ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3


หญิงสาวเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนอนของตนหลายตลบ หลังจากที่ได้คุยกับเจ้าชายเอเดรียนเมื่อตอนสาย นางก็พยายามคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องเข้าพิธีหมั้นในวันรุ่งขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่วิธีเดียวที่นางพอจะคิดออกคือ

หนี!

ไม่ว่านางจะคิดทบทวนกี่ครั้งกี่หนคำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

เมลิอานาร์ไม่อยากหนี เพราะถ้านางหนีหายไปก่อนวันหมั้น ผู้ที่จะต้องเดือดร้อนอย่างหนักก็คือบิดาและมารดาของนางเอง ดีไม่ดีท่านทั้งสองอาจจะต้องผิดใจกับองค์ราชาไปเลย หรือถ้าโชคร้ายหนักกว่านั้นก็อาจจะถูกลงโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ...แต่ถ้าไม่หนี นางก็ต้องเข้าพิธีหมั้นและแต่งงานกับเจ้าชายเอเดรียน ซึ่งเรื่องนี้นางเองก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน

“โอ๊ย ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม”

เมลิอานาร์เดินไปเปิดประตูไม้กรุกระจกใสด้านหลัง แล้วเลยออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียง ด้วยหวังว่าสายลมเย็นและอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง

บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดเพราะเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว ดวงจันทร์รูปเคียวทอแสงสีเงินซีดจาง มัวหม่น ดาวดวงน้อยๆ ที่เคยกระจายเกลื่อนเต็มท้องฟ้า ก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มเมฆหนาทึบ ทำให้คืนข้างแรมที่มืดมิดอยู่แล้วยิ่งมืดหนักขึ้นไปอีก แม้แต่สายลมเย็นที่เคยพัดต้องยอดไม้เสียงดังซู่ซ่าก็ยังนิ่งสนิทเสียจนใบไม้ไม่กระดิกสักใบ

ช่างเป็นคืนที่เหมาะกับการหนีออกจากบ้านดีแท้!

หญิงสาวคิดอย่างประชดประชันพลางทอดตามองไปยังถนนด้านหลังคฤหาสน์ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะหนีหรือไม่หนีอยู่นั้น จู่ๆ แสงสีแดงสุกใสก็สว่างวาบขึ้นตรงหน้า เมื่อแสงจางลงจึงปรากฎร่างของสัตว์ประหลาดขนาดเท่าลูกสุนัข หน้าตาคล้ายมังกร ลอยอยู่กลางอากาศในระดับสายตา ลำตัวกลมป้อมสีแดงของมันเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่างปีกคู่เล็กที่กระพือไม่หยุด

เมลิอานาร์จำเจ้าภูติรับใช้ตัวน้อยได้ในทันที นางเป็นคนมอบมันให้กับเจ้าหญิงกาอิยาห์ในวันที่พระองค์ต้องเสด็จกลับกรีนแลนด์ เพื่อไว้ใช้ติดต่อกันในยามฉุกเฉินหรือเวลาที่เจ้าหญิงทรงต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจากนาง

“มีอะไรหรือวาย เจ้าหญิงทรงเป็นอะไร” หญิงสาวเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง
เจ้าสัตว์ตัวน้อยขยับปากคล้ายกำลังพูดตอบ ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับกลายเป็นเสียงแหลมใสของเด็กสาววัยแรกรุ่น

“ข้าต้องการความช่วยเหลือด่วน ให้มาที่ลินเด็นทันที”

เมลิอานาร์ขมวดคิ้ว ข้อความที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่งมากับภูติรับใช้สั้นเสียจนเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าหญิงทรงต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร หรือว่า...พระองค์จะตกอยู่ในอันตราย

เจ้ามังกรจิ๋วไม่ได้ให้คำตอบที่เมลิอานาร์สงสัย มันเพียงแต่บินวนไปวนมาอยู่รอบร่างนาง พูดซ้ำประโยคเดิมอีกหลายเที่ยวด้วยน้ำเสียงของเจ้าหญิงกาอิยาห์จนหญิงสาวชักรำคาญ

“เอาล่ะวาย กลับไปทูลเจ้าหญิงว่าข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ เจ้ามังกรน้อยก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วบินจากไปด้วยปีกคู่เล็กๆ ของมันจนหายวับไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า
เมลิอานาร์ยังคงยืนมองถนนด้านล่างอย่างใช้ความคิดโดยมิได้ขยับเขยื้อนจากตำแหน่งเดิม หากนางเดินทางไปกรีนแลนด์เสียคืนนี้ย่อมจะสามารถหลบเลี่ยงการหมั้นไปได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และกว่านางจะจัดการกับปัญหาของเจ้าหญิงกาอิยาห์เสร็จเรียบร้อย บางทีเจ้าชายเอเดรียนอาจจะทรงเปลี่ยนพระทัยเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงอื่นไปแล้วก็ได้

หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองในความมืด...นับว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงขอความช่วยเหลือมาได้ถูกเวลาจริงๆ

เมลิอานาร์เดินย้อนกลับเข้าไปภายในห้องนอน ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือมุมห้อง หยิบปากกาขนนกกับกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายถึงบิดา-มารดา โดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ เมื่อเขียนเสร็จนางก็พับจดหมายนำไปวางไว้บนหมอน จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการจัดเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทาง หยิบดาบพร้อมเข็มขัดมาคาดเข้าที่เอว เหน็บมีดสั้นอันเล็กพร้อมปลอกหนังไว้ด้านในรองเท้า คว้าเสื้อคลุมตัวหนาแบบมีฮู้ดมาสวม เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว หญิงสาวก็ก้าวตรงไปยังระเบียงด้านหลัง โหนตัวข้ามขอบระเบียง ปีนลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่างอย่างเงียบกริบ


เสียงฟ้าร้องครืนครางดังมาแต่ไกล สลับกับแสงฟ้าแลบแปลบปลาบที่มองเห็นอยู่ลิบๆ บนท้องฟ้าทางทิศตะวันออก คงจะมีฝนตกที่ไหนสักแห่งในหุบเขา อากาศร้อนอบอ้าวเมื่อกลางดึกจึงค่อยคลายลง สายลมที่สงบมาเกือบทั้งคืนเริ่มพัดเข้ามาทางประตูระเบียงที่ถูกเปิดทิ้งไว้ หอบเอากระไอฝนและกลิ่นหอมของดินชื้นเย็นมาด้วย ม่านลูกไม้สีขาวบางเบารอบเตียงนอนว่างเปล่าปลิวสะบัดตามแรงลม จดหมายฉบับน้อยบนหมอนถูกกระแสลมพัดปลิวไปตกอยู่บนพื้นใต้ชายผ้าม่าน แล้วทอดตัวนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้นต่อมาอีกเป็นเวลานาน...



ตลาดนัดบริเวณชายแดนที่เคยคึกคักวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คน บัดนี้กลับดูเงียบเหงาไปถนัดใจ ชาวบ้านที่เดินอยู่ตามถนนหรือคนขายของที่นั่งประจำอยู่หน้าแผงร้านค้า ล้วนแต่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นกังวลด้วยกันทุกคน มองไปทางไหนก็มีแต่คนทอดถอนใจใหญ่เหมือนมีปัญหาหนักอกที่ยังหาทางออกไม่พบ เมลิอานาร์มองดูอาการของชาวเมืองแล้วก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ มุ่งหน้าต่อไปไปยังอาคารสองชั้นสร้างด้วยปีกไม้ มีป้ายแขวนบอกไว้ชัดเจนว่าเป็นที่พักสำหรับคนเดินทาง

รูปแบบของที่พักพวกนี้มักเหมือนกันทุกแห่งคือชั้นล่างขายอาหาร ชั้นบนแบ่งซอยเป็นห้องนอนย่อยๆ หลายสิบห้อง บางแห่งก็มีที่อาบน้ำเป็นสัดส่วนอยู่ภายในห้องด้วย แต่บางแห่งผู้เข้าพักก็ต้องไปใช้บริการสถานที่อาบน้ำรวมของหมู่บ้านซึ่งตั้งแยกออกไปต่างหาก บริเวณด้านหลังของที่พักส่วนใหญ่มักจัดทำเป็นคอกขนาดเล็กสำหรับรับฝากม้า โดยมีเด็กรับใช้คอยดูแลให้น้ำและอาหารแทนผู้เป็นเจ้าของ

“ท่านลุง ข้าขอเช่าห้องพักหนึ่งคืน”

“ห้าร้อยเกรน” ชายกลางคนศีรษะล้านส่งเสียงตอบออกมาจากหลังแผงกั้นโดยไม่เงยหน้า ท่าทางของเขาคล้ายไม่เต็มใจต้อนรับลูกค้าเอาเสียเลย แม้ปากจะยังคงพูดแนะนำต่อไปราวกับท่อง

“ถ้าต้องการแบบมีที่อาบน้ำและอาหารเช้าด้วยก็เจ็ดร้อยเกรน”
เมลิอานาร์เบ้ปาก ค่าเช่าห้องพักที่กรีนแลนด์แพงไม่ใช่เล่น ขนาดหมู่บ้านที่อยู่ติดกับชายแดนค่าเช่ายังแพงขนาดนี้ ถ้าเป็นที่พักในตัวเมืองจะแพงสักแค่ไหน นางไม่อยากจะคิด

“เอาแบบมีที่อาบน้ำและอาหารเช้าด้วยแล้วกันค่ะ ข้าไม่อยากไปใช้ที่อาบน้ำรวม”

“โชคดีจริงๆ มีว่างอยู่ห้องหนึ่งพอดี ช่วงนี้ผู้คนเดินทางมากรีนแลนด์กันมากเหลือเกิน ห้องพักของข้าเต็มเกือบหมดแล้ว”

ชายเจ้าของที่พักหันไปหยิบกุญแจดอกสุดท้ายที่แขวนอยู่กับแผงไม้ด้านหลังมายื่นส่งให้ หญิงสาวชำระเงินค่าที่พัก รับกุญแจแล้วเดินตามหลังสาวใช้ขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสอง ระหว่างทางก็อดตั้งคำถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“นี่น้องสาว เจ้าบอกข้าหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนทั้งเมืองถึงได้พากันดูหดหู่ไปหมดเช่นนี้”

สาวน้อยหันมาจ้องหน้าคนถามก่อนจะหลบสายตาลงต่ำ ตอบเสียงแผ่วเบา

“มีข่าวลือมาจากเมืองหลวงว่าองค์ราชาทรงพระประชวรค่ะ”

“เอ๊ะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อน”

“ก็นายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงนี่คะ จะทราบได้อย่างไร”

ท่าทางของคนตอบดูขัดๆ เขินๆ ชอบกล หากเมลิอานาร์ไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่สนใจกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน ถ้าเรื่องที่แม่สาวใช้เล่าเป็นความจริงก็นับว่าประเทศกรีนแลนด์ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกที่ข่าวใหญ่ขนาดนี้ทางแลมพ์ตันไม่ยักมีใครพูดถึงสักคน

“เจ้ารู้มั้ยว่าพระองค์ประชวรพระโรคอะไร พระอาการหนักแค่ไหน”
แม่สาวใช้ส่ายหน้า

“ข้าไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ได้ยินมาว่าพระอาการหนักพอดู ถ้านายท่านอยากทราบรายละเอียด คงต้องไปถามเอาจากพวกทหาร แต่พวกเขาจะยอมบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ข้าได้ยินมาว่าทางเมืองหลวงพยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดทีเดียว”

เลดี้เมลิอานาร์ย่นหัวคิ้ว...ขนาดความลับสุดยอดนะนี่ ยังลือกันมาได้จนถึงหมู่บ้านชายแดน

เมื่อเดินขึ้นบันไดมาจนถึงระเบียงยาวบนชั้นสอง หญิงรับใช้ก็พาผู้เป็นแขกเลี้ยวไปทางปีกซ้ายของอาคารจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง

“นี่ห้องพักของท่านค่ะ ข้าชื่อแมรี่ มีอะไรขาดเหลือก็เรียกข้าได้นะคะ”

เมลิอานาร์ส่งยิ้มให้แม่สาวใช้อีกครั้งแทนคำขอบคุณ หากฝ่ายนั้นกลับก้มหน้างุดแล้วรีบเดินจากไปทันที หญิงสาวได้มองตามอย่างไม่เข้าใจ นางยักไหล่ก่อนจะไขกุญแจเข้าสู่ห้องพัก เดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่ติดกับเตียงนอนเป็นอันดับแรก หยิบกระดาษเขียนจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ลงมือเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปบนแผ่นกระดาษแล้วกลับด้านเขียนสัญลักษณ์แปลกๆ ลงไปที่มุมทั้งสี่ จากนั้นจึงพับกระดาษเป็นรูปนก ท่องคาถาด้วยสำเนียงแปลกหูแล้วเป่าพรวดลงไป เมื่อสายลมอุ่นจากริมฝีปากปะทะกับนกกระดาษ ประกายแสงสีทองก็พวยพุ่งออกมาจากตัวนกไล่จากส่วนหัวไปจนสุดปลายหาง เปลี่ยนสภาพของนกกระดาษตัวนั้นให้กลายเป็นนกสีขาวตัวเล็กที่มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ พอหญิงสาวสะบัดมือโยนนกน้อยขึ้นสู่อากาศ มันก็โผบินผ่านบานหน้าต่างที่นางผลักให้เปิดออกไปสู่ท้องฟ้าสีครามภายนอก มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของปราสาทลินเด็นทันที

หลังจากส่งข่าวถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์เสร็จเรียบร้อย เมลิอานาร์ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มริมผนังอย่างเหนื่อยล้า นางควบม้ามาค่อนคืนกับอีกเกือบหนึ่งวันเต็มๆ รู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งตัว อยากจะแช่น้ำอุ่นให้สบายแล้วนอนหลับเอาแรงสักงีบ สัมผัสของที่นอนนุ่มๆ สะอาดเอี่ยมบวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางทำเอาหญิงสาวเกือบจะเคลิ้มหลับไปจริงๆ ถ้าเสียงเคาะประตูจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน

เมลิอานาร์สะดุ้ง ผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องถามออกไปทันที

“ใครน่ะ”

“ข้าเองค่ะ แมรี่...ข้านำน้ำขึ้นมาให้นายท่านอาบ กรุณาเปิดประตูด้วยค่ะ” เสียงใสๆ ของหญิงรับใช้คนเดิมตอบกลับมา

เมลิอานาร์เหลือบมองไปยังฉากไม้แกะสลักมุมห้อง เห็นอ่างไม้ทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังฉากที่กั้นแยกบริเวณสำหรับอาบน้ำเอาไว้เป็นสัดส่วนก็เข้าใจ นับว่ากรีนแลนด์มีห้องพักสำหรับนักเดินทางที่ทันสมัยทีเดียว นางเดินไปเปิดประตูออกกว้าง อนุญาตให้หญิงรับใช้ก้าวผ่านเข้ามาภายใน

แมรี่เดินนำเข้ามาก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยสาวใช้หน้าตาเกลี้ยงเกลาอีกสามสี่นาง เมลิอานาร์มองดูขบวนสาวใช้เหล่านั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง นางเพิ่งจะรู้ว่าที่กรีนแลนด์ให้ผู้หญิงทำงานหนักเช่นนี้ด้วย...แล้วคนงานชายหายไปไหนกันหมด?
แม่สาวน้อยทั้งกลุ่มเดินหิ้วถังน้ำไปเทลงในอ่างมุมห้อง แล้วกลับลงไปตักน้ำจากชั้นล่างขึ้นมาใหม่ เพียงครู่เดียวอ่างไม้ขนาดใหญ่ก็มีน้ำอุ่นบรรจุอยู่เกือบเต็ม

“ประเดี๋ยวข้าจะไปเอาผ้าเช็ดตัวกับเครื่องหอมมาให้ กรุณารอสักครู่นะคะ” แมรี่เอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ

เจ้าของห้องพยักหน้ารับยิ้มๆ รอยยิ้มของนางก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในหมู่สาวใช้แตกต่างกันไป บางคนก็ก้มหน้างุดอย่างเอียงอาย บางคนก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่บางคนแสร้งมองเมินไปทางอื่นไม่กล้าสบสายตากับนาง...แปลกแท้ๆ ทีเดียว

“ขอบใจพวกเจ้ามาก ถ้าข้ารู้ว่าจะต้องลำบากพวกเจ้าขนาดนี้ล่ะก็ ข้ายอมไปใช้ที่อาบน้ำรวมของหมู่บ้านก็ได้” เมลิอานาร์กล่าวอย่างสำนึกผิดเมื่อเดินตามไปส่งบรรดาสาวใช้จนถึงหน้าประตู

ทันทีที่นางถอยกลับสู่ห้องแล้วปิดประตูลง เสียงจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกแตกรังก็ดังขึ้น

“เห็นมั้ยล่ะ ข้าบอกแล้วว่าหล่อมาก เจ้าเชื่อหรือยัง”

“จริงๆ ด้วย หล่ออะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”

“นี่ถ้าไม่เอาเรื่องน้ำอาบมาเป็นข้ออ้างก็ไม่ได้เห็นเขาหรอก ใช่ม้า”

“จ้า จ้า แม่จอมวางแผน รีบทวงบุญคุณเชียวนะยะ”

“...ฯลฯ...”

เสียงพูดคุยทำนองนี้ดังลอดบานประตูเข้ามาให้เจ้าของห้องได้ยินอย่างชัดเจน จนกระทั่งแม่สาวทั้งกลุ่มเดินห่างออกไปแล้วนั่นแหละ เสียงคุยจึงค่อยเบาลงและเงียบหายไปในที่สุด

เมลิอานาร์ยืนตัวแข็งพิงบานประตูอยู่พักใหญ่ เพิ่งจะเข้าใจปฏิกิริยาแปลกๆ ของพวกหญิงรับใช้เดี๋ยวนี้เอง นางก้มลงมองสำรวจตัวเอง ไล่ตั้งแต่รองเท้าหนังนุ่มแบบหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้มเปื้อนฝุ่นและคราบโคลนจนมีสีกระดำกระด่างเป็นหย่อมๆ เรื่อยมาถึงกางเกงเนื้อหนาสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตอนนี้มอมไปด้วยฝุ่น จนสีขาวชักจะคล้ายกับสีน้ำตาลอ่อนของเสื้อกั๊กตัวสั้นที่สวมอยู่เข้าไปทุกที เสื้อคลุมเดินทางถูกปลดออกไปแขวนไว้ที่ขอบนผนังเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เข็มขัดดาบที่ยังคาดอยู่รอบเอว ให้ดูยังไงสารรูปของนางขณะนี้ก็ห่างไกลจากคำว่า ‘หญิงสาว’ ลิบลับชนิดไม่เห็นฝุ่น ส่วนคำว่า ‘เลดี้’ ลืมไปเสียเลยจะดีกว่า

เมลิอานาร์ได้แต่นึกปลง... ตระกูลโรเซสซัสของนางเป็นตระกูลใหญ่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์มาหลายชั่วอายุคน บิดาของนางจึงให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเรียนรู้การใช้อาวุธทุกอย่างเหมือนกับที่บุตรชายของตระกูลทุกคนพึงต้องเรียนรู้ ด้วยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งลูกสาวจะเป็นผู้สืบทอดภาระของตระกูลต่อไป แต่เนื่องจากนางเป็นสตรี พละกำลังย่อมจะสู้บุรุษไม่ได้ ผู้เป็นพ่อจึงให้ลูกสาวได้ศึกษาการใช้เวทมนตร์กับท่านปราชญ์แห่งวิหารหลวงด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้กับนาง ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวสำหรับการฝึกอาวุธและเวทมนตร์ เลดี้เมลิอานาร์จึงมักจะแต่งกายแบบผู้ชายอยู่เป็นประจำ จนติดเป็นนิสัยแล้วเลยกลายเป็นความเคยชินไปในที่สุด นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะทำให้นางถูกชาวกรีนแลนด์เข้าใจผิดว่าเป็นชายหนุ่มไปเสียได้!


หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนสดชื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อย เมลิอานาร์ก็ตัดสินใจออกไปเที่ยวชมเมืองแทนการนอนพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก นางกะว่าจะกลับเข้าห้องพักตอนที่พวกหญิงรับใช้พากันนอนหลับหมดแล้ว และจะจากไปในวันรุ่งขึ้นก่อนที่พวกนางจะตื่น

หญิงสาวก้าวลงบันไดมายังห้องโถงชั้นล่าง เดินเลยต่อไปจนถึงคอกม้าซึ่งมีลักษณะคล้ายโรงเรือนยาว มุงหลังคาด้วยหญ้าแห้ง ด้านหน้าเปิดโล่ง ด้านหลังและด้านข้างปิดทึบ ภายในกั้นแบ่งเป็นช่องแคบๆ สำหรับผูกม้าตัวละช่อง ไม่ปะปนกัน

ที่หน้าคอกม้ามีชายสามคนยืนอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างผอมซึ่งมีหน้าที่ดูแลม้าให้กับแขกของบ้านพัก ส่วนอีกสองคนเป็นนายทหาร แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีแดงเข้มมีตราสัญลักษณ์รูปดาวสี่แฉกสีทองประดับเด่นอยู่กลางอก ข้างๆ พวกเขาคือม้าหนุ่มสีดำตัวงาม มีเครื่องอานราคาแพงผูกอยู่บนหลังของมันพร้อมสรรพ

“เจ้าหนู กล้ามากนะที่มาขโมยม้าของพวกเรา” นายทหารร่างยักษ์กล่าวคำด้วยท่าทางข่มขู่

เขามีร่างกายใหญ่โตกว่าเด็กเลี้ยงม้าถึงสามเท่า ผิวคล้ำ ผมสีทองสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ

“ข้าไม่ได้ขโมย ม้าตัวนี้เป็นของข้า” เด็กเลี้ยงม้าเถียงด้วยน้ำเสียงมั่นคง มองสบตานายทหารหนุ่มอย่างไม่กลัวเกรง

โชคร้ายที่คำตอบนั้นบังเอิญไปกระทบต่อมอันธพาลของคนฟังเข้าอย่างจัง นายทหารร่างยักษ์จึงพุ่งเข้าชกเด็กหนุ่มปาก(ไม่)ดีทันที หมัดของเขาคงจะหนักไม่เบาเพราะเลือดกำเดาสีแดงสดค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากจมูกของคนถูกชก แก้มและปากบวมอูดขึ้นทันตา

เด็กเลี้ยงม้าถ่มเลือดออกจากปาก ใช้ท่อนแขนเช็ดใบหน้าด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน ดวงตาคมสีน้ำตาลจ้องเป๋งไปที่เจ้าของหมัดเหมือนจะท้าทาย
คนถูกจ้องแค่นยิ้ม อธิบายด้วยน้ำเสียงตะคอก

“ม้าตัวนี้เป็นของเจ้าชายดิเร็กซ์เว้ยเจ้าหนู พวกเราเพิ่งได้มันมาแทนเจ้าตัวเก่าที่ขาหักไปเมื่อสามวันก่อน รู้แล้วก็ส่งมันคืนมาซะดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้”

“ไม่”

“อย่าไปเสียเวลาพูดดีกับมันเลยคาลี”

นายทหารอีกคนที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์อยู่ข้างสหายส่งเสียงขัดขึ้นลอยๆ เขามีร่างเล็ก ใบหน้าเสี้ยมแหลม ผมยาวสีน้ำตาลถักเป็นเปียเดี่ยวทิ้งชายไว้เบื้องหลัง

“ข้าว่าเจ้าหนูนี่มันอยากเจ็บตัวว่ะ”

“นั่นสิ ข้าก็ว่างั้น..”

คาลีแสยะยิ้ม ย่างสามขุมเข้าหาเด็กเลี้ยงม้าโดยมีชายร่างเล็กผู้เป็นเพื่อนขยับเข้าสะกัดด้านหลัง ทั้งคู่ช่วยกันประเคนทั้งหมัดทั้งศอกลงบนร่างผอมบางของเด็กหนุ่มชนิดไม่มียั้ง เจ้าของร่างเองก็ไม่ยอมอยู่นิ่งให้ถูกทำร้ายฝ่ายเดียว เขาพยายามตอบโต้จนสุดความสามารถ ทว่า...มวยคนละรุ่นขนาดนี้ แถมยังสองรุมหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ปัดป้องหมัดของอีกฝ่าย ไม่ถึงอึดใจร่างผอมบางก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ใบหน้าแตกยับ เนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด แม้กระนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากสายบังเหียน

“ชิ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็แค่สวะดีๆ นี่เอง” คาลีก้มลงมองเด็กเลี้ยงม้าด้วยสายตาเหยียดหยาม

“นั่นซิ ฝีมือกระจอกขนาดนี้ ริจะมาขโมยม้าของเจ้าชายดิเร็กซ์ ยังเร็วไปสิบปีเจ้าหนู”

เรย์ถ่มน้ำลายลงกับพื้นเฉียดใบหน้าเด็กหนุ่มไปนิดเดียว เขาใช้ส้นรองเท้าหนาหนักกระทืบลงไปบนอุ้งมือของอีกฝ่ายเต็มแรง ก่อนจะแกะสายบังเหียนออกจากนิ้วอันบอบช้ำ เดินจูงเจ้าม้าจากไปด้วยอาการเยาะเย้ย

เด็กเลี้ยงม้ากัดฟันกรอด พยายามฝืนความเจ็บปวดหยัดกายขึ้นมายืนโงนเงนจนได้ ดวงตาที่แทบจะปิดไปข้างหนึ่งยังฉายแววถือดีอยู่เช่นเดิม เจ้าตัวเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างยากลำบากเพราะริมฝีปากบวมตุ่ยจากฝีมือของนายทหารทั้งคู่

“คืนมานะ...ม้าตัวนี้...เป็นของ...ข้า..”

“หน็อย ยังจะปากดีอีกนะเจ้าหนู”

คาลีพูดพร้อมกับเตะเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่ม ส่งผลให้ร่างผอมบางลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พอเจ้าของร่างพยายามจะยันกายลุกขึ้นยืนเขาก็ตามเข้าไปเตะซ้ำอีกหลายครั้ง จนเมลิอานาร์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่นานแล้วรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา นางก้าวฉับๆ เข้าไปหานายทหารร่างยักษ์ หากยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกของใครบางคนก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“หยุดนะ คาลี เรย์ ข้าให้พวกเจ้ามาเตรียมม้าถวายองค์ชาย ไม่ใช่ให้มามีเรื่องชกต่อยกันแบบนี้”

คาลีชะงักเท้าค้างเมื่อแลเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินแกมวิ่งตรงมา เขาเบิกตากว้าง มองผ่านชายกลางคนผู้เป็นหัวหน้าไปยังร่างสูงสง่าของบุรุษชุดดำที่อยู่ด้านหลัง อาการกระเหี้ยนกระหือรือเมื่อครู่ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมทันตาเห็น

“เกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าองครักษ์วัยกลางคนเอ่ยถามลูกน้องทันทีที่เดินมาถึง

“เจ้าหนูนี่มันคิดจะขโมยม้าของเจ้าชายดิเร็กซ์ขอรับท่านฟีบัส” คาลีรายงาน

“ใช่แล้วขอรับ พอดีพวกข้าเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยต้องลงมือสั่งสอนกันนิดหน่อย” เรย์ช่วยสนับสนุนอีกแรง

ผู้เป็นนายถอนหายใจพลางส่ายหน้า

“นิดหน่อยอะไรกัน ทำไมมีเรื่องแล้วพวกเจ้าไม่รีบไปตามข้า...”

“ช่างเถอะฟีบัส” เสียงทุ้มต่ำมีกังวานนุ่มหูขัดขึ้น

ชายหนุ่มชุดดำผู้มีใบหน้างดงามปานเทพบุตร หากเรียบเฉยเย็นชายิ่งกว่าสวมหน้ากากน้ำแข็ง ก้าวเดินเนิบๆ เข้าไปหยุดยืนอยู่เหนือร่างของเด็กหนุ่มที่ยังนอนจุกอยู่กับพื้น

“เจ้าหรือที่คิดขโมยม้าของข้า” เสียงที่เอ่ยถามเรียบเรื่อย ไร้ความรู้สึก

“ข้า...ไม่ได้..ขโมย..ม้าตัวนี้..เป็น..ของข้า”

“ปากดีซะด้วย” ริมฝีปากรูปคันศรเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม...งดงามทว่าเหี้ยมเกรียม

“ในเมื่อเจ้ากล้าพูดว่าม้าตัวนี้เป็นของเจ้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์...”
ชายหนุ่มหันไปทางหัวหน้าองครักษ์วัยกลางคน ออกคำสั่งห้วนสั้น

“ฟีบัส ส่งดาบให้เขา”

“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่า..”

“ฟีบัส ไม่ได้ยินหรือ ข้าบอกว่าส่งดาบให้เขา”

เพียงแค่สายพระเนตรคมกริบที่จ้องเขม็งตรงมา ก็เพียงพอจะทำให้คนเป็นหัวหน้าองครักษ์ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก นอกจากขยับเข้าไปพยุงร่างอ่อนปวกเปียกของเด็กเลี้ยงม้าให้ยืนขึ้น แล้วยัดดาบของตนใส่มือเด็กหนุ่ม

“ที่ทาเนียร์โทษของขโมยคือตายสถานเดียว...” ชายหนุ่มกล่าว น้ำเสียงยังคงฟังนุ่มนวลขณะที่ดาบคมกริบในมือเลื่อนหลุดจากฝัก

“แต่เจ้าไม่ใช่ชาวทาเนียร์ เพราะฉะนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะไว้ชีวิตและม้าตัวนี้ก็จะเป็นของเจ้า อย่างนี้ยุติธรรมดีมั้ย”

“ดี..ตกลง..ตามนี้” เด็กเลี้ยงม้ารับคำ ทั้งที่ตนเองแทบจะต้องใช้ปลายดาบยันพื้นเอาไว้เพื่อพยุงร่างไม่ให้ล้ม

เจ้าชายรูปงามแห่งทาเนียร์ย่างพระบาทเข้าไปหาเหยื่อของพระองค์อย่างแช่มช้า คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องพากันถอยหลังออกไปยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เว้นแต่เมลิอานาร์ที่ยังคงปักหลักนิ่งอยู่ที่เดิม นิ้วมือเรียวสวยเลื่อนไปแตะอยู่ที่ด้ามดาบในท่าเตรียมพร้อม
เด็กเลี้ยงม้าสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก สองมือกุมด้ามดาบลากระมากับพื้น น้ำหนักของดาบดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มขึ้นในทุกๆ ก้าวที่เขาย่างเหยียบลงบนดิน ...เพียงพริบตาเดียวใบดาบคมกริบของฝ่ายตรงข้ามก็ฟาดฉับลงมา หนุ่มน้อยพยายามจะยกอาวุธในมือขึ้นรับ ทว่าน้ำหนักของมันช่างมากมายเหลือเกิน

เคร้ง!

เสียงโลหะกระทบกันได้ยินชัดไปทั่วบริเวณ ฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ บินฮือขึ้นไปบนฟ้าด้วยความตกใจ ร่างของเด็กหนุ่มโงนเงนก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น สติสัมปชัญญะหลุดลอยออกจากร่าง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายก็พลันมืดมิดไปหมด...








angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ม.ค. 2556, 08:38:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ม.ค. 2556, 08:38:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1722





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account