ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 9 (ตามล่า... 3)
บทที่ 9
(ตามล่า... 3)
ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ห้องที่ใช้สำหรับรับรองแขกพิเศษซึ่งวันนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะใช้บริการ อาหารฮ่องเต้จำนวนมากวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครแตะต้องมันแต่อย่างใด คนสองกลุ่มแบ่งฝากกันนั่ง ต่างฝ่ายต่างนำคนมาจำนวนใกล้เคียงกันฝั่งละไม่เกิน 6 คน
คนที่ดูเป็นหัวหน้านั่งอยู่ที่เก้าอี้ส่วนที่เหลือยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง ฝั่งผู้มาเยือนกำลังนั่งดูแฟ้มภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขากำลังตกลงซื้อขายกันอยู่ ส่วนฝ่ายเจ้าบ้านนั่งเอนหลังท่าทางผ่อนคลาย
ก้องภพพิจารณาดูคู่เจรจาของเขาอย่างพิเคราะห์ คนที่นายหลันส่งมาดูน่าเกรงขามไม่น้อย คงผ่านประสบการณ์ในวงการใต้ดินมาไม่น้อย ในใจกำลังนั่งคำนวณจำนวนเงินที่กำลังจะเข้าบัญชีอย่างเพลิดเพลิน การค้าครั้งนี้จะทำให้เขามีกินมีใช้ไปอีกนาน
เหตุการณ์ที่เขาถูกตำรวจรอบจับเมื่อ 4 เดือนก่อน ส่งผลต่อเขาพอสมควร ลูกค้าหายไปเยอะเพราะไม่มั่นใจที่จะทำการค้ากับเขา แต่หากการค้ากับนายหลันในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ลูกค้าก็คงกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรครับคุณหงเฟย ถูกต้องตรงตามความต้องการหรือเปล่าครับ”
“ยอดเยี่ยมมาก คุณไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ นะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ คนมีความสามารถอย่างผมทำธุรกิจด้วยไม่มีคำว่าผิดหวังหรอกครับ”
ก้องภพกล่าวยกหางตัวเอง นายหงเฟยเหลือบตามองอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาชินเสียแล้วกับอาการหยิ่งผยองแหล่านี้ อยู่ในวงการนี้ผู้อ่อนแอมีแต่จะรักษาชีวิตตัวเองไม่ได้ เมื่อก้าวเท้าเข้ามาสิ่งที่จะต้องเตรียมใจไว้และเตือนตัวเองไว้เสมอคือ ความประมาทนำมาซึ่งความพินาศ
“คุณหงเฟยต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ”
“ไม่แล้วครับ... คุณจัดหาของได้ตามความต้องการของคุณหลันทุกประการ การค้าครั้งหน้าก็คงไม่นานเกินรอ”
“ยินดีเสมอครับ... แล้วเรื่องการจัดส่งจะให้ทางผมเป็นคนจัดการ หรือว่าทางคุณจะเป็นผู้จัดการครับ”
“เรื่องเรือทางผมจะเป็นคนจัดการเอง พวกคุณมีหน้าที่เตรียมของไว้ให้พร้อม เมื่อถึงวันส่งมอบทำเพียงแค่ขนของลงเรือก็พอ ส่วนเรื่องเงินจะโอนให้ครึ่งหนึ่งก่อนตามที่ต้องลงกันไว้ ที่เหลือทันทีที่สินค้าถึงฮ่องกงอีกครึ่งจะถูกโอนเข้าบัญชีทันที”
“ได้เสมอครับ... ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วย”
แล้วทั้งสองก็จับมือกัน ต่างหัวเราะด้วยความสมใจ
ภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกการเจรจาทั้งหมดถูกส่งมาถึงมือของศิวกรในอีกสามวันถัดมา พวกเขาทั้ง 5 คนยืนดูภาพเหตุการณ์นิ่งไม่มีการพูดคุยเดาๆ จนกระทั่งภาพทั้งหมดหยุดลง แต่ละคนต่างหนักใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ การที่ก้องภพสามารถจัดหาอาวุธสงครามได้ตามคำสั่งภายในสามเดือนถือว่าไม่ธรรมดา เขาไปเอาอาวุธพวกนี้มาจากที่ไหนกัน
“มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เข้าจับกุมในวันที่มีการส่งมอบ”
“นั้นน่ะสิบ สงสัยวันนั้นต้องเกณฑ์คนมาเป็นกองทัพคุมเข้มแน่เลย”
ทนงศักดิ์ออกความเห็นต้องจากหมวดอรุณ ที่เหลือต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย การที่ศิวกรได้สายข่าวซึ่งเป็นคนใกล้ตัวก้องภพสามารถช่วยงานของพวกเขาได้มาก พวกเขาก้าวเข้าใกล้ๆ ก้องภพได้ทุกครั้งที่ถูกทิ้งห่าง สายของเขารักษาสัญญาได้เป็นอย่างดี แต่จะได้ไปถึงไหนกัน
“เราทราบแล้วว่าฝ่ายนายหลันจะเป็นคนจัดหาเรือในการขนส่ง หลังจากนี้ขึ้นอยู่ที่เราจะวางแผนจับกุมอย่างไร
“หมวดเดวิดครับ ในวันที่สงมอบอาวุธ นายหลันจะให้นายหงเฟยเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดหรือเปล่าครับ”
ศิวกรมองหมวดเดวิดที่นิ่งเงียบไปสักครู่เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
“นายหงเฟยคงไม่มาด้วยตัวเองครับ แก๊งนี้เวลาส่งมอบของพวกตัวใหญ่ๆ จะไม่ลงมาจัดการด้วยตัวเองจะให้ลูกน้องที่มีอำนาจรองลงมาเป็นคนคุมงาน เพราะเป็นการป้องกันตัวไม่ให้โดนจับหากเกินกรณีผิดพลาด”
“เราคงต้องวางแผนให้รอบคอบ ซึ่งแผนจะต้องเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินคดีต่อเราทั้งคู่ การส่งมอบของจะมีขึ้นหลังจากนี้ไปอีก 1 เดือน ระหว่างนี้เราต้องเตรียมแผนการให้เรียบร้อย รอวันที่เหตุการณ์จะปะทุในไม่ช้านี้”
**********************************************************
ดลินาในชุดสีเหลืองอ่อนดีไซด์สวย และยีนต์สีดำใส่สบายนั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องฟักฟื้นที่เธอต้องใช้ในการรักษาตัวอยู่เกือบ 3 เดือน วันนี้เธอได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ดลินาต้องไปพักที่บ้านของรจนาเป็นการชั่วคราว ตราบใดที่ศิวกรยังยุ่งอยู่กับคดีที่ต้องทำ ดลินาไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่ที่บ้านและเปิดร้านกาแฟดั่งเช่นปรกติ
ซึ่งครั้งนี้ดลินาก็ยอมเชื่อฟังโดยง่ายไม่ดื้อดึง เธอไม่อยากให้เขาเป็นกังวล หลังจากวันที่เขามาหาเธอครั้งสุดท้ายมันก็ล่วงผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว ดลินากังวลเป็นอย่างมากบางครั้งเกิดอาการเครียดจนถึงขั้นอาเจียนก็มี
“ว่าไง... เตรียมตัวพร้อมแล้วนะ ไม่ลืมของอะไรแล้วนะ”
รจนาถามย้ำเพื่อนอีกครั้ง
“ไม่ลืมแล้วค่ะแม่แยม”
ดลินาล้อเลียนเพื่อนสาวเลยได้ค้อนวงใหญ่จากรจนาเป็นของตอบแทน
“ย่ะ! ไม่ต้องมาว่าฉันเลย คุณแม่เตรียมห้องและของใช้จำเป็นต่างๆ ไว้ให้แล้ว ถึงบ้านแล้วค่อยกินข้าวแล้วจะได้กินยาต่อ เข้าใจหรือเปล่า”
“ยังต้องกินอยู่อีกหรอ สองเดือนมานี้กินไปเป็นกิโลแล้ว”
“ยังไม่หายดียังก็ต้องกิน”
“โหยใจร้าย”
“ไม่ต้องมาว่าฉันใจร้ายเลย คนจัดยาให้เป็นคุณถ้าแกจะบ่นก็ไปบ่นกับคุณพ่อสิถึงจะถูก”
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณพ่อเป็นคนจัดยาให้ฉันกินก็ได้ น่าเชื่อถือ”
เพี๊ยะ! รจนาตีไปที่แขนเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้ ดลินาใช้มือข้างซ้ายที่ตอนนี้ใส่เฝือกอ่อนป้องกันไว้ถึงแม้กระดูกจะประสานกันแล้วแต่เพื่อความมั่นใจจึงยังต้องใส่เฝือกอ่อนไว้
“ไปกันได้แล้วเร็ว”
รจนาเร่งคนป่วย ดลินาไม่รอช้าเดินไปเกี่ยวแขนเพื่อนเดินออกไปด้วยกันอย่างอารมณ์ดี ในที่สุดก็ได้ออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมน่าเบื่อนี้เสียที
เมื่อเดินมาถึงบริเวณลานจอดรถรจาก็มองซ้ายมองขวาเพื่อหารถคันที่เตรียมไว้มารับเพื่อนรัก รจนายังต้องอยู่ทำงานก่อนเพราะวันนี้มีเคสที่จะต้องเข้าผ่าตัดเลยไปส่งดลินาไม่ได้ ไม่นานรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูก็เคลื่อนมาหยุดอยู่ต่อทั้งสองสาว
“รถมารับแล้วฉันไปทำงานก่อนนะ”
รจนาตบบั้นท้ายเพื่อนรักหนึ่งทีอย่างหยอกล้อ หัวเราะในลำคอเดินกลับเข้าไปในอาคารไม่สนใจคนที่ทิ้งไว้ข้างหลังอีก
ดลินายืนมองรถสีเลือดหมูนั้นน้ำตาซึม ยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าของรถประตูเดินยิ้มละไมมาทางเธอดลินาแทบจะร้องไห้โฮ พออยู่ในระยะที่สองแขนสามารถโอบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดได้เขาก็ไม่รอช้า รั้งร่างบางเข้ามากอดอย่างแสนคิดถึง ดลินาเองก็กอดตอบเขาโอบรอบเอวแน่น เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเอวเขาดูจะหนาขึ้น กล้ามเนื้อที่อกก็ดูแน่นขึ้น... โอ้แม่เจ้าเขาไปเล่นเพาะกล้ามมาหรือไง ถึงได้บึกบึนขนาดนี้ เลือดกำเดาแทบพุ่ง
ซึ่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่ม ไม่ได้กอดหญิงสาวมานานดลินาดูเหมือนจะผอมลงไปมาก เนื้อตัวไม่นุ่มนิ่มเหมือนแต่ก่อน เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะต้องขุนให้หญิงสาวกลับมามีเนื้อมีหนัง นุ่มนิ่มน่าสัมผัสเหมือนเดิม
“เป็นไงบ้างครับ หายดีหรือยัง”
“หายดีแล้วค่ะ คุณพ่อถึงได้ปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลได้”
ศิวกรเอ่ยถามเมื่อกอดหญิงสาวจนพอใจแล้ว เขาพาร่างบางไปนั่งที่ข้างคนขับก่อนจะจัดแจงคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ อาศัยทีเพล่อช่วงจังหวะที่กดปุ่มล็อคเสร็จศิวกรจรดจมูกลงบนแก้มใสไปฟอดใหญ่
“ถึงจะผอมลงไปบ้างหน้าตอบลงไปนิด แต่แก้มนี้ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“นี้คุณ! ฉวยโอกาสเก่งนักนะ”
ดลินาใช้มือข้างที่ไม่เจ็บทุบไหล่หนาอย่างเขินอาย ศิวกรหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวแข็งแรงขึ้นมาก เพราะดูจากน้ำหนักมือที่ประเคนมาให้ ยังแรงดีไม่มีตกเหมือนเดิม ส่วนคนถูกหัวเราะนั่งปั้นหน้าบึ้งเมินหน้าหนีเขา
ศิวกรส่ายหัวกับอาการงอนที่แสนจะน่ารักนั้น ก่อนจะปิดประตูให้แล้วเดินไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับดังเดิม ดลินามองใบหน้าด้านข้างเขาอย่างหมั่นไส้... ไม่ได้เจอกันตั้งนานแทนที่จะทำซึ้ง กลับมาแกล้งเธอเสียได้ จะงอนเสียให้เข็ด เชอะ!
“มองอะไรครับ... หรือไม่พอใจจะให้ผมหอมแก้มอีกข้างก็ได้นะ เพื่อความยุติธรรมต่อแก้มอีกข้าง”
ว่าแล้วก็ยื่นหน้าทำตาวิบวับใส่
“ทำไมชอบทำตัวเลี่ยนแบบนี้อยู่เรื่อย”
“เคยชิมแล้วหรือครับถึงได้รู้ว่าผมเลี่ยน”
ดลินาแทบกรี๊ดเมื่อเจอเขาย้อนกลับมา ศิวกรที่ยืนกางแขนพิงอยู่ที่ประตูรถมองคนตัวเล็กอย่างขำขัน นานแล้วที่ไม่ได้หยอกล้อหญิงสาวให้เขินอาย รู้สึกสุขใจหรือเกิน การได้มอง ได้สัมผัส ไม่พูดคุยกับคนตรงหน้ามันช่างสุขใจจริงแท้
“พอแล้วค่ะ เลิกแกล้งข้าวได้แล้วออกรถเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณแม่จะรอนาน”
เมื่อออกรถพ้นเขตโรงพยาบาลไปแล้วศิวกรจึงตอบคำถามเมื่อสักครูของร่างบาง ดลินาดูจะแปลกใจกับคำตอบนั้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมเรียนท่านให้ทราบแล้วว่าจะไปส่งคุณตอนเย็นๆ”
“จะพาข้าวไปไหนหรือคะ”
“คุณร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง นั่งรถนานๆ คงไม่ดี ส่วนยิ่งที่ไหนแดดแรงๆ ต้องตัดทิ้งออกจากรายการไปเลย ผมคงพาคุณไปเที่ยวที่ไหนได้ไม่ไกลหรอกครับ”
“ไม่ไกลมากน่ะที่ไหนคะ”
“ถ้าอยุธยาคงจะได้ครับ เราจะได้ไปทำบุญไหว้พระกัน”
แล้วศิวกรก็คว้ามือของหญิงสาวขึ้นมาจูบหนึ่งทีก่อนจะกุมมือลางไว้อย่างนั้น เล่นเอาดลินาเขินทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ดลินารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเขาทั้งสองคนช่างอ่อนหวานละมุนละไมยิ่งนัก ในห้องโดยสารมีเพียงแค่เขาสองคน ไม่มีใครอื่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นระกาย ยิ้มหวานก่อนจะกระชับมือเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เจอกันนานคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าครับ”
“คิดถึงสิคะ... คิดถึงมากด้วย”
พอได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนจากหญิงสาวศิวกรแทบจะถลาเลี้ยวรถจอดข้างทางก่อนจะให้รางวัลคนช่างอ้อน แต่ก็ต้องข่มใจไว้สุดความสามารถ
“โกรธผมหรือเปล่าครับที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”
“ไม่ค่ะไม่โกรธ ข้าวรู้ว่าคุณต้องทำงาน”
“ขอบคุณครับที่ไม่โกรธ และเข้าใจผม”
ศิวกรยกมือของเธอขึ้นมาจูบอีกครั้งอย่างรักใคร่
“ตอนแรกก็มีน้อยใจบ้างเหมือนกันค่ะ แอบต่อว่าคุณไปเยอะ”
“มิน่าล่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งจามชุดใหญ่เลยครับ นึกว่าจะเป็นหวัดเสียแล้ว”
“ว่าแต่แอบไปจีบสาวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่าคะ อย่าให้รู้ภายหลังนะคะว่ามีสาวมาติด รับรองเรื่องใหญ่แน่”
“โอ้โห! เพิ่งรู้นะครับว่าขี้หึงเหมือนกัน”
“ถ้าไม่รู้มาก่อนที่นี้ก็รู้แล้วนะคะว่าข้าวน่ะขี้หึง”
ว่าแล้วก็ดึงมือตัวเองกลับมา ศิวกรมองมือหญิงสาวอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะกลับมาตั้งใจขับรถอีกครั้ง
“แล้วไม่ต้องทำงานหรือคะ วันนี้วันธรรมดา”
“ไม่ครับ ขอลามาเป็นกรณีพิเศษ ท่านผู้กำกับไม่ว่าอะไร แถมยังสนับสนุนเต็มที่ด้วยครับ”
“ใจดีขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ก็คงอยากเห็นลูกน้องเป็นฝั่งเป็นฝาน่ะครับ เลยส่งเสริมเต็มที่”
เจอไปอีกหนึ่งดอก แต่ระเบิดลูกนี้อานุภาคทำลายร้างรุนแรงนัก ใบหน้าเนียนใสตอนนี้คงแดงแซงหน้ามะเขือเทศไปแล้ว ก็คำพูดของเขาไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้เลย
**********************************************************
ที่ทางเรือแห่งหนึ่งมีกล่องไม้ตีลังขนาดไม่ใหญ่มากนักวางซ้อนกองอยู่หลายลัง บริเวรโดยรอบท่าเรือแห่งนั้นมีชายรูปร่างสูงใหญ่ และสันทัดปะปนกันไป ในมือมีอาวุธปืนเดินตรวจตราอย่างแข่งขัน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเรือยอร์ชขนาดใหญ่ลำหนึ่งก็แล่นมาจอดเทียบท่า คนที่ผู้บนบกต่างเตรียมอาวุธในมือไว้พร้อมเตรียมรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
แต่เมื่อคนที่เดินลงมานั้นเป็นใบหน้าเดียวกับที่ได้รับการยืนยันมาก่อนล่วงหน้า เหตุการณ์เลยลดความตรึงเครียดลง ชายชาวต่างชาติที่เดินลงมาจากเรือเดินตรงไปยังโกดังเก่าที่ภายในตกแต่งไว้อย่างสวยหรูผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง ก้องภพที่นั่งเอาเท้าผาดอยู่บนโต๊ะไม้สักตัวสวย ในมือก็เช็ดทำความสะอาดปืนพกอยู่
“สวัสดีครับคุณจั้ง คุณมาช้าไปสามสิบนาที”
“ต้องขอโทษด้วยที่ล่าช้าครับ เพื่อความปลอดภัยเรื่องเวลาคงต้องเผื่อเอาไว้กันพลาด”
“ของผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว เหลือแต่ขนขึ้นเรือเท่านั้น”
“เริ่มเลยไหมครับ”
นายจั้งกล่าวอย่างไม่รีรอ ก้องภพเองก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย จึงกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังสั่งการให้เริ่มการเคลื่อนย้ายได้ ลูกน้องคนนั้นรับคำสั่งก่อนจะเดินนำนายจั้งไปเพื่อควบคุมและตรวจสอบการขนย้ายสินค้าเหล่านั้น
ก้องภพไม่ตามไปด้วย ในมือกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเลือกไปดูที่การตรวจสอบบีออนไลน์ เมื่อเห็นจำนวนตัวเลขที่ทางฮ่องกงโอนมาให้เมื่อ 10 วันก่อนก็มองอย่างพอใจ การค้าครั้งนี้มูลค้าสูงถึงเลข 9 หลัก ตอนนี้ได้มาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งคงไม่นานหลังจากนี้
การเคลื่อนไหวโยรอบท่าเรือแห่งนั้นเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนไม่เป็นที่สังเกตของเหล่าชายฉกรรจ์ที่เดินตรวจตราอยู่รอบบริเวณยังคงเดินรักษาแนวอย่างแข็งขัน แต่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ความเงียบที่เป็นอยู่คงจะถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล
(ตามล่า... 3)
ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ห้องที่ใช้สำหรับรับรองแขกพิเศษซึ่งวันนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะใช้บริการ อาหารฮ่องเต้จำนวนมากวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครแตะต้องมันแต่อย่างใด คนสองกลุ่มแบ่งฝากกันนั่ง ต่างฝ่ายต่างนำคนมาจำนวนใกล้เคียงกันฝั่งละไม่เกิน 6 คน
คนที่ดูเป็นหัวหน้านั่งอยู่ที่เก้าอี้ส่วนที่เหลือยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง ฝั่งผู้มาเยือนกำลังนั่งดูแฟ้มภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขากำลังตกลงซื้อขายกันอยู่ ส่วนฝ่ายเจ้าบ้านนั่งเอนหลังท่าทางผ่อนคลาย
ก้องภพพิจารณาดูคู่เจรจาของเขาอย่างพิเคราะห์ คนที่นายหลันส่งมาดูน่าเกรงขามไม่น้อย คงผ่านประสบการณ์ในวงการใต้ดินมาไม่น้อย ในใจกำลังนั่งคำนวณจำนวนเงินที่กำลังจะเข้าบัญชีอย่างเพลิดเพลิน การค้าครั้งนี้จะทำให้เขามีกินมีใช้ไปอีกนาน
เหตุการณ์ที่เขาถูกตำรวจรอบจับเมื่อ 4 เดือนก่อน ส่งผลต่อเขาพอสมควร ลูกค้าหายไปเยอะเพราะไม่มั่นใจที่จะทำการค้ากับเขา แต่หากการค้ากับนายหลันในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ลูกค้าก็คงกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรครับคุณหงเฟย ถูกต้องตรงตามความต้องการหรือเปล่าครับ”
“ยอดเยี่ยมมาก คุณไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ นะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ คนมีความสามารถอย่างผมทำธุรกิจด้วยไม่มีคำว่าผิดหวังหรอกครับ”
ก้องภพกล่าวยกหางตัวเอง นายหงเฟยเหลือบตามองอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาชินเสียแล้วกับอาการหยิ่งผยองแหล่านี้ อยู่ในวงการนี้ผู้อ่อนแอมีแต่จะรักษาชีวิตตัวเองไม่ได้ เมื่อก้าวเท้าเข้ามาสิ่งที่จะต้องเตรียมใจไว้และเตือนตัวเองไว้เสมอคือ ความประมาทนำมาซึ่งความพินาศ
“คุณหงเฟยต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ”
“ไม่แล้วครับ... คุณจัดหาของได้ตามความต้องการของคุณหลันทุกประการ การค้าครั้งหน้าก็คงไม่นานเกินรอ”
“ยินดีเสมอครับ... แล้วเรื่องการจัดส่งจะให้ทางผมเป็นคนจัดการ หรือว่าทางคุณจะเป็นผู้จัดการครับ”
“เรื่องเรือทางผมจะเป็นคนจัดการเอง พวกคุณมีหน้าที่เตรียมของไว้ให้พร้อม เมื่อถึงวันส่งมอบทำเพียงแค่ขนของลงเรือก็พอ ส่วนเรื่องเงินจะโอนให้ครึ่งหนึ่งก่อนตามที่ต้องลงกันไว้ ที่เหลือทันทีที่สินค้าถึงฮ่องกงอีกครึ่งจะถูกโอนเข้าบัญชีทันที”
“ได้เสมอครับ... ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วย”
แล้วทั้งสองก็จับมือกัน ต่างหัวเราะด้วยความสมใจ
ภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกการเจรจาทั้งหมดถูกส่งมาถึงมือของศิวกรในอีกสามวันถัดมา พวกเขาทั้ง 5 คนยืนดูภาพเหตุการณ์นิ่งไม่มีการพูดคุยเดาๆ จนกระทั่งภาพทั้งหมดหยุดลง แต่ละคนต่างหนักใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ การที่ก้องภพสามารถจัดหาอาวุธสงครามได้ตามคำสั่งภายในสามเดือนถือว่าไม่ธรรมดา เขาไปเอาอาวุธพวกนี้มาจากที่ไหนกัน
“มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เข้าจับกุมในวันที่มีการส่งมอบ”
“นั้นน่ะสิบ สงสัยวันนั้นต้องเกณฑ์คนมาเป็นกองทัพคุมเข้มแน่เลย”
ทนงศักดิ์ออกความเห็นต้องจากหมวดอรุณ ที่เหลือต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย การที่ศิวกรได้สายข่าวซึ่งเป็นคนใกล้ตัวก้องภพสามารถช่วยงานของพวกเขาได้มาก พวกเขาก้าวเข้าใกล้ๆ ก้องภพได้ทุกครั้งที่ถูกทิ้งห่าง สายของเขารักษาสัญญาได้เป็นอย่างดี แต่จะได้ไปถึงไหนกัน
“เราทราบแล้วว่าฝ่ายนายหลันจะเป็นคนจัดหาเรือในการขนส่ง หลังจากนี้ขึ้นอยู่ที่เราจะวางแผนจับกุมอย่างไร
“หมวดเดวิดครับ ในวันที่สงมอบอาวุธ นายหลันจะให้นายหงเฟยเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดหรือเปล่าครับ”
ศิวกรมองหมวดเดวิดที่นิ่งเงียบไปสักครู่เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
“นายหงเฟยคงไม่มาด้วยตัวเองครับ แก๊งนี้เวลาส่งมอบของพวกตัวใหญ่ๆ จะไม่ลงมาจัดการด้วยตัวเองจะให้ลูกน้องที่มีอำนาจรองลงมาเป็นคนคุมงาน เพราะเป็นการป้องกันตัวไม่ให้โดนจับหากเกินกรณีผิดพลาด”
“เราคงต้องวางแผนให้รอบคอบ ซึ่งแผนจะต้องเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินคดีต่อเราทั้งคู่ การส่งมอบของจะมีขึ้นหลังจากนี้ไปอีก 1 เดือน ระหว่างนี้เราต้องเตรียมแผนการให้เรียบร้อย รอวันที่เหตุการณ์จะปะทุในไม่ช้านี้”
**********************************************************
ดลินาในชุดสีเหลืองอ่อนดีไซด์สวย และยีนต์สีดำใส่สบายนั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องฟักฟื้นที่เธอต้องใช้ในการรักษาตัวอยู่เกือบ 3 เดือน วันนี้เธอได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ดลินาต้องไปพักที่บ้านของรจนาเป็นการชั่วคราว ตราบใดที่ศิวกรยังยุ่งอยู่กับคดีที่ต้องทำ ดลินาไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่ที่บ้านและเปิดร้านกาแฟดั่งเช่นปรกติ
ซึ่งครั้งนี้ดลินาก็ยอมเชื่อฟังโดยง่ายไม่ดื้อดึง เธอไม่อยากให้เขาเป็นกังวล หลังจากวันที่เขามาหาเธอครั้งสุดท้ายมันก็ล่วงผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว ดลินากังวลเป็นอย่างมากบางครั้งเกิดอาการเครียดจนถึงขั้นอาเจียนก็มี
“ว่าไง... เตรียมตัวพร้อมแล้วนะ ไม่ลืมของอะไรแล้วนะ”
รจนาถามย้ำเพื่อนอีกครั้ง
“ไม่ลืมแล้วค่ะแม่แยม”
ดลินาล้อเลียนเพื่อนสาวเลยได้ค้อนวงใหญ่จากรจนาเป็นของตอบแทน
“ย่ะ! ไม่ต้องมาว่าฉันเลย คุณแม่เตรียมห้องและของใช้จำเป็นต่างๆ ไว้ให้แล้ว ถึงบ้านแล้วค่อยกินข้าวแล้วจะได้กินยาต่อ เข้าใจหรือเปล่า”
“ยังต้องกินอยู่อีกหรอ สองเดือนมานี้กินไปเป็นกิโลแล้ว”
“ยังไม่หายดียังก็ต้องกิน”
“โหยใจร้าย”
“ไม่ต้องมาว่าฉันใจร้ายเลย คนจัดยาให้เป็นคุณถ้าแกจะบ่นก็ไปบ่นกับคุณพ่อสิถึงจะถูก”
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณพ่อเป็นคนจัดยาให้ฉันกินก็ได้ น่าเชื่อถือ”
เพี๊ยะ! รจนาตีไปที่แขนเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้ ดลินาใช้มือข้างซ้ายที่ตอนนี้ใส่เฝือกอ่อนป้องกันไว้ถึงแม้กระดูกจะประสานกันแล้วแต่เพื่อความมั่นใจจึงยังต้องใส่เฝือกอ่อนไว้
“ไปกันได้แล้วเร็ว”
รจนาเร่งคนป่วย ดลินาไม่รอช้าเดินไปเกี่ยวแขนเพื่อนเดินออกไปด้วยกันอย่างอารมณ์ดี ในที่สุดก็ได้ออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมน่าเบื่อนี้เสียที
เมื่อเดินมาถึงบริเวณลานจอดรถรจาก็มองซ้ายมองขวาเพื่อหารถคันที่เตรียมไว้มารับเพื่อนรัก รจนายังต้องอยู่ทำงานก่อนเพราะวันนี้มีเคสที่จะต้องเข้าผ่าตัดเลยไปส่งดลินาไม่ได้ ไม่นานรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูก็เคลื่อนมาหยุดอยู่ต่อทั้งสองสาว
“รถมารับแล้วฉันไปทำงานก่อนนะ”
รจนาตบบั้นท้ายเพื่อนรักหนึ่งทีอย่างหยอกล้อ หัวเราะในลำคอเดินกลับเข้าไปในอาคารไม่สนใจคนที่ทิ้งไว้ข้างหลังอีก
ดลินายืนมองรถสีเลือดหมูนั้นน้ำตาซึม ยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าของรถประตูเดินยิ้มละไมมาทางเธอดลินาแทบจะร้องไห้โฮ พออยู่ในระยะที่สองแขนสามารถโอบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดได้เขาก็ไม่รอช้า รั้งร่างบางเข้ามากอดอย่างแสนคิดถึง ดลินาเองก็กอดตอบเขาโอบรอบเอวแน่น เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเอวเขาดูจะหนาขึ้น กล้ามเนื้อที่อกก็ดูแน่นขึ้น... โอ้แม่เจ้าเขาไปเล่นเพาะกล้ามมาหรือไง ถึงได้บึกบึนขนาดนี้ เลือดกำเดาแทบพุ่ง
ซึ่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่ม ไม่ได้กอดหญิงสาวมานานดลินาดูเหมือนจะผอมลงไปมาก เนื้อตัวไม่นุ่มนิ่มเหมือนแต่ก่อน เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะต้องขุนให้หญิงสาวกลับมามีเนื้อมีหนัง นุ่มนิ่มน่าสัมผัสเหมือนเดิม
“เป็นไงบ้างครับ หายดีหรือยัง”
“หายดีแล้วค่ะ คุณพ่อถึงได้ปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลได้”
ศิวกรเอ่ยถามเมื่อกอดหญิงสาวจนพอใจแล้ว เขาพาร่างบางไปนั่งที่ข้างคนขับก่อนจะจัดแจงคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ อาศัยทีเพล่อช่วงจังหวะที่กดปุ่มล็อคเสร็จศิวกรจรดจมูกลงบนแก้มใสไปฟอดใหญ่
“ถึงจะผอมลงไปบ้างหน้าตอบลงไปนิด แต่แก้มนี้ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“นี้คุณ! ฉวยโอกาสเก่งนักนะ”
ดลินาใช้มือข้างที่ไม่เจ็บทุบไหล่หนาอย่างเขินอาย ศิวกรหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวแข็งแรงขึ้นมาก เพราะดูจากน้ำหนักมือที่ประเคนมาให้ ยังแรงดีไม่มีตกเหมือนเดิม ส่วนคนถูกหัวเราะนั่งปั้นหน้าบึ้งเมินหน้าหนีเขา
ศิวกรส่ายหัวกับอาการงอนที่แสนจะน่ารักนั้น ก่อนจะปิดประตูให้แล้วเดินไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับดังเดิม ดลินามองใบหน้าด้านข้างเขาอย่างหมั่นไส้... ไม่ได้เจอกันตั้งนานแทนที่จะทำซึ้ง กลับมาแกล้งเธอเสียได้ จะงอนเสียให้เข็ด เชอะ!
“มองอะไรครับ... หรือไม่พอใจจะให้ผมหอมแก้มอีกข้างก็ได้นะ เพื่อความยุติธรรมต่อแก้มอีกข้าง”
ว่าแล้วก็ยื่นหน้าทำตาวิบวับใส่
“ทำไมชอบทำตัวเลี่ยนแบบนี้อยู่เรื่อย”
“เคยชิมแล้วหรือครับถึงได้รู้ว่าผมเลี่ยน”
ดลินาแทบกรี๊ดเมื่อเจอเขาย้อนกลับมา ศิวกรที่ยืนกางแขนพิงอยู่ที่ประตูรถมองคนตัวเล็กอย่างขำขัน นานแล้วที่ไม่ได้หยอกล้อหญิงสาวให้เขินอาย รู้สึกสุขใจหรือเกิน การได้มอง ได้สัมผัส ไม่พูดคุยกับคนตรงหน้ามันช่างสุขใจจริงแท้
“พอแล้วค่ะ เลิกแกล้งข้าวได้แล้วออกรถเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณแม่จะรอนาน”
เมื่อออกรถพ้นเขตโรงพยาบาลไปแล้วศิวกรจึงตอบคำถามเมื่อสักครูของร่างบาง ดลินาดูจะแปลกใจกับคำตอบนั้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมเรียนท่านให้ทราบแล้วว่าจะไปส่งคุณตอนเย็นๆ”
“จะพาข้าวไปไหนหรือคะ”
“คุณร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง นั่งรถนานๆ คงไม่ดี ส่วนยิ่งที่ไหนแดดแรงๆ ต้องตัดทิ้งออกจากรายการไปเลย ผมคงพาคุณไปเที่ยวที่ไหนได้ไม่ไกลหรอกครับ”
“ไม่ไกลมากน่ะที่ไหนคะ”
“ถ้าอยุธยาคงจะได้ครับ เราจะได้ไปทำบุญไหว้พระกัน”
แล้วศิวกรก็คว้ามือของหญิงสาวขึ้นมาจูบหนึ่งทีก่อนจะกุมมือลางไว้อย่างนั้น เล่นเอาดลินาเขินทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ดลินารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเขาทั้งสองคนช่างอ่อนหวานละมุนละไมยิ่งนัก ในห้องโดยสารมีเพียงแค่เขาสองคน ไม่มีใครอื่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นระกาย ยิ้มหวานก่อนจะกระชับมือเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เจอกันนานคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าครับ”
“คิดถึงสิคะ... คิดถึงมากด้วย”
พอได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนจากหญิงสาวศิวกรแทบจะถลาเลี้ยวรถจอดข้างทางก่อนจะให้รางวัลคนช่างอ้อน แต่ก็ต้องข่มใจไว้สุดความสามารถ
“โกรธผมหรือเปล่าครับที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”
“ไม่ค่ะไม่โกรธ ข้าวรู้ว่าคุณต้องทำงาน”
“ขอบคุณครับที่ไม่โกรธ และเข้าใจผม”
ศิวกรยกมือของเธอขึ้นมาจูบอีกครั้งอย่างรักใคร่
“ตอนแรกก็มีน้อยใจบ้างเหมือนกันค่ะ แอบต่อว่าคุณไปเยอะ”
“มิน่าล่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งจามชุดใหญ่เลยครับ นึกว่าจะเป็นหวัดเสียแล้ว”
“ว่าแต่แอบไปจีบสาวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่าคะ อย่าให้รู้ภายหลังนะคะว่ามีสาวมาติด รับรองเรื่องใหญ่แน่”
“โอ้โห! เพิ่งรู้นะครับว่าขี้หึงเหมือนกัน”
“ถ้าไม่รู้มาก่อนที่นี้ก็รู้แล้วนะคะว่าข้าวน่ะขี้หึง”
ว่าแล้วก็ดึงมือตัวเองกลับมา ศิวกรมองมือหญิงสาวอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะกลับมาตั้งใจขับรถอีกครั้ง
“แล้วไม่ต้องทำงานหรือคะ วันนี้วันธรรมดา”
“ไม่ครับ ขอลามาเป็นกรณีพิเศษ ท่านผู้กำกับไม่ว่าอะไร แถมยังสนับสนุนเต็มที่ด้วยครับ”
“ใจดีขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ก็คงอยากเห็นลูกน้องเป็นฝั่งเป็นฝาน่ะครับ เลยส่งเสริมเต็มที่”
เจอไปอีกหนึ่งดอก แต่ระเบิดลูกนี้อานุภาคทำลายร้างรุนแรงนัก ใบหน้าเนียนใสตอนนี้คงแดงแซงหน้ามะเขือเทศไปแล้ว ก็คำพูดของเขาไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้เลย
**********************************************************
ที่ทางเรือแห่งหนึ่งมีกล่องไม้ตีลังขนาดไม่ใหญ่มากนักวางซ้อนกองอยู่หลายลัง บริเวรโดยรอบท่าเรือแห่งนั้นมีชายรูปร่างสูงใหญ่ และสันทัดปะปนกันไป ในมือมีอาวุธปืนเดินตรวจตราอย่างแข่งขัน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเรือยอร์ชขนาดใหญ่ลำหนึ่งก็แล่นมาจอดเทียบท่า คนที่ผู้บนบกต่างเตรียมอาวุธในมือไว้พร้อมเตรียมรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
แต่เมื่อคนที่เดินลงมานั้นเป็นใบหน้าเดียวกับที่ได้รับการยืนยันมาก่อนล่วงหน้า เหตุการณ์เลยลดความตรึงเครียดลง ชายชาวต่างชาติที่เดินลงมาจากเรือเดินตรงไปยังโกดังเก่าที่ภายในตกแต่งไว้อย่างสวยหรูผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง ก้องภพที่นั่งเอาเท้าผาดอยู่บนโต๊ะไม้สักตัวสวย ในมือก็เช็ดทำความสะอาดปืนพกอยู่
“สวัสดีครับคุณจั้ง คุณมาช้าไปสามสิบนาที”
“ต้องขอโทษด้วยที่ล่าช้าครับ เพื่อความปลอดภัยเรื่องเวลาคงต้องเผื่อเอาไว้กันพลาด”
“ของผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว เหลือแต่ขนขึ้นเรือเท่านั้น”
“เริ่มเลยไหมครับ”
นายจั้งกล่าวอย่างไม่รีรอ ก้องภพเองก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย จึงกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังสั่งการให้เริ่มการเคลื่อนย้ายได้ ลูกน้องคนนั้นรับคำสั่งก่อนจะเดินนำนายจั้งไปเพื่อควบคุมและตรวจสอบการขนย้ายสินค้าเหล่านั้น
ก้องภพไม่ตามไปด้วย ในมือกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเลือกไปดูที่การตรวจสอบบีออนไลน์ เมื่อเห็นจำนวนตัวเลขที่ทางฮ่องกงโอนมาให้เมื่อ 10 วันก่อนก็มองอย่างพอใจ การค้าครั้งนี้มูลค้าสูงถึงเลข 9 หลัก ตอนนี้ได้มาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งคงไม่นานหลังจากนี้
การเคลื่อนไหวโยรอบท่าเรือแห่งนั้นเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนไม่เป็นที่สังเกตของเหล่าชายฉกรรจ์ที่เดินตรวจตราอยู่รอบบริเวณยังคงเดินรักษาแนวอย่างแข็งขัน แต่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ความเงียบที่เป็นอยู่คงจะถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ม.ค. 2556, 12:34:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ม.ค. 2556, 12:34:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1321
<< บทที่ 9 (ตามล่า... 2) | บทที่ 9 (ตามล่า... 4) >> |