กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 23


23......


อาเอี่ยะโตเป็นสาวเร็วมาก คุณหนูโน้ยก็เช่นกัน วัน ๆ เอาแต่กลัดกลุ้มใจกับสิวบนใบหน้า ยิ่งคุณหนูโน้ยมีเวลาว่างมากเท่าไหร่ ยิ่งมองกระจกมากเท่านั้น และเมื่อมองกระจกคราใด ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องบีบสิว ทำให้สิวยิ่งเห่อขึ้นเต็มใบหน้าของเด็กรุ่นสาวอย่างคุณหนูโน้ย
ตอนบ่ายของวันหนึ่ง...อาไล้นำกาน้ำชาที่เติมน้ำร้อนแล้วเข้าไปไว้ที่โต๊ะในห้องโถงรับรองก็เห็นคุณหนูโน้ยนั่งหน้าบึ้งอยู่คนเดียว จึงทักว่า
“คุณหนูขา เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?”
“อั๊วกลุ้มใจ” คุณหนูโน้ยตอบเสียงห้วน ๆ
“กลุ้มใจเรื่องไร บอกอาไล้ได้ไหม บางทีอาไล้อาจจะช่วยได้”
“เรื่องนี้ลื้อช่วยอะไร อั๊วไม่ได้หรอก” เสียงคุณหนูหมดหวัง
“ยังไม่ได้บอกออกมาเลย รู้ได้ยังไงว่าอาไล้ช่วยไม่ได้” อาไล้เกลี้ยกล่อม
“อั๊วกลุ้มใจที่หน้าอั๊วเป็นสิวเขลอะเลย ทีอาลั้งทำไมไม่เห็นเป็น หน้าอีเกลี้ยงเกลาขาวสวยยังกับไข่ปลอก” คุณหนูโน้ยระบายความในใจ
“อ๋อ...เรื่องนี่เอง ทำไมอั๊วจะช่วยไม่ได้” แล้วอาไล้มองไปรอบ ๆ ห้องก่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาแน่แล้ว จึงเอ่ยต่อ “คุณหนูต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดนะคะ”
“ได้ ๆ ... อั๊วจะเก็บเป็นความลับ” คุณหนูโน้ยรีบรับปากด้วยความตื่นเต้น
“แม้แต่ยี่เสี่ยกับยี่เสี่ยเนี้ยก็บอกไม่ได้” อาไล้กำชับ
“ได้...อั๊วจะไม่บอกพ่อกับแม่เด็ดขาด” คุณหนูโน้ยรับปากแข็งขัน
“งั้นคุณหนูเอียงหูมา...” อาไล้บอกเบา ๆ
คุณหนูโน้ยทำตามอย่างรวดเร็ว อาไล้กระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามว่า “เข้าใจหรือยังคะคุณหนู ?”
“วิธีนี้จะได้ผลจริง ๆ นะเหรอ ?” คุณหนูถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ใช้กันมาได้ผลหลายรายแล้วค่ะ ถ้าคุณหนูไม่เชื่อก็ไม่ต้องทำก็ได้” อาไล้จะรุกแต่แสร้งถอย
“เชื่อสิอาไล้” คุณหนูเอ่ย หมายมั่นปั้นมือในใจ วิธีที่อาไล้แนะนำให้เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ซึ่งเป็นที่ถูกใจของคุณหนูมาก แต่ที่ถามเพื่อการรับรองให้มั่นใจมากขึ้นต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้น คุณหนูก็จัดการเลย” อาไล้ยุ
“ได้” คุณหนูโน้ยเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปในครัว โดยมีอาไล้เดินตามไปติด ๆ

ในครัวไม่มีใครอยู่...คุณหนูโน้ยก็เลยหันมามองอาไล้ พลางถาม “อีไม่อยู่ จะทำยังไงดี ?”
“ใจเย็น ๆ ค่ะคุณหนู อีไปหาบน้ำ เดี๋ยวก็มา” อาไล้เอ่ย แล้วนึกสะใจอยู่เงียบ ๆ ทีนี้ละอาลั้งลื้อต้องเป็นสิวเขลอะเหมือนคุณหนูโน้ยอย่างแน่ ๆ
ไม่นานนัก...อาเฮี่ยะกับอาลั้งก็หาบน้ำมาถึงในครัว พอเทน้ำลงตุ่มเรียบร้อย คุณหนูโน้ยก็ออกปากเรียก “อาลั้งมานี่ซิ”
“หือ...?” อาลั้งงง ๆ เพราะปกติคุณหนูโน้ยจะไม่เข้ามาในครัว แต่วันนี้กลับเข้ามาซ้ำยังเรียกตนอีก
“มัวแต่ยืนทื่ออยู่ได้ คุณหนูเรียกก็เข้ามาสิ” อาไล้แหว
“ค่ะๆ” อาลั้งรับคำ แล้วเดินเข้าไปยืนอย่างนอบน้อมต่อหน้าคุณหนูโน้ย
“เงยหน้าขึ้นซิ” คุณหนูโน้ยออกคำสั่ง
อาลั้งไม่กล้าชักช้า เงยหน้าตามคำสั่ง
ทันทีที่อาลั้งเงยหน้า .... คุณหนูโน้ยก็เอาสองมือลูบหน้าที่เป็นสิวเขลอะของตนเอง แล้วมาลูบหน้าที่เหงื่อเปียกซกเพราะทำงานหนักของอาลั้ง พร้อมกับเอ่ยว่า
“อั้วยกสิวของอั้วให้ลื้อ !”
แล้วคุณหนูโน้ยก็หันหลังออกจากครัวไปทันที
ปล่อยให้อาลั้งยืนงง
ไม่เพียงอาลั้งที่งง อาเฮี่ยะก็งง
“อีทำอะไรของอี” อาเฮียะเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้อาลั้ง
“ไม่รู้” อาลั้งตอบอย่างมึนงงไม่หาย
แต่อาไล้รู้อยู่แก่ใจทุกอย่าง นางจึงหัวเราะงอหาย
อาเฮี่ยะเห็นกิริยาแปลก ๆ นั้นอดสงสัยไม่ได้จึงถาม “ป้าไล้หัวเราะอะไรเหรอ?”
“เรื่องของอั้ว” อาไล้ตอบเสียงสบัด ก่อนจะพึมพำเพลงงิ้วอย่างสบายอารมณ์

...........................

สองวันต่อมา...อาลั้งมีสิวผุดขึ้นที่ใบหน้าสามเม็ดเป็นตุ่มนูนแดง เด็กสาวรู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ น่ารำคาญ อาเฮี่ยะเห็นเข้าก็โวยวาย
“อาลั้ง...ลื้อเป็นสิว”
เด็กสาวยกมือขึ้นลูบหน้า มือก็สะดุดกับตุ่มนูน “มันคันยิบ ๆ ทำให้อั๊วอยากจะบีบมันออกมาจังเลย”
“อย่าบีบสิว” เสียงนุ่มนวลแทรกขึ้น
เด็กสาวทั้งสองหันไปมองต้นเสียง พลางเรียกอย่างเคารพ “ซาเสี่ยเนี้ย”
ปกติซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่เข้ามาในครัวบ่อยนัก แต่วันนี้นางอยากทำไข่หวานให้ลูกชาย แต่ไม่อยากให้อาไล้ทำ จึงเข้ามาในครัวเอง พอดีมาได้ยินสองเด็กสาวที่เพิ่งหาบน้ำเสร็จคุยกัน
“เป็นสิว....ห้ามบีบเด็ดขาด ห้ามเอามือไปลูบไปคลำด้วย เพราะมือสกปรก จะทำให้สิวลามมากขึ้น” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “พวกลื้ออยากหายเป็นสิวไหม?”
“อยากค่ะ” อาเฮี่ยะกับอาลั้งตอบพร้อมเพรียง
“พวกลื้อต้องล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าสะอาดบ่อย ๆ ล้างเสร็จก็ต้องใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง แล้วใช้ผ้าแห้งที่สะอาดอีกผืนทาแป้งจีนเพื่อซับน้ำมันส่วนเกินของใบหน้า” ซาเสี่ยเนี้ยสอน
“แต่พวกหนูไม่มีแป้งจีนแล้วก็ไม่มีผ้าสะอาดด้วย” อาลั้งเอ่ยเสียงเบา ส่วนอาเฮี่ยะก็พยักหน้าคล้อยตาม
“เรื่องแป้งจีนไม่มีปัญหา เดี๋ยวอั๊วให้พวกลื้อคนละกล่อง”
“ขอบคุณค่ะ” สองเด็กสาวเอ่ยพร้อมเพรียง
“เรื่องผ้าสะอาดก็เหมือนกัน ทำได้ไม่ยาก” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “เอาเสื้อที่เก่าคับใส่ไม่ได้แล้วมาตัดเป็นผืนสี่เหลี่ยม แล้วซักให้สะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท ก็ใช้ได้แล้ว ผืนใหญ่สองผืนไว้เช็ดหน้าสองผืน ไว้คลุมหมอนนอนผืนหนึ่ง เพราะหมอนที่สกปรกก็ทำให้เป็นสิวได้ ส่วนผืนเล็กใช้ทาแป้ง แต่ผ้าพวกนี้ต้องซักให้สะอาดตากแดดให้แห้งสนิทบ่อย ๆ สิวถึงจะหาย”
“ค่ะ” สองเด็กสาวรับคำพร้อมเพรียง
“เดี๋ยวรออั๊วทำไข่หวานก่อน”
ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย แล้วยกกาต้มน้ำร้อนลงจากเตาเล็กที่ติดไฟไว้ตลอดเพื่อชงชา เอาหม้อใบเล็กมาตั้งเอาน้ำตาลกรวดมาชงกับน้ำร้อนในหม้อ แล้วตั้งไฟ จนน้ำตาลกรวดละลายก็ต่อยไข่ไก่ใส่ลงไปสองฟอง รอจนไข่แดงเป็นยางมะตูม ก็ยกหม้อเล็กมาวางบนโต๊ะ ใช้ทัพพีตักไข่ใส่ถ้วยกระเบื้องอย่างดีใบเล็ก แล้วตักหวานเติมลงพอประมาณ แล้วสั่ง
“อาลั้ง เอาจานมารองแล้วเอาช้อนมาด้วย เอาไข่หวานนี้ไปให้คุณชายป้อที่ห้องโถงพักผ่อน”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำแล้วทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ส่วนอาเฮี่ยะ เอากาน้ำตั้งเตา แล้วตามอั้วไปที่ห้อง อั้วจะเอาแป้งจีนให้ลื้อกับอาลั้ง”
“ค่ะ” อาเฮี่ยะเอากาน้ำตั้งขึ้นบนเตาไฟอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตามซาเสี่ยเนี้ยไปติด ๆ

......................
คุณชายป้อนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะไม้ฝังมุก แค่เห็นก็ทำให้อาลั้งใจสั่นแก้มแดงระเรื่อและพลอยทำให้มือที่ยกจานรองถ้วยใส่ไข่หวานสั่นไปด้วย
เสียงกุกกักของการกระทบกันของถ้วยกับจานรองทำให้คุณชายรู้สึกได้ถึงการมาของอาลั้ง จึงเงยหน้าจากการอ่านหนังสือมองมา พอเห็นเด็กสาว คุณชายก็ยิ้มเล็กน้อย
“เขามาสิอาลั้ง”
อาลั้งเดินเข้าไปอย่างเคอะเขิน วางจานลงบนโต๊ะตรงหน้าคุณชาย แล้วกล่าวว่า “ซาเสี่ยเนี้ยให้เอาไข่หวานมาให้คุณชายค่ะ”
“ขอบใจนะ” คุณชายตอบ
คำตอบของคุณชายทำให้หัวใจของอาลั้งพองโต คำ “ขอบใจ” สำหรับอาลั้งแล้วไม่ใช่จะได้ยินกันง่าย ๆ ยิ่งมาจากปากของคุณชายป้อซึ่งอาลั้งทั้งชื่นชมทั้งบูชา เพราะเขาเป็นคนมีการศึกษาดี มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนเหมือนซาเสี่ยเนี้ย ทั้งยังมีหน้าตารูปร่างดีอีกด้วย ทำให้อาลั้งรูสึกว่า คำ “ขอบใจ” มีค่ามากกว่าปกติหลายร้อยเท่า
เด็กสาวยิ้มแก้มแทบปริ พลางค้อมตัว แล้วจะถอยห่างมา แต่คุณชายเรียกเอาไว้ก่อนว่า “เดี๋ยวสิ อาลั้งอยู่คุยกันก่อน”
“คุณชายจะใช้อะไรบ่าวหรือคะ?” อาลั้งใช้ถ้อยคำที่สุภาพที่สุดกับอีกฝ่าย
“เปล่า...ไม่ได้ใช้อะไรหรอก เพียงอยากคุยด้วยนิดหน่อย” คุณชายป้อเอ่ยตามตรงไม่อ้อมค้อม
“มีอะไรหรือคะ?” อาลั้งแทบจะไม่อาจจะระงับอาการสั่นของเสียง
“เห็นว่าอาลั้งเรียนพูดภาษาสยามหรือ ?” คุณชายถาม
“ค่ะ เรียนจากอาเฮี่ยะ”
“พูดได้มากแค่ไหนแล้วละ ?” คุณชายซักต่อ
“ได้เพียงนิดหน่อยค่ะ”
“งั้น เวลาเจออั้วเราพูดภาษาสยามกันเอาไหม ?” คุณชายเอ่ยกับอาลั้งอย่างอยากจะช่วยฝึกภาษาให้อีกฝ่าย
แต่อาลั้งปฏิเสธว่า “ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างแปลกใจ
“เพราะบ่าวพูดไม่ชัด เวลาพูดแล้วมันกระดากค่ะ” อาลั้งตอบตามจริง
คุณชายก็เลยยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยว่า “อาลั้งอายที่พูดไม่ชัดเหรอ”
“ค่ะ” อาลั้งยอมรับ
“ไม่ต้องอายหรอก คนพูดใหม่ ๆ ก็พูดไม่ชัดกันทั้งนั้น” คุณชายกล่าวอย่างให้กำลังใจ
“การพูดจะต้องพูดให้บ่อย ๆ จึงจะชัดขึ้นมาได้ ถ้าอาลั้งมัวแต่อาย มันก็จะไม่ชัดไปตลอด แต่ถ้าอาลั้งพูดบ่อย ๆ เข้า ก็จะเก่งขึ้นและพูดชัดขึ้นไปเอง”
“เหมือนอาเฮี่ยะใช่ไหมคะ ?” อาลั้งถาม
“ใช่แล้วละ” เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะบอกต่อว่า “ตอนไหนที่อาลั้งว่างจากงานแล้วอั๊วเสร็จจากการทำการบ้าน อั๊วจะสอนภาษาสยามให้ เอาไหมอาลั้ง”
“เอาค่ะ” อาลั้งตอบอย่างดีใจเป็นที่สุด

...................................

ไม่นานนัก....สิวของอาลั้งก็หายเกลี้ยง แต่สิวของคุณหนูโน้ยไม่หายเสียที เม็ดหนึ่งหาย อีกสองเม็ดก็ผุดขึ้นมา พอเจอหน้าอาไล้ ก็ตวาดแหวก
“ทำไมสิวอั๊วไม่หายเสียที”
“อั๊วไม่รู้” อาไล้ส่ายหน้าดิ๊ก ออกจะกลัว ๆ ความเอาแต่ใจของคุณหนูโน้ยอยู่ไม่น้อย “อั๊วก็เห็นอาลั้งอีเป็นสิวสามสี่เม็ด แล้วก็หาย”
“แล้วทำไมอั๊วไม่หาย” เสียงคุณหนูโน้ยเอาเรื่อง
“คงเป็นเพราะอีดวงแข็งกว่า...” อาไล้พูดไปก็คิดหาวิธีพูดให้คุณหนูโน้ยยิ่งเกลียดอาลั้งมากขึ้นกว่าเก่า “อาลั้งอีคงมีดวงมาข่มคุณหนูโน้ยแน่ ๆ”
“อั๊วไม่ยอมหรอก” คุณหนูโน้ยตาวาว
“ก็คิดดูซิ ตอนนี้อีก็ไปพูดคุยอะไรก็ไม่รู้กับคุณชายป้อแทบทุกวัน แถมยังมีซาเสี่ยเนี้ยรู้เห็นด้วย อีกหน่วยอีอาจจะเลื่อนตำแหน่งจากขี้ข้าไปเป็นอาซ้อ (พี่สะใภ้) ของคุณหนูก็ได้”
“อั๊วไม่ยอมหรอก อั๊วจะฟ้องแม่”
“ดีเลยค่ะคุณหนู ฟ้องยี่เสียเนียเลย” อาไล้ยุส่ง
คุณหนูโน้ยจึงไปยังห้องนอนของมารดา เพื่อที่จะฟ้องเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ยี่เสี่ยเนี้ยกำลังนอนพักผ่อนเพราะเกิดอาการคลื่นไส้เวียนหัว
พอคุณหนูโน้ยเปิดประตูห้องเข้าไปได้ ก็ไม่ฟังเสียงอะไร เริ่มต้นตะเบ็งเสียงว่า “แม่...ลื้อต้องส่งอาลั้งกลับเมืองจีนเดี๋ยวนี้นะ”
“อะไรกัน...อาโน้ย แม่กำลังเวียนหัวนะ พูดจาอะไรก็เบา ๆ อย่าเอะอะเอ็ดตะโรยังงี้ ยิ่งฟังยิ่งเวียนหัว” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยกับลูกสาวเสียงอ่อนล้า
“แม่...ลื้อต้องส่งอาลั้งกลับเมืองจีน” อาโน้ยพูดเสียงเบาลง แต่ยังคงเป็นใจความเดิม
“ทำไมละ?” คนเป็นแม่ถาม
“เพราะดวงอีข่มอั๊ว ทำให้อั๊วเป็นสิวไม่ยอมหาย อาโน้ยบอกต่อมารดาที่เคยแต่ตามอกตามใจไม่ว่าเรื่องจะผิดจะถูกยังไง ก็ตะบี้ตะบันตามใจดะ
แต่คราวนี้กับไม่.....
“เหลวไหล ..... ไปฟังใครมาว่าดวงอีข่มลื้อ เลยทำให้ลื้อเป็นสิว”
“อาไล้บอก” อาโน้ยบอกต่อมารดา
“ไปเรียกอาไล้มา” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่งลูกสาว
อาโน้ยก็เลยไปตามอาไล้มา เพื่อจะได้เป็นพยานฝ่ายตน พออาไล้ตามคุณหนูโน้ยมาถึงห้องนอนของยี่เสี่ยเนี้ย ยี่เสียเนี้ยก็เป็นฝ่ายเปิดฉากถาม
“อาไล้” .... ลื้อยุอาโน้ยให้ส่งอาลั้งกลับเมืองจีนเหรอ?”
“ไม่ใช่ยุค่ะ ... เพียงแต่ว่าบ่าวเห็นอาลั้งทำตัวสนิทสนมกับคุณชายป้อมากเกินไป อีกหน่อยอีอาจจะคิดข้ามขั้นมาเป็นสะใภ้แทนการเป็นขี้ข้าก็ได้นะคะ” อาไล้ยุยี่เสี่ยเนี้ย
“เรื่องนั้นซาเสี่ยเนี้ยไม่เป็นห่วง แล้วลื้อจะเป็นห่วงไปทำไม?” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
อาไล้เลยหน้าเสีย เพราะเสียหน้า
“อั๊วมีอะไรจะบอกลื้อสองคน...” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยต่อ “อั๊วรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็เลยไปหาหมอฝรั่งมา หมอฝรั่งบอกว่า อั๊วกำลังตั้งท้อง”
“ตั้งท้อง! “
สองเสียงอุทานพร้อมเพรียง
อาไล้คิดถึงงานที่จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีเจ้านายน้อย ๆ เกิดใหม่
ส่วนอาโน้ยนั้นยิ่งไม่ชอบใจหนัก ตนเองเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่ก็ตามใจ ถ้ามีน้องเป็นผู้หญิงอีกคน ตนก็จะถูกลดความสำคัญลง แต่ถ้าน้องเป็นผู้ชาย ตนก็จะยิ่งซวย เพราะจะตกกระป๋อง พ่อแม่จะหันไปโอ๋ไปเอาอกเอาใจลูกชายมากกว่า!

...................................

หลังจากอาลั้งทำงานในหน้าที่เสร็จ ก็เป็นเวลาสามทุ่ม ... เด็กสาวเดินตรงไปยังห้องโถงพักผ่อนของเจ้านาย เพื่อที่จะเรียนพูดภาษาสยามกับคุณชายป้อ โดยมีซาเสี่ยเนี้ยนั่งฟังอยู่ด้วย




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2556, 16:13:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2556, 16:13:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1354





<< ตอนที่ 22   ตอนที่ 24 >>
อ้อย 4 ก.พ. 2556, 16:38:47 น.
กรี๊ดดดด
ซาเสี่ยเนี๊ยจิตใจงดงามค่ะ ลูกชายก็จิตใจงดงาม ขอให้อาลั้งเจอคนดีๆด้วยค่ะ


ree 4 ก.พ. 2556, 20:02:20 น.
อาไล้นี่เป็นตัวร้ายของแท้ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่องได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account