหม หาบน้ำภาษาอะไร ใช้เวลานานขนาดนี้ นี่ก็ซักผ้าไม่ทันตากแล้ว พรุ่งนี้เปลี่ยนใหม่ไปซักผ้าก่อน แล้วค่อยหาบน้ำ ทำให้เสร็จก่อนเที่ยงละ ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าว”
“ไม่ให้กินข้าว แล้วเอาแรงที่ไหนมาทำงานล่ะป้า!” อาเฮี่ยะอดรนทดไม่ไหว เพราะเหนื่อยแทบขาดใจ ยังจะมาเจอคนบ้าบ่นอีก
“นี่ลื้อกล้าเถียงอั๊วเรอะ” อาไล้กำหมัดกัดฟันอย่างโกรธจัด
“อั๊วไม่ได้เถียง อั๊วพูดให้ฟังต่างหาก” อาเฮี่ยะไม่ยอมแพ้
อาไล้โกรธจัดก็ปัดชามข้าวในมืออาเฮี่ยะหล่นแตกดังเพล้ง พลางมือหนึ่งก็จิกผมอาเฮี่ยะอีกมือหนึ่งตบหน้าดังฉาด
อาลั้งเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบกอดแขนข้างที่จะยกขึ้นตบอีกของอาไล้ไว้ ร้องว่า “ป้าไล้อย่า...”
อาเฮี่ยะใช้มือจิกมือที่ขยุ้มผมของตนเองอย่างแรง
“โอ๊ย...” อาไล้ร้องเพราะความเจ็บ และปล่อยมือจากผมของอาเฮี่ยะ อาเฮี่ยะไม่รอช้าวิ่งจู๊ดออกไปทันที
เด็กหญิงวิ่งกลับบ้านที่อยู่ถัดไปอีกสามตรอก ไปฟ้องแม่ แม่อาเฮี่ยะก็จูงมืออาเฮี่ยะมาฟ้องยี่เสี่ยเนี้ย
อาไล้กับอาลั้งก็เลยถูกเรียกตัวมาที่ห้องโถงรับรอง...ที่นั้นยี่เสี่ยเนี้ยนั่งที่เก้าอี้ไม้ฝังมุกราคาแพงข้างโต๊ะไม้ฝังมุกเข้าชุดกัน ด้านข้างมีแม่อาเฮี่ยะซึ่งอายุไม่ถึงสามสิบยืนอยู่กับอาเฮี่ยะที่ตาแดงเพราะร้องไห้ แก้มแดง เพราะถูกตบ
“พวกลื้อมีเรื่องอะไรกัน?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามรวมๆ
“คือ...” อาไล้พยายามมองข่มอาลั้งให้อย่าพูดอะไรมาก เด็กหญิงหลบตาด้วยความหวาดกลัว “เด็กๆ อีทะเลาะกัน แล้วอั๊วเข้าไปห้าม บังเอิญมือไปปัดถูกอาเฮี่ยะเข้า” อาไล้ปั้นเรื่อง
“ไม่จริง” อาเฮี่ยะส่งเสียง “ป้าไล้จิกผมตบหน้าอั๊ว”
“จริงหรือเปล่าอาไล้?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามคนครัวเก่าแก่
“ที่อั๊วพูดเป็นความจริง ไม่เชื่อถามอาลั้งดูได้” อาไล้โยนกลองมาให้อาลั้ง
“ว่าไงอาลั้ง?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม
อาลั้งกลัวแสนกลัว...เพราะพูดความจริง ป้าไล้จะต้องจงเกลียดจงชังและตีตนแน่ๆ แต่ถ้าไม่พูดความจริง ก็เท่ากับทรยศเพื่อนที่ดีอย่างอาเฮี่ยะ
“คือ...” เด็กหญิงอ้ำอึ้ง ก่อนจะหักใจยอมตายดีกว่ายอมทรยศเพื่อน “ป้าไล้ตบหน้าอาเฮี่ยะค่ะ”
“อีเด็กเลว อีเด็กตอแหล” ป้าไล้ออกงิ้วทันที พร้อมกับกำหมัดที่เขกโป๊กในกลางกระหม่อมของอาลั้งอย่างแรง จนเด็กหญิงเห็นดาวระยิบระยับ!





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2556, 16:13:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2556, 16:13:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1317





<< ตอนที่ 20   ตอนที่ 22 >>
pattisa 30 ม.ค. 2556, 16:46:25 น.
เมื่อไหร ยัยป้าไล้นี่จะโดนไล่ออกซะที


ree 30 ม.ค. 2556, 23:05:48 น.
ตอนหน้า อาลั้งจะโดนอีกเยอะป่าว น่าสงสาร
อยู่บ้านนี้ห้ามพูดจริง ต้องพูดปดถึงจะอยู่รอดได้นะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account