ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5


เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรฝ่าเปลวแดดร้อนระอุไปยังถนนว่างเปล่าเบื้องพระพักตร์ด้วยความหงุดหงิดพระทัยเป็นที่สุด พระองค์อุตส่าห์เสด็จมารอรับอาจารย์ของน้องสาวตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลานัด เปล่า... ไม่ได้คิดจะให้เกียรติเจ้าหมอนั่นเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะทรงรู้สึกเขม่นอีกฝ่ายขึ้นมาจนทนนั่งเฉยอยู่ไม่ไหว ต้องปลอมตัวออกมาขอดูหน้ามันให้ชัดๆ เสียก่อน หากเห็นแล้วไม่ถูกชะตาจะได้หาทางไล่กลับแลมพ์ตันเสียโดยเร็ว

แม้จะเลยเวลานัดมานาน ก็ยังไม่มีวี่แววของนักบวชให้เห็นสักคน ที่หน้าประตูตะวันตกมีเพียงเด็กหนุ่มท่าทางเหมือนขอทานคนหนึ่ง นั่งหลบแดดอยู่แทบโคนไม้ใหญ่ใกล้กับชายในเสื้อคลุมเดินทางสีเข้ม นอกจากเจ้าสองคนนี้ เจ้าชายกันนาร์ก็ไม่เห็นใครอีก โดยเฉพาะคนในชุดนักบวชที่พระองค์เฝ้ามองหามาตลอดบ่าย

ในที่สุดเวลาพลบค่ำก็มาเยือน...

ทหารยามผลัดที่สามเข้าประจำที่ของตนหลังจากเดินตรวจตรารอบกำแพงแล้วรอบหนึ่ง เปลวไฟในกระถางบนขาตั้งทรงสูงถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ก่อให้เกิดแสงสว่างสีส้มแดงสาดกระจายไปทั่ว เสียงลากโซ่ดังขึ้นกราวใหญ่แสดงว่าประตูปราสาทชั้นนอกกำลังจะปิด เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรไปที่ถนนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหันหลังเดินดุ่มกลับเข้าเขตปราสาทชั้นในด้วยพระอารมณ์โกรธกรุ่น

“เอ่อ ขอโทษทีพี่ชาย ข้าขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

เสียงที่ดังขึ้นแว่วๆ ทางเบื้องหลัง ทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องชะงักพระบาท เบือนพระพักตร์กลับไปมองด้วยสัณชาตญาณมากกว่าจะสนพระทัยจริงจัง เจ้าของเสียงนุ่มหูที่ทรงได้ยินก็คือชายในเสื้อคลุมขะมุกขมอมที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าประตูตะวันตกมาตั้งแต่บ่ายนั่นเอง

“มีอะไรหรือน้องชาย” ทหารยามผู้กำลังทำหน้าที่ปิดประตูย้อนถาม

“เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสเรียกข้ามาเข้าเฝ้า แต่สงสัยว่าข้าจะคลาดกับคนที่มารับซะแล้ว พี่ชายจะกรุณาให้ข้าผ่านเข้าไปได้มั้ย”

นายทหารร่างใหญ่มองคนพูดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วส่ายหน้าปฏิเสธเอาไว้ก่อน

“ไม่ได้หรอก นอกจากเจ้าจะมีหนังสืออนุญาต”

“หนังสืออนุญาต”

“ใช่ ถ้าไม่มีใครมารับ เจ้าก็ต้องมีหนังสืออนุญาต ไม่งั้นข้าก็ให้เจ้าผ่านประตูเข้ามาไม่ได้”

“โธ่...พี่ชาย ข้ามีเรื่องด่วนจริงๆ นะ ขอร้องล่ะ ให้ข้าเข้าไปเถอะ”

บทสนทนาของชายหนุ่มแปลกหน้ากับทหารยาม ทำให้เจ้าชายกันนาร์ต้องเสด็จย้อนกลับมาที่ประตูชั้นนอกอีกครั้ง พระองค์ประทับยืนกอดอกฟังชายผู้นั้นพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมทหารยามเฉยอยู่ สายพระเนตรคมกริบทั้งคู่แลสำรวจร่างในเสื้อคลุมยาวรุ่มร่ามอย่างเพ่งพิศ ...สารรูปผอมแห้ง เสื้อผ้าก็มอมไปด้วยฝุ่น ไม่ว่าจะดูยังไงเจ้าหมอนี่ก็ไม่มีส่วนไหนเหมือนนักบวชเลยสักนิด ที่สำคัญ...มันหล่อเกินไป!

เจ้าชายกันนาร์ทรงวาดภาพอาจารย์ของน้องสาวไว้ว่าจะต้องเป็นผู้ชายที่ภูมิฐาน มีสง่าราศีและคงแก่เรียน เหมือนนักบวชส่วนใหญ่ในลินเด็นที่พระองค์เคยเห็น หากเจ้าคนที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนนักบวชผู้นี้กลับตรงกันข้ามไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตานั่น... ขนาดพระองค์เป็นผู้ชายยังอดรู้สึกสะดุดตากับความหล่อของหมอนี่ไม่ได้ แล้วถ้าเป็นผู้หญิงเล่า

เพราะเหตุนี้หรือเปล่ากาอิยาห์ถึงกระตือรือร้นอยากจะพบกับอาจารย์ของนางนัก ...ยิ่งคิดเจ้าชายกันนาร์ก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้าชายหนุ่มผู้นี้มากยิ่งขึ้นทุกที

“...ยังไงก็ไม่ได้หรอกน้องชาย มันเป็นกฎ” เสียงทหารยามคนเดิมตอบกลับมาแว่วๆ

“ให้เขาเข้ามาเถอะ”

เจ้าชายกันนาร์ยอมอ้าพระโอษฐ์ช่วยเหลือชายแปลกหน้าผู้เป็นอาจารย์ของน้องสาวในที่สุด พระองค์พยายามซ่อนพระพักตร์เอาไว้ในเงามืดเพราะกลัวทหารยามจะจำได้ แม้จะทรงย้อมพระเกศาให้เป็นสีน้ำตาล และใช้แป้งผสมเขม่าทำให้พระฉวีดูคล้ำลงแล้วก็ตาม

“ถ้าท่านชื่อเมลละก็ เจ้าชายกันนาร์ให้ข้ามารับท่าน” พระองค์บอกเสียงห้วน
ทหารยามจ้องมองชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารองครักษ์อยู่เพียงครู่เดียว ก็ยอมปล่อยให้ชายแปลกหน้าและเด็กหนุ่มผมแดงผ่านประตูไปแต่โดยดี

“เดี๋ยวก่อน..”

เจ้าชายกันนาร์ยื่นท่อนพระกรออกไปขวางหน้าเด็กหนุ่มท่าทางยโส ที่เดินตามหลังชายชื่อเมลเข้ามาติดๆ เอาไว้ พร้อมกับตรัสถามเสียงเข้มงวด

“เจ้าเป็นใครกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าก็ชื่อเมลอีกคน”

“ข้าชื่อซิส” หนุ่มน้อยตอบทันควัน ดวงตาคมสีน้ำตาลแลสบกับนัยย์ตาสีม่วงของคนถามอย่างท้าทาย

“เป็น...”

“คนติดตามของข้าเอง”

เมลิอานาร์รีบชิงบอกเสียก่อน เพราะเกรงว่าเจ้าตัวดีจะพูดจากวนประสาทตามแบบของมันจนเสียเรื่อง

เจ้าชายพยักพระพักตร์รับรู้แล้วตรัสถามประโยคต่อไป

“ม้าของพวกท่านล่ะ ข้าจะได้ให้คนเอาไปเก็บไว้ในคอกเสียทีเดียว”

คนถูกถามยิ้มจืดๆ ตอบไม่เต็มเสียง “ข้าขายมันเพื่อจ่ายค่าที่พักไปแล้ว พวกเราใช้วิธีเดินเท้ามาน่ะพี่ชาย”

เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยเฮือกใหญ่ จ้องมองอาจารย์ของน้องสาวด้วยสายพระเนตรแสดงความไม่เชื่อถืออย่างเปิดเผย ...เจ้านักบวชคนนี้ ท่าทางก็ไม่เหมือนนักบวช คนติดตามก็เป็นเด็กขอทาน แถมยังถังแตกถึงขนาดต้องขายม้าแลกที่พัก นี่พระองค์ควรจะฝากชีวิตของเจ้าหญิงแคธรีนไว้ในมือคนแบบนี้จริงๆ ละหรือ?


เมลิอานาร์และซิสเดินตามหลังทหารองครักษ์หนุ่มท่าทางถือตัวมาถึงเรือนแถวโอ่โถงสองชั้นรูปทรงสี่เหลี่ยม ที่ตั้งอยู่ริมกำแพงไม่ห่างจากประตูทางเข้าปราสาทมากนัก สีขาวนวลของตัวอาคารตัดกับสีแดงคล้ำของหลังคาแลเห็นเป็นเงาทะมึนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวเลือน

นักบวชในชุดสีเทาเข้มยาวกรอมเท้าถือตะเกียงยืนรออยู่แล้วที่หน้าอาคาร เขาเดินนำคนทั้งสามขึ้นบันไดหินเตี้ยๆ ผ่านห้องที่มีมีประตูไม้หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเรียงเป็นแถวอยู่ทั้งสองฟาก จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบานสุดท้าย นักบวชผลักประตูบานนั้นให้เปิดออก ยกตะเกียงในมือชูขึ้นสูง แสงสว่างเรืองรองส่องให้เห็นสภาพภายในห้องขนาดกะทัดรัด มีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมแบบธรรมดาพร้อมเก้าอี้พนักสูงเข้าชุดกันตั้งอยู่ตรงกลาง ถัดไปเป็นเตาผิงขนาดเล็ก มีฟืนที่ยังไม่ได้ใช้กองสุมอยู่ด้านข้างจำนวนหนึ่ง ทางขวามือของเตาผิงคือหน้าต่างบานยาวกรุกระจกใสประดับม่านเนื้อหนาสีอ่อน ใกล้ๆ กันนั้นคือประตูไม้อีกบานสำหรับเปิดเข้าสู่ห้องนอนซึ่งแยกเป็นสัดส่วนต่างหากอยู่ด้านใน

“นี่คือห้องของพวกท่าน”

นักบวชวางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะ ใช้สายตาสำรวจดูความเรียบร้อยของห้องอีกครั้ง ก่อนจะค้อมศีรษะให้ผู้เป็นแขกแล้วหันหลังเดินจากไป

ทหารองครักษ์หนุ่มก็ตั้งท่าจะก้าวตามนักบวชออกจากห้องไปเช่นกัน หากถูกคนในเสื้อคลุมขมุกขมอมรั้งร่างไว้เสียก่อน เขาหันกลับมามองด้วยท่าทางไม่พอใจ สายตาเย็นชาเลื่อนจากใบหน้าของอีกฝ่ายไปยังมือที่เกาะอยู่บนไหล่ซ้ายเหมือนจงใจแสดงให้รู้ว่ารังเกียจ

เมลิอานาร์รีบปล่อยมือจากไหล่ข้างนั้นทันที

“มีอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน

“คือ... ข้าอยากรู้ว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ประทับอยู่ที่ไหน ข้าต้อง...”

“พรุ่งนี้...” เสียงห้าวๆ ตอบสวนกลับมาโดยไม่รอฟังคำพูดของอีกฝ่ายให้จบประโยคด้วยซ้ำ

พอตอบเสร็จเขาก็สะบัดหน้าพรืด เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไปชนิดไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้เจ้าของประโยคยืนอ้าปากค้าง มองตามด้วยความงุนงง

“ข้าพูดอะไรผิดหรือไง”

“ไม่รู้สิ แต่อย่าไปสนเลยพี่ชาย คิดมากปวดหัวเปล่าๆ” ซิสยักไหล่ ตอบแบบไม่เดือดร้อน

เด็กหนุ่มเดินสำรวจข้าวของในห้องอย่างตื่นเต้น ผลักประตูเข้าไปดูห้องนอนด้านใน แล้วรีบโผล่หน้าออกมารายงาน

“เยี่ยมไปเลยพี่ชาย ในนี้มีเตียงด้วย เสียแต่เล็กไปหน่อยคงจะนอนได้แค่คนเดียวเท่านั้น งั้นข้าเสียสละนอนให้ก็แล้วกัน” พูดจบเจ้าตัวก็ผลุบหน้ากลับเข้าไปตามเดิม

“เฮ้ย ได้ยังไง”

เมลิอานาร์รีบสาวเท้าตามเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องทันที ...แต่มีหรือจะทัน พอนางเข้าไปถึง เจ้าตัวดีมันก็ขึ้นไปนอนขดตัวกลมห่มผ้าสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว น้ำท่าไม่ต้องคิดจะอาบให้เสียเวลา

“ซิส ลงมาเดี๋ยวนี้นะ เตียงนี่เป็นของข้า เจ้าเป็นแค่คนติดตามไม่ใช่หรือไง”
หญิงสาวตั้งท่าจะขยับเข้าไปลากเจ้าเด็กตัวแสบลงมาจากเตียง แต่พอเลิกผ้าห่มขึ้นก็พบว่าเด็กหนุ่มหลับปุ๋ยไปแล้ว

“ทำไมหลับเร็วจัง เจ้าแกล้งหลับหรือเปล่านี่”

คนพูดชะโงกหน้าเข้าไปดูจนชิด กลัวว่าเจ้าตัวดีมันจะเล่นลูกไม้อะไรอีก หากลมหายใจที่ทอดยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ริมฝีปากเผยอน้อยๆ และดวงตาที่พริ้มปิดของเด็กหนุ่มบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงหลับจริง หญิงสาวถอนใจเฮือกอย่างยอมแพ้ ...ปล่อยให้เจ้าตัวดียึดเตียงนอนไปสักพักก็แล้วกัน ซิสเองก็คงเหนื่อยจากการเดินทางเหมือนกัน ถึงจะแสบยังไงเด็กก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

หญิงสาวค่อยๆ จรดฝีเท้าถอยหลังออกมาจากห้องแล้วงับประตูให้ปิดลงตามเดิม จะว่าไปเวลานี้ก็ยังไม่ดึกนัก แถมเตียงนอนที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวก็ถูกเจ้าซิสครอบครองไปเสียแล้ว นางจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก ถือโอกาสสำรวจสถานที่และหาโรงอาบน้ำไปด้วยในตัว ...เมลิอานาร์เป็นผู้หญิง ถึงจะถูกคนเข้าใจผิดมาตลอดทางว่าเป็นผู้ชายจนบางทีตนเองก็เกือบจะเผลอคล้อยตามไปเหมือนกัน แต่หญิงสาวก็ยังไม่สามารถเข้านอนทั้งๆ ที่เนื้อตัวสกปรกอย่างเจ้าซิสมันได้

พอก้าวออกจากที่พัก เมลิอานาร์ก็เดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้โดยอาศัยเพียงแสงจันทร์ส่องนำทาง สายลมยามค่ำพัดโชยมาเอื่อยๆ พระจันทร์ครึ่งดวงทอแสงนวลละมุนอยู่ตรงปลายฟ้า นางแหงนหน้ามองดวงจันทร์แล้วอดคิดถึงบ้านที่แลมพ์ตันไม่ได้ ป่านนี้ทั้งบิดาและมารดาคงจะรู้แล้วว่าลูกสาวหนีหายไป ท่านแม่คงโกรธน่าดู ส่วนท่านพ่อก็คงใช้เหตุผลปลอบประโลมท่านแม่ให้สงบลงได้ตามเคย หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เมลิอานาร์จึงเดินเลยมาไกลจนถึงเขตวิหาร แสงจันทร์นวลตาสาดกระทบก้อนศิลาสีขาวที่เรียงซ้อนเป็นระเบียบตรงหน้า ก่อให้เกิดประกายวาววามจนดูคล้ายกับว่าก้อนศิลาเหล่านั้นมีแสงเรืองออกมาจากภายในอย่างประหลาด มันเรียกร้องให้หญิงสาวต้องก้าวเข้าไปหาราวกับต้องมนต์

ภายในวิหารค่อนข้างมืด แสงจากกระถางไฟข้างแท่นบูชาไม่ก่อให้เกิดความสว่างแก่ห้องโถงกว้างนั้นมากนัก ดีที่มีคบไฟปักอยู่เป็นระยะทุกช่วงเสา หญิงสาวจึงพอมองเห็นสภาพรอบกายได้ไม่ยาก ที่น่าสนใจคือผนังห้องด้านหนึ่งมีอักขระภาษารูนโบราณจารึกไว้ตลอดแนว เมลิอานาร์ขยับเข้าใกล้เพื่อจะอ่านอักษรโบราณเหล่านั้น มันไม่ใช่บันทึกประวัติวิหารอย่างที่นางคิด หากดูเหมือนจะเป็นคาถาอะไรสักบทมากกว่า หญิงสาวเลื่อนสายตาจากตัวอักษรมาหยุดอยู่ที่ประตูศิลาซึ่งดูกลมกลืนไปกับผนังจนแทบสังเกตไม่เห็น พอนางเอื้อมมือไปหมายจะผลักมันให้เปิดออก เสียงห้าวๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“นั่นใครน่ะ”

เมลิอานาร์ชะงักไปชั่วครู่ พยายามมองหาที่มาของเสียง หากไม่เห็นอะไรนอกจากเงาของตนที่ทาบอยู่บนแผ่นผนัง

นางคงหูฝาดไปกระมัง...

หญิงสาวตั้งท่าจะก้าวเดินต่อ ก็พอดีเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

“กันนาร์หรือเปล่า”

คราวนี้เมลิอานาร์พอจะจับได้แล้วว่าเสียงนั้นดังมาจากส่วนที่อยู่ลึกสุดของห้องโถง จึงรีบสาวเท้ามุ่งตรงไปยังทิศที่มาของเสียง นางคิดว่าตนเองมองเห็นชายกระโปรงสีเข้มผ่านตาไปแวบหนึ่งด้วยซ้ำ แต่พอมาถึงบริเวณหน้าแท่นบูชา กลับพบเพียงความว่างเปล่า

หญิงสาวขมวดคิ้ว ...หรือว่าเมื่อครู่นี้นางจะตาฝาดไปเอง แต่นางก็ได้ยินเสียงชัดเจนถึงสองครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะหูแว่ว ก็แปลว่าต้องมีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ บางทีอาจจะเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหาร แต่...

ผู้หญิงอะไร เสียงห้าวชะมัด!

เมลิอานาร์ค่อยๆ ขยับเท้าก้าวไปหากำแพงหินอย่างลังเล นางเอื้อมมือไปยังผืนพรมประดับผนังที่แขวนอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่ทันจะได้สัมผัสผิวผ้า มันก็ตวัดตัวเปิดออกเสียก่อน

“กันนาร์ ทำไมวันนี้เจ้า...”

เสียงห้าวๆ ของผู้ที่ยืนอยู่หลังผืนพรมกลืนหายไปในลำคอ ดวงตาคมกริบสีน้ำทะเลเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวในนาทีต่อมา

“เจ้าเป็นใคร...เข้ามาทำอะไรที่นี่”

เมลิอานาร์ไม่ได้ตอบคำถามเพราะมัวแต่ตะลึงมองคนตรงหน้าอยู่เช่นกัน นางเป็นสตรีที่มีร่างกายสูงใหญ่ ผมสีทองยาวระบ่า ใบหน้างดงามคมคาย ทว่า...ค่อนข้างแปลก คิ้วเข้มดกหนาพาดตรงไม่เรียวโค้งเช่นคิ้วของสตรีทั่วไป ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวรายล้อมด้วยแพขนตายาวเฟื้อยเป็นประกายคมกล้าดุดัน จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากสีสดหยักเป็นขอบชัดเจนได้รูปงาม คางของนางไม่เรียวละมุนเช่นของสตรีอื่นแต่เป็นรูปเหลี่ยมบึกบึน หากสิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่สุดกลับเป็นรอยสีเขียวจางๆ ที่ปรากฏอยู่แถวข้างแก้มและเหนือริมฝีปากของสตรีผู้นั้น

...เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ ผู้หญิงมีหนวด!!

“เจ้าจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง” เสียงห้าวๆ ถามย้ำมาอีก คิ้วเข้มเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน ท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าชื่อเมลิ..เอ้อ..เมล...”

เมลิอานาร์เกือบจะเผลอตอบชื่อจริงออกไปแล้ว ทว่าปฏิกิริยาของพวกหญิงรับใช้ที่บ้านพักคนเดินทางเตือนให้นางระลึกถึงสภาพของตนเองขึ้นมาได้ จึงยั้งปากเอาไว้ทัน นางยังไม่นึกอยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะเยาะตอนนี้ เพราะฉะนั้นปล่อยให้แม่สาวร่างยักษ์คิดว่านางเป็นผู้ชายน่าจะง่ายกว่า

“เมลหรือ...”

หญิงรับใช้ประจำวิหารทวนคำ สีหน้าดุดันคลายลงเล็กน้อย ดวงตาคมกริบตวัดมองสำรวจร่างบางในเสื้อเชิ้ตมอมไปด้วยฝุ่นขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายตลบเหมือนจะจับผิด

“เจ้าดูไม่เหมือนนักบวชเลยสักนิด”

“แล้วใครว่าข้าเป็นนักบวชกันเล่า”

ดวงตาคมปลาบยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านวลสะอาดของผู้พูดด้วยความเคลือบแคลง

“เจ้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์หรอกหรือ”

“ไม่ใช่”

“ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นทั้งนักบวชและไม่ใช่อาจารย์ของกาอิยาห์ งั้นบอกข้ามาสิ เจ้าเป็นใครกัน”

เมลิอานาร์ขยับกายอย่างอึดอัด นางไม่ชอบสายตาจับผิดและท่าทางคุกคามข่มขู่ของแม่สาวร่างยักษ์ผู้นี้เอาเสียเลย

“นี่พี่สาว ข้าว่าการที่ข้าจะเป็นใครมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเจ้าสักหน่อย ถ้าข้าบุกรุกเข้ามาในเขตวิหารที่เจ้าดูแลอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าก็ขอโทษแล้วกัน”

พูดจบหญิงสาวก็ตั้งท่าจะเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับยื่นแขนทั้งท่อนออกมาขวางหน้าเอาไว้ ไม่ปล่อยให้นางทำอย่างที่คิดง่ายๆ

“ตอบมาก่อน ไม่งั้นเจ้าก็ออกไปไม่ได้”

“เอ๊ะ?”

เมลิอานาร์จ้องมองหญิงรับใช้ประจำวิหารอย่างไม่พอใจ หากฝ่ายนั้นก็จ้องเขม็งกลับมาไม่ลดละเช่นกัน ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวทอประกายกล้า บอกให้รู้ว่าพร้อมจะเอาเรื่องหากไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ

หญิงสาวถอนใจเฮือก ตอบเสียงสะบัดด้วยท่าทางรำคาญเต็มแก่

“ก็บอกไปแล้วไงว่าข้าขอโทษ”

“นั่นไม่ใช่คำตอบ ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่”

“ข้าชื่อเมล เจ้าหญิงกาอิยาห์มีรับสั่งเรียกข้าให้มาที่นี่ ข้าก็มา... พอใจหรือยังล่ะพี่สาว”

“ยัง”

หญิงรับใช้ประจำวิหารยืนกอดอกพิงผนังศิลา ฟังน้ำเสียงพาลๆ ของคนตรงหน้าอย่างใจเย็น ก่อนจะตั้งคำถามต่อไป

“เจ้าเป็นอะไรกับเจ้าหญิงกาอิยาห์”

“เป็นเพื่อน...” คำตอบสวนกลับมาเร็วทันใจ “เจ้ายังอยากจะรู้อะไรอีกมั้ย”

คนตัวโตกว่าพยักหน้า ถามต่อหน้าตาเฉย “เจ้าเข้ามาที่วิหารจันทราทำไม”

เมลิอานาร์ตวัดสายตามองคนถาม พยายามบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกโมโหมากไปกว่านี้ ...ถึงจะดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี

“นี่พี่สาว...ข้าเองก็ไม่ได้อยากเข้ามาที่วิหารจันทราอะไรของเจ้านักหรอก ข้าแค่เดินหาโรงอาบน้ำของพวกนักบวชผ่านมาแถวนี้พอดี เห็นมีวิหารตั้งอยู่ก็เลยแวะมาดูเพราะนึกว่าเป็นวิหารร้าง ถ้ารู้ว่าเป็นเขตหวงห้ามข้าคงไม่เข้ามา”

“วิหารจันทราไม่ใช่เขตหวงห้าม” เจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ”

“หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่าเจ้าต้องได้รับอนุญาตก่อนน่ะสิ ถึงจะมีสิทธิเข้ามาที่นี่”

“ได้รับอนุญาต... จากใคร เจ้างั้นสิ”

“ก็... ทำนองนั้น” ผู้พูดยืดอกขึ้นเล็กน้อย ท่าทางชวนหมั่นไส้เป็นที่สุด

“ถ้างั้นก็อย่าห่วงไปเลย เพราะนี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเข้ามาในวิหารของเจ้า”

“ครั้งแรกน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่...ท่านเมล” คนตัวโตกว่ายิ้มเยาะ

“เจ้ารู้ได้ยังไง”

ไม่มีคำตอบ แต่รอยยิ้มน่าเกลียดนั้นยิ่งขยับกว้างออกไปอีก ดวงตาคมเป็นประกายพราวคล้ายขบขันเสียเต็มประดา

เมลิอานาร์จ้องหน้าคู่กรณีของนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ถามเสียงห้วน

“ถ้าหมดธุระแล้ว ข้าไปได้หรือยัง”

แม่สาวร่างยักษ์ผงกศีรษะน้อยๆ ผายมือให้อีกฝ่ายโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า

“เชิญ”

ผู้มาเยือนรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นทันที หากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกเสียงห้าวๆ ของแม่สาวคนเดิมร้องเรียกเอาไว้อีกครั้ง

“มีอะไรอีกล่ะ” นางหันกลับมา ย้อนถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ตามข้ามาทางนี้”

หญิงรับใช้ประจำวิหารออกคำสั่ง แต่ดูเหมือนคนฟังจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจจึงยังยืนเฉยอยู่

“ข้าบอกให้ตามมาทางนี้ ไม่ได้ยินหรือไง” เสียงห้าวๆ ชักห้วน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามแน่ๆ เจ้าตัวก็ปรี่เข้าไปคว้าข้อมือ กระชากร่างผอมบางให้ออกเดินตามหลังมาอย่างไม่ปราณี จนฝ่ายนั้นเสียหลักหน้าเกือบคะมำ

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน...หยุด นี่เจ้าจะลากข้าไปไหน”

เมลิอานาร์โวยวาย ขืนตัวเอาไว้สุดแรงเกิด ขณะเดียวกันก็พยายามจะบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมของสตรีตรงหน้า หากไม่ได้ผล อุ้งมือใหญ่ของหญิงรับใช้ประจำวิหารแข็งแรงเกินกว่าที่นางจะดึงมือของตัวเองให้หลุดออกมาได้ มิหนำซ้ำยังถูกลากไปข้างหน้าทั้งๆ ที่สองเท้าปักหลักแน่นอยู่กับพื้นไม่ได้ขยับก้าวตามเสียด้วย ...ผู้หญิงคนนี้ แรงเยอะเป็นบ้า

“เจ้าอย่าดิ้นได้มั้ย ข้าไม่เอาเจ้าไปทำอะไรหรอกน่ะ เป็นผู้ชายแท้ๆ อย่าใจเสาะนักเลย”

คนแรงเยอะส่งเสียงดุพร้อมกับปรายตามองมาด้วยความรำคาญ เมลิอานาร์จึงจำต้องก้าวเดินตามหลังนางไปในที่สุด

“เอ้า ถึงแล้ว” เจ้าของประโยครีบปล่อยข้อมืออีกฝ่ายทันทีราวกับมันเป็นของร้อน
เมลิอานาร์เพิ่งรู้ตัวว่าถูกลากให้มาหยุดยืนอยู่เหนือช่องหน้าต่างแคบๆ ในวิหาร ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่บาน แสงสีเงินจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นต้นไม้หลากชนิดในสวนสมุนไพรด้านนอกเป็นเงามืดทะมึน ถัดจากแนวไม้สีเข้มเหล่านั้นออกไปคือเรือนแถวสีขาวทอดยาวเป็นระเบียบ

“แนวสีขาวที่เจ้าเห็นอยู่นั่นคือที่พักของนักบวช” คนที่ลากนางมาชี้บอก

“ถ้าเจ้าเดินเลยอาคารแถวยาวๆ พวกนั้นไปจนสุดทางแล้วอ้อมไปด้านหลัง จะเห็นเรือนไม้ตั้งอยู่โดดๆ นั่นคือโรงอาบน้ำ”

...เอ๊ะ..เอ๊ะ..เอ๊ะ...!!!

เมลิอานาร์มองหน้าผู้พูดอย่างคาดไม่ถึง หญิงสาวผู้นี้อุตสาห์ลากนางมาจนถึงหน้าต่างก็เพื่อจะบอกทางเองหรือนี่ ไม่ยักรู้ว่าคนหน้าโหดๆ ตาดุๆ ก็ใจดีเป็นเหมือนกัน ทว่าพอนางจะกล่าวคำขอบคุณ อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม พูดด้วยเสียงมะนาวไม่มีน้ำ

“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเดินหลงเข้าไปในที่ๆ ไม่ควรจะเข้าไปอีกก็เท่านั้น”

พูดเสร็จเจ้าตัวก็หันหลัง เดินลิ่วๆ กลับเข้าไปหลบอยู่ในเงามืดข้างแท่นบูชาตามเดิม

พิลึกคน...

เมลิอานาร์สรุปในใจ แล้วเดินจากไปโดยไม่คิดจะสนใจหญิงรับใช้ประจำวิหารผู้นั้นอีก เมื่อพ้นประตูวิหารออกมาเสียได้นางค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย หากเดินไปยังไม่ทันจะถึงเชิงบันได สายตาเจ้ากรรมก็พลันเหลือบไปเห็นบุรุษที่ก้มหน้าก้มตาก้าวขึ้นบันไดสวนทางมาเสียก่อน รูปร่างของเขาดูคุ้นตานางอย่างประหลาด ทว่าเมลิอานาร์กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบชายผู้นี้ที่ไหน หญิงสาวรีบถอยหลังไปยืนแอบอยู่ข้างเสาต้นใหญ่ หลบให้เขาเดินผ่านไปก่อนเพราะไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าบุกรุกสถานที่สำคัญอีกเป็นครั้งที่สอง

ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวออกจากที่ซ่อน ชายหนุ่มคนเดิมก็เดินย้อนกลับมาตรงเชิงบันได คราวนี้เขาหยุดยืนกวาดสายตาไปรอบกายด้วยท่าทางระแวดระวังเต็มที่ จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณเรียกให้คนข้างหลังก้าวตามออกมา แสงจันทร์นวลกระจ่างสาดจับร่างสูงใหญ่ในชุดยาวกรอมเท้าสีเทานกพิราบซึ่งก็คือแม่สาวร่างยักษ์ที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง เมลิอานาร์นึกเดาว่าคนทั้งสองคงเป็นคู่รักที่ลอบมาพบปะกัน เลยไม่อยากจะก้าวออกมาขัดจังหวะ ปล่อยให้พวกเขาประคองกันเดินลงบันไดจนกระทั่งร่างทั้งสองจากไปไกลแล้ว จึงค่อยขยับกายจากที่ซ่อน เดินกลับที่พักของตนบ้าง



นกพิราบสีเทาตัวใหญ่บินผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้กว้างเข้ามาในอาคารสองชั้นก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงใจกลางเมืองลินเดนสไตน์ มันโผลงเกาะบนโต๊ะไม้ตรงหน้าชายหนุ่มผู้มีเส้นผมและดวงตาสีดำสนิทราวกับรัตติกาล ผงกหัวที่มีสีเทาเข้มกว่าส่วนอื่นไปมา รอจนกระทั่งอุ้งมือใหญ่เอื้อมมาช้อนร่างมันขึ้น แล้วบรรจงปลดม้วนกระดาษเล็กๆ ซึ่งผูกติดอยู่ที่ขาข้างหนึ่งออกอย่างเบามือ

ชายหนุ่มคลี่ม้วนกระดาษออกอ่านอยู่ชั่วครู่ก็จ่อเข้ากับเชิงเทียนบนโต๊ะ ปล่อยให้เปลวไฟสีเหลืองทอง ลามเลียกระดาษแผ่นน้อยช้าๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นเศษเถ้า ปลิวหายไปกับสายลม

“ท่านพ่อส่งคนไปที่วูดแลนด์แล้ว”

เขาเงยหน้าขึ้นกล่าวกับนายทหารหนุ่มใหญ่ที่จ้องมองมาด้วยสายตาใคร่รู้

“เร็วเกินไป” ชายผู้นั้นเผลอหลุดความคิดขัดแย้งออกมาเป็นคำพูด แล้วรีบอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่าย

“กระหม่อมหมายความว่าฝ่าบาทน่าจะทรงรอข่าวที่แน่นอนจากทางเราก่อน”
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มสรวลเยือกเย็น ดวงเนตรสีนิลเปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหาย

“ไม่เร็วหรอกฟีบัส ทางเราต่างหากที่...ช้า”

ช้าอย่างนั้นหรือ... หัวหน้าองครักษ์วัยกลางคนได้แต่โคลงศีรษะ พวกเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงของกรีนแลนด์เมื่อสักครู่นี่เอง แทบจะยังไม่ได้พักให้หายเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะว่ากันตามจริง สาเหตุของความล่าช้าก็มาจากม้าทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์นั่นแหละ เจ้าสัตว์น่าสงสารตัวนั้นถูกบังคับให้วิ่งไม่หยุดจนขาหัก ผู้เป็นนายก็เลยแสดงความกรุณาด้วยการฆ่ามันทิ้งซะ เดือดร้อนพวกเขาต้องเสียเวลาอยู่หลายวันกว่าจะหาม้าตัวใหม่มาแทนเจ้าตัวเก่าได้

“เป็นเพราะเจ้าเด็กคนนั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ มันบังอาจคิดขโมยม้าของพระองค์ ทำให้พวกเราต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น” คาลีโยนความผิดให้เด็กเลี้ยงม้าทันที เขายังขุ่นใจไม่หายที่ไม่ได้เห็นเด็กหนุ่มถูกสังหารอย่างที่คิด

เจ้าชายดิเร็กซ์เหลือบพระเนตรมองพระหัตถ์ข้างขวาที่วางอยู่บนโต๊ะ รอยนูนสีแดงจางๆ แลเห็นเด่นชัดอยู่บนผิวเนื้อสีน้ำตาลคร้ามแดด บาดแผลไม่ถึงกับลึกจนเป็นอันตรายก็จริง หากก็เรียกเลือดจากพระองค์ได้มากพอดู ความเจ็บปวดในครั้งนั้นพระองค์ไม่มีวันลืม และทรงจดจำหน้าตาของผู้ที่ทำให้เกิดรอยแผลเอาไว้อย่างแม่นยำ เพื่อว่าจะหาโอกาสตอบแทนมันอย่างสาสมในสักวันหนึ่ง

เจ้าชายหนุ่มเงยพระพักตร์ขึ้นมองนายทหารผมเกรียน ตรัสถามเสียงเรื่อยๆ คล้ายไม่ใส่พระทัย หากดวงเนตรคมราวกับเหยี่ยวจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเขาไม่วางตา

“เรื่องที่เจ้าอาสาไปสืบ ได้ความแค่ไหนแล้วหือ...คาลี”

“เอ่อ” คนถูกจ้องหลบตาลงต่ำ

“ทราบเกล้าแค่ว่ามันเป็นคนต่างถิ่นเดินทางผ่านเข้ามาในกรีนแลนด์พ่ะย่ะค่ะ แต่จะไปที่ไหนต่อนั้น กระหม่อมยัง...”

“คาลี เจ้าก็น่าจะรู้นะว่าข้าไม่ชอบรออะไรนานๆ เพราะมันจะยิ่งทำให้ข้าโกรธ”

“พะ...พ่ะย่ะค่ะ ขอเวลาให้กระหม่อมอีกสักนิด รับรองว่าไม่นานพะย่ะค่ะ” นายทหารร่างยักษ์ละล่ำละลักกราบทูลด้วยใบหน้าซีดเผือด

เรย์เห็นท่าทางอึกอักของเพื่อนก็รีบยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่าตอนนี้ที่วูดแลนด์ก็กำลังมีเรื่องยุ่ง ดูเหมือนเจ้าชายรัชทายาทของพวกเขาจะหายตัวไป ถ้าข่าวลือเรื่องนี้เป็นจริง ราชาไมนาสอาจจะไม่ยอมรับข้อเสนอของทาเนียร์ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงลุกขึ้นยืน เสด็จไปประทับข้างบานหน้าต่าง ทอดพระเนตรแสงแดดลำสุดท้ายที่อาบย้อมก้อนเมฆทางทิศตะวันตกให้กลายเป็นสีหมากสุกด้วยดวงเนตรเฉยชา

“นั่นเป็นปัญหาของเสด็จพ่อ เรย์ หน้าที่ของข้าคือนำคำตอบที่น่าพอใจกลับไปถวายเท่านั้น”

หัวหน้าองครักษ์ที่นั่งเงียบมานานส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ทรงทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่าคำตอบที่ยังไม่ได้รับจะเป็นที่พอพระทัย เรายังไม่ได้เห็นกับตาด้วยซ้ำว่าราชาเอลเบอเรธประชวรจริงหรือเปล่า บางทีสาเหตุที่ทำให้ฝ่ายนั้นประชวรอาจจะไม่ใช่อย่างที่ทรงคิดก็ได้”

“อย่ากังวลไปเลยฟีบัส”

เจ้าชายดิเร็กซ์เบือนพระพักตร์กลับมามองผู้พูด รอยแย้มสรวลละมุนยังค้างอยู่บนเรียวโอษฐ์เมื่อตรัสประโยคถัดไป

“ไม่ว่าคำตอบแท้จริงจะเป็นอย่างไร ข้าก็จะทำให้มันกลายเป็นคำตอบที่น่าพอใจสำหรับท่านพ่อจนได้นั่นแหละ!”




angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.พ. 2556, 06:56:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.พ. 2556, 06:56:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1602





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
ชลวารี 3 ก.พ. 2556, 09:25:09 น.
เอเจ้าชายกันนาร์ เป็นใครคะ เกี่ยวข้องกับองค์ราชายังไงหรอ
แล้ว ทำไมองค์ราต้องปลอมตัวเป็นหญิงล่ะค่ะ เอแต่น่าตาเหมือนเดิมคนก็จำได้อยู่ดีรึเปล่า ก็ดูออกนี่ว่าร่างชายมีหนวด แต่งตัวหญิง
ทำไมนางเอกราไม่สงสัยบ้างนะ เพราะตัวเองยังถูกเข้าใจผิดเลย
มาต่ออีกนะคะ


angelK 3 ก.พ. 2556, 21:32:47 น.
เจ้าชายกันนาร์เป็นพี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์ และเป็นเพื่อนสนิทขององค์ราชาค่ะ
สาเหตุที่องค์ราชาต้องปลอมตัว จะมีเฉลยในตอนต่อๆ ไปค่ะ
เมลแค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูไม่เหมือนผู้หญิง แต่ที่ไม่สงสัยว่าเป็นชายหนุ่มปลอมตัวเพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ชายอุตริแต่งตัวเป็นผู้หญิงค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account