ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 11.

บทที่ 11

ไหว้พระเสร็จแล้วณิชกานต์ก็ขอตัวกลับ เพียงออจึงให้ขวัญชีวีขับรถไปตลาดบ้านใหม่ซึ่งเป็นตลาดโบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกงเพื่อส่งท้ายทริปไหว้พระฝ่าแดดลมร้อนในวันนี้ ส่วนอาหารเย็นนั้นขวัญชีวีปฏิเสธที่จะไปร้านของปวุฒิเพราะรู้สึกอยากกลับบ้านไปพักผ่อน...ทุกคนจึงต้องกลับไปทานอาหารฝีมือป้าสนาม

หลินฮันหมิงนั้นก็ให้วิศรุตมารับที่บ้านของขวัญชีวีเพื่อไปท่องราตรีกันตามประสาหนุ่มโสด..

“เป็นอย่างไรบ้างวะ” หลังจากแวะเข้าไปไหว้ย่าหลินซิ่วอินของเพื่อนกับคุณยายแน่งน้อยของขวัญชีวีแล้ว วิศรุตก็พาหลินฮันหมิงมุ่งหน้ากลับโรงแรมเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเขาจะพาหลินฮันหมิงออกงานเปิดตัวสินค้ายี่ห้อหนึ่ง ซึ่งการไปเป็นเซเลบริตี้งานแบบนี้นั้น นอกจากได้พวกพ้องแล้วก็ยังได้ไปดูว่าในแต่ละงานนั้นทีมงาน อีเวนท์นั้นมีแนวคิดอย่างไรในการจัดงาน ซึ่งมันก็เป็นวิถีสังคมที่วิศรุตหนีไม่พ้น

หลินฮันหมิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า

“คุณนิดทำเสียเรื่องหมดเลย กำลังหวานกันอยู่ดี ๆ เชียว” แล้วหลินฮันหมิงก็เล่าเหตุการณ์ในวันนี้ให้วิศรุตได้รับรู้ รวมถึงทีท่าเหินห่างของขวัญชีวีหลังจากขับรถออกจากตลาดคลองสวนร้อยปีจนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน...

“คุณนิดเขารู้ได้ไงว่ายูไปไหนกับคุณขวัญ เหมือนเขาจะจงใจตามไปป่วนนะ จงใจถ่ายรูปด้วย” วิศรุตขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางบังคับรถ

“หรือว่าจะมีไส้ศึก” วิศรุตตั้งสมมุติฐาน

“ใครล่ะ”

“คนนอกก็มีน้องเพียงออคนเดียวเท่านั้น”

“ใช่แน่ ๆ เลย เพียงออ ต้องเป็นไส้ศึก เพียงออ ๆ ๆ ปวุฒิ ๆ...ณิชกานต์ ๆ...ไอว่าปวุฒิกับณิชกานต์จะต้องรู้กันแน่ ๆ ไม่งั้นณิชกานต์ไม่ตามไปได้เหมือนนกรู้อย่างนั้นหรอก”

“นกรู้” หลินฮันหมิงจะมีความสงสัยเกี่ยวกับศัพท์แสงของคนไทยอยู่เนือง ๆ

“เหมือนรู้พิกัดน่ะ ประมาณว่า รู้เหมือนมีใครบอก”

“ไอเห็นเขาพิมพ์อะไรในมือถือเขาตอนที่นั่งรถไปด้วยนะ”

“แน่ ๆ เลย...ไอ้ปุ้มอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ”

“ใครไอ้ปุ้ม”

“ปวุฒินั่นแหละ มันชื่อเล่นว่าไอ้ปุ้ม เหมือนที่ยูชื่อไอ้มาร์ค”

“และยูก็ชื่อไอ้รุตนะเหรอ”

“เออ”

และมันก็ไปเป็นตามที่วิศรุตคาดเดาไว้ เพราะตอนค่ำช่วงหลินฮันหมิงไปเข้าห้องน้ำ วิศรุตหยิบมือถือมาเช็คข่าวสารในโลกไซเบอร์ ในอินสตาแกรมของณิชกานต์มีภาพของหลินฮันหมิงกับณิชกานต์เดินควงกันเที่ยวตลาดโบราณรวมถึงภาพตอนไปไหว้พระด้วยกันที่วัดหลวงพ่อโสธร

วิศรุตรู้สึกว่างานนี้ขวัญชีวีคงยากที่จะยอมใจอ่อนกับเพื่อนของตน เพราะภาพที่สร้างความสับสนให้กับกลุ่มแฟนคลับที่ติดตามความเคลื่อนไหวของสองดาราดัง สื่อบันเทิงต้องหยิบไปเล่นแน่ ๆ

วิศรุตไม่ได้บอกความกังวลใจนี้ให้หลินฮันหมิงได้รับรู้เพราะเกรงว่าเพื่อนจะรำคาญกับเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องในสังคมประเทศไทยนี้

กระทั่งงานเปิดตัวสินค้าเสร็จสิ้น เขาก็พาหลินฮันหมิงไปนั่งฟังเพลงพลางจิบเครื่องดื่มในไนท์คลับของโรงแรมเดียวกัน....

“ไม่คิดว่าโลกจะกลมแบบนี้...” ณิชกานต์นวยนาดเข้าทรุดตัวลงนั่งข้างหลินฮันหมิงโดยที่สองหนุ่มไม่ต้องเชื้อเชิญ...หลินฮันหมิงนั้นหันมาหาหญิงสาวยิ้มให้ตามมารยาทก่อนจะเสยกแก้วขึ้นดื่ม

“โลกกลมจังเลยนะครับ” วิศรุตไม่อ้อมค้อม

“ครั้งนี้กลมจริง ๆ ค่ะ”

“มางานอะไรเหรอครับ”

“เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนัดมาผ่อนคลายค่ะ”

“แล้วอยู่ไหนกัน” วิศรุตไล่บี้

“ยังไม่ถึงกันเลย ไม่รู้ไปแชกันอยู่ตรงไหน มากันแค่สองคนเหรอคะ วันนี้คุณดาไม่มาด้วยเหรอคะ” คำถามนั้นณิชกานต์หันไปหาหลินฮันหมิงแต่เขาก็มองไปยังเวทีที่มีวงดนตรีและนักร้องขึ้นมาร้องเพลงขับกล่อม

“เท่าที่เห็นนี่แหละครับ...แต่เอ๊ะ ก่อนหน้านั้น โลกไม่ได้กลมเหรอครับ” วิศรุตนึกแวบขึ้นมากับประโยคนั้น และณิชกานต์ก็ไหวไหล่

“กลมซิคะ ถ้าไม่กลมจะบังเอิญเจอกันได้อย่างไร...”

“บังเอิญเพราะมีคนจงใจทำให้บังเอิญ”

“คุณรุตคิดมากจังเลยค่ะ” ณิชกานต์พูดจบโทรศัพท์ในกระเป๋าถือใบใหญ่ของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวล้วงออกมากดรับสายพร้อมกับที่เพื่อนสาวของเธอสองคนปรากฏอยู่หน้าประตู...

“งั้นนิดขอตัวก่อนนะคะ แต่อาจจะนั่งโต๊ะใกล้ ๆ กันนี่แหละ...แต่ถ้ามีนักข่าวถาม นิดจะบอกว่า คืนนี้เราต่างคนต่างมาค่ะ ขอตัวก่อนนะคะคุณมาร์ค...”

การที่เขานิ่งเงียบไม่คุยด้วย ทำให้ณิชกานต์รู้ตัวดีว่า ทนตื้อต่อไปก็มีแต่เปล่าประโยชน์ คนอย่างเธอใช่ว่าจะต้องวิ่งแร่เสนอตัวให้ผู้ชาย เธอสวยและมีสิทธิ์เลือกได้เช่นกัน แต่การที่ได้แกล้งมาร์คกับขวัญชีวีอย่างที่ ปวุฒิต้องการนี้ ณิชกานต์ก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งมันก็มีความสะใจปนอยู่ด้วย...

ผู้ชายคนที่เธอพอใจหากเธอ ไม่ได้คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ไปอย่างง่าย ๆ



“สื่อเริ่มเล่นกับเรื่องขวัญกับนิดแล้วนะพี่” วรรณรดาบอกกับวิศรุตในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะยามค่ำคืนหญิงสาวนั้นชอบท่องโลกไซเบอร์ฆ่าความเปลี่ยวเหงาโดยการติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านกระทู้เรื่องเล่า อ่านนิยาย อัพเดทความเคลื่อนไหวของโลกและสังคมรอบตัว ๆ และครั้งนี้วรรณรดาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเธอมากจนหวั่นเกรงว่ามันจะมีผลต่ออนาคตของตน

“จะแก้เกมอย่างไรดีนะ...” วิศรุตรับฟังด้วยใบหน้าครุ่นคิด...เพราะถ้าแผนที่จะแยกขวัญชีวีกับปวุฒิโดยใช้หลินฮันหมิงมาช่วยไม่สำเร็จ ความรักของวรรณรดาก็คงจะหมดหวังเช่นกัน

“ไม่ต้องทำอะไรแล้วละค่ะ ดาว่าปล่อยให้มันเป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาสเถอะ...”

“ไม่แก้ไม่ได้หรอกนะดา” แล้ววิศรุตก็เล่าเรื่องที่สงสัยเรื่องว่า ที่ณิชกานต์ตามไปอย่างนกรู้นั้น น่าจะเป็นเพราะมีปวุฒิอยู่เบื้องหลังให้วรรณรดาได้รับรู้...

“พี่ว่าคุณนิดนี่คิดจับปลาสองมือแน่ ๆ”

“หมายความว่าไงคะ”

“คิดจับทั้งมาร์ค จับทั้งปวุฒิ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อ้าว ถ้าทำให้ขวัญกับมาร์คเลิกกันไม่สำเร็จ ปวุฒิก็ว่าง แล้วก็อาศัยที่เป็นพันธมิตรกันมาดามหัวใจกัน เข้าใจไหม”

“พี่รุตทำไมฉลาดอย่างนี้ละคะ”

“อย่าลืมซิว่าพี่คือผู้สืบตระกูลลิ้มวรรักษ์”

“ควงคุณมาร์คไปโน่นมานี่ ดูแลกันเป็นอย่างดี รับส่งกันที่โรงแรมด้วย ระวังจะถูกสงสัยนะคะ”

“พี่ไม่ได้เป็น ไม่หวั่นลมปากคนหรอก”

“คุณพ่อถามดาอยู่เหมือนกันว่าเห็นพี่จีบใครบ้างหรือเปล่า คุณอาหญิงก็ถามนะ...คงเริ่มกลัว”

“งั้นเหรอ” ด้วยเป็นผู้สืบทอดสกุล ทั้งลุงและพ่อจึงฝากความหวังไว้ที่เขา แรงกดดันมีมาเรื่อย ๆ และที่สำคัญคู่ควงหรือคู่ชีวิตของเขานั้นจะต้องเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลส่งเสริมกันและกันให้ยิ่ง ๆ ขึ้น เขาไม่มีสิทธิ์คิดรักชอบคนที่มีฐานะด้อยกว่า...
และในตอนนี้ เขาเองก็ถือว่าว่างเปล่าจนน่ากลัวการถูกผู้ใหญ่จับคู่ และคู่ที่จับให้ก็ใช่ว่าจะมีหน้าตาถูกใจเขา...สู้เหนี่ยวรั้งเวลาไว้อีกสักหน่อยดีกว่า

“พี่จะเป็นคนดึงณิชกานต์ออกมาจากมาร์คเอง...”

“ดึงมาอย่างไร พี่อย่าบอกนะ”

“ประโยชน์เกื้อกูล พี่จะจีบณิชกานต์เอง และต้องจีบให้ติดด้วย”



หลังอาหารมื้อค่ำ ก่อนจะขอตัวขึ้นห้องนอน ขวัญชีวีก็ได้บอกกับป้าสนามไว้แล้ว ว่าพรุ่งนี้เช้าจะไม่ตื่นมาใส่บาตรพระกับคุณยายและคุณย่า และการเข้านอนและตื่นนอนอย่างไม่เป็นเวลาของขวัญชีวีนี้ คนในบ้านก็เข้าใจกันเป็นอย่างดี บางครั้งหญิงสาวเลิกกองถ่ายมาถึงบ้านในเวลาสามนาฬิกา และตอนสามโมงเช้ายังต้องตื่นไปกองถ่าย หรือบางวันหญิงสาวก็วิ่งรอกไปโชว์ตัวที่ต่างจังหวัดโดยจอดรถไว้ที่บริษัท แล้วกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเช้าพอดี และวันนั้นทั้งวันขวัญชีวีก็ขอหลับพักผ่อนยาวจนถึงตอนเย็น แต่ว่าตอนค่ำหญิงสาวก็แต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปทำงานอีก...

วันนี้ พออาบน้ำแต่งตัวลงมาจากชั้นบน เตรียมเดินทางไปบริษัท แอลวีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง ที่ตั้งอยู่ในอาคารสูงบนถนนสุขุมวิท เพื่อเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์เวอซ่าดีโก้ ขวัญชีวีก็ต้องแปลกใจเมื่อ

เห็นหลินฮันหมิงอยู่ในชุดกางเกงสแลคเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดนั่งอยู่บนโซฟากับย่าหลินซิ่วอิน โดยมียายของเธอนั่งคุยกับเขาอยู่ด้วย...

และพอเห็นเธอเขาก็ยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เปิดเผย แสดงความต้องการเป็นมิตรและเป็นยิ้มที่แสดงความเสน่หาออกมา...ขวัญชีวียิ้มตอบก่อนจะพูดว่า

“อ้าว คุณมาร์คมาได้อย่างไรคะ” ถามแล้วขวัญชีวีที่อยู่ในชุดเสื้อกางเกงสีม่วงแต่งหน้าและมีเครื่องประดับจำพวกหินสีที่คอและข้อมือดูปราดเปรียวก็ทรุดตัวลงนั่งข้างคุณยายแน่งน้อยจนชิดแล้วโอบกอดและหอมแก้มอย่างไม่ได้สนใจว่ามีแขกนั่งอยู่ด้วย...

“เมื่อเช้าอาหมิงเขามาใส่บาตรด้วยน่ะ” หลินซิ่วอินที่พักอยู่ที่นี่มาหลายวันเห็นหน้าตากิริยาท่าทางหลานสาวของแน่งน้อยแล้วรู้สึกเอ็นดู เพราะเวลาที่อยู่บ้านขวัญชีวีก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแต่เวลาแต่งตัวออกงานเธอก็สวยราวนางฟ้า ดูแปลกหูแปลกและพาให้หัวใจชุ่มฉ่ำ จึงตอบแทนหลานชายตัวเอง

“มาใส่บาตรด้วย...” ความประหลาดใจฉายชัดบนสีหน้าของขวัญชีวีตาสองคู่ประสานกันเปิดเผยความรู้สึก...

“คือ คือ ผมเคยอ่านเจอในหนังสือท่องเที่ยวนะครับ ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ผมมากรุงเทพฯ ทีไรผมก็ไม่เห็นมีพระสงฆ์เดินบิณฑบาตเลย ผมก็เพิ่งรู้ว่าเขามากันตั้งแต่ยังไม่เช้า”

“กับพระต้องเรียกท่านจ้ะ” แน่งน้อยช่วยแก้เรื่องภาษาของเขา

“ครับ...ท่าน มากันตั้งแต่ยังไม่เช้า”

“ตามต่างจังหวัดท่านจะมาตอนเช้า ๆ ค่ะ ประมาณพระอาทิตย์ขึ้นนิดหนึ่งก็มา วิถีชีวิตเราต่างกัน แล้วพระในกรุงเทพฯ ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรก็ถือว่า อัตราส่วนน้อยมาก” ขวัญชีวีช่วยเสริม

“ถึงว่า ผมถึงไม่ค่อยเห็นพระที่กรุงเทพฯ แล้วเมื่อวานนี้ผมก็ไม่ได้เอาอะไรมาใส่บาตรด้วย ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ทำบุญ วันนี้ผมก็เลยต้องมาใหม่...” อันที่จริงเขากับวิศรุตครุ่นคิดกันอยู่ตั้งนานว่าจะแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้อย่างไร แต่พอจิบไปพลางฟังเพลงไป วิศรุตก็คิดแก้ลำได้สำเร็จ คือแนะนำให้เขากลับมาใส่บาตรอีกโดยอ้างเรื่องอาหารที่จะนำมาใส่บาตร และพอคิดออกแล้วเขารู้สึกว่าความหวังที่ดูจะริบหรี่นั้นก็พลันสุกใส เรื่องที่ว่ายากนั้นดูจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ขอเพียงแต่เขากล้าเดินหน้าและจริงใจที่จะคบหากับขวัญชีวีเท่านั้น

และเขาก็รู้สึกว่ายิ่งเขาเข้าใกล้เธอมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับเธอ รู้สึกว่าเธอเกิดมาเพื่อเขา เขาจะไม่ปล่อยให้เธอไปแต่งงานกับใครอย่างเด็ดขาด

“วันนี้อาหมิงเขาซื้อขนมนมเนยกับเครื่องกระป๋องมาเองน่ะ แล้วก็ไม่เก้ ๆ กัง ๆ เหมือนเมื่อวานแล้วด้วย” หลินซิ่วอินอธิบายเพิ่ม

“แล้วรู้ได้ไงค่ะว่าต้องทำบุญด้วยของ ของตัวเอง ถึงจะได้บุญ”

“วิศรุตเขาบอกครับ ผมบอกเขาว่าเมื่อวานผมมาใส่บาตรที่นี่ เขาก็เลยบอกผมว่าทำบุญจะได้บุญต้องซื้อของทำเอง วันนี้ผมก็เลยต้องมา แล้วพรุ่งนี้ผมก็ว่าจะมาอีกจนกว่าเราจะกลับมาเลเซีย”

ขวัญชีวีนับว่าเขาหาข้ออ้างได้ดีมาก...“ค่ะ...เป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ”

“นี่ผมยังอยากไปหลวงพระบางอีกที่หนึ่งครับ ดูสารคดีเห็นใส่บาตรพระด้วยข้าวเหนียวแล้วอยากไปทำแบบนั้นบ้าง พม่าผมก็อยากไปเพราะเป็นเมืองพุทธจริง ๆ” พอเห็นว่าหญิงสาวยังนั่งคุยอยู่ด้วยเขาจึงหาเรื่องชวนคุยต่อ

“น่าไปทั้งสองที่เลยค่ะ”

“คุณขวัญไปมาหมดแล้วเหรอครับ”

“เคยไปพม่ากับหลวงพระบางแล้วค่ะ ไปเที่ยวกับทัวร์ค่ะ ไปกับคุณยายนี่แหละ กี่ปีแล้วนะ” ขวัญชีวีหันไปหาคุณยาย

“หลวงพระบางไปมาสองปีแล้ว พม่านี่สามปีแล้วนะ”

“แล้วจะไปอีกไหม” หลินซิ่วอินพอรู้ว่าหลานชายสนใจเรื่องศาสนาจึงต้องรีบถาม

“ก็ถ้าให้ไปอีก ก็ไปได้นะ บ้านเมืองเขาสงบ ๆ ดี แต่ชอบหลวงพระบางมากกว่าย่างกุ้ง...”

“ไปเมื่อไหร่ก็ชวนกันบ้าง ฉันกับหมิงจะได้ไปด้วย”

“ครับ ถ้าคุณยายกับคุณขวัญจะไปอีก ชวนผมด้วยนะครับ ผมอยากไป”

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากไปไหนแล้ว แข้งขาไม่ค่อยดี นี่แม่ของขวัญเขาก็ชวนให้ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอน ก็ยังไม่อยากไป ไม่อยากเที่ยวที่เดิม ๆ”

“แม่ฮ่องสอนก็สวยนะคะ เมืองปายกำลังเป็นที่นิยมเลยค่ะ...”

“เหรอครับ”

“เป็นเมืองในหุบเขาค่ะ อยู่ภาคเหนือของประเทศไทยติดพม่าโน่นเลยค่ะ ฤดูหนาวน่าไปมาก”

“คุณขวัญไปมากี่รอบแล้วครับ”

“แม่กับพ่อขวัญอยู่ที่โน่นค่ะ ไปมาหลายรอบเหมือนกัน แต่ไม่อยากขับรถขึ้นเขา ทางโค้งเยอะอันตราย”

“ผมชักอยากเห็นแล้วซิมันจะเหมือนที่คาเมร่อนไฮแลนด์ไหมนะ...”

“ว่าง ๆ ก็ลองชวนพี่รุตซิคะ...พี่รุตเป็นนักซิ่งคงจะสนุกแหละ”

“ซิ่งมากก็อันตรายนะ ย่าเล็กเป็นห่วง”

“คุณขวัญก็ซิ่งครับ ขับรถเร็วมาก”

“ก็เมื่อวานอยู่บนมอเตอร์เวย์นี่คะ ก็ต้องเหยียบ...” ค้อนให้เขาแล้ว ขวัญชีวีก็ถอนหายใจอย่างตัดบท

“กินข้าวเช้ากันหมดแล้วใช่ไหมคะ”

“เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เรานั่นแหละ” ปกติ ถ้าตื่นสาย ๆ แบบนี้ขวัญชีวีก็จะไม่ได้เรียกร้องให้ตั้งโต๊ะ หญิงสาวจะเข้าครัวแล้วดูว่าพอมีอะไรกินก็ตักราดข้าว แล้วก็นั่งกินเสียที่ในครัว หรือถ้าจะกินกาแฟหญิงสาวก็จะชงกินเองไม่รบกวนใคร ขวัญชีวีทำอาหารกินเองได้เพราะแน่งน้อยฝึกไว้ แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่ค่อยมีเวลา

“งั้นขวัญขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ ต้องออกไปทำงานแล้ว”

“ไปที่ทำงานของวิศรุตหรือเปล่าครับ” ที่เขายังนั่งรออยู่นี้เพราะเขารู้ว่าวันนี้ขวัญชีวีต้องเข้าบริษัทไปเซ็นสัญญาและเขาก็คาดเดาไม่ผิด “ไปค่ะ...จะติดรถไปด้วยเหรอคะ”

“ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอติดรถไปด้วยแล้วกัน...เพราะสัญญาที่คุณขวัญจะเซ็นต้องมีผมเซ็นด้วย”

“ที่ขวัญไม่รังเกียจก็เพราะว่าถ้าคุณไม่เซ็นขวัญก็ไม่ได้เงินของคุณนี่แหละค่ะ”



หลังจากนั่งรถของหญิงสาวออกจากบ้านมาแล้วหลินฮันหมิงที่หยิบสูทพอดีตัวสีเดียวกับกางเกงมาสวมก่อนจะขึ้นรถก็เอ่ยปากชวนคุยพลางผูกเนคไทไปด้วยเพราะไม่อยากให้ความเงียบนั้นทำให้หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของเขา กับไม่อยากให้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดนี้เคลื่อนไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะการที่จะรู้ว่าตนเองนั้นจะอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิตนั้น นอกจากความรู้สึกถูกใจแบบที่เรียกว่ารักแรกพบแล้ว เขาเชื่อว่าคนทั้งคู่ต้องมีทัศนะคติที่เหมือน ๆ กันด้วย

“ทำไม บางทีคุณขวัญใช้สรรพนามแทนตัวเองกับผมว่า ฉัน บ้าง ขวัญ บ้างละครับ”
ขวัญชีวีหันไปเลิกคิ้วเพราะไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้

“คุณดาก็อีกคน คุยกับวิศรุตผมก็ได้ยินว่าเขาแทนตัวเองว่าดา ไม่เห็นแทนว่า ฉันเลย”

“ภาษาไทยมันมีภาษาบอกระดับความสนิทสนมกันบอกอารมณ์ในขณะที่พูด อันที่จริง ถ้าสนิท ๆ กัน ขวัญก็จะใช้ขวัญ แต่ถ้าไม่สนิทก็ฉัน”

“แต่ผมว่าเวลาผมได้ยินคุณขวัญแทนตัวเองว่าขวัญแล้วผมรู้สึกดีมาก ๆ เลยครับ รู้สึกว่ามันเป็นกันเอง”

“ค่ะ กันเอง ก็คือสนิทนั่นแหละค่ะ”

“ตอนนี้ผมถือว่าผมสนิทกับคุณขวัญแล้วนะครับ”

“ค่ะ สนิทกันแล้ว”

“พรุ่งผมจะมาใส่บาตรอีกวันนะครับ แล้วอีกวัน ผมก็จะกลับมาเลเซียแล้ว ทางนี้ที่เหลือวิศรุตเขาจะจัดการเอง ผมเพียงรอรับอยู่ที่โน่น”

“ค่ะ...”

“คุณขวัญตื่นสายแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าว นี่ไม่หิวหรือครับ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูจะถนอมถ้อยคำ เขาจึงเอ่ยปากชวนคุยต่อ

“หิวเหมือนกันค่ะ”

“แล้วทำไมไม่กินอะไรก่อนออกมา”

“ก็กลัวไปไม่ทันเวลานัด พี่รุตนัดไว้สี่โมงครึ่งนี่ สามโมงกว่าแล้วมัวโอ้เอ้เสียคนแน่ ๆ”

“แล้วในรถไม่มีอะไรไว้กินเลยเหรอครับ” ถามแล้วเขาก็หันหลังไปดู

“มีค่ะอยู่ท้ายรถ มีขนมกรุบกรอบ ก็พอดีเมื่อวานมีคนมานั่ง ขวัญก็เลยขนไปไว้กระโปรงท้ายหมด”

“จอดรถแล้วให้ผมลงไปเอาให้ไหมครับ รถติด ๆ แบบนี้คุณขวัญก็กินไปขับรถไปจะได้ไม่หิวมาก”

“เอาอย่างนั้นนะคะ”

“การไม่กินข้าวเช้านี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยครับ จอดรถเถอะครับผมไม่อยากให้คุณขวัญหิว”

“ค่ะ”

ขวัญชีวีตบรถเข้าชิดริมฟุตบาท ปลดล็อคประตูให้เขา เขาเปิดประตูลงจากรถ หญิงสาวปลดล็อคฝากระโปรงท้ายรถให้ เขาคงกำลังมองหาขนมของกินเธอแน่ ๆ เพราะท้ายรถนั้นมันมีรองเท้า มีเสื้อผ้าสำรอง มีหนังสือ มีกระเป๋า มีกล่องอะไรมากมายที่เธอหมก ๆ ไว้ แล้วเขาก็เดินเหงื่อตกเปิดประตูเข้ามานั่งพร้อมกับพ่นลมหายใจแรง ๆ

“เมืองไทยทำไมร้อนแบบนี้”

“ประชากรของไทยเยอะค่ะ แค่กรุงเทพฯก็ สิบล้านคนแล้ว”

“เท่ามาเลเซียทั้งประเทศเลยนะ” ว่าพลางเขาก็หมุนฝาขวดน้ำดื่มให้เกลียวหลุดก่อนจะเปิดถุงขนมมันฝรั่งทอด โดยที่ขวัญชีวีก็เคลื่อนรถไปข้างหน้าเพราะต้องการทำเวลา

“คุณขวัญน่าจะมีนมกล่องติดรถไว้บ้างนะครับ”

“มีค่ะ แต่มันหมดแล้ว”

“รถคุณขวัญรกมากเลยนะ”

ถ้าเขาเห็นว่าท้ายรถของเธอรกแสดงว่าเขาเป็นคนสะอาด และขวัญชีวีก็นึกถึงบ้านของเขาที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าที่อยู่อาศัย มันดูเขร่งขรึม ดูสงบเงียบ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอยากนั่งอยู่นาน ๆ “กลัวงูกัดไหมคะ”

“กว่าจะหาขนมกับน้ำเจอ..กินอะไรก่อนดีครับ น้ำหรือขนม” เขาถามอย่างเดาใจ และขวัญชีวีก็ไม่รู้สึกกระดากอายอะไร ด้วยอยากจะดูว่านอกจากหน้าตาที่ชวนหลงใหลนั้น เขายังมีเสน่ห์อะไรซ่อนเร้นอยู่อีก

“น้ำค่ะ”

เขาส่งขวดน้ำไปให้ แต่ว่ามันก็ไม่มีหลอด แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่รถติด เขาเปิดฝาขวดขวัญชีวีจึงรับไปจิบแล้วก็ส่งขวดคืนให้เขา เพราะเป็นช่วงที่รถเคลื่อนตัวได้พอดี...

“ขนมครับ” เขายื่นถุงขนมที่เปิดปากจนกว้างไปให้หญิงสาวแต่ว่าขวัญชีวีก็ยังไม่ได้ละมือมาหยิบ

“เดี๋ยวมาคราวหน้าผมจะซื้อมันฝรั่งกระป๋องมาฝากนะครับ ผมว่ายี่ห้อนี้มันติดจะเค็มไปนิด”

ขวัญชีวีละมือหยิบขนมเข้าปากเคี้ยว พลางบอกเขาว่า “ขอบคุณค่ะ เกรงใจจังเลย” เธอขอบคุณที่เขาถือขนมค้างไว้กับขอบคุณที่เขาจะซื้อของมาฝาก

“เราเป็นคนสนิทกันนี่ครับไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“ค่ะ” ขวัญชีวียังคงหยิบขนมเข้าปากและเคี้ยว ตาจ้องถนน กระทั่งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าถือทรงสมุดที่หญิงสาววางไว้เบาะหลังรถดังขึ้นแต่ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่การจราจรกำลังคับคั่ง ขวัญชีวีจึงไม่ได้หันไปหยิบกระเป๋าในทันที “ผมขออนุญาตหยิบมือถือของคุณให้ได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ได้”

หลินฮันหมิงรีบเอี้ยวตัวไปทางด้านหลังหยิบกระเป๋ามาแล้วรูดซิบแล้วดึงโทรศัพท์ออกมา ที่หน้าจอเป็นชื่อ ‘peepum’ ซึ่งเขาพอจะรู้ว่าเป็นเบอร์ของใคร...แต่เขาก็แสร้งว่าไม่รู้ว่ามันเป็นเบอร์ของใครเพราะอยากจะดูสีหน้าของหญิงสาว ขวัญชีวีละมือมาคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจอก่อนจะกดรับสายและกรอกเสียงหวาน ๆ ลงไป

“สวัสดีค่ะพี่ปุ้ม”

การที่ขวัญชีวีเอ่ยชื่อคนปลายสายออกมาให้หลินฮันหมิงได้ยินนั้นทำให้หลินฮันหมิงต้องหันหน้าออกไปมองนอกรถ เพราะถ้ามองหน้าหญิงสาวในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์เขารู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมาก

“อยู่บนถนนแล้วค่ะ กำลังจะไปค่ะ อ๋อ..เย็นนี้เหรอค่ะ ค่ะ ๆ เดี๋ยวโทรกลับไปบอกนะคะ ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ”

วางสายลงแล้วขวัญชีวีก็วางโทรศัพท์ไว้บนตัก..แล้วบอกพูดกับเขาว่า

“พี่ปุ้มโทรหาย่าเล็กค่ะ ชวนย่าเล็กกับยายแน่งน้อยไปกินข้าวที่ร้านเย็นนี้ แล้วก็ชวนขวัญด้วย ชวนคุณมาร์คด้วย แต่ขวัญยังไม่ได้ตกลงนะคะ เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีงานอะไรอีกหรือเปล่า” บางครั้งหาทางเลี่ยงการพบเจอปวุฒิได้ขวัญชีวีก็จะทำ และงานก็เป็นอีกหนึ่งข้ออ้างที่ขวัญชีวีใช้มาโดยตลอด

“ผมอยากไปร้านคุณปุ้มครับ อยากไปขอบคุณเขาก่อนกลับปีนัง อยากอุดหนุนเขาสักหน่อย”

“ค่ะ”

“คุณขวัญกินขนมต่อดีกว่าครับ”

“ไม่แล้วค่ะ แค่นี้แหละ”

“กินน้อยจังเลย”

“คุณมาร์คกินซิคะ หรือถ้าไม่กินก็ม้วน ๆ ปากถุงไว้ให้ด้วย ลมจะได้ไม่เข้า ขนมจะได้กรอบเหมือนเดิม”

“ผมถึงบอกว่า กินแบบกระป๋องจะดีกว่า...แล้วกินข้าวน้อย ๆ แบบนี้แล้วเอาแรงที่ไหนมาทำงานครับ”

“อาชีพของขวัญทานตามใจปากมากไม่ได้หรอกค่ะ ขึ้นกล้องแล้วอืดขึ้นมาไม่มีใครจ้างทำงานกันพอดี ต้องระวังเรื่องอาหารเป็นอย่างมากค่ะ แต่อย่างวันนี้ก็ถือว่าหยวน ๆ กันไป ปกติขวัญก็ใส่ใจกับสุขภาพอยู่ค่ะเพราะรู้ว่าเราต้องใช้ร่างกายนี้ทำมาหากิน” ขวัญชีวีพยายามที่พูดช้า ๆ และเฟ้นหาคำศัพท์ง่าย ๆ เพราะรู้ว่าเขาไม่แตกฉานในภาษาไทย

“แล้วคุณขวัญจะอยู่ในวงการนี้อีกนานไหมครับ”

“เป็นคำถามที่ตอบยากค่ะ บางคนเป็นนักแสดงตั้งแต่เกิดจนตายไปเลย เพราะทำอาชีพอื่นไม่เป็น ขวัญก็รู้สึกตัวเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”

“แต่งงานแล้วก็ยังเล่นละครได้เหรอครับ”

“อายุมาก ๆ ก็ผันตัวเองไปรับบทตามวัย หรืออาจจะไปเป็นผู้จัดละคร งานอาจจะลดลง เงินอาจจะน้อยลง แต่ถ้าตอนที่ยังทำงานไหว รู้จักบริหารเงิน อนาคตก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวสักเท่าไหร่หรอกค่ะ แล้วขวัญเองก็เป็นประเภทตระหนี่ถี่เหนียวค่ะ...”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2556, 10:26:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2556, 10:26:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1753





<< 11.   12. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ก.พ. 2556, 10:26:36 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ


คิมหันตุ์ 1 ก.พ. 2556, 12:25:53 น.
ฮ่าฮ่า....คุยกันไปเรื่อยๆเชียว


loveleklek 2 ก.พ. 2556, 10:37:29 น.
นานๆ มาอัพทีนะ


Zephyr 2 ก.พ. 2556, 11:41:00 น.
เหมือนคุยกันได้ทุกเรื่องเลยนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account