อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 18

18.

และวันที่ทั้งสามคนกังวลเป็นอย่างมากก็มาถึง รถที่ตั้งใจจะใช้แค่สอง ก็ต้องเพิ่มเป็นสามคัน..ร้านอาหารที่จองไว้ก็รีบโทรเพิ่มจำนวนโต๊ะ แถมต้องไปขอร้องให้แก้วและพรรคพวกขึ้นมาช่วยเป็นสต๊าฟในครั้งนี้ด้วย

เมื่อบรรดาสาว ๆ ได้รู้ ตื่นเต้นยกใหญ่

เมื่อสมาชิกพลพรรคคุณนายเพื่อน ๆ คุณแม่มาถึง ต่างคุยกันเพลิดเพลินเรื่องเพชรพลอยและเสื้อผ้าทรงผม ให้กล้องที่ตามจับภาพถ่ายจนหนำใจพอได้เวลาก็กรูกันขึ้นรถส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาสักสิบปี

สุริยารู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่งที่ขณะยืนอธิบายแล้วหาได้มีคนสนใจฟัง จนกระทั่งถึงคิวที่ต้องทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า เสียงเจื้อยแจ้วเจรจาระหว่างคนรู้จักกันก็ยังไม่จบสิ้น จนกระทั่งเขาเอง รู้สึกถึงความขุ่นแห่งใจ แต่พอเห็นหน้าคุณแม่ที่ยิ้มแย้มผิดวันวาน และกล้องที่ถ่ายทำอยู่ตลอดเวลา เขาก็ปั้นหน้ายิ้ม ตั้งสติอธิบายสถานที่จะไปในวันนี้ พร้อมกับให้สต๊าฟ ช่วยกันแจกจ่ายน้ำชากาแฟ ขนมปังและน้ำดื่มและน้ำผลไม้รองท้องก่อนที่จะแวะทานอาหารเช้าแบบตัวใครตัวท่านในปั๊มใหญ่ริมทางหลวง

วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นวัดแรกที่คณะทัวร์ไปถึง พอไปถึงเป็นคิวของแสงทองที่จะทำหน้าที่ถือโทรโข่งบอกลูกทัวร์ให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ นั่นก็คือภายในวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระนอนแล้วก็บอกเล่า ความเป็นมาเป็นไปขององค์พระ หลังจากนั้น พระภิกษุที่สุริยาไปนิมนต์ไว้ให้มานำกล่าวสวดมนต์ฉบับย่อก็มาถึง ต่อจากนั้นก็ส่งไมค์ให้ท่านทำหน้าที่ให้ธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จตรงนั้นแสงทอง ก็แนะนำมุมถ่ายภาพที่จะทำให้หลวงพ่อพระนอนดูสวยชวนมอง นั่นก็คือให้คนถูกถ่ายยืนอยู่ระหว่างหน้าอกและให้ตากล้องไปยืนเฉียงเหนือขึ้นไปทางพระเศียร...

เมื่อแนะนำไปแล้วคนที่บ้าเห่อถ่ายรูปก็กรูแย่งกัน..ประหนึ่งว่าภาพของตนจะได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร เมื่อปล่อยให้เป็นอิสระสักพัก คนนำทัวร์ก็ประกาศเรียกให้ขึ้นรถแล้วพาไปวัดโพธิ์ ๙ ต้น กับค่ายบางระจัน ในที่ตรงนี้เป็นทีของรายการโทรทัศน์ที่จะตามเก็บภาพรุ่งโรจน์กับครอบครัวในทุกช็อตที่เดินเที่ยวชม..ออกจากวัดพิกุลทองก็ได้เวลาเที่ยงจึงต้องย้อนรถกลับไปที่ร้านอาหารในเมืองสิงห์บุรี อิ่มท้องแล้วก็ไปวัดเกษไชยโยวรวิหารสักการะหลวงพ่อโตในวิหารริมแม่น้ำ และปล่อยหอย ปู ปลาลงแม่เจ้าพระยา..

ถึงวัดขุนอินทประมูล ก็เป็นเวลาบ่าย ถ่ายรูปกับพระนอนองค์สีขาวเป็นที่ระลึก แล้วก็ไปสักการะเจดีย์สมัยรัตนโกสินทร์ วัดท่าอิฐ จนตะวันคล้อยก็ไปดูนรกสวรรค์ปูนปั้นจำลอง กำแพงแก้วรูปกลีบบัววัดม่วง วิเศษไชยชาญ แล้วย้อนกลับเข้ามาในเมืองไปวัดต้นสน สักการะพระพุทธชินราชจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก และวัดสุดท้ายก็คือวัดจันทรังสี กับรูปหล่อหลวงพ่อสดหน้าตักขนาดเก้าเมตรในมหาวิหารขนาดใหญ่..

จนกระทั่งถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับฟ้า รถบัสทั้งสามคันก็แล่นกลับมาจอดที่จุดนัดหมาย..พร้อมกับเรี่ยวแรงลูกทัวร์ที่เริ่มโรยรา..

“คุ้มเงิน แต่เหนื่อยมาก ไม่เคยไหว้พระทำบุญแล้วเหนื่อยอย่างนี้มาก่อนเลย ดีนะคะที่มีลูกมาด้วยไม่งั้นอิฉัน..แย่ค่ะ โมทนาบุญร่วมกันคะ” เป็นบทสัมภาษณ์หนึ่งจากลูกทัวร์ซึ่งมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ มาด้วย

ส่วนลูกสาวก็บอกว่า..

“ขอบคุณคุณแม่ค่ะที่พามาไหว้พระทำบุญกับแม่ในวันแม่ แถมมีโอกาสขอขมาแม่ก่อนมอบดอกมะลิให้ด้วย..”..

อีกคนก็ว่า

“อยากเป็นลูกคุณแม่ทุกชาติ ๆ ครับ คุณแม่ใจดี คุณแม่รักผม”


เมื่อส่งคุณแม่และครอบครัวพี่ ๆ ของรุ่งโรจน์ขึ้นรถไปแล้ว.. ทั้งสามคนก็เดินเข้าออฟฟิศ โดยที่แสงทองรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียนด้วยบอกว่ารู้สึกพะอืดพะอม ส่วนสุริยานั่งที่โซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง และรุ่งโรจน์ที่ปรี่เข้ามานอนหนุนตักสุริยาอย่างไม่อายสายตาใคร ๆ ..

“เหนื่อยอ่ะ..เหนื่อยที่สุดตั้งแต่จัดทัวร์มาเลย คราวหลังไม่เอานะ สามคันสี่คัน..สองคันก็พอแล้ว..”

“งานนี้คุณแม่ หมดไปเยอะนะคะ ตั้งเกือบยี่สิบโต๊ะ สองหมื่นกว่าบาทกับส่วนต่างอีกคันละหกพันบาท”

“แค่นั้นเล็กน้อย แต่ส่วนที่ให้รายการนี่ซิ..เหยียบแสน แต่คงจะคุ้ม คุณแม่ผมเป็นนักธุรกิจท่านดีดออกมาแล้ว เผื่อวันหนึ่งข้างหน้า มีใครสักคนจ้างคุณแม่ไปโฆษณาเป็นพรีเซ็นเตอร์ประมาณคุณแม่ยังสาวยังลุยไหวหรือไม่ก็พวกเคล็ดขัดยอกเวลาก้มกราบพระ คุณแม่ก็ได้คืนกลับมาหลายร้อยเท่า..”

สุริยานั่งทำตาปริบ ๆ เงินได้มาง่าย ๆ ก็ใช้ไปง่าย ๆ ..เงินมี ‘สิริ’ นอนเนื่องอยู่กับคนมีบุญ..เงินเป็นของร้อนทำให้สุขและทุกข์ได้ในคราวเดียวกัน..และกว่าจะได้เงินในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยจนหมดกำลัง..

“กลับบ้านเถอะผมง่วง”

“พี่รุ่งอย่าลืมให้พี่ยาทานยาพาราสักสองเม็ดนะคะ ป้องกันไว้ก่อน”

หลังจากที่ช่วยแสงทองปิดออฟฟิศเรียบร้อย รุ่งโรจน์ก็พาสุริยามาที่คอนโดด้วยอาการตัวร้อนรุม ๆ

“คุณไม่สบายแน่เลยคุณยะ แดดมันร้อนด้วย ทำท่าเหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตก..”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงฟ้าก็ครืน ๆ มาแต่ไกล แล้วคืนนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำซ้ำซัด ..คนที่นอนอยู่บนที่นอนด้วยกันเพียงแต่ห่มผ้าให้แล้วก็ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ก่อนที่จะโอบกอดไปรอบ ๆ อกเหมือนทุกคืนก่อนจะหลับตานอน

สุริยาลืมตาในความมืด ค่อย ๆ ลอบถอนหายใจออกมา...รู้ว่าคนที่นอนเคียงกันเร็วต่อความรู้สึกคนรอบ ๆ ข้าง..รู้ว่าเขาใส่ใจห่วงใย รักใคร่ ทะนุถนอม..รู้ว่านี่คือวิถีแห่งความสุขของคนคู่ ..ทำไมหนอ..

สุขแต่ก็กลุ้ม เขาจะบ้าหรือเปล่าหนา..อยู่ ๆ ไม่นึกอยากจะมีจะเป็น ‘สุข’ ในอย่างทุกวันที่ดำเนินไป..

..อยู่ตรงไหน จุดจบของชีวิตอยู่ตรงไหน?..

แล้วในคืนนั้นเขาก็ฝันว่า ตนเป็นพระออกบิณฑบาต โปรดสัตว์ผู้ยากไปในถิ่นที่ทุรกันดาน แม้จะลำบาก ใบหน้านั้นชุ่มด้วยความเปรมปรีดิ์ ...มีความสุข มันสุขคนละแบบกับการมีชีวิตที่สมหวังแบบนี้..

มาสะดุ้งตื่นอีกที พบว่า..ตัวเองยังเป็นเพียงปุถุชนคนมีกิเลส..ก็รู้สึกสับสน..นึกถึงคำของพระอาจารย์...

‘คนจะบวชไม่สึกได้มันต้องเห็นทุกข์ พวกเธอ พวกท่านอยากสึกก็สึกไปเถอะ ไปให้รู้ ให้เห็นเข้าใจการมีชีวิตอยู่บนโลก พบทุกข์หรือว่าเบื่อสุขจอมปลอมเหล่านั้น แล้วค่อยกลับมา..แต่อย่ากลับมาอย่างผู้อาศัยศาสนานะ มาให้ศาสนาได้อาศัย..พระอาจารย์จะคอย..’

ในเวลาเช้าตรู่สุริยายังอยู่ในอ้อมกอดของรุ่งโรจน์..พอเขาลืมตาขยับตัว..รุ่งโรจน์ก็ถามว่า

“เมื่อคืนนอนไม่หลับ เป็นอะไรรึเปล่า..ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่”

“ฝันว่ากำลังเป็นพระ...มันรู้สึกแปลก ๆ นึกถึงตอนอยู่วัดก็เลย..นอนไม่หลับ… คุณรุ่ง… ถ้ารุ่งแสงสุริยาทัวร์ไม่มีผม คุณสองคนจะดูแลกิจการได้ไหม..”

รุ่งโรจน์ลุกนั่ง พลางฉุดมือสุริยาให้ลุกตามมานั่งเคียงกัน..

“วันนี้คุณเป็นอะไรอีก..ผมจะไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น เราจะอยู่ด้วยกัน จะทำงาน จะช่วยเหลือคนให้มีความสุขในทางอ้อมด้วยกัน..เข้ากล้องนิดเดียวสติไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว..ลุก ๆ ไปล้างหน้า ตอนเที่ยงวันนี้จะได้เตรียมตัวขึ้นเหนือกันสักสิบวัน”...


ถ้าเป็นเมื่อก่อนสุริยาคงจะดีใจเหมือนไก่จะบิน แต่ในครั้งนี้ ..กลับนึกถึงคำอธิษฐานจิตเมื่อครั้งที่ไปไหว้พระธาตุพนมกับหลวงพี่ที่วัด..

‘ด้วยเดชแห่งบุญญาปรารถนาเพียงให้ได้มีโอกาสไปสักการะพระธาตุเจดีย์ทั่วพื้นพิภพนี้โดยง่ายโดยพร้อม สะดวกปลอดภัย’

คงจะถึงเวลาที่บุญจะส่งผลดั่งผังที่ได้ตั้งไว้เสียกระมัง ..เดินทางได้โดยง่าย โดยสะดวกปลอดภัย ชีวิตเหมือนฝัน..ที่พอลงจากห้องพักมา รุ่งโรจน์ก็ปรี่ไปที่รถฮอนด้าซีอาร์วีคันใหญ่..

“ผมให้คนขับรถที่บ้านขับมาให้น่ะ..ขึ้นเขาลงห้วยมันต้องคันนี้ มา เอาสมบัติขึ้นรถ ป่านนี้แสงทองรอนานแล้ว” ปากก็ออกคำสั่งมือก็รีบมาช่วยหยิบจับถุงเต็นท์ถุงนอนและก็กระเป๋าข้าวของใส่ท้ายรถ ก่อนจะกลับไปที่รถคันเดิมหยิบแผ่นเอ็มพี 3 เพลงโปรดออกมาด้วย..

“เดี๋ยวแสงทองมันก็บ่นอีกหรอกว่ามีชุดเดียวหรือไง”

รุ่งโรจน์ไม่ต่อความ เพียงยิ้มนิด ๆ ..แล้วก็จ้องหน้าอีกคน โดยพยายามใช้ภาษาใจคุยกัน..สุริยารู้ว่าเขาคิดอะไร..แต่ก็รู้ว่าตัวคิดอะไร..

“ทำไมไม่ชวนน้องดาราวดีไปด้วย..ดูเธอสนใจวัดวานะ เมื่อวานถามผมยกใหญ่ว่าพระนอนเรียกว่าปางอะไร พระองค์นี้มีประวัติมาอย่างไร..”

“คุณชอบเธอซิ”

“ผมเจียมตัวคุณรุ่ง ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นใคร”

“ผมก็รู้ตัวดีว่าผมเป็นใคร” รุ่งโรจน์ยืมประโยคอีกคนมายอกย้อน..สุริยาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน..ไม่รู้ไม่ชี้ตามเดิมทั้งที่ใจก็ระทวยกับคำหวานแสดงความนัยนั้นอยู่ไม่น้อย..


พอรถไปถึงที่หน้าออฟฟิศ สุริยารีบลงจากรถไปรับแสงทอง เพื่อช่วยขนกระเป๋า พอสาวเจ้าเปิดประตูออกมาจากออฟฟิศ สุริยาถึงกับตกตะลึง แสงทองในวันนี้ สวยสะดุดตาด้วยเสื้อผ้าทรงผมและสีสันบนใบหน้า แสงทองยิ้มให้ สุริยาพยายามที่จะไม่สบสายตามีประกายแห่งรักนั่น..เขาพอรู้ว่า อานุภาพแห่งความรักสามารถดลบันดาลให้คนเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้

รถยนต์คันโก้ มุ่งหน้าขึ้นเหนือ โดยที่สุริยาขอมานั่งด้านหลัง เหตุผล เขาอยากจะพักผ่อน โดยการล้มตัวลงนอนยาวไปกับเบาะ

รุ่งโรจน์แซวมาว่า “เอาเปรียบกันนี่” แล้วก็หันไปหาแสงทอง พลางถามว่า

“ขับได้ป่ะ พี่อยากไปนอนข้างหลังบ้าง..”

แสงทองหัวเราะหึ ๆ สุริยาเองไม่ได้ต่อปากต่อคำ ด้วยรู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอะไร เมื่อตอนแรกสุริยานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับแสงทองพอรถเคลื่อนไปได้สักพักรุ่งโรจน์ก็ให้เขาขยับมานั่งที่ด้านหลังเบาะตนเอง เหตุผลที่บอกกับแสงทองก็คือ

“เวลาที่คุณคุยกันผมจะได้ยินเสียงของสุริยาด้วย ถ้านั่งตรงนั้นมันไกล”

แต่แท้จริงแล้ว สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์อยากจะเห็นหน้าตนจากกระจกส่องหลัง เมื่อรู้ว่าสุริยารู้ทัน รุ่งโรจน์จึงแอบยักคิ้วให้ โชคดีที่รุ่งโรจน์สวมแว่นตาดำจึงมองไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ แม้กระนั้นสุริยา จึงมอบสัมผัสด้วยการเอื้อมมือไปหยิกที่พุงด้านขวาเบา ๆ พอให้รุ่งโรจน์ยิ้มในวงหน้า

ความสุขของความรักคงจะอยู่ในตอนที่ช่วยกันสานรักให้เต็มผืนนี่แหละมั้ง..คิดถึงความสุขของตน ก็อดที่จะนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่นั่งด้านหน้าไม่ได้

สุริยารู้ว่าแสงทองเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เพื่ออะไร

หัวใจแลกด้วยหัวใจ

พี่สมใจ มาพูดกับเขาเรื่องแสงทองหลายครั้งหลายหน..

“พี่ถูกใจ อยากได้มาเป็นน้องสะใภ้” แม้กับเขาพี่สมใจยังกล้าพูดซึ่ง ๆ หน้า และเมื่ออยู่กันตามลำพังคงได้ปรึกษาปัญหาหัวใจกันตามประสาผู้หญิงเป็นแน่

แต่เขาเพียงแก้ตัวไปว่า

“คงดูกันไปสักพัก”

เมื่อบอกจุดหมายปลายทางในวันนี้เรียบร้อยแล้ว สุริยาจึงล้มตัวลงนอน ฟังว่า แสงทองกับรุ่งโรจน์จะคุยกันด้วยเรื่องอะไร..แล้วแสงทองก็เปิดประเด็นเรื่องภาษาอังกฤษ โดยมีครูรุ่งโรจน์เป็นผู้แนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับการออกเสียงสูงต่ำ

เสียงสองเสียงที่แว่วเข้ามาใส่โสตประสาท..จุ๋งจิ๋ง ๆ ..ส่งผลถึงจิตใจ..สุริยาถามใจตน เป็นอย่างไรบ้างเอ๋ย?..เจ้าหัวใจ ..หวิบไหวซิ..บอกแล้ว ต่อให้แกกว้างอย่างกับแม่น้ำเจ้าพระยา...แกก็ยังรักตัวเองอยู่ดี หากรุ่งโรจน์รักแสงทองมันคงจะดีกว่า ที่เขาจะมา- เป็น- อยู่- คือ อยู่กับแก ดีใจเถอะ หากเขาจะเข้าใจกันได้

คิดฟุ้งซ่านไปได้สักพัก สุริยาก็ดึงสติให้จรดจ่ออยู่กับ สัมมา อะระหัง..เปลี่ยนความคิดไปที่ศูนย์กลางกายเสีย..ตรึกดูองค์พระใส ๆ อยู่ตรงนั้น.. คิดเรื่องที่เป็นอกุศลไปทำไมให้เศร้าหมอง เขาจะรักกันชอบกันเข้าใจ พอใจที่จะศึกษานิสัยใจคอกัน มันก็เป็นเรื่องดี ๆ ของเขา ควรดีใจหากเขาจะไปด้วยกันได้ดี

ดีกว่าที่ชายจะมารักชาย หรือหญิงจะมารักชายที่หัวใจไม่ใช่ชายแท้

เมื่อรถแล่นไปถึงอินทร์บุรี แสงทองก็หันมาร้องเรียก ทำนองว่าปลุกให้ตื่น

“จะถึงมโนรมย์ชัยนาทแล้วพี่ยาจะไปทางไหน เข้าชัยนาทไปดูสวนนกหรือว่าจะเลยไปแยกหางน้ำสาคร..” แสงทองเริ่มคล่องในแผนที่

“ไปผ่านส่วนนกเข้าเมืองชัยนาทแล้วก็ ย้อนกลับมาทางมโนรมย์ดีกว่า วัดธรรมามูลอยู่ถึงก่อน..คืนนี้ตกลงเราจะไปนอนที่นครสวรรค์นะ สะดวกดีพรุ่งนี้ค่อยเข้าอุทัย”

“พี่ยากินยาไหม หนูมียาติดมาด้วย” แสงทองร้องถาม..

“ไม่หรอก พี่ไม่ได้เป็นอะไรแค่อยากพักผ่อนเท่านั้น”

“แวะปั๊มเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หาอะไรกินแล้วแสงทองก็เตรียมตัวขับรถเปลี่ยนกัน” รุ่งโรจน์ว่าพลางเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมันไปจอดที่หน้าห้องน้ำ

หลังจากรถออกมาจากปั๊มน้ำมัน รุ่งโรจน์ให้แสงทองเป็นคนขับ โดยที่เขามานั่งอยู่เบาะหลังให้สุริยาไปนั่งข้างหน้า พอรถออกตัว เขาเอามือเอื้อมไปเกาะที่บ่าสุริยาแล้วก็ซบหน้าพิงไปกับเบาะ เวลาที่พูดคุยลมปากเย็น ๆ จึงไปสัมผัสกับใบหูของสุริยาให้เจ้าตัววาบหวิว

สุริยาเองก็พยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ทำท่าคล้ายกับว่าคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ให้แสงทองจับได้..นึก ๆ ไปเขาก็อนาถใจสภาพตัวเอง ..เหมือนเป็นคนลวงโลก หากจะบอกกับแสงทองไปตามตรงว่า เขากับรุ่งโรจน์มีความรู้สึกพิเศษต่อกัน แสงทองจะรับได้ไหมนะ..

แต่จริง ๆ สุริยาก็ได้เรียนรู้อีกบทหนึ่งของคำว่า ‘หัวใจ‘ ..สุขที่แอบสายตาคนอื่นอิงแอบกัน..

เมื่อรถแล่นมาถึงวัดธรรมามูลซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณเชิงเขาริมแม่น้ำเจ้าพระยา..ทั้งสามรีบลงจากรถก่อนจะยืนพิจารณาจุดขาย..หนึ่ง เน้นในเรื่องสถานที่ประทับใจตั้งแต่ลงจากรถ..แสงทองบอกว่าให้แค่สามคะแนน..แต่รุ่งโรจน์ว่าสวยที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมสูงเห็นท้องไร่ท้องนายอดต้นยางอยู่ลิบ ๆ ..สำหรับสุริยาการจะขายทัวร์ที่นี่ต้องเน้นที่องค์พระพุทธรูป..

“จำได้ป่ะ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่าเพื่อนผมเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่งนะ ว่าสมัยที่พ่อของเพื่อนยังเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ตอนนั้นเขาอยู่บนเรือเอี้ยมจุ๊น ล่องค้าขายระหว่างนครสวรรค์กรุงเทพฯ ..ขาขึ้นเกิดท้องเสีย มาตั้งแต่อ่างทอง จนมาถึงชัยนาทอาการก็แย่แล้ว..ที่นี้คนเป็นแม่ หรือย่าของเพื่อนผม พอเรือถึงหน้าวัดธรรมามูล ก็หันหัวเรือ เข้าหาทางวัด นึกถึงหลวงพ่อ อธิษฐานขอน้ำมนต์ให้เป็นยา บอกว่าถ้าลูกชายแกกินแล้วหายจะยกให้เป็นลูกหลวงพ่อ จะบวชเณรให้ ว่าจบก็ตักน้ำที่แม่น้ำมาให้ลูกชายกิน ปรากฏว่า หาย..หลังจากนั้น ก่อนจะบวชพระ แกมาก็บวชเณรให้ก่อน แล้วถึงเข้าโบสถ์บวชพระ”

“แล้วอย่างนี้เป็นเรื่องอธิษฐานหรือว่าบนบาน” แสงทองซักถามขณะเดินไปในวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ประทับยืนบนฐานดอกบัว

“อธิษฐานจิตโดยอ้างบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เป็นกำลัง บุญแม้เพียงคิดทำก็ได้แล้ว..แต่ถ้ากำลังทำ และทำไปแล้วได้เต็ม ๆ .. บุญบวช ใหญ่ไหม คือยากไหม”

รุ่งโรจน์ทำหน้าไม่เข้าใจ..

“ผมมองว่า ย่าแกคงมีศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นทุนอยู่แล้ว คนเดินเรือผ่านวัดเราลองนึกสภาพที่เวลาพวกเราขับรถผ่านศาลต่าง ๆ เรายังบีบแตร ขอพรนั่นนี่กัน ผมคิดว่าสมัยที่เขื่อนเจ้าพระยายังไม่สร้าง หลวงพ่อธรรมจักรคงเป็นที่พึ่งทางใจนะ และคิดดูเถอะกว่าเรือจะพ้นจากป่าดงทางเปลี่ยวแถวนี้ได้.. อย่างน้อยก็ต้องพูดว่า ขอให้เดินทางปลอดภัย และการนึกถึงองค์พระ นี่ก็เป็นพุทธานุสติ คิดว่ามีกำลังพอ ผสมกับจิตที่ปรารถนาจะให้ลูกชายบวชให้ด้วย สิ่งนั้นจึงสำเร็จหรือไม่ก็ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต”

“คุณเคยบนไหม” รุ่งโรจน์ย้อนถาม

“ไม่เคย ผมเคยแต่อธิษฐาน อ้างบุญกุศล อย่างเวลาที่ผมมากราบพระตรงนี้ ผมก็นึกอยาก
ให้คนอื่นมาเที่ยววัดมาไหว้พระเหมือนเราบ้าง ผมนึกนะถ้าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ช่วยได้จริง ช่วยดลบันดาลให้ผมพาคนมารู้จักหลวงพ่อเยอะ ๆ ด้วยเถอะ มันก็น่าจะหมายถึงให้ทัวร์เต็มนะ มันก็ต้องดิ้นอย่างที่เรากำลังทำกันอยู่ ทั้งสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย ผมเชื่อเรื่องบุญ เรื่องกรรมดีกับชั่วด้วย ผมคิดว่า ถ้าเราทำชั่วต่อให้บนดี ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน..แต่ผมยืนยันได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง..เพราะผมได้เจอะคุณสองคนไง”

รุ่งโรจน์จ้องหน้ายิ้ม ๆ ทำตัวนิ่ง ๆ เก๊กหล่อดูดีจนบางทีน่าหมั่นไส้..

หลังจากคุกเข่าพนมมือ สวดมนต์ อธิษฐานจิตตามสะดวกใจของตนแล้ว ทั้งสามคนก็ลุกไปปิดทององค์หลวงพ่อพร้อมกัน

สุริยาลอบมองสีหน้าของคนทั้งคู่ อยากรู้เหมือนกันว่า เขาทั้งสองคนอธิษฐานว่าอะไรกัน..ภาวนาอย่าให้เป็นเรื่องอกุศลเลย..ตัวเขาเอง เห็นเหตุในวันนี้ก็อดที่จะระลึกถึงอดีตแต่เก่าก่อนไม่ได้..คงได้ปิดทองพระร่วมองค์หรือตักบาตรร่วมขัน เด็ดดอกไม้ร่วมต้นด้วยกันมาแน่ วันนี้ถึงได้เป็นอย่างนี้..

หากชาติหน้ายังได้เกิดมาเป็นมนุษย์หากได้พบกัน ขอให้ชวนกันทำแต่บุญกุศล ชวนคนไปพระนิพพานด้วยกันดีกว่ามั้ง

รถแล่นออกจากวัดธรรมามูลมุ่งตรงเข้าสู่เมืองนครสวรรค์ โดยมีแสงทองเป็นคนขับ ท่ามกลางแสงตะวันบ่ายคล้อยที่แยงลูกตา

“หนูอธิษฐานว่า..ขอให้เดินทางปลอดภัยในทุกเมื่อ รอดพ้นจากอุปัทวอันตรายทั้งปวง อย่าได้ตายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม ด้วยดิน ด้วยรถ ศพไม่สวย..ค่ะ” แสงทองบอกแค่นั้น

สำหรับรุ่งโรจน์เขาบอกว่า “ความลับระหว่างผมกับหลวงพ่อ”..

รถแล่นขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ พร้อมกับโปรแกรมคร่าว ๆ ที่สุริยาแนะนำ..

“วันนี้เราจะไปวัดจอมคีรี..ไปบึงบอระเพ็ด..วัดนครสวรรค์.. แล้วก็วัดคีรีวงศ์ หาอะไรกินในตลาด แล้วก็หาโรงแรมสักสามดาวนอน”

“ประหยัด..เพื่อความเจริญของพวกเรา..”

รถแล่นมาถึงนครสวรรค์ แสงทองเลี้ยวขวาเข้าทางอำเภอชุมแสง เพื่อไปบึงบอระเพ็ด พอ
ไปถึงพบบึงน้ำขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ริมตลิ่งมีสะพานเหล็กยื่นลงไปในน้ำมีปลาสวายว่ายวนเวียนรอรับอาหารจากผู้ใจบุญ เป็นธรรมดาที่คนใจบุญจะซื้อและโปรยปรายลงไป พร้อมกับถ่ายรูปภาพความประทับใจ

“พี่ยะพี่รุ่ง คือเรื่องหนังสือที่หนูตั้งใจส่งไปให้ทางบก. พิจารณาผลปรากฏว่า..”

แสงทองอ้ำอึ้งเพื่อให้คนสองคนลุ้น..

“คือ ..ไม่ผ่านค่ะ..ไม่น่าสนใจ”

“ไม่น่าสนใจก็เอาใหม่ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย..รวบรวมใหม่” รุ่งโรจน์ให้กำลังใจ สุริยาพยักหน้าเห็นด้วย..

ทีแรกตั้งใจจะล่องเรือหางยาวเข้าไปในบึง เพื่อดูดอกบัว ดูนก ดูน้ำ ดูฟ้าแต่รุ่งโรจน์ค้านว่า

“เย็นแล้วไปที่อื่นเถอะ ..บนฝั่งกับในบึงคงคล้าย ๆ กัน..เที่ยวแบบพวกเราจินตนาการเอาบ้างก็ได้”

ขาออกจากบึงบอระเพ็ดรุ่งโรจน์กลับไปทำหน้าที่พลขับ ขาออกถนนชุมแสงพอรถหลุดไฟแดงก็เลี้ยวซ้ายขึ้นวัดเขาจอมคีรีนาคบรรพต สิ่งที่น่าสนใจคือโบสถ์เทวดาสร้าง..

“..เรื่องเล่านะ..จริง ๆ ไม่ใช่เทวดาสร้างทั้งหมด ชาวบ้านสร้างกันอยู่ กลางคืนกลับลงไปพักผ่อน..พอตกดึกได้ยินเสียงเหมือนกำลังมีการก่อสร้างจึงพากันขึ้นมาดูพบว่า ส่วนที่สร้างค้างไว้ มันคืบหน้าไปอีกไม่ใช่น้อย..จึงเป็นที่มาคำว่าโบสถ์เทวดาสร้าง..”

เป็นธรรมเนียมที่ต้องเข้าไปกราบพระ อธิษฐานจิต ตามใจปรารถนาแล้วก็ถอยออกมา กลับขึ้นรถ พร้อมใจที่เบิกบาน..

“พอเห็นไหมแสงทอง วันหนึ่งถ้าพี่ไม่อยู่ นครสวรรค์สามารถจัดรถแบบเที่ยววันเดียวได้ ความน่าสนใจมีนะแต่เราต้องค้นให้เจอ และเธอต้องไปทำการบ้านมาให้พี่หนึ่งข้อด้วยเรื่องนี้..เดี๋ยวเราไปที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปวัดนครสวรรค์..”

พอรถแล่นถึงต้นแม่น้ำ แสงทองรีบลงจากรถเดินไปชะโงกหน้าดูที่สันเขื่อนก็ทำหน้าบู้บี้..บอกให้รู้ความในใจว่า “แย่จัง” แต่ปากที่พูดออกมาเพื่อถนอมน้ำใจคนที่เดินอยู่แถว ๆ นั้น..

“ดีได้แค่นี้หรือ ไม่อยากจะเชื่อนี่คือต้นน้ำเจ้าพระยา มันน่าจะมีป้ายดี ๆ ใหญ่ หรือไม่ก็สะพานแขวนข้ามไปที่ปลายแหลมของเกาะ แล้วตรงเกาะก็เป็นหอคอยหรืออนุสาวรีย์สัญลักษณ์อะไรสักอย่างบอกว่าต้นแม่น้ำสำคัญของประเทศนะ พอให้อยากมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก..”

“ไหนล่ะ ปิง วัง ยม น่าน แม่น้ำสี่สายไหลมารวมกัน” รุ่งโรจน์ถามบ้าง..

ขณะที่สุริยายืนหันรีหันขวาง มองหาจุดที่คิดว่าน่าสนใจ..ซึ่งก็คือศาลเจ้าฝั่งตรงกันข้าม กับตลาดสดทางทิศใต้ ..

“จริง ๆ แล้ว ปิงกับวัง รวมกันมาแล้วที่ตากหรือลำปางก็ไม่รู้..ยมกับน่าน รวมกันที่ชุมแสง แล้วก็เหลือ ปิงใส ๆ กับ น่านแดง ๆ รวมที่ปากน้ำโพ..”

“ถ้านับแบบนี้ก็ไม่ใช่ซิ เพราะมีแม่น้ำอื่น ๆ ที่ไหลมาร่วมกับปิงอีก จำได้หรือเปล่าที่ฮอดไง ออบ หลวงไหลลงปิง..” แสงทองออกความเห็น..

“แต่อย่าไปรู้ลึกอะไรเลย รู้แค่นี้ก็พอแล้ว ผมว่าเราไปหากิจกรรมทำดีกว่า....” สุริยาเดินนำไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดสด แล้วเขาก็ไม่ผิดหวัง..ปลาหลายชนิดกระโดดโลดเต้นร้องขอชีวิต..เขาหันมาหาคนทั้งคู่ก่อนจะแบมือบอกว่า..

“จะไถ่ชีวิตปลาคนล่ะกี่กิโล”

แสงทองส่งแบงก์ร้อยให้หนึ่งใบ รุ่งโรจน์ให้อีกใบ เขาเองอีกใบ.. ซื้อปลาเคราะห์ดีไปตามจำนวนเงิน

“ว่าไปก็สงสารตัวที่อยู่เนอะ” แสงทองเหลียวหลัง

“ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ที่เหลือก็ปล่อยไปตามกรรม เมตตา กรุณา มุทิตา และก็อุเบกขา..เฉย ๆ ไม่รู้ไม่เห็นไม่เก็บมาใส่ใจ จะได้ไม่ทุกข์มาก..”

“ผมว่าไหน ๆ ช่วยแล้วก็น่าจะให้หมดกะละมังแม่ค้านะ..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ส่งแบงก์พันให้สุริยา..สุริยาเดินกลับไปอีกรอบ กลับมาอีกที พร้อมกับถังใส่ปลาใบใหญ่ที่มีเด็กชายลูกแม่ค้าช่วยหิ้วมาส่ง พร้อมกับบอกว่า..

“น้องเขาบอกว่า นั่งเรือไปปล่อยที่กลางแม่น้ำ..ได้บรรยากาศไปอีกแบบ”

เมื่อไปต่อรองราคาเรือได้แล้ว ทั้งสามคนก็นั่งเรือไปกลางแม่น้ำ อธิษฐานจิตขอให้มีอายุไขยืนยาวไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ..หรือโรคร้ายแรง..พอเทถุงปลา..ลงน้ำ แสงทองกรี๊ดกร๊าดบอกว่า

“ดูซิ มันแท้งกิ้วเรายกใหญ่เลย ว่ายวนไปมาอยู่นั่นเอง..”

แล้วเรือลำนั้นก็พาเข้าไปในลำน้ำน่าน ดูวิถีชีวิตคนแพซึ่งมีเหลืออยู่น้อยนิด..

“เมื่อก่อนเคยอ่านประวัติของคุณกรุณา กุศลาศรัย สามเณรใจสิงห์ เดินตั้งแต่นครสวรรค์ ไปพม่า ไปอินเดีย ท่านว่าเป็นคนที่ริมแม่น้ำแคว..แม่น้ำน่าน..ตอนนั้นท่านเล่าว่า บ้านเป็นแพ บ้านย่าเป็นแพ ตายแล้วยกให้กับวัดตะแบก..” คนเล่าหันไปถามคนขับเรือว่าวัดตะแบกอยู่ตรงไหน

“เปลี่ยนชื่อไปแล้ว ชื่อวัดปากน้ำโพใต้..” แววตาของสุริยาเป็นประกาย..

“ถ้าเราไม่อ่านประวัติหรือไม่บังเอิญอ่านอะไรเจอะมาบ้าง เราก็จะไปเที่ยวไม่ค่อยสนุก..สำหรับผมเอง ผมชอบอ่านหนังสือ..ผมจึงมีเบื้องหลังนิดหน่อย..พอมาเห็นแล้ว มันปิ๊ง มันเห็นภาพชุมชนสมัยโน้น เคยอ่านของงานของมาลัย ชูพินิจ ไหม เรื่องแผ่นดินของเรา..ก็มีฉากเมืองปากน้ำโพ หรือไม่ก็ แม่เบี้ย ของวาณิช ใช้ฉากทิ่ริมแม่น้ำปากคลองมะขามเฒ่า แม่น้ำเจ้าพระยาที่แตกสายไป..แม่น้ำเดียวแต่มีหลายชื่อ แม่น้ำสุพรรณ แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำนครชัยศรี หรือไม่ก็ สี่แผ่นดินของ ท่านคึกฤทธิ์ ..บรรยายเกี่ยวกับแม่พลอย สมัยเจอะคุณเปรมที่บางปะอิน หรือไม่ก็ พี่ชดของแม่ช้อยที่หักอกแม่พลอยโดยสาวนครสวรรค์..”

“ปิ๊ง” แสงทองกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันที

“นึกออกแล้ว ..ต่อไปก็จะมี..หนังสือ เที่ยวผสมวรรณกรรมนิดหน่อย..ตอนเที่ยวนครสวรรค์กับแม่พลอย..เที่ยวบางประอินกับแม่พลอย หรือไม่ก็เที่ยวกับแม่เบี้ย..คือหนูมีเพื่อนคนหนึ่งมันเป็นคอวรรณกรรมมันอยากเป็นนักเขียน หนูจะไปถามมันว่า นิยายเก่า ๆ อมตะคลาสสิค เรื่องไหนที่เอ่ยถึงฉากสถานที่จริง ๆ ในประเทศไทย แล้วเราก็ดึงออกมา ประมาณย้อนรอยว่าในหนังสือนิยายบรรยายไว้แบบนี้ แล้วปัจจุบันนี้ อย่างที่เห็นเป็นอย่างนี้ และก็มีที่เที่ยวตรงไหนบ้าง..พี่ว่าโอเคไหม”

สองหนุ่มพยักหน้า อะไรที่เป็นงานที่ตนรักย่อมมีคุณค่าเสมอ แม้มันจะยังไม่ทำเงินให้ก็เถอะ..

แล้วเรือยนต์ก็พามาหยุดที่ท่าเทียบ...

ทั้งสามเดินขึ้นจากท่าเรือมาที่รถ พอถึงริมตลิ่ง สุริยาก็อดที่จะเหลียวหลังไปมองที่ฝั่งแม่น้ำน่านอีกรอบไม่ได้..นึกถึงหลาย ๆ ชีวิตที่มีชีวิตวนเวียนอยู่กับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ตลอดสองฟากฝั่ง ในระยะเวลาหลายร้อยปี จะมีใครบ้างที่ไม่ไหลไปกับกระแสน้ำตามกระแสกิเลส..

“ไงอาลัยอาวรณ์อะไร” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็รั้งข้อมือให้เดินตามกลับมาที่รถเปิดประตูให้พอสุริยาเข้าไปนั่งก็หยอกกันด้วยอาการปิดประตูด้วยความนอบน้อม..

พอรถถึงวัดนครสวรรค์คนที่เคยอ่านหนังสือมาหลายรูปแบบ..ก้มกราบหลวงพ่อศรีสวรรค์ด้วยเศียรเกล้า พลางระลึกนึกถึง หนังสือของคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถระลึกชาติได้ว่า มีใครบ้างเคยก่อการสร้างองค์พระนี่ไว้..และในปัจจุบันเป็นใครอยู่ที่ไหน..

“มีอะไรเล่าอีกไหม” แสงทองถามเมื่อรถแล่นออกจากวัด เพื่อมุ่งหน้าไปวัดคีรีวงศ์ สักการะพระเจดีย์ที่ตระหง่านอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์

“วัดเมื่อกี้สร้างมาหลายร้อยปีแล้ว ที่กำลังจะไปคือ วัดคีรีวงศ์ สร้างได้ไม่นานยังไม่มีชื่อโดดเด่นในทำเนียบสถานที่สำคัญของจังหวัด นอกเสียจากคนขับรถผ่านมาเห็นแล้วนึกอยากขึ้นไปไหว้ โชคดีนะได้เห็นกับตาตัวเองตอนที่เขากำลังสาน.. นึกนะ ผมนึกว่า ถ้าในสมัยที่เขากำลังหล่อพระกันอยู่ เราจะร่วมปัจจัยหล่อกับเขาบ้างไหม..ผมเคยอ่านเจอว่ามีคณะหนึ่งร่วมกันสร้างวัดหัวเมือง..ชื่อเก่าของวัดนครสวรรค์ พอตายไปแล้วมาเกิดในชาติที่ เรารู้ ๆ กัน ก็มาเกิดเป็นตระกูลคนใหญ่คนโตในเมืองนี้ทั้งนั้น ไม่รู้นะว่าเขาเขียนเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า..แต่ในบันทึกก็บอกว่า มีอยู่คนหนึ่งยักยอกไม้ที่จะเอาไว้สร้างวัด ผลปรากฏว่า..มาเกิดเป็นหมีถูกขังอยู่ในกรง..อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน”

“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ากรรมมีจริงใช่ป่ะ”

“ผมกำลังคิดว่า ถ้าตอนนั้นเขาเชื่อเรื่องกรรม ตอนนี้เขาคงไม่มาเป็นหมีถูกขังหรอก..แต่ก็เถอะ อย่างว่า เรื่องดีเรื่องชั่ว บางทีมันก็รู้แต่มันก็อดที่จะอยากทำตามอำเภอใจตนเองไม่ได้”

“พี่พูดเหมือนกับพี่ทำไม่ดีทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดีอย่างนั้นแหละ..” แสงทองถามคืน..

คนที่ต้องตอบ สบตากับคนที่ขับรถทางกระจกหลัง อยากบอกให้เขารู้จักว่า สิ่งที่เขาคิดจะทำมันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควร อย่าเลย อย่าสานอีกเลย..

แต่ก็นึกถึงว่า ถ้าขาดเขาไปสักคน ชีวิตที่เหลืออยู่จะเดินไปอย่างไร?..

เปล่าเปลี่ยว..เดียวดาย..ไร้ค่า..

นี่แหละหนาอำนาจกิเลส มรรคผลนิพพานมี แต่ไม่คิดเดินมันจึง สุข ๆ ทุกข์ ๆ อยู่นี่ไง



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2554, 09:56:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2554, 09:56:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1661





<< 17   19 >>
อมลลดาOWOอมรรัตน์ 30 พ.ค. 2554, 14:37:12 น.
อ่านแล้วรู้สึกดี มีธรรมมะสอดแทรก ชอบ ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account