กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 22


22 .......


ความทุกข์ยากลำบากช่างเชื่องช้า แต่วันเวลาช่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียว ... อาลั้งก็มาอยู่เมืองสยามนานสี่ปี จากเด็กหญิงอายุแปดขวบ มาเป็นครึ่งเด็กครึ่งสาวน้อยวัยสิบสอง แต่อาเฮี่ยะซึ่งอายุมากกว่าอาลั้งหนึ่งปี กำลังแตกเนื้อสาวดังเปรี๊ยะ ๆ
และสิ่งที่มากับวัยสาวก็คือ .... สิว !
อาเฮี่ยะกังวลกับสิวที่ขึ้นตามแก้มและหน้าผากมากกว่าสิ่งอื่นใด ทุกครั้งที่หลบงานได้ อาเฮี่ยะจะต้องส่องกระจกมองดูสิวเม็ดใหญ่ที่หน้าผากอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ
“ลื้อเป็นอะไร?” เสียงอาลั้งที่กำลังตากผ้าอยู่ถาม เมื่อเห็นอาเฮี่ยะควักกระจกอันเล็ก ๆ ออกมาส่องดูสิวที่หน้าผาก
“อั๊วเป็นสิว” อาเฮี่ยะเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม
“เดี๋ยวมันก็หาย” อาลั้งให้กำลังใจ มือก็ทำงานไม่หยุด
“หายแล้วมันก็ขึ้นมาใหม่ อั๊วละกลุ้มใจจริง ๆ”
“กลุ้มใจทำไม... อั๊วก็เห็นลื้อเป็น ๆ หาย ๆ ไม่เห็นจะเป็นนานสักหน่อย” อาลั้งเอ่ย กึ่งให้กำลังใจเพื่อน
“แต่มันทำให้อั๊วดูน่าเกลียด” อาเฮี่ยะถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม
“ไม่หรอกน่า” อาลั้งเอ่ยตามที่คิด “มันก็แค่สิว ใคร ๆ ก็เป็นกันได้ ดูอย่างป้าไล้สิ อีเป็นสิวมานาน ไม่เห็นอีจะน่าเกลียดตรงไหนเลย”
“ก็อีกแก่แล้ว จะน่าเกลียดหรือไม่น่าเกลียด ก็ไม่สำคัญแล้วละ” อาเฮี่ยะพูดแล้วก็หัวเราะขบขัน
“ลื้อสองคนนินทาอะไรอั๊ว? ”
เสียงป้าไล้ดังขึ้นทำเอาทั้งสองสะดุ้งโหยง หันไปเห็น... อาไล้ เอากระจาดผักตากแห้งขึ้นมาตากแดดที่ดาดฟ้าเหมือนกัน
“เปล่า... “ ทั้งสองตอบพร้อมเพรียง
“อั๊วได้ยินแว่ว ๆ ว่าลื้อสองคนกำลังนินทาอั๊วอยู่” นางวางกระจาดผักแห้งลงที่ที่แดดส่องถึง ก่อนจะหันมาเท้าสะเอวจ้องมองสองเด็กสาวอย่างเอาเรื่อง
“บอกว่าเปล่าก็เปล่าสิ” อาเฮี่ยะเสียงแข็ง “ลื้อมันหูหาเรื่อง”
“พวกลื้ออย่าให้อั๊วจับได้แล้วกันว่ารวมหัวกันนินทาอั๊ว ไม่ยั้งงั้นน่าดู” อาไล้เอ่ยเสียงข่มขู่ ก่อนจะสบัดหน้ากลับลงไปจากชั้นดาดฟ้า
“แหยะ...” อาเฮี่ยะ แลบลิ้นไล่หลัง “จ้างให้ก็ไม่กลัว”
“เอาน่าอาเฮี่ยะ ช่างป้าไล้เถอะ ว่าแต่ลื้อบอกอั๊วว่ามีข่าวใหม่ที่สำคัญมากจะบอกอั๊วน่ะ ข่าวอะไร...” อาลั้งถาม พลางตากกางเกงตัวสุดท้าย
“เออ... จริงด้วย อั๊วมัวแต่เป็นห่วงสิวจนลืมบอกลื้อ พวกเราได้พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่แล้วละ” อาเฮี่ยะเอ่ย เพราะได้ยินที่หน้าร้านคุยกันมา “อียังเป็นเด็กอยู่ อายุแค่เก้าขวบ เขาว่าหน้าตาดีมากเลยละ”
“แล้วพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เก่าละ ?” อาลั้งถามอย่างสงสัย
“ท่านสละบัลลังก์ ไม่เป็นพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ตอนนี้ท่านไปต่างประเทศ” อาเฮี่ยะ บอกด้วยหน้าตาขึงขัง “พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ก็อยู่ต่างประเทศ ยังเรียนหนังสืออยู่”
“ท่านไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศหรือ?” อาลั้งถามผู้สื่อข่าวประจำตัว
“ใช่แล้วละ” อาเฮี่ยะพยักหน้า
“ท่านคงเก่งมาก” อาลั้งสรุป
“พระเจ้าอยู่หัวองค์เก่าเรียกรัชกาลที่ 7 พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่เรียกรัชกาลที่ 8 ท่านมีชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล”
“เรียกยากจัง” อาลั้งเอ่ย
“ตอนแรก อั๊วก็พูดไม่ถูก แต่พูดหลาย ๆ ครั้งแล้วก็จำได้เอง” อาเฮี่ยะเอ่ยอย่างภูมิอกภูมิใจ
“ลื้อเป็นคนเก่ง” อาลั้งชมอย่างจริงใจ
อาเฮี่ยะยิ้มร่า ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยว เอามือกุมท้องน้อย ร้องอู๊ย....
“ลื้อเป็นอะไร?” อาลั้งถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่า?”
“สงสัยประจำเดือนจะมา” อาเฮี่ยตอบ
“ประจำเดือน ... คืออะไรเหรอ?” อาลั้งถามอย่างไม่ประสีประสา
“พอผู้หญิงโตเป็นสาวทุกคนจะต้องมีประจำเดือน” อาเฮี่ยตอบอย่างภาคภูมิ “หนึ่งเดือนจะมีหนึ่งครั้ง เป็นเลือดที่ออกมาจากตรงที่เราปัสสาวะ”
“หา ... “ อาลั้งอุทานอย่างตกใจ
“แต่ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเลือดไม่ดี เลือดจะออกราว ๆ สามสี่วันก็หมด”
“แล้วไม่เป็นอันตรายเหรอ?”
“ไม่อันตรายหรอก เพียงอาจจะปวดท้องนิดหน่อย การมีประจำเดือน หมายความว่าได้เป็นสาวแล้ว พอโตเป็นสาวก็จะมีนมด้วย” อาเฮี่ยะพูดหน้าตาเฉย
แต่อาลั้งรู้สึกอายจนแก้มแดง
“แต่เลือดประจำเดือนนี่จะปล่อยให้เลอะเทอะให้ใครเห็นไม่ได้ ต้องทำผ้าซับคาดสำหรับสอดกระดาษซับให้ดี ตามอั๊วมา อั๊วจะเอาผ้าซับคาดให้ลื้อดู เผื่อลื้อมีมั่ง จะได้ทำเป็น” แล้วอาเฮี่ยะก็จูงมือลงบันไดจากดาดฟ้าไปยังห้องพัก เด็กสาวที่โตกว่าหยิบผ้าแถบสีมอ ๆ ที่ใช้มือเย็บตรงกลางแถบผ้าเป็นที่สอดใส่กระดาษ แล้วอธิบายว่า “ผ้าที่ใช้ทำผ้าซับคาดต้องใช้ผ้าเก่า ๆ จะได้นิ่มไม่บาดขาอ่อน แล้วใช้กระดาษเช็ดก้นมาขยี้ให้นิ่ม ๆ จะได้ซึมซับดี สอดไว้ตรงกลาง ถ้ารู้สึกแฉะ ก็ต้องเปลี่ยนกระดาษใหม่ อย่าให้เลือดเปรอะเปลื้อนกางเกงที่ใส่ จะน่าเกลียด”
แล้วอาเฮี่ยะก็แสดงการสวมใส่ผ้าซับคาดประจำเดือนให้อาลั้งดู
“มีเสื้อผ้าเก่า ๆ ใส่ไม่ได้แล้ว ก็เอามาทำผ้าซับคาดซักสองสามอัน จะได้ผลัดเปลี่ยนกันใช้แล้วก็ซักเก็บไว้ให้ดี อย่าให้ใครเห็น รู้หรือเปล่าอาลั้ง ?”
ท้ายประโยคอาเฮี่ยะสั่งสอนอาลั้งที่เป็นรุ่นน้องด้วย เป็นเพื่อนด้วย

..........................

ใกล้สารทจีน... มีจดหมายจากอาซิ่วมาถึงลูกสาวที่เมืองสยาม ซาเสี่ยเนี้ยจึงให้อาเฮี่ยะมาตามอาลั้งไปฟัง จดหมายที่ห้องโถงรับรอง
อาลั้งเดินเข้าไปในห้องโถง เห็นซาเสี่ยเนี้ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้คนเดียว ในมือถือซองสีน้ำตาลใบหนึ่ง
“ซาเสี่ยเนี้ย” อาลั้งเรียกอีกฝ่ายอย่างเคารพ
“เข้ามาใกล้ ๆ อั๊ว” ซาเสี่ยเนี้ยพยักหน้าให้อาลั้ง
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ แล้วเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของซาเสี่ยเนี้ย
ซาเสี่ยเนี้ยยิ้มเล็กน้อย ชูซองจดหมายในมือขึ้นนิดหน่อย “แม่ลื้อมีจดหมายมาถึงลื้อ อั๊วจะอ่านให้ฟังนะ....
ถึงอาลั้งลูกรัก
ลูกอยู่เมืองสยามสบายดีหรือ? แม่สวดมนต์ขอพรเจ้าแม่กวนอิมให้คุ้มครองให้ลูกอยู่ดีมีความสุขทุก ๆ วัน วันนี้อายี่พี่ชายคนที่สองของลูกแต่งงานเข้าตระกูลของเจ้าสาว เพราะบ้านเรายากจน ไม่มีเงินทองเป็นสินสอดไปสู่ขอเขา และบ้านของอาซ้อรองของลูกก็มีฐานะค่อนข้างดี ซ้ำเป็นลูกสาวคนเดียว แม่คิดว่าเป็นการดีแล้ว เพราะแซ่ของเราก็มีลูกชายของอาตั่วพี่ชายคนโตของลูกสืบสกุลแล้ว อาฮวย อาซ้อใหญ่ของลูกมีลูกฝาแฝด ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอีกคู่ แต่อียกลูกสาวให้แก่เพื่อนบ้านที่ไม่มีลูกไป เพราะไม่อยากเลี้ยงลูกสาว บอกว่าถึงเลี้ยงเอาไว้ก็มีแต่ขาดทุน แม่ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง แม่อยากจะช่วยอาฮวยเลี้ยงหลาน แต่สุขภาพของแม่ก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ สามวันดีสี่วันไข้ตามประสาคนแก่ แม่คิดถึงลูกเสมอ แต่ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาได้พบหน้าลูกอีกสักครั้งหรือเปล่าก่อนที่แม่จะตาย
รักลูกมากเท่าดวงใจ...... อาซิ่ว


อาลั้งนิ่งฟังจดหมาย น้ำตาอาบแก้ม พึมพำเบา ๆ ว่า “หนูคิดถึงแม่ค่ะ”
“แล้วอยากให้แม่เห็นหน้าหนูไหมละ?” ซาเสี่ยเนี้ยถาม แล้วพับเก็บจดหมายใส่ซอง
“อยากค่ะ แต่หนูจะไปหาแม่ได้อย่างไร?”
“ตัวจริง ๆ ไปไม่ได้ แต่รูปถ่ายไปได้” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“รูปถ่ายหรือคะ?” อาลั้งมองอีกฝ่ายอย่างบูชา
“ใช่ .... อั๊วจะพาลื้อไปถ่ายรูปพรุ่งนี้ แล้วส่งรูปถ่ายของลื้อไปให้แม่ลื้อดู”
“ค่าถ่ายรูปแพงมากใช่ไหมค่ะ?” อาลั้งนึกกังวล
ซาเสี่ยเนี้ยยิ้ม “อั๊วจะออกให้ลื้อเอง .... แต่ลื้อจะบอกใครไม่ได้ อั๊วจะบอกว่าพาลื้อไปช่วยถือของที่อั๊วซื้อ แล้วลื้ออย่าลืมเอาเสื้อตัวที่ดีที่สุดใส่ไปด้วยนะ”
“ค่ะ ... ซาเสี่ยเนี้ย” อาลั้งดีใจจนน้ำตาไหล
“ลื้อร้องไห้ทำไมอีก?”
“หนูดีใจค่ะ” อาลั้งตอบจากใจจริง “แล้วก็เกรงใจซาเสี่ยเนี้ยด้วยค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ อั๊วช่วยเพราะสงสารหนูจริง ๆ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยตรง ๆ
“ขอบคุณมากค่ะ ซาเสี่ยเนี้ย” เด็กหญิงค้อมศรีษะคำนับ
“ไม่เป็นไร ไปได้แล้วละ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย
อาลั้งขยับตัวลุกขึ้น แล้วกลับคุกเข่าลงเหมือนเพิ่งนึกได้
“มีอะไรอีกหรือ?” ซาเสี่ยเนี้ยถามอย่างสงสัย
“คือ... หนูไม่เข้าใจบางข้อความของจดหมายค่ะ” อาลั้งสารภาพ
“ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามมา” ซาเสี่ยเนี้ยยกน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ก่อนวางถ้วยลงที่เดิม
“การแต่งงานเข้าตระกูลเจ้าสาวเป็นยังไงหรือคะ?”
“อ๋อ...” ซาเสี่ยเนี้ยพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “ปกติเจ้าสาวจะต้องมาอยู่บ้านเจ้าบ่าว มีลูกมีหลานก็ใช้แซ่ของเจ้าบ่าว แต่ถ้าเจ้าบ่าวแต่งงานเข้าตระกูลของเจ้าสาว เจ้าบ่าวจะต้องใช้เข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าสาว ต้องใช้แซ่ของเจ้าสาว มีลูกมีหลานก็ต้องใช้แซ่ของฝ่ายหญิง .... เข้าใจหรือยัง..”
“ค่ะ “ อาลั้งพยักหน้า นึกเป็นห่วงความรู้สึกของแม่ แม่ไม่เคยแยกจากพี่ชายคนรอง แต่เวลานี้พี่ชายคนรองแต่งงานไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว แม่คงเหงามาก !

..........................

อาซิ่วมองรูปถ่ายในมือ .... มองแล้วมองอีก ... น้ำตาไหลพราก ๆ ปากก็พึมพำว่า “อาลั้ง... ลูกโตขึ้นมาก แล้วก็สวยขึ้นด้วย แม่ดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง ถึงจะเป็นเพียงรูปถ่ายก็ตาม แม่หวังว่าเมื่อลูกโตขึ้นจะได้พบกับผู้ชายดี ๆ แต่งงานแล้วเขาเลี้ยงดูให้ลูกอยู่สบาย มีลูกมีหลานถึงจะอยู่เมืองสยาม ก็ขอให้ลูกเจริญรุ่งเรือง ... “
อาซิ่วยังรำพันไม่จบ อาฮวยก็ร้องขัดขึ้น
“โอ๊ย... อาม่า จะให้ศีลให้พรอะไรกันนักหนา กะอีแค่ลูกสาว แต่งงานก็เป็นคนอื่นไปแล้ว ... นี่ดูซิส่งจดหมายมา ส่งรูปถ่ายราคาแพง ๆ มาได้ แต่ไม่ยักกะส่งเงินมาด้วยสักกะแดงเดียว ... แบบนี้ใช้ได้เหรอ?”
“อาลั้งก็ส่งเงินมาทุกตรุษจีนแล้วนี่นา แล้วลื้อก็เป็นคนเก็บขึ้น” อาซิ่วเอ่ยเสียงเบา ๆ ก่อนจะไอค๊อกแค๊ก
“ก็เพิ่งตอนหลังนี้เอง” เสียงอาฮวยดังลั่น “อั๊วเป็นคนถือเงินของครอบครัวนะถูกต้องแล้ว อาม่าแก่แล้วหูตาฟ่าฟาง หยิบจับเงินทองเดี๋ยวตกหล่นไปจะน่าเสียดาย แล้วอั๊วก็เลี้ยงดูอาม่าอย่างดีให้กินข้าวต้มผสมมันเทศที่อาม่าชอบ ยังจะว่าอั๊วไม่ดีอีกเหรอ?”
อาซิ่วพูดไม่ออกได้แต่กรอกหน้า นึกถึงอายี่ นางคิดว่าตนเองตัดสินใจถูกแล้วที่บอกให้อายี่แต่งงานเข้าตระกูลของเจ้าสาว
อาหุยเจ้าสาวของอายี่อายุมากกว่าอายี่สองปี เป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ๆ รูปร่างสูงแข็งแรง พ่อแม่ของอาหุยมีลูกเพียงคนเดียวคืออาหุย และมีที่นาอีกยี่สิบไร่ อายี่แต่งงานเข้าบ้านอาหุยจะได้มีสมบัติทำกิน เพราะบ้านหลังนี้จะต้องตกทอดเป็นอาตั่วซึ่งเป็นลูกชายคนโต แล้วอายี่ก็จะไม่มีอะไรเหลือหากตนตายลง .... อาซิ่วคิดในใจ
“แล้วจดหมายของอาลั้งพูดว่าอย่างไรบ้าง... อาตั่ว” อาซิ่วหันไปถามลูกชายคนโต
“อีว่า... “
อาตั่วยังไม่ทันพูดมากกว่าสองคำ อาฮวยก็รีบแทรกว่า “อีว่า อีก็คิดถึงอาม่าเหมือนกัน แต่อีอยู่ที่นั่นสุขสบายดีแล้ว ไม่อยากกลับมาเมืองจีนหรอก”
เป็นถ้อยคำที่อาฮวย เสกสรรปั้นแต่งเอง เพราะในจดหมายนั้นซาเสี่ยเนี้ยได้ฝากของมาให้โดยใช้ชื่ออาลั้ง มียาหอม ยาหม่อง เป็นต้น ... ซึ่งถูกอาฮวยยึดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย
“จริงเหรออาตั่ว?” อาซิ่วถามลูกชาย เพราะไม่เชื่อน้ำมนต์ของลูกสะใภ้มากนัก แต่อาตั่วเป็นคนกลัวภรรยา จึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะตอบไม่เต็มปากเต็มคำว่า
“จริงแม่”
“แม่.... “
เสียงเรียกแทรกขึ้น แล้วบานประตูซอมซ่อที่ทำจากไม้ไผ่ผ่าครึ่งเก่า ๆ ก็ถูกผลักเปิดออก ในมือของเขาหิ้วปลาตัวหนึ่ง ซึ่งยังดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่
“อั๊วจับปลาได้ เลยเอามาให้แม่”
ปลาตัวนั้นยาวประมาณหนึ่งฟุต อาฮวยเห็นก็ตาโต
“เอามา ๆ อั๊วจะเอาไปต้มน้ำแกงกิน .... เอ๊ย.... ให้อาม่ากิน” ว่าแล้วนางก็รีบดึงปลาไปจากอายี่ แล้วออกไปจากห้องเก็บฟืนที่กลายมาเป็นห้องนอนของอาซิ่ว เอาปลาไปเก็บโดยเร็ว
อาซิ่วมองอากัปกิริยาของลูกสะใภ้คนโตแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ ก่อนจะถามอายี่ว่า “ได้ปลาทำไมไม่เอาไปให้อาหุยทำกับข้าวละ?”
“เอ่อ... “ อายี่อึกอัก ก่อนจะโกหกว่า “อั๊วจับปลาได้สองตัวนะแม่ ก็เลยแบ่งตัวหนึ่งมาให้แม่ แม่กำลังไม่สบาย จะได้กินน้ำแกงปลาให้ชุ่มคอ”
“ขอบใจนะอายี่” อาซิ่วเอ่ย รู้ในใจลึก ๆ ว่าลูกชายคนรองกำลังโกหก เพราะเขาเป็นคนโกหกไม่เก่ง เมื่อกี๊นี้เขาพูดพลางหลบตา แล้วเฉมองไปทางอื่นตลอดเวลา แต่อายี่เป็นคนกตัญญู และรักแม่มาก เหมือนกับอาลั้ง
พอคิดถึงอาลั้ง... น้ำตาก็ไหลมาเอง
“แม่เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้? ” อายี่ถาม เสียงร้อนรน
“แม่คิดถึงอาลั้ง” อาซิ่วตอบตามจริง
อายี่นิ่งก่อนถอนหายใจยาว “ไม่รู้อาลั้งตอนนี้หน้าตาจะเป็นยังไง จะสวยเหมือนตอนเด็ก ๆ มั้ย?”
“นี่ไง... รูปอาลั้ง” อาซิ่วยื่นรูปเล็ก ๆ ที่ถืออยู่ให้ลูกชายคนรอง
อายี่รับไปพินิจพิจารณาก่อนจะเอ่ยว่า “อาลั้งสวยขึ้นอีกละแม่”
“อาซิ่วยิ้มทั้งน้ำตา พลางพยักหน้า
“ถ้าอียิ่งโตยิ่งสวยอย่างนี้ อีต้องมีชีวิตที่ดีแน่ ๆ” อายี่เอ่ยถึงน้องสาวคนเล็กด้วยความหวังดี
แต่อาฮวยที่หวนกลับมาเพราะหวาดระแวงว่าใครจะนินทาอะไรตน ได้ยินเข้า ความอิจฉาตาร้อนก็เกิดขึ้นทันที นางเอ่ยเหมือนแช่งว่า “โธ่เอ๊ย... ใครว่าคนสวยจะมีชีวิตที่ดี มีแต่คนบอกว่า คนสวยมักอาภัพ ! “
“อาซ้อ ทำไมลื้อพูดอย่างนี้ ?” อายี่ตวาดใส่พี่สะใภ้อย่างเหลืออดเหลือทน
“หรือว่าไม่จริงละ ..... “ อาฮวยเถียงฉอด ๆ “ต่อให้สวยเหมือนไซซีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นขี้ข้าเขาอย่างนี้ ผู้ชายดี ๆ ใครเขาจะมอง ! “





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2556, 15:43:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2556, 15:43:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1314





<< ตอนที่ 21   ตอนที่ 23 >>
pattisa 1 ก.พ. 2556, 20:13:27 น.
ลูกสะใภ้เเย่มาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account