ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
หลังจากคืนที่เจ้าชายเอเดรียนอาสามาส่งจนถึงคฤหาสน์ ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงขนาดเลิกวุ่นวายกับลูกสาวคนเดียวไปพักใหญ่ เลดี้เมลิอานาร์จึงถือเอาช่วงเวลาอันปลอดโปร่งนี้ออกไปฝึกดาบกับบิดาที่โรงฝึกจนเย็นย่ำทุกวัน หากวันไหนบิดาไม่ว่างนางก็จะแวะไปเรียนเวทมนตร์กับท่านปราญช์ที่วิหารหลวง หญิงสาวจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในโรสอคาเซีย หรือถึงจะเห็นก็คงไม่ทันได้คิดสงสัยว่าการทำความสะอาดเครื่องเรือนครั้งใหญ่และการตกแต่งบ้านใหม่นั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของนางที่ตรงไหน จนกระทั่งแม่สาวใช้คนสนิทวิ่งพรวดพราดหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องอาหารแต่เช้านี่แหละ
“มีอะไรหรือเกล”
เมลิอานาร์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบขนมปังจากตะกร้าหวายกลางโต๊ะ เลิกคิ้วมองหน้าผู้มาใหม่ด้วยความประหลาดใจ โชคดีที่เวลานี้ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตยังไม่ลงมาจากห้องนอนชั้นบน โต๊ะอาหารตัวยาวขนาดสิบสองคนจึงมีนางนั่งอยู่เพียงผู้เดียว หาไม่แล้วแม่คนไม่รู้กาละเทศะเป็นต้องถูกดุแน่นอน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เกลละล่ำละลักรายงานแทบจะไม่หายใจหายคอด้วยท่าทางตื่นเต้น
ผู้เป็นนายยังคงรักษาสีหน้าได้สงบ มีเพียงเส้นคิ้วเรียวโค้งเท่านั้นที่เลิกขึ้นสูงอย่างฉงน
“เรื่องใหญ่อะไรของเจ้า”
“คือ...ข้าไปที่ตลาดมาเจ้าค่ะ ได้ยินเค้าลือกันให้แซ่ดว่าเจ้าชายเอเดรียนจะทรงหมั้น”
“อ้าว ถ้างั้นก็ข่าวดีน่ะสิ แล้วพระองค์จะทรงหมั้นกับใครล่ะ เลดี้โจเซฟิน หรือว่าเจ้าหญิงแอนเจล่า แต่เอ...กับเลดี้โรซามุนด์ข้าก็เคยได้ยินข่าวว่าเป็นคู่รักของเจ้าชายเอเดรียนอยู่พักหนึ่งเหมือนกันนะ”
“ไม่ใช่พวกที่ว่ามาทั้งหมดนั่นหรอกเจ้าค่ะ” แม่สาวใช้ตวัดหางตาค้อนนายสาว ตอบโพล่งออกมาทันควัน “เจ้าชายจะทรงหมั้นกับคุณหนูต่างหาก”
เมลิอานาร์แทบจะสำลักซุปที่กำลังตักเข้าปาก
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เกลไม่จำเป็นต้องตอบซ้ำ เพราะรู้ดีว่าคุณหนูของนางได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ก็ดูจากท่าทางตกอกตกใจนั่นปะไร นางเองตอนได้ยินเรื่องนี้ทีแรกก็ตกใจเหมือนกัน แต่เห็นจะด้วยเหตุผลคนละอย่างกับผู้เป็นนาย
แม่สาวใช้กระหยิ่มยิ้มย่องนึกวาดฝันอยู่ในใจ ถ้าหากคุณหนูของนางได้เป็นคู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียนละก็ นางจะเดินยืดอกชูคอตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดเลยทีเดียว ก็เจ้าชายเอเดรียนน่ะทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามเสน่ห์แรงที่สุดในเมืองหลวง บรรดาสาวๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่หม้ายต่างก็พากันหลงใหลใฝ่ฝัน อยากจะเป็นคู่ครองของพระองค์แทบทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าชายทรงเลือกที่จะหมั้นกับเลดี้เมลิอานาร์จริง คุณหนูของนางก็จะกลายเป็นที่อิจฉาของสาวๆ ทั้งเมืองเลยทีเดียว แต่เกลยังอดสงสัยไม่ได้เพราะที่โรสอคาเซียไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคน ที่สำคัญตัว ‘ว่าที่พระคู่หมั้น’ เอง ก็ดูเหมือนจะเพิ่งรู้เรื่องจากปากของนางนี่แหละ
“ตกลงคุณหนูจะหมั้นกับเจ้าชายจริงหรือเปล่าเจ้าคะ” ความอยากรู้ทำให้เกลยั้งปากเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือเกล อยู่ดีๆ ข้าจะไปหมั้นกับพระองค์ได้ยังไง”
“อะไรกันเมลิอานาร์ โวยวายเสียงดังจนได้ยินไปถึงห้องโถงข้างนอกแน่ะ”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตส่งเสียงเข้มงวดนำเข้ามาก่อน จากนั้นร่างสูงสง่าในชุดกระโปรงจีบใต้อกสีฟ้าสดใสก็ก้าวเข้ามานั่งลงที่หัวโต๊ะ พอเหลือบไปเห็นแม่สาวใช้วัยรุ่น คิ้วที่กันเอาไว้จนโค้งคมก็ขมวดย่นเข้าหากันทันที
“อ้าว เกล เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้”
“ปละ..เปล่าเจ้าค่ะ”
เกลหน้าม่อย รีบย่อกายลงทำความเคารพประมุขฝ่ายหญิงของบ้าน แล้วเดินตัวลีบออกจากห้องไปด้วยความยำเกรง
สาวใช้ประจำโต๊ะอาหารนำซุปร้อนๆ ควันกรุ่น พร้อมกับไข่ลวกสองฟองเข้ามาวางไว้ตรงหน้าผู้มาใหม่ ก่อนจะถอยไปยืนคอยรับใช้อยู่ห่างๆ อย่างรู้หน้าที่
“เมื่อกี้ลูกพูดถึงข่าวลืออะไรหรือจ๊ะ แม่ได้ยินไม่ถนัด”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตตอกไข่ใส่ถ้วยเงินใบน้อยขณะเอ่ยถามด้วยท่าทางเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยมากกว่าจะสนใจอยากรู้จริงจัง
“ข่าวลือเรื่องคู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียนน่ะค่ะท่านแม่ ไม่รู้ไปเอาจากไหนมาลือกันเป็นตุเป็นตะ ข่าวโคมลอยแท้ๆ เลย”
“หรือจ๊ะ แล้วเค้าลือกันว่ายังไงล่ะ”
“เค้าลือกันว่าพระองค์จะทรงหมั้นกับ เอ้อ...”
เมลิอานาร์ค้างคำพูดเอาไว้แค่นั้นเพราะเพิ่งฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจ้องมองอากัปกิริยาใจเย็นผิดปกติของมารดาอย่างสงสัย จนกระทั่งท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตต้องเงยหน้าขึ้นมาดุ
“ทำไมลูกไม่พูดต่อไปให้จบล่ะเมลิอานาร์ แม่กำลังฟังอยู่แท้ๆ”
“ท่านแม่คะ ข้าถามจริงๆ เถอะ ท่านแม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตพยายามวางหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้ หากก็ซ่อนพิรุธเอาไว้ไม่มิด เพราะความปลื้มปิติคอยแต่จะทำให้ริมฝีปากขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอยู่ร่ำไป จึงถูกผู้เป็นลูกสาวสังเกตเห็นจนได้
“ตกลงท่านแม่เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะคะ”
“เอ๊ะ เมลิอานาร์พูดจาอย่างนี้กับแม่ได้ยังไง เบื้องหลังอะไรของเจ้า แม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกพูดถึงเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่เจ้าชายเอเดรียนจะทรงหมั้นกับข้าไงคะ ทำไมอยู่ดีๆ คนถึงได้ลือกันไปทั้งตลาดทั้งที่มันไม่มีมูลความจริงสักนิด”
“ใครบอกเจ้าว่ามันไม่มีมูลความจริง”
ประโยคคำถามที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเคลือบสีแดงสดของผู้เป็นมารดาทำเอาเมลิอานาร์ชะงักไปอย่างไม่เชื่อหู ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตจึงถือโอกาสที่ลูกสาวยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น พูดต่อไปทันที
“เรื่องนี้องค์ราชาทรงให้คนมาทาบทามกับแม่ไว้นานแล้ว และแม่ก็ตกลงรับปากพระองค์ไปแล้วด้วย แค่ยังไม่ได้บอกให้ลูกรู้เท่านั้นเอง”
“อะไรนะคะ” คนฟังอ้าปากค้าง
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านแม่ตกลงกับองค์ราชาเอาเองได้ยังไง ทำไมไม่ถามความสมัครใจจากข้าสักคำ”
“ขืนถามเจ้าก็โยกโย้อยู่นั่นน่ะสิ แม่ตัดสินใจแล้ว ท่านพ่อเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร...พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาสู่ขอเจ้าให้เจ้าชายเอเดรียนอย่างเป็นทางการอีกที เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”
พรุ่งนี้!!
ทำไมทุกอย่างช่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก
“นี่ใจคอท่านแม่จะไม่ให้ข้าได้มีเวลาตั้งตัวสักนิดเลยหรือคะ” เมลิอานาร์พยายามหาทางต่อรอง
“จะต้องตั้งตัวอะไรกันจ๊ะ ก็แค่พิธีแลกแหวนแห่งพันธะตามธรรมเนียมเท่านั้นเอง ส่วนงานเลี้ยงประกาศหมั้น องค์ราชาทรงกำหนดจะจัดขึ้นในวังเดือนหน้า พรุ่งนี้เจ้าแค่แต่งตัวสวยๆ รออยู่ที่บ้านก็พอ แม่จะให้ซอรีนขนเสื้อผ้าใหม่ขึ้นไปไว้ให้บนห้อง ต่อไปนี้เจ้าจะต้องแต่งตัวให้เหมาะสม แม่ห้ามเด็ดขาดขาดนะเมลิอานาร์ ไม่ให้เจ้าใส่เสื้อผ้าแบบผู้ชายอีก แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงวันแต่งงานเจ้าจะต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ห้ามตะลอนๆ ออกไปข้างนอกอย่างเคย เข้าใจมั้ย”
“แต่... ท่านแม่คะ ข้าต้องไปฝึกดาบกับท่านพ่อนี่นา”
“เรื่องนั้นก็ขอให้เลิกซะด้วย เจ้าจะเป็นถึงพระชายาในอนาคตดังนั้นต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม เอาเถอะยังพอมีเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวัง แม่จะเป็นคนอบรมวิชาการบ้านการเรือนและการวางตัวของกุลสตรีให้เจ้าเอง”
โอ๊ย...ใครก็ได้ช่วยบอกข้าที นี่มันฝันร้ายใช่มั้ย...
เลดี้เมลิอานาร์ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ อาหารเช้ามื้อนั้นดูเหมือนจะติดอยู่แค่ลำคอจนนางกลืนอะไรไม่ลงอีกต่อไป หญิงสาวรู้สึกมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมถึงต้องเป็นนาง...ที่สำคัญเจ้าชายเอเดรียนทรงทราบเรื่องนี้หรือยัง?
น่าจะยัง..
นางสรุปเอาเอง เพราะถ้าทรงทราบ มีหรือที่เจ้าชายจะทรงยอมรับง่ายๆ ใครๆ ก็รู้ว่าพระองค์ทรงมีคู่รักลับๆ อยู่หลายคนด้วยกัน ทั้งที่ออกหน้าและไม่ออกหน้า แต่ละคนก็ล้วนเป็นสาวงามขึ้นชื่อทั้งนั้น เมลิอานาร์มั่นใจว่า หากเจ้าชายเอเดรียนทรงคิดจะมีคู่ครองขึ้นมาจริงๆ พระองค์คงจะเลือกหนึ่งในบรรดาสาวๆ เหล่านั้นแหละ ไม่ใช่นาง หญิงสาวตัดสินใจได้ในนาทีนั้นว่าจะต้องไปเจรจากับเจ้าชายเอเดรียนให้รู้เรื่องอย่างเร่งด่วน ถ้าหากโชคดีได้รับความร่วมมือจากชายหนุ่มอีกแรง บางทีพรุ่งนี้องค์ราชาอาจไม่ต้องเสียเวลาเสด็จมาที่โรสอคาเซียเลยก็เป็นได้
แสงแดดอุ่นยามสายสาดจับร่างของบรรดาชายฉกรรจ์ที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณลานโล่ง ด้านหน้าอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงขรึมขลัง ซึ่งเป็นทั้งคลังเก็บอาวุธและที่พักของทหารองครักษ์ด้วยในตัว พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาฟาดดาบเข้าใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียงของโลหะที่กระทบกันดังออกไปไกลถึงถนนด้านนอก
สตรีสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกางเกงสีเข้มทะมัดทะแมงเดินลอดซุ้มประตูศิลาที่ขนาบสองข้างด้วยหอคอยสูง เข้ามาหยุดยืนอยู่หลังกำแพงหนาอันเป็นอาณาเขตชั้นนอกของวังหลวง นางกวาดสายตาผ่านบรรดาชายหนุ่มที่กำลังฝึกซ้อมอาวุธไปยังอาคารทรงเหลี่ยมหลังใหญ่เบื้องหน้า แล้วมองเรื่อยไปถึงเพิงพักริมกำแพงซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยเสาไม้เพียงสี่ต้น ดาดด้วยผ้าทอมือเนื้อหยาบหนาแทนหลังคา ใต้ร่มเงาของผ้าผืนใหญ่ที่สะบัดพึ่บพั่บตามแรงลมคือโต๊ะและเก้าอี้ไม้ตัวยาว มีทหารองครักษ์นั่งกันอยู่แล้วหลายคน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของดวงหน้าที่นางคุ้นเคย หญิงสาวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปเสียทางอื่น หากแล้วกลับเปลี่ยนใจ สาวเท้าตรงเข้าไปหาชายผู้นั้น
ชายกลางคนร่างผอมสูงท่วงท่าผึ่งผายสง่างามในเครื่องแบบทหารระดับหัวหน้าองครักษ์ เบือนสายตาจากบรรดาลูกศิษย์ที่กำลังซ้อมฟันดาบอยู่อย่างขะมักเขม้น หันไปมองสตรีผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ขัดคำสั่งท่านแม่อีกแล้วสินะลูกพ่อ”
“ก็อยู่บ้านเฉยๆ มันเบื่อนี่คะ ข้าเลยออกมาเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อย ท่านพ่ออย่าบอกท่านแม่นะคะ” ลูกสาวยิ้มประจบ แล้วรีบตั้งคำถามด้วยเรื่องอื่นที่ไกลตัวเพื่อเบนความสนใจของผู้เป็นบิดา
“คนเยอะจริง พวกนี้เป็นทหารกลุ่มใหม่ที่จะส่งไปกรีนแลนด์หมดเลยหรือคะ”
“ใช่แล้วลูก องค์ราชาของกรีนแลนด์ทรงขอกำลังทหารจากเราเพิ่มขึ้นอีก”
หญิงสาวทำเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างไม่ชอบใจ
“ขอเพิ่มอีกแล้ว...เสียแรงกรีนแลนด์เป็นประเทศใหญ่โตมั่งคั่งซะเปล่า แต่กลับต้องอาศัยกำลังทหารจากประเทศของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าองค์ราชาของประเทศนั้นจะทรงรู้สึกละอายพระทัยบ้างหรือไม่ที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่แบบนี้”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิเมล มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับต่างหาก แลมพ์ตันต้องการเงินและความอุดมสมบูรณ์ของกรีนแลนด์ ในขณะที่กรีนแลนด์เองก็ต้องการกำลังทหารของแลมพ์ตัน ต่างคนต่างก็ให้ในสิ่งที่ตนมีและรับในสิ่งที่ตนขาด ซึ่งพ่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีเสียอีกที่ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กรีนแลนด์มีกำลังทหารอันเข้มแข็งเป็นของตัวเองนั่นแหละ จึงจะถือเป็นความเสียหายร้ายแรงของแลมพ์ตัน”
“แต่กรีนแลนด์ก็ไม่ได้มีกำลังทหารที่เข้มแข็งไม่ใช่หรือคะ ถ้าแลมพ์ตันต้องการเงินต้องการทรัพยากรของกรีนแลนด์ แค่ใช้กำลังบุกเข้ายึดก็ได้แล้ว ง่ายนิดเดียว”
“เมลเอ๊ย...”
ผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ มือใหญ่แข็งแรงโยกศีรษะของลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“แล้วเรามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างนั้นเล่าลูก สงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยนักหรอก ประชาชนชาวแลมพ์ตันจะต้องสู้รบเพื่อสิ่งที่สามารถได้มาง่ายๆ ด้วยการแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมาทำไมกัน ที่องค์ราชาของพวกเรายังทรงปฏิบัติตามพันธสัญญากับกรีนแลนด์อย่างเคร่งครัดไม่ใช่เพราะพระองค์กลัว แต่เป็นเพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดต่างหาก”
เลดี้เมลิอานาร์นิ่งไปไม่เถียงต่อ ผู้เป็นบิดาจึงคิดว่านางยอมจำนนด้วยเหตุผล หากในความเป็นจริงแล้วหญิงสาวแทบจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขากล่าวเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตามองหาใครคนหนึ่งในหมู่ทหารที่กำลังฝึกอาวุธอยู่กลางลาน เมื่อไม่พบ จึงแกล้งถามเปรยๆ ขึ้นเหมือนจงใจเปลี่ยนเรื่องว่า
“ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านพ่อเสด็จไปไหนเสียล่ะคะวันนี้ ไม่เห็นอยู่ที่สนามฝึกอย่างเคย”
“อ๋อ...พระองค์เสด็จกลับตำหนักไปแล้วล่ะลูก เห็นว่าพระชายาประชวร เจ้าชายเอเดรียนก็เลยพลอยขาดคู่ซ้อมไปด้วย”
ท่านหัวหน้าองครักษ์จ้องหน้าลูกสาวอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไป
“ไหนๆ เจ้าก็มาถึงนี่แล้วเมล อยากจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าชายเอเดรียนสักหน่อยมั้ยล่ะ ตอนนี้พระองค์คงจะสนทนากับท่านปราชญ์อยู่ที่วิหารหลวง”
“โอ๊ย ไม่ดีกว่าค่ะ ข้าขี้เกียจถูกท่านแม่ดุอีก”
หญิงสาวปฏิเสธแล้วเถลไถลอยู่คุยกับบิดาต่ออีกครู่หนึ่งก็ขอตัวแยกจากมา นางแสร้งเดินย้อนไปที่ประตูใหญ่ทำทีเหมือนว่าจะกลับบ้าน หากพอลับตาคนก็แอบเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ลอดผ่านซุ้มประตูโค้งที่มีทหารยามยืนตรวจตราอย่างเข้มงวดเข้าสู่เขตวังหลวงชั้นใน มุ่งหน้าตรงไปทางทิศที่ตั้งของอาคารสีขาวอีกฟากของกำแพงอันมีหอคอยสูงตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเด่นชัดอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี
เมลิอานาร์ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการตามหาตัวเจ้าชายเอเดรียนนานนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหากพระองค์เสด็จมาที่วิหารหลวง ถ้าไม่ได้อยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ก็มักจะแอบหลบไปบรรทมอยู่เพียงลำพังในหอสมุด เวลานี้ยังเช้าเกินไปสำหรับการลอบจู๋จี๋กับนางข้าหลวงในสวนดอกไม้ ดังนั้นหญิงสาวจึงมุ่งหน้าตรงไปยังหอคอยสีขาวทรงแปดเหลี่ยมโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
อันที่จริงหอสมุดของวิหารหลวงน่าจะถูกเรียกว่าโกดังเก็บหนังสือมากกว่า เพราะตั้งแต่ผนังส่วนที่อยู่ต่ำสุดเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเพดานสูงประดับโคมทองเหลือง ล้วนแต่อัดแน่นไปด้วยบรรดาตำรับตำราทางวิชาการเต็มพรืดไปหมด เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้เห็น ยกเว้นเพียงทางเดินแคบๆ และบันไดสำหรับไต่ขึ้นไปหยิบหนังสือบนชั้นสูงๆ เท่านั้น แม้พวกนักบวชจะจัดเรียงเอกสารและหนังสือต่างๆ แยกเป็นหมวดหมู่ไว้ในช่องชั้นรอบผนังอย่างดี แต่ภายในหอคอยก็ยังดูมืดทึบชวนให้รู้สึกอึดอัดจนหอสมุดของวิหารหลวงกลายเป็นสถานที่ซึ่ง ‘หากไม่มีความจำเป็นแล้วก็ไม่มีนักบวชคนไหนอยากจะย่างกรายเข้ามา’ โดยปริยาย
ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาวกลางห้องมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขากำลังอ่านตำราเล่มหนาอยู่ด้วยท่าทางสนอกสนใจยิ่ง แสงสีเหลืองทองจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะสาดจับใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มน้อยๆ ก่อให้เกิดเงาลึกบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก แลดูงดงามปนลึกลับราวกับรูปสลักสัมฤทธิ์
พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแถวหน้าประตูห้อง ชายหนุ่มก็ละความสนใจจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมอง แล้วรอยยิ้มพึงใจก็สว่างวาบขึ้นทั้งที่ริมฝีปากและดวงตา
“ว่าไงเมล ลมอะไรพัดเจ้ามาหาข้าจนถึงที่นี่ได้ล่ะวันนี้” เขาเอ่ยทักพลางปิดหนังสือ เอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าเรื่อยเฉื่อยตามสบาย
หญิงสาวผู้มาใหม่ก้าวฉับๆ เข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ตรงข้ามชายหนุ่ม นางไม่แม้แต่จะเสียเวลาลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดมาทิ้งตัวลงนั่ง หากแต่เปิดฉากถามเข้าประเด็นเลยทีเดียว
“ทรงทราบข่าวการหมั้นหรือยังเพคะ”
“ของใครล่ะ”
“ก็ของพระองค์กับหม่อมฉันนี่ไงเพคะ สาวใช้ของหม่อมฉันเล่าว่าได้ยินคนเขาลือกันที่ตลาด แต่หม่อมฉันเพิ่งทราบเรื่องจากปากท่านแม่เมื่อครู่นี้เอง”
เจ้าชายเอเดรียนทอดพระเนตรริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงรวดเร็วจนน่ากลัวลิ้นพันกันของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ จะว่าไปเมลิอานาร์กับพระองค์ก็รู้จักคบหากันมานาน ตั้งแต่ต่างฝ่ายต่างยังเป็นเด็กด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกสนใจในตัวญาติสาวผู้นี้มาก่อนเลย จนกระทั่งคืนนั้น...คืนที่ทรงมีโอกาสได้เห็นนางในชุดราตรีเต็มยศเป็นครั้งแรก
“งั้นก็เรื่องนี้สินะที่ทำให้เจ้าหน้าตาตื่นมาหาข้าจนถึงที่นี่”
“เพคะ”
“ทำไมล่ะเมล เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง”
“มันก็แหงอยู่แล้วละเพคะ ท่านแม่เล่นคิดเองตัดสินใจเองคนเดียวเสร็จสรรพ ไม่ถามหม่อมฉันเลยสักคำ พระองค์เองก็คงจะถูกองค์ราชาบังคับเหมือนกันใช่มั้ยล่ะเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันคิดว่าเราสองคนควรมาร่วมมือกันดีกว่า”
ประโยคแสดงความหงุดหงิดที่เผยออกมาจากปากหญิงสาวผู้เป็นญาติเรียกรอยแย้มสรวลให้ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนได้อีกครั้ง พระองค์เองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะหาทางดิ้นหลุดไปจากเรื่องนี้ได้ด้วยวิธีไหน
“ร่วมมือยังไงล่ะ เจ้ามีแผนดีๆ แล้วหรือ”
เลดี้เมลิอานาร์ชะงักไปอึดใจหนึ่ง จะว่าไปสิ่งที่นางคิดไว้คงเรียกว่าแผนดีๆ ไม่ได้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มีแผนเสียมากกว่า เพราะนางตั้งใจจะชวนเจ้าชายเอเดรียนไปเข้าเฝ้าองค์ราชาเพื่อขอให้ทรงยกเลิกการหมั้นตรงๆ เลยทีเดียว แต่ขืนบอกไปอย่างที่คิด น่ากลัวเจ้าชายเอเดรียนจะไม่ทรงยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่
“อย่าเรียกว่าแผนดีกว่าเพคะ เอาเป็นว่าหม่อมฉันมีวิธีก็แล้วกัน”
หญิงสาวเหลียวไปมองประตูห้องด้วยท่าทางร้อนใจ ก่อนจะหันกลับมาทางชายหนุ่ม ร้องชวนแกมบังคับว่า
“เชิญเสด็จเถอะเพคะ ขืนช้าเดี๋ยวจะไม่ทัน”
“เจ้าจะให้ข้ารีบไปไหนกันล่ะ”
“อ้าว ก็ไปเข้าเฝ้าพระบิดาของพระองค์น่ะสิเพคะ ถ้าเราสองคนช่วยกันกราบทูลให้ทรงทราบว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เต็มใจที่จะหมั้น หม่อมฉันคิดว่าคนมีเหตุผลอย่างราชาซาเรียต้องทรงเข้าพระทัยแน่”
“เจ้าผิดแล้วเมล”
เจ้าชายเอเดรียนทรงพระสรวลหึๆ แล้วขยายความต่อไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
“ข้าเต็มใจหมั้นต่างหาก”
เมลิอานาร์จ้องมองคนพูดตาค้าง เป็นไปไม่ได้ นางต้องหูฝาดแน่นอน คนอย่างเจ้าชายเอเดรียนน่ะหรือจะทรงเห็นด้วยกับการหมั้นแบบคลุมถุงชนเช่นนี้
“แปลกใจอะไรล่ะเมล ข้าเต็มใจแล้วมันผิดตรงไหน”
“ก็ตรงที่พระองค์ทรงมีทั้งเลดี้โจเซฟิน เลดี้โรซามุนนด์ แล้วยังบรรดาเลดี้อะไรต่อมิอะไรอีกตั้งโขยงที่หม่อมฉันจำชื่อไม่ได้เป็นคนรักอยู่แล้วนะสิเพคะ” หญิงสาวทำท่านับนิ้ว กระแทกเสียงตอบอย่างหมั่นไส้
“พระองค์จะเต็มพระทัยหมั้นกับหม่อมฉันได้ยังไง แล้วพวกนางล่ะเพคะทรงเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน อย่าบอกนะว่าทรงลืมพวกนางไปหมดแล้ว”
เจ้าชายเอเดรียนทรงเท้าศอกลงบนโต๊ะ ประสานพระหัตถ์เข้าด้วยกันเป็นรูปสามเหลี่ยมขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินจัดของสาวสวยตรงหน้า ก่อนตรัสด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ไม่ลืมหรอก พวกนางก็ยังอยู่ในใจของข้าทุกคนนั่นละ รวมทั้งเจ้าด้วย เมล”
เลดิ้เมลิอานาร์ทำท่าขนลุกขนพองจนเจ้าชายเอเดรียนต้องกลั้นพระสรวล
“ทำไม่ล่ะ รังเกียจข้ามากหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ แต่หม่อมฉัน...”
“ไม่อยากจะแต่งงานกับข้า” ชายหนุ่มช่วยต่อประโยคให้ แล้วเลยพูดต่อไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ข้าไม่สนหรอกนะเมลว่าเจ้าจะคิดยังไง เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องยอมแต่งงานกับข้าอยู่ดี แต่ถ้าเจ้าเชื่อว่าจะสามารถหาทางเลี่ยงได้ ก็ลองดูสิ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะใช้วิธีแบบไหนทำให้เสด็จพ่อและท่านอายอมรับการตัดสินใจของเจ้า แต่บอกไว้ก่อนนะว่าลูกไม้ตื้นๆ อย่างการถอดหมุดยึดเพลาล้อรถน่ะ ใช้กับเรื่องคราวนี้ไม่ได้ผลหรอก”
เลดี้เมลิอานาร์ฟังคำตอบจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนแล้วก็ได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก ความหวังสุดท้ายของนางดูเหมือนจะหลุดลอยไปแล้ว แถมสถานการณ์ยังทำท่าจะพลิกไปสู่ความเลวร้ายชนิดที่คาดไม่ถึงเสียอีก แล้วนี่นางควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“มีอะไรหรือเกล”
เมลิอานาร์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบขนมปังจากตะกร้าหวายกลางโต๊ะ เลิกคิ้วมองหน้าผู้มาใหม่ด้วยความประหลาดใจ โชคดีที่เวลานี้ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตยังไม่ลงมาจากห้องนอนชั้นบน โต๊ะอาหารตัวยาวขนาดสิบสองคนจึงมีนางนั่งอยู่เพียงผู้เดียว หาไม่แล้วแม่คนไม่รู้กาละเทศะเป็นต้องถูกดุแน่นอน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เกลละล่ำละลักรายงานแทบจะไม่หายใจหายคอด้วยท่าทางตื่นเต้น
ผู้เป็นนายยังคงรักษาสีหน้าได้สงบ มีเพียงเส้นคิ้วเรียวโค้งเท่านั้นที่เลิกขึ้นสูงอย่างฉงน
“เรื่องใหญ่อะไรของเจ้า”
“คือ...ข้าไปที่ตลาดมาเจ้าค่ะ ได้ยินเค้าลือกันให้แซ่ดว่าเจ้าชายเอเดรียนจะทรงหมั้น”
“อ้าว ถ้างั้นก็ข่าวดีน่ะสิ แล้วพระองค์จะทรงหมั้นกับใครล่ะ เลดี้โจเซฟิน หรือว่าเจ้าหญิงแอนเจล่า แต่เอ...กับเลดี้โรซามุนด์ข้าก็เคยได้ยินข่าวว่าเป็นคู่รักของเจ้าชายเอเดรียนอยู่พักหนึ่งเหมือนกันนะ”
“ไม่ใช่พวกที่ว่ามาทั้งหมดนั่นหรอกเจ้าค่ะ” แม่สาวใช้ตวัดหางตาค้อนนายสาว ตอบโพล่งออกมาทันควัน “เจ้าชายจะทรงหมั้นกับคุณหนูต่างหาก”
เมลิอานาร์แทบจะสำลักซุปที่กำลังตักเข้าปาก
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เกลไม่จำเป็นต้องตอบซ้ำ เพราะรู้ดีว่าคุณหนูของนางได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ก็ดูจากท่าทางตกอกตกใจนั่นปะไร นางเองตอนได้ยินเรื่องนี้ทีแรกก็ตกใจเหมือนกัน แต่เห็นจะด้วยเหตุผลคนละอย่างกับผู้เป็นนาย
แม่สาวใช้กระหยิ่มยิ้มย่องนึกวาดฝันอยู่ในใจ ถ้าหากคุณหนูของนางได้เป็นคู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียนละก็ นางจะเดินยืดอกชูคอตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดเลยทีเดียว ก็เจ้าชายเอเดรียนน่ะทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามเสน่ห์แรงที่สุดในเมืองหลวง บรรดาสาวๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่หม้ายต่างก็พากันหลงใหลใฝ่ฝัน อยากจะเป็นคู่ครองของพระองค์แทบทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าชายทรงเลือกที่จะหมั้นกับเลดี้เมลิอานาร์จริง คุณหนูของนางก็จะกลายเป็นที่อิจฉาของสาวๆ ทั้งเมืองเลยทีเดียว แต่เกลยังอดสงสัยไม่ได้เพราะที่โรสอคาเซียไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคน ที่สำคัญตัว ‘ว่าที่พระคู่หมั้น’ เอง ก็ดูเหมือนจะเพิ่งรู้เรื่องจากปากของนางนี่แหละ
“ตกลงคุณหนูจะหมั้นกับเจ้าชายจริงหรือเปล่าเจ้าคะ” ความอยากรู้ทำให้เกลยั้งปากเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือเกล อยู่ดีๆ ข้าจะไปหมั้นกับพระองค์ได้ยังไง”
“อะไรกันเมลิอานาร์ โวยวายเสียงดังจนได้ยินไปถึงห้องโถงข้างนอกแน่ะ”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตส่งเสียงเข้มงวดนำเข้ามาก่อน จากนั้นร่างสูงสง่าในชุดกระโปรงจีบใต้อกสีฟ้าสดใสก็ก้าวเข้ามานั่งลงที่หัวโต๊ะ พอเหลือบไปเห็นแม่สาวใช้วัยรุ่น คิ้วที่กันเอาไว้จนโค้งคมก็ขมวดย่นเข้าหากันทันที
“อ้าว เกล เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้”
“ปละ..เปล่าเจ้าค่ะ”
เกลหน้าม่อย รีบย่อกายลงทำความเคารพประมุขฝ่ายหญิงของบ้าน แล้วเดินตัวลีบออกจากห้องไปด้วยความยำเกรง
สาวใช้ประจำโต๊ะอาหารนำซุปร้อนๆ ควันกรุ่น พร้อมกับไข่ลวกสองฟองเข้ามาวางไว้ตรงหน้าผู้มาใหม่ ก่อนจะถอยไปยืนคอยรับใช้อยู่ห่างๆ อย่างรู้หน้าที่
“เมื่อกี้ลูกพูดถึงข่าวลืออะไรหรือจ๊ะ แม่ได้ยินไม่ถนัด”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตตอกไข่ใส่ถ้วยเงินใบน้อยขณะเอ่ยถามด้วยท่าทางเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยมากกว่าจะสนใจอยากรู้จริงจัง
“ข่าวลือเรื่องคู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียนน่ะค่ะท่านแม่ ไม่รู้ไปเอาจากไหนมาลือกันเป็นตุเป็นตะ ข่าวโคมลอยแท้ๆ เลย”
“หรือจ๊ะ แล้วเค้าลือกันว่ายังไงล่ะ”
“เค้าลือกันว่าพระองค์จะทรงหมั้นกับ เอ้อ...”
เมลิอานาร์ค้างคำพูดเอาไว้แค่นั้นเพราะเพิ่งฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจ้องมองอากัปกิริยาใจเย็นผิดปกติของมารดาอย่างสงสัย จนกระทั่งท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตต้องเงยหน้าขึ้นมาดุ
“ทำไมลูกไม่พูดต่อไปให้จบล่ะเมลิอานาร์ แม่กำลังฟังอยู่แท้ๆ”
“ท่านแม่คะ ข้าถามจริงๆ เถอะ ท่านแม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตพยายามวางหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้ หากก็ซ่อนพิรุธเอาไว้ไม่มิด เพราะความปลื้มปิติคอยแต่จะทำให้ริมฝีปากขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอยู่ร่ำไป จึงถูกผู้เป็นลูกสาวสังเกตเห็นจนได้
“ตกลงท่านแม่เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะคะ”
“เอ๊ะ เมลิอานาร์พูดจาอย่างนี้กับแม่ได้ยังไง เบื้องหลังอะไรของเจ้า แม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกพูดถึงเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่เจ้าชายเอเดรียนจะทรงหมั้นกับข้าไงคะ ทำไมอยู่ดีๆ คนถึงได้ลือกันไปทั้งตลาดทั้งที่มันไม่มีมูลความจริงสักนิด”
“ใครบอกเจ้าว่ามันไม่มีมูลความจริง”
ประโยคคำถามที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเคลือบสีแดงสดของผู้เป็นมารดาทำเอาเมลิอานาร์ชะงักไปอย่างไม่เชื่อหู ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตจึงถือโอกาสที่ลูกสาวยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น พูดต่อไปทันที
“เรื่องนี้องค์ราชาทรงให้คนมาทาบทามกับแม่ไว้นานแล้ว และแม่ก็ตกลงรับปากพระองค์ไปแล้วด้วย แค่ยังไม่ได้บอกให้ลูกรู้เท่านั้นเอง”
“อะไรนะคะ” คนฟังอ้าปากค้าง
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านแม่ตกลงกับองค์ราชาเอาเองได้ยังไง ทำไมไม่ถามความสมัครใจจากข้าสักคำ”
“ขืนถามเจ้าก็โยกโย้อยู่นั่นน่ะสิ แม่ตัดสินใจแล้ว ท่านพ่อเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร...พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาสู่ขอเจ้าให้เจ้าชายเอเดรียนอย่างเป็นทางการอีกที เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”
พรุ่งนี้!!
ทำไมทุกอย่างช่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก
“นี่ใจคอท่านแม่จะไม่ให้ข้าได้มีเวลาตั้งตัวสักนิดเลยหรือคะ” เมลิอานาร์พยายามหาทางต่อรอง
“จะต้องตั้งตัวอะไรกันจ๊ะ ก็แค่พิธีแลกแหวนแห่งพันธะตามธรรมเนียมเท่านั้นเอง ส่วนงานเลี้ยงประกาศหมั้น องค์ราชาทรงกำหนดจะจัดขึ้นในวังเดือนหน้า พรุ่งนี้เจ้าแค่แต่งตัวสวยๆ รออยู่ที่บ้านก็พอ แม่จะให้ซอรีนขนเสื้อผ้าใหม่ขึ้นไปไว้ให้บนห้อง ต่อไปนี้เจ้าจะต้องแต่งตัวให้เหมาะสม แม่ห้ามเด็ดขาดขาดนะเมลิอานาร์ ไม่ให้เจ้าใส่เสื้อผ้าแบบผู้ชายอีก แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงวันแต่งงานเจ้าจะต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ห้ามตะลอนๆ ออกไปข้างนอกอย่างเคย เข้าใจมั้ย”
“แต่... ท่านแม่คะ ข้าต้องไปฝึกดาบกับท่านพ่อนี่นา”
“เรื่องนั้นก็ขอให้เลิกซะด้วย เจ้าจะเป็นถึงพระชายาในอนาคตดังนั้นต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม เอาเถอะยังพอมีเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวัง แม่จะเป็นคนอบรมวิชาการบ้านการเรือนและการวางตัวของกุลสตรีให้เจ้าเอง”
โอ๊ย...ใครก็ได้ช่วยบอกข้าที นี่มันฝันร้ายใช่มั้ย...
เลดี้เมลิอานาร์ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ อาหารเช้ามื้อนั้นดูเหมือนจะติดอยู่แค่ลำคอจนนางกลืนอะไรไม่ลงอีกต่อไป หญิงสาวรู้สึกมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมถึงต้องเป็นนาง...ที่สำคัญเจ้าชายเอเดรียนทรงทราบเรื่องนี้หรือยัง?
น่าจะยัง..
นางสรุปเอาเอง เพราะถ้าทรงทราบ มีหรือที่เจ้าชายจะทรงยอมรับง่ายๆ ใครๆ ก็รู้ว่าพระองค์ทรงมีคู่รักลับๆ อยู่หลายคนด้วยกัน ทั้งที่ออกหน้าและไม่ออกหน้า แต่ละคนก็ล้วนเป็นสาวงามขึ้นชื่อทั้งนั้น เมลิอานาร์มั่นใจว่า หากเจ้าชายเอเดรียนทรงคิดจะมีคู่ครองขึ้นมาจริงๆ พระองค์คงจะเลือกหนึ่งในบรรดาสาวๆ เหล่านั้นแหละ ไม่ใช่นาง หญิงสาวตัดสินใจได้ในนาทีนั้นว่าจะต้องไปเจรจากับเจ้าชายเอเดรียนให้รู้เรื่องอย่างเร่งด่วน ถ้าหากโชคดีได้รับความร่วมมือจากชายหนุ่มอีกแรง บางทีพรุ่งนี้องค์ราชาอาจไม่ต้องเสียเวลาเสด็จมาที่โรสอคาเซียเลยก็เป็นได้
แสงแดดอุ่นยามสายสาดจับร่างของบรรดาชายฉกรรจ์ที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณลานโล่ง ด้านหน้าอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงขรึมขลัง ซึ่งเป็นทั้งคลังเก็บอาวุธและที่พักของทหารองครักษ์ด้วยในตัว พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาฟาดดาบเข้าใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียงของโลหะที่กระทบกันดังออกไปไกลถึงถนนด้านนอก
สตรีสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกางเกงสีเข้มทะมัดทะแมงเดินลอดซุ้มประตูศิลาที่ขนาบสองข้างด้วยหอคอยสูง เข้ามาหยุดยืนอยู่หลังกำแพงหนาอันเป็นอาณาเขตชั้นนอกของวังหลวง นางกวาดสายตาผ่านบรรดาชายหนุ่มที่กำลังฝึกซ้อมอาวุธไปยังอาคารทรงเหลี่ยมหลังใหญ่เบื้องหน้า แล้วมองเรื่อยไปถึงเพิงพักริมกำแพงซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยเสาไม้เพียงสี่ต้น ดาดด้วยผ้าทอมือเนื้อหยาบหนาแทนหลังคา ใต้ร่มเงาของผ้าผืนใหญ่ที่สะบัดพึ่บพั่บตามแรงลมคือโต๊ะและเก้าอี้ไม้ตัวยาว มีทหารองครักษ์นั่งกันอยู่แล้วหลายคน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของดวงหน้าที่นางคุ้นเคย หญิงสาวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปเสียทางอื่น หากแล้วกลับเปลี่ยนใจ สาวเท้าตรงเข้าไปหาชายผู้นั้น
ชายกลางคนร่างผอมสูงท่วงท่าผึ่งผายสง่างามในเครื่องแบบทหารระดับหัวหน้าองครักษ์ เบือนสายตาจากบรรดาลูกศิษย์ที่กำลังซ้อมฟันดาบอยู่อย่างขะมักเขม้น หันไปมองสตรีผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ขัดคำสั่งท่านแม่อีกแล้วสินะลูกพ่อ”
“ก็อยู่บ้านเฉยๆ มันเบื่อนี่คะ ข้าเลยออกมาเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อย ท่านพ่ออย่าบอกท่านแม่นะคะ” ลูกสาวยิ้มประจบ แล้วรีบตั้งคำถามด้วยเรื่องอื่นที่ไกลตัวเพื่อเบนความสนใจของผู้เป็นบิดา
“คนเยอะจริง พวกนี้เป็นทหารกลุ่มใหม่ที่จะส่งไปกรีนแลนด์หมดเลยหรือคะ”
“ใช่แล้วลูก องค์ราชาของกรีนแลนด์ทรงขอกำลังทหารจากเราเพิ่มขึ้นอีก”
หญิงสาวทำเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างไม่ชอบใจ
“ขอเพิ่มอีกแล้ว...เสียแรงกรีนแลนด์เป็นประเทศใหญ่โตมั่งคั่งซะเปล่า แต่กลับต้องอาศัยกำลังทหารจากประเทศของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าองค์ราชาของประเทศนั้นจะทรงรู้สึกละอายพระทัยบ้างหรือไม่ที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่แบบนี้”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิเมล มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับต่างหาก แลมพ์ตันต้องการเงินและความอุดมสมบูรณ์ของกรีนแลนด์ ในขณะที่กรีนแลนด์เองก็ต้องการกำลังทหารของแลมพ์ตัน ต่างคนต่างก็ให้ในสิ่งที่ตนมีและรับในสิ่งที่ตนขาด ซึ่งพ่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีเสียอีกที่ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กรีนแลนด์มีกำลังทหารอันเข้มแข็งเป็นของตัวเองนั่นแหละ จึงจะถือเป็นความเสียหายร้ายแรงของแลมพ์ตัน”
“แต่กรีนแลนด์ก็ไม่ได้มีกำลังทหารที่เข้มแข็งไม่ใช่หรือคะ ถ้าแลมพ์ตันต้องการเงินต้องการทรัพยากรของกรีนแลนด์ แค่ใช้กำลังบุกเข้ายึดก็ได้แล้ว ง่ายนิดเดียว”
“เมลเอ๊ย...”
ผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ มือใหญ่แข็งแรงโยกศีรษะของลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“แล้วเรามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างนั้นเล่าลูก สงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยนักหรอก ประชาชนชาวแลมพ์ตันจะต้องสู้รบเพื่อสิ่งที่สามารถได้มาง่ายๆ ด้วยการแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมาทำไมกัน ที่องค์ราชาของพวกเรายังทรงปฏิบัติตามพันธสัญญากับกรีนแลนด์อย่างเคร่งครัดไม่ใช่เพราะพระองค์กลัว แต่เป็นเพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดต่างหาก”
เลดี้เมลิอานาร์นิ่งไปไม่เถียงต่อ ผู้เป็นบิดาจึงคิดว่านางยอมจำนนด้วยเหตุผล หากในความเป็นจริงแล้วหญิงสาวแทบจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขากล่าวเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตามองหาใครคนหนึ่งในหมู่ทหารที่กำลังฝึกอาวุธอยู่กลางลาน เมื่อไม่พบ จึงแกล้งถามเปรยๆ ขึ้นเหมือนจงใจเปลี่ยนเรื่องว่า
“ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านพ่อเสด็จไปไหนเสียล่ะคะวันนี้ ไม่เห็นอยู่ที่สนามฝึกอย่างเคย”
“อ๋อ...พระองค์เสด็จกลับตำหนักไปแล้วล่ะลูก เห็นว่าพระชายาประชวร เจ้าชายเอเดรียนก็เลยพลอยขาดคู่ซ้อมไปด้วย”
ท่านหัวหน้าองครักษ์จ้องหน้าลูกสาวอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไป
“ไหนๆ เจ้าก็มาถึงนี่แล้วเมล อยากจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าชายเอเดรียนสักหน่อยมั้ยล่ะ ตอนนี้พระองค์คงจะสนทนากับท่านปราชญ์อยู่ที่วิหารหลวง”
“โอ๊ย ไม่ดีกว่าค่ะ ข้าขี้เกียจถูกท่านแม่ดุอีก”
หญิงสาวปฏิเสธแล้วเถลไถลอยู่คุยกับบิดาต่ออีกครู่หนึ่งก็ขอตัวแยกจากมา นางแสร้งเดินย้อนไปที่ประตูใหญ่ทำทีเหมือนว่าจะกลับบ้าน หากพอลับตาคนก็แอบเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ลอดผ่านซุ้มประตูโค้งที่มีทหารยามยืนตรวจตราอย่างเข้มงวดเข้าสู่เขตวังหลวงชั้นใน มุ่งหน้าตรงไปทางทิศที่ตั้งของอาคารสีขาวอีกฟากของกำแพงอันมีหอคอยสูงตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเด่นชัดอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี
เมลิอานาร์ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการตามหาตัวเจ้าชายเอเดรียนนานนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหากพระองค์เสด็จมาที่วิหารหลวง ถ้าไม่ได้อยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ก็มักจะแอบหลบไปบรรทมอยู่เพียงลำพังในหอสมุด เวลานี้ยังเช้าเกินไปสำหรับการลอบจู๋จี๋กับนางข้าหลวงในสวนดอกไม้ ดังนั้นหญิงสาวจึงมุ่งหน้าตรงไปยังหอคอยสีขาวทรงแปดเหลี่ยมโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
อันที่จริงหอสมุดของวิหารหลวงน่าจะถูกเรียกว่าโกดังเก็บหนังสือมากกว่า เพราะตั้งแต่ผนังส่วนที่อยู่ต่ำสุดเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเพดานสูงประดับโคมทองเหลือง ล้วนแต่อัดแน่นไปด้วยบรรดาตำรับตำราทางวิชาการเต็มพรืดไปหมด เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้เห็น ยกเว้นเพียงทางเดินแคบๆ และบันไดสำหรับไต่ขึ้นไปหยิบหนังสือบนชั้นสูงๆ เท่านั้น แม้พวกนักบวชจะจัดเรียงเอกสารและหนังสือต่างๆ แยกเป็นหมวดหมู่ไว้ในช่องชั้นรอบผนังอย่างดี แต่ภายในหอคอยก็ยังดูมืดทึบชวนให้รู้สึกอึดอัดจนหอสมุดของวิหารหลวงกลายเป็นสถานที่ซึ่ง ‘หากไม่มีความจำเป็นแล้วก็ไม่มีนักบวชคนไหนอยากจะย่างกรายเข้ามา’ โดยปริยาย
ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาวกลางห้องมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขากำลังอ่านตำราเล่มหนาอยู่ด้วยท่าทางสนอกสนใจยิ่ง แสงสีเหลืองทองจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะสาดจับใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มน้อยๆ ก่อให้เกิดเงาลึกบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก แลดูงดงามปนลึกลับราวกับรูปสลักสัมฤทธิ์
พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแถวหน้าประตูห้อง ชายหนุ่มก็ละความสนใจจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมอง แล้วรอยยิ้มพึงใจก็สว่างวาบขึ้นทั้งที่ริมฝีปากและดวงตา
“ว่าไงเมล ลมอะไรพัดเจ้ามาหาข้าจนถึงที่นี่ได้ล่ะวันนี้” เขาเอ่ยทักพลางปิดหนังสือ เอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าเรื่อยเฉื่อยตามสบาย
หญิงสาวผู้มาใหม่ก้าวฉับๆ เข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ตรงข้ามชายหนุ่ม นางไม่แม้แต่จะเสียเวลาลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดมาทิ้งตัวลงนั่ง หากแต่เปิดฉากถามเข้าประเด็นเลยทีเดียว
“ทรงทราบข่าวการหมั้นหรือยังเพคะ”
“ของใครล่ะ”
“ก็ของพระองค์กับหม่อมฉันนี่ไงเพคะ สาวใช้ของหม่อมฉันเล่าว่าได้ยินคนเขาลือกันที่ตลาด แต่หม่อมฉันเพิ่งทราบเรื่องจากปากท่านแม่เมื่อครู่นี้เอง”
เจ้าชายเอเดรียนทอดพระเนตรริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงรวดเร็วจนน่ากลัวลิ้นพันกันของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ จะว่าไปเมลิอานาร์กับพระองค์ก็รู้จักคบหากันมานาน ตั้งแต่ต่างฝ่ายต่างยังเป็นเด็กด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกสนใจในตัวญาติสาวผู้นี้มาก่อนเลย จนกระทั่งคืนนั้น...คืนที่ทรงมีโอกาสได้เห็นนางในชุดราตรีเต็มยศเป็นครั้งแรก
“งั้นก็เรื่องนี้สินะที่ทำให้เจ้าหน้าตาตื่นมาหาข้าจนถึงที่นี่”
“เพคะ”
“ทำไมล่ะเมล เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง”
“มันก็แหงอยู่แล้วละเพคะ ท่านแม่เล่นคิดเองตัดสินใจเองคนเดียวเสร็จสรรพ ไม่ถามหม่อมฉันเลยสักคำ พระองค์เองก็คงจะถูกองค์ราชาบังคับเหมือนกันใช่มั้ยล่ะเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันคิดว่าเราสองคนควรมาร่วมมือกันดีกว่า”
ประโยคแสดงความหงุดหงิดที่เผยออกมาจากปากหญิงสาวผู้เป็นญาติเรียกรอยแย้มสรวลให้ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนได้อีกครั้ง พระองค์เองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะหาทางดิ้นหลุดไปจากเรื่องนี้ได้ด้วยวิธีไหน
“ร่วมมือยังไงล่ะ เจ้ามีแผนดีๆ แล้วหรือ”
เลดี้เมลิอานาร์ชะงักไปอึดใจหนึ่ง จะว่าไปสิ่งที่นางคิดไว้คงเรียกว่าแผนดีๆ ไม่ได้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มีแผนเสียมากกว่า เพราะนางตั้งใจจะชวนเจ้าชายเอเดรียนไปเข้าเฝ้าองค์ราชาเพื่อขอให้ทรงยกเลิกการหมั้นตรงๆ เลยทีเดียว แต่ขืนบอกไปอย่างที่คิด น่ากลัวเจ้าชายเอเดรียนจะไม่ทรงยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่
“อย่าเรียกว่าแผนดีกว่าเพคะ เอาเป็นว่าหม่อมฉันมีวิธีก็แล้วกัน”
หญิงสาวเหลียวไปมองประตูห้องด้วยท่าทางร้อนใจ ก่อนจะหันกลับมาทางชายหนุ่ม ร้องชวนแกมบังคับว่า
“เชิญเสด็จเถอะเพคะ ขืนช้าเดี๋ยวจะไม่ทัน”
“เจ้าจะให้ข้ารีบไปไหนกันล่ะ”
“อ้าว ก็ไปเข้าเฝ้าพระบิดาของพระองค์น่ะสิเพคะ ถ้าเราสองคนช่วยกันกราบทูลให้ทรงทราบว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เต็มใจที่จะหมั้น หม่อมฉันคิดว่าคนมีเหตุผลอย่างราชาซาเรียต้องทรงเข้าพระทัยแน่”
“เจ้าผิดแล้วเมล”
เจ้าชายเอเดรียนทรงพระสรวลหึๆ แล้วขยายความต่อไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
“ข้าเต็มใจหมั้นต่างหาก”
เมลิอานาร์จ้องมองคนพูดตาค้าง เป็นไปไม่ได้ นางต้องหูฝาดแน่นอน คนอย่างเจ้าชายเอเดรียนน่ะหรือจะทรงเห็นด้วยกับการหมั้นแบบคลุมถุงชนเช่นนี้
“แปลกใจอะไรล่ะเมล ข้าเต็มใจแล้วมันผิดตรงไหน”
“ก็ตรงที่พระองค์ทรงมีทั้งเลดี้โจเซฟิน เลดี้โรซามุนนด์ แล้วยังบรรดาเลดี้อะไรต่อมิอะไรอีกตั้งโขยงที่หม่อมฉันจำชื่อไม่ได้เป็นคนรักอยู่แล้วนะสิเพคะ” หญิงสาวทำท่านับนิ้ว กระแทกเสียงตอบอย่างหมั่นไส้
“พระองค์จะเต็มพระทัยหมั้นกับหม่อมฉันได้ยังไง แล้วพวกนางล่ะเพคะทรงเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน อย่าบอกนะว่าทรงลืมพวกนางไปหมดแล้ว”
เจ้าชายเอเดรียนทรงเท้าศอกลงบนโต๊ะ ประสานพระหัตถ์เข้าด้วยกันเป็นรูปสามเหลี่ยมขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินจัดของสาวสวยตรงหน้า ก่อนตรัสด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ไม่ลืมหรอก พวกนางก็ยังอยู่ในใจของข้าทุกคนนั่นละ รวมทั้งเจ้าด้วย เมล”
เลดิ้เมลิอานาร์ทำท่าขนลุกขนพองจนเจ้าชายเอเดรียนต้องกลั้นพระสรวล
“ทำไม่ล่ะ รังเกียจข้ามากหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ แต่หม่อมฉัน...”
“ไม่อยากจะแต่งงานกับข้า” ชายหนุ่มช่วยต่อประโยคให้ แล้วเลยพูดต่อไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ข้าไม่สนหรอกนะเมลว่าเจ้าจะคิดยังไง เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องยอมแต่งงานกับข้าอยู่ดี แต่ถ้าเจ้าเชื่อว่าจะสามารถหาทางเลี่ยงได้ ก็ลองดูสิ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะใช้วิธีแบบไหนทำให้เสด็จพ่อและท่านอายอมรับการตัดสินใจของเจ้า แต่บอกไว้ก่อนนะว่าลูกไม้ตื้นๆ อย่างการถอดหมุดยึดเพลาล้อรถน่ะ ใช้กับเรื่องคราวนี้ไม่ได้ผลหรอก”
เลดี้เมลิอานาร์ฟังคำตอบจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนแล้วก็ได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก ความหวังสุดท้ายของนางดูเหมือนจะหลุดลอยไปแล้ว แถมสถานการณ์ยังทำท่าจะพลิกไปสู่ความเลวร้ายชนิดที่คาดไม่ถึงเสียอีก แล้วนี่นางควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ม.ค. 2556, 21:56:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ม.ค. 2556, 21:56:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1717
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |
เกร็ดหิมะ 29 ม.ค. 2556, 22:15:53 น.
สนุกค่ะ
สนุกค่ะ
angelK 31 ม.ค. 2556, 08:39:00 น.
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ