ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 6
บานทวารห้องนั่งเล่นส่วนพระองค์ของเจ้าชายกันนาร์ค่อยๆ แง้มเปิดออก บุรุษหนุ่มเจ้าของห้องเดินพระพักตร์ง่วงงุนเข้าไปภายในอย่างไม่ค่อยเต็มพระทัยนัก เวลานี้นับว่ายังเช้าอยู่มาก แสงเงินแสงทองเพิ่งจะเรื่อเรืองขึ้นจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก น้ำค้างยังคงค้างอยู่บนยอดหญ้า กลิ่นดอกไม้กลางคืนบางชนิดยังอวลกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ ...แล้วใครกันหนอช่างมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ได้
เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรไปรอบห้อง แม้ม่านกำมะหยี่สีเลือดหมูจะถูกรูดเปิดออกทุกด้านเผยให้เห็นท้องฟ้าสีเทาเข้มภายนอก หากภายในห้องยังต้องตามไฟเอาไว้เพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอ แขกของพระองค์นั่งรออยู่แล้วบนเก้าอี้ผ้าไหมยกดอกตัวยาว ขนาบสองข้างด้วยเก้าอี้เท้าแขนบุนวมนุ่มเข้าชุดกัน เว้นช่องตรงกลางไว้สำหรับตั้งโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ด้านบนฝังกระดานหมากรุกเป็นหินอ่อนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำสลับขาว มีตัวหมากทำด้วยคริสตัลและทับทิมเจียระไนฝีมือประณีตจัดเรียงไว้พร้อม
พอผู้เป็นแขกเหลียวมาเห็นพระองค์เข้า ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มประจบ ไม่ต้องเห็นหน้ากันถนัด เจ้าชายก็พอจะเดาได้แล้วว่าผู้ที่กล้าปลุกพระองค์แต่เช้าเป็นใคร
“อรุณสวัสดิ์” เจ้าหญิงกาอิยาห์เอ่ยทักพี่ชายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
ผู้เป็นพี่ไม่ตอบ หากตั้งท่าจะเดินย้อนกลับเข้าสู่ห้องนอนตามเดิม
“พี่กันนาร์ใจร้าย น้องอุตสาห์มานั่งรอตั้งนานนะคะ”
“รอที่ไหน เจ้ามาปลุกข้าชัดๆ... เอ้า ก็ได้ มีอะไรก็รีบว่ามา”
เจ้าชายกันนาร์จำใจเสด็จข้ามห้องมาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ พระองค์รู้สึกแปลกพระทัยไม่น้อยเพราะตามปกติแล้วเจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ใช่คนที่จะตื่นเช้าขนาดนี้ได้
“มีอะไรก็พูดมาสักทีสิกายย์” ทรงร้องเร่งเมื่อเห็นว่าน้องสาวยังเอาแต่นั่งเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง
“เมลล่ะคะ”
ชื่อนั้นกระทบความรู้สึกของคนฟังเข้าอย่างจัง
“เมลของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่”
“อ้าว”
“ไม่ต้องมาอ้าว ข้าให้อาจารย์ของเจ้าพักอยู่กับพวกนักบวชที่เรือนแถวโน่น”
ดวงพักตร์นวลใสของเจ้าหญิงกาอิยาห์มีร่องรอยผิดหวังปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
“งั้นน้องก็ไม่มีธุระกับพี่กันนาร์แล้ว ไปนอนต่อเถอะค่ะ”
นางตัดบทง่ายๆ ด้วยการลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปที่ประตูห้องเพื่อเตรียมตัวกลับ ทิ้งให้ผู้เป็นพี่นั่งอ้าปากค้างมองอยู่กับที่
“เจ้ามาปลุกข้าแต่เช้าด้วยเรื่องแค่นี้หรือ”
“ก็น้องนึกว่าเมลอยู่กับพี่นี่นา น้องขอโทษก็ได้ค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์ไม่ใส่พระทัยกับคำขอโทษของน้องสาว พระองค์รีบเสด็จตามไปขวางหน้านางเอาไว้ก่อนที่จะก้าวพ้นไปจากห้อง
“เดี๋ยวก่อนสิกายย์ เจ้าจะรีบไปไหน อย่าบอกนะว่าจะไปหาเจ้าหมอนั่น”
“เจ้าหมอนั่น...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทวนคำเหมือนไม่เข้าพระทัย หากพอนึกได้ว่าพี่ชายน่าจะหมายถึงใคร รอยยิ้มซุกซนก็ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์
“ใช่แล้วละค่ะ น้องกำลังจะไปหา ’เจ้าหมอนั่น’ แหละ”
“เจ้าจะรีบไปทำไมตั้งแต่ฟ้าเพิ่งจะสาง ไว้รอพบเขาตอนข้าพาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ค่ะ” น้องสาวตอบทันควัน พร้อมกับให้เหตุผลที่ทำให้คนเป็นพี่แทบลมจับ
“น้องอยากเจอเมลนี่นา ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว...คิดถึงออก”
เจ้าชายกันนาร์ขมวดพระขนงอย่างไม่ชอบพระทัย จ้องมองวงพักตร์งามน่ารักของน้องสาวด้วยอาการคิดหนัก...ในฐานะที่พระองค์เป็นพี่ จะปล่อยให้นางไปพบปะพูดคุยกับเจ้าหนุ่มรูปหล่ออย่างร้ายกาจคนนั้นตามลำพังได้อย่างไร ต่อให้ไม่ใช่เวลาเช้ามืดอย่างเดี๋ยวนี้แต่เป็นตอนบ่ายแดดร้อนเปรี้ยงก็เถอะ ถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์จะมีนางข้าหลวงติดตามไปด้วยหมดทั้งตำหนักพระองค์ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ต้องยอมแพ้ หันไปตรัสกับน้องสาวอย่างเสียไม่ได้
“เอาละกายย์ ข้าจะพาเจ้าไปเอง...”
เจ้าชายกันนาร์พาพระขนิษฐาขี่ม้าเข้ามาจนถึงบริเวณลานโล่ง หน้าอาคารสีขาวหม่นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสมุนไพรเขียวขจี แม้เวลานี้จะยังเช้าอยู่มาก หากบรรดานักบวชส่วนใหญ่ต่างก็วุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมสมุนไพรสำหรับปรุงยาถอนพิษเพื่อช่วยชีวิตองค์ราชา พวกเขาจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะแปลกใจกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของแขกหนุ่มผู้สูงศักดิ์
พระองค์ตวัดร่างลงจากหลังม้า จูงมันไปผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างห้องปรุงยาก่อนจะรับร่างของน้องสาวลงมาสู่พื้น ทรงกวาดสายพระเนตรมองหานักบวชหนุ่มชาวแลมพ์ตันในหมู่ชายสวมชุดยาวกรอมเท้าที่ง่วนอยู่กับการดูแลต้นพืชในสวน เมื่อไม่พบ จึงพาเจ้าหญิงกาอิยาห์เสด็จต่อไปยังเรือนแถวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องพระพักตร์ พระองค์ต้องเสียเวลาเดินวนเวียนตามหาเขาอยู่ครู่ใหญ่ จึงพบว่านักบวชที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนนักบวชผู้นั้นนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลัง ตั้งอกตั้งใจมองดูเจ้าเด็กขอทานใช้ดาบไม้ในมือฟาดเข้าใส่ท่อนฟืนที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะ ปากก็ตะโกนให้คำแนะนำเด็กหนุ่มไปด้วย
เจ้าชายกันนาร์ส่ายพระพักตร์อย่างรับไม่ได้ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ นักบวชสอนการใช้อาวุธให้ผู้อื่น แล้วดูหมอนั่นแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าสิ เหมือนนักบวชเสียที่ไหน พระองค์ตั้งท่าจะกระแอมให้อีกฝ่ายรู้ตัว หากไม่ทันคนเป็นน้องที่ส่งเสียงเรียก ‘เมล’ เสียดังลั่นพร้อมกับถลกกระโปรงวิ่งถลาตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม พอถึงตัว เด็กสาวก็โผเข้ากอดจนฝ่ายที่เพิ่งจะลุกขึ้นเหลียวหน้ามามองเกือบจะเสียหลักล้มกลิ้งไปด้วยกัน ดีแต่ฝ่ายนั้นอ้าแขนโอบรับร่างเล็กบางเอาไว้ทัน
คนเป็นเจ้าหญิงแย้มสรวลพระเนตรหยี ส่งเสียงใสแจ๋วราวระฆังเงินรัวใส่เจ้าของอ้อมแขนเป็นชุด
“เมล ข้าดีใจจังที่เจ้ามาได้ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยให้เจ้าฟังเยอะแยะเลย จริงสิ เจ้าเป็นยังไงบ้าง แล้วพี่เกลด้าล่ะสบายดีหรือเปล่า เจ้าชายเอเดรียนกับพี่เขยของข้าด้วย พวกเขาสบายดีใช่มั้ย ข้าคิดถึงเจ้ากับทุกๆ คนเหลือเกิน เจ้ามาถึงลินเด็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วสินะ ทำไมถึงไม่รีบไปพบข้าล่ะ…”
คนถูกโผเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัวขยับกายอย่างอึดอัด ไม่รู้จะเลือกตอบคำถามไหนก่อนดี พอเงยหน้าขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาเขียวปัดของชายหนุ่มผู้มีเค้าหน้าละม้ายเด็กสาวในอ้อมแขนอย่างจัง ชายผู้นั้นกำลังจ้องเขม็งมาที่นางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ประกายบางอย่างในดวงตาสีม่วงคมกริบบอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจขนาดหนัก หญิงสาวนึกถึงสภาพของตนเองกับเจ้าหญิงกาอิยาห์ขึ้นมาได้ จึงรีบคลายวงแขนออกโดยเร็วพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
เจ้าหญิงกาอิยาห์เหลียวมองตามสายตาของเพื่อนสาว พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าบูดบึ้งของผู้เป็นพี่ก็ทรงพระสรวลคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“นั่นกันนาร์พี่ชายของข้าเองแหละ...” เด็กสาวขยายความด้วยเสียงกระซิบ “กันน์เค้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ชายน่ะเมล แต่อย่าเพิ่งบอกความจริงออกไปตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวกันน์จะช็อกตายไปเสียก่อน”
ถึงคนเป็นเจ้าหญิงไม่สั่ง เมลิอานาร์ก็ไม่มีความคิดที่จะพูดอะไรออกไปอยู่แล้ว เพราะสารรูปของนางตอนนี้ ถึงจะบอกว่าเป็นผู้หญิงก็คงไม่มีใครเชื่อ
“กายย์” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยเรียกน้องสาวด้วยเสียงหนักกว่าปกติ “มาหาข้าทางนี้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ยอมทำตามคำสั่งของผู้เป็นพี่อย่างว่าง่าย แล้วถือโอกาสแนะนำให้พี่ชายรู้จักอีกฝ่ายเสียเลย
“พี่กันนาร์ นี่เมลที่น้องเคยเล่าให้ฟังไงคะ”
“ยินดีที่ได้พบ” เจ้าชายกันนาร์ตอบรับเสียงห้วน
“เช่นกัน...พ่ะย่ะค่ะ”
เมลิอานาร์งึมงำคำลงท้ายอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนักพลางค้อมกายลงต่ำ เมื่อยืดกายขึ้นอีกครั้งนางก็เหลียวหาเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันหวังจะแนะนำให้อีกฝ่ายได้รู้จัก ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปาก เจ้าตัวแสบก็หันหลังเดินหนีเข้าบ้านพักไปเสียแล้ว
“เฮ้ เดี๋ยวสิ ซิส... บ๊ะ เจ้าหมอนี่”
“ใครน่ะเมล”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ชะเง้อมองตามร่างของหนุ่มน้อยวัยไล่เลี่ยกันไปด้วยความสนพระทัย
“เพื่อนของเจ้าหรือ”
“เด็กเลี้ยงม้าที่บ้านพักคนเดินทางน่ะเพ..พ่ะย่ะค่ะ ชื่อซิส เขาโดนเจ้าของบ้านพักไล่ออกจากงานก็เลยขอติดตามหม่อมฉ..เอ๊ย...กระหม่อมมาด้วย ถ้าไม่เป็นการรบกวนองค์หญิงจนเกินไปนัก กระหม่อมก็อยากจะขอฝากซิสไว้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่สักคน”
“ได้ซี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ใช่มั้ยพี่กันนาร์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์หันไปเขย่าแขนพี่ชายกึ่งถามกึ่งขอร้อง
“ก็ได้ ข้าจะจัดการให้เอง ท่านนักบวชไม่ต้องเป็นห่วง”
เมลิอานาร์ขยับจะยิ้มรับความเอื้อเฟื้อของชายหนุ่ม หากต้องเปลี่ยนเป็นย่นหัวคิ้วแทนเพราะสะดุดหูกับบางถ้อยคำในประโยคของเขา
นักบวชอีกแล้วหรือ ทำไมคนที่นี่ชอบคิดว่านางเป็นนักบวชกันนักนะ...
หญิงสาวยังไม่ทันจะได้ปริปากพูดอะไรต่อ ก็พอดีเจ้าชายกันนาร์ทรงหันไปทางน้องสาวเสียก่อน
“กายย์ เจ้ากลับตำหนักไปได้แล้ว”
รอยยิ้มแจ่มกระจ่างบนพักตร์นวลใส ‘หุบ’ ลงทันควัน
“อะไรกัน น้องยังคุยกับเมลไม่ถึงห้าประโยคเลยนะคะ ทำไมจะต้องรีบกลับ”
“เจ้ายังมีวิชาประวัติศาสตร์กับลีลาศที่ต้องเรียนในช่วงเช้านี่ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าโดดหรอกนะกายย์ อีกอย่างตอนบ่ายเจ้าต้องเข้าเฝ้าท่านน้าพร้อมกับเจ้าหญิงลูเซียด้วย ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือไง”
‘หน้าที่’ ที่พี่ชายหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างในประโยคหลัง ทำให้คนเป็นน้องต้องยอมยอมจำนนโดยไม่มีคำโต้แย้งใดๆ อีก
“เจ้าไปรอที่ม้าก่อน ข้าขอคุยธุระกับท่านนักบวชครู่เดียวแล้วจะรีบตามไป”
เจ้าชายกันนาร์ออกคำสั่ง ทรงรอจนแน่พระทัยว่าผู้เป็นน้องสาวเดินห่างออกไปจนไม่มีโอกาสได้ยินบทสนทนาของพระองค์แล้ว จึงสาวพระบาทเข้าไปหานักบวชชาวแลมพ์ตัน
“เอาละ ทีนี้มาว่าเรื่องของท่านกันต่อ...”
พระองค์ยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ชายหนุ่มจนพระนาสิกแทบจะชนกับจมูกของอีกฝ่าย ยังดีที่ทรงยั้งพระทัยเอาไว้ได้ ไม่ขยุ้มคอเสื้อของเขาติดพระหัตถ์ขึ้นมาด้วย
“ไม่ว่าที่แลมพ์ตัน ท่านจะสนิทสนมกับกายย์มากแค่ไหน แต่ขอให้ช่วยจำเอาไว้ด้วยว่าที่นี่คือกรีนแลนด์ เพราะฉะนั้นอย่าให้มีภาพแบบเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ถ้าข้าเห็นหรือได้ยินข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อีกแม้แต่หนเดียวละก็ ท่านเตรียมตัวไสหัวออกไปจากกรีนแลนด์ได้เลย”
เจ้าชายกันนาร์ขยับถอยออกห่างจากนักบวชหนุ่ม ใช้สายพระเนตรมองสำรวจเครื่องแต่งกายอันประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว และรองเท้าบู้ทหนังนุ่มของเขาอย่างตำหนิ
“องค์ราชาทรงมีพระประสงค์ให้ข้าพาท่านไปเข้าเฝ้า หลังอาหารมื้อเที่ยงข้าจะรอท่านอยู่ที่ห้องปรุงยา อ้อ แล้วถ้าไม่ลำบากจนเกินไปนักก็ช่วยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดที่มันดูเข้าท่ากว่านี้ด้วย ถ้าท่านไม่รู้ว่าควรจะแต่งกายอย่างไร ลองถามจากพวกนักบวชที่อยู่รอบๆ ตัวท่านดูก็ได้ ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงจะมีเสื้อผ้ามากพอที่จะให้ท่านขอยืมสักชุดสองชุดหรอก”
พระองค์ตรัสทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น แล้วทรงสาวพระบาทจากไปในทิศทางเดียวกับเจ้าหญิงกาอิยาห์ โดยไม่เบือนพระพักตร์กลับมามองคนที่ยังยืน ‘อึ้ง’ อยู่กับที่อีกแม้แต่แวบเดียว
พอตกบ่ายเจ้าชายกันนาร์ก็เสด็จมารออยู่ที่ห้องปรุงยาตามรับสั่ง พระองค์พาหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันในเครื่องแต่งกายแบบนักบวชไปยังอาคารทรงวิคตอเรียซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารจันทรามากนัก ระหว่างทางก็อธิบายเหตุการณ์ที่เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามช่วยชีวิตเจ้าหญิงแคธรีนซึ่งบังเอิญถูกยาพิษ จนทำให้นางต้องกลายเป็นหินให้เขาฟังไปด้วย พร้อมกับย้ำว่าหน้าที่ของเขาคือทำให้เจ้าหญิงแห่งวูดแลนด์ผู้นั้นกลับเป็นเหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
นักบวชหนุ่มเดินอย่างสงบเสงี่ยมตามหลังคนเป็นเจ้าชายไปตามระเบียงหินอ่อนที่มีภาพวาดของอดีตราชาและราชินีแห่งกรีนแลนด์ในกรอบทองคำฝังอัญมณีล้ำค่าแขวนประดับ สลับกับเชิงเทียนตั้งพื้นทรวดทรงอ่อนช้อยและกระจกเงาสูงท่วมศีรษะในกรอบทองคำฉลุลายละเอียดงาม เนื้อกระจกเที่ยงตรงใสแจ๋วสะท้อนภาพช่องหน้าต่างโค้งฝั่งตรงข้าม เลยไปถึงท้องฟ้าสีครามจัดแต้มระบายด้วยปุยเมฆขาวภายนอก
ที่หน้าต่างบานหนึ่งมีชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังและอาภรณ์สีดำล้วนทำให้เขาดูสะดุดตายิ่งกว่าเครื่องเรือนราคาแพงพวกนั้นหลายเท่า ท่ากอดอกเหยียดตัวตรงขาแยกออกจากกันเล็กน้อย แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองเต็มเปี่ยมจนเกือบจะกลายเป็นหยิ่งผยอง ทว่าเมื่อเจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็หันกลับมาถวายคำนับเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทีหยิ่งผยองหายวับไปเหลือเพียงรอยยิ้มสวยบนใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง
“สวนในลินเด็นงามจริง เห็นทีหม่อมฉันต้องส่งคนสวนที่ทาเนียร์มาเรียนรู้วิธีการจัดสวนกับพระองค์บ้างแล้ว”
“เจ้าชายดิเร็กซ์!!“
เจ้าชายกันนาร์อุทานอย่างตื่นตะลึง หากเพียงครู่เดียวก็ทรงเกลื่อนสีพระพักตร์ได้เป็นปกติ พระองค์รีบสาวพระบาทเข้าไปหาผู้เป็นแขกพลางกล่าวขอโทษไปด้วย
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะเสด็จ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะที่ไม่ทันได้ส่งคนไปต้อนรับ”
“ไม่ใช่ความผิดของพระองค์หรอกพ่ะย่ะค่ะ ทางหม่อมฉันต่างหากที่เดินทางมาลินเด็นกะทันหัน ...ได้ข่าวว่าราชาเอลเบอเรธประชวรหนัก”
คิ้วเข้มของเจ้าชายกันนาร์เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย พระหทัยเต้นแรง พระองค์คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าแผนการขององค์ราชาจะสัมฤทธิ์ผลไวปานนี้
“ ‘ข่าว’ ลือไปไกลจนถึงทาเนียร์เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งกลับจากซาร์ด บังเอิญเดินทางผ่านมาแถวนี้พอดี ได้ยินชาวบ้านแถบชายแดนพูดกันหนาหูว่าองค์ราชาทรงพระประชวร ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน”
“พระองค์ก็เลยรีบร้อนเสด็จมาหาคำตอบจนถึงที่นี่”
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงพระสรวลเบาๆ เสมือนไม่รู้เท่าคำประชดของอีกฝ่าย
“เชิญเสด็จทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์ออกเดินนำผู้เป็นแขกตรงไปยังห้องรอเฝ้าสุดมุมระเบียง โดยมีนักบวชชาวแลมพ์ตันเดินตัวลีบตามหลังไปด้วย อาคันตุกะหนุ่มปรายพระเนตรมองเจ้าของร่างในชุดสีเทาเงินยาวรุ่มร่ามนั้นแวบหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นลอยๆ
“ ‘ข่าวลือ’ ที่พระองค์ว่า เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรทำให้ทรงคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มพระสรวล
“เพราะว่านักบวชคงไม่มาเดินเล่นในตำหนักหลวงแน่ๆ หรือว่าเจ้าชายทรงมีกิจอื่นใดกับนักบวชรูปงามที่เดินตามมาข้างหลังคนนั้นล่ะพะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องขอประทานอภัยด้วยที่เดาผิด”
ดวงเนตรสีม่วงของเจ้าชายกันนาร์หรี่ลงเล็กน้อย ทรงซ่อนความหงุดหงิดพระทัยเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงร่าเริงตามปกติ เมื่อตรัสว่า
“เจ้าชายช่างสังเกตเหลือเกิน ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชาของเราประชวรพระโรคประหลาดมาหลายวันแล้ว ท่านหมอเองก็ดูเหมือนจะจนใจ ไม่ว่ายาขนานใดก็ไม่สามารถรักษาพระอาการให้ทุเลาลงได้ หม่อมฉันเลยคิดจะลองพึ่งเวทมนตร์ของพวกนักบวชดูบ้าง”
“ขนาดนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ...” ชายหนุ่มผมดำเบิกตากว้างด้วยท่าทีเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด “พอดีหม่อมฉันเพิ่งไปรับตัวนักบวชที่เก่งที่สุดของทาเนียร์กลับมาจากซาร์ด ถ้าเจ้าชายไม่รังเกียจหม่อมฉันจะตามตัวเขามาช่วยตรวจดูพระอาการอีกแรง...”
“อย่าได้ทรงลำบากไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เรามี ‘ท่านเมล’ นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์อยู่ตรงนี้ทั้งคนแล้ว แต่ก็ต้องขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”
“นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์” เจ้าชายดิเร็กซ์เลิกพระขนง
“เจ้าหนุ่ม...เอ่อ...ท่านผู้นี้น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันว่าเขาออกจะดูอ่อนอาวุโสไปสักหน่อย ถ้าเป็นที่ทาเนียร์ นักบวชอายุน้อยขนาดนี้คงจะเป็นได้แค่พวกฝึกหัดเท่านั้น แล้วที่สำคัญ นักบวชเขาไม่พกดาบกันไม่ใช่หรือท่านเมล” ท้ายประโยคทรงหันไปตรัสกับ ‘นักบวชที่เก่งที่สุด’ โดยตรง
คนที่ถูกทึกทักให้เป็นนักบวชตวัดสายตาขึ้นมองผู้พูดเป็นครั้งแรก ดวงเนตรคมกริบสีรัตติกาลที่จ้องตอบกลับมาทำให้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น เมลิอานาร์พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบแลไปยังรอยสีแดงจางๆ บนหลังพระหัตถ์ขวา ซึ่งนางรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ...เจ้าชายดิเร็กซ์ยังไม่ทรงลืมเรื่องเมื่อคราวก่อน ข้อนี้หญิงสาวแน่ใจ แต่ที่แน่ใจยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนพระองค์จะทรงจำนางได้ด้วย!
เมลิอานาร์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แข็งใจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด
“พ่ะย่ะค่ะ นักบวชย่อมไม่พกอาวุธไม่ว่าชนิดใด มันเป็นกฎ”
“อย่างนั้นหรือ ข้านึกว่าท่านได้รับการยกเว้นจากกฎข้อนี้เสียอีก”
น้ำเสียงของเจ้าชายดิเร็กซ์ฟังสะดุดหูเสียจนเจ้าชายกันนาร์ต้องเบือนพระพักตร์กลับมามอง
“นักบวชของหม่อมฉันทำสิ่งใดให้เคืองเบื้องพระบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันแค่เย้า ‘นักบวช’ ของพระองค์เล่นเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าชายประทับรอในห้องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์เสด็จนำอาคันตุกะหนุ่มเข้าไปในห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องเรือนสีน้ำตาลและทอง กลมกลืนกับชุดเก้าอี้ผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีเหลืองอ่อนลออตา พระองค์หยิบกระดิ่งเงินอันเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะริมประตูขึ้นมาสั่นเบาๆ เพียงครู่เดียวมหาดเล็กสองนายก็ก้าวเข้ามาในห้องเพื่อรอรับคำสั่ง เจ้าชายหันไปตรัสอะไรกับพวกเขาสองสามประโยค ก่อนเบือนพระพักตร์กลับมาหาผู้เป็นแขก
“หม่อมฉันต้องขอตัวพาท่านเมลไปถวายการตรวจพระอาการสักครู่ก่อน เสร็จแล้วจะให้คนมาเชิญเสด็จ คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน”
“อย่าเกรงใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรอได้ เชิญเจ้าชายกับ..ท่านนักบวชตามสบาย”
เจ้าชายดิเร็กซ์ตรัสตอบด้วยรอยแย้มสรวลละมุนบนเรียวโอษฐ์ หากทันทีที่ร่างของเจ้าชายกันนาร์และนักบวชหนุ่มลับออกประตูไป รอยแย้มพระสรวลก็หายวับราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นบนพระพักตร์มาก่อน
“ท่านไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือ?”
เจ้าชายกันนาร์ตรัสถามขึ้นลอยๆ เมื่อทรงแน่พระทัยว่าเสด็จห่างออกมาจากห้องรอเฝ้าพอสมควรแล้ว
“ทรงหมายถึงอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นเข้าใจ” คนถูกถามตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียน
“อย่ามาทำไก๋ ข้าพอจะอ่านสายพระเนตรของเจ้าชายดิเร็กซ์ออก...ถามจริงๆ เถอะท่านเมล ท่านกับเจ้าชายดิเร็กซ์เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนใช่หรือเปล่า”
เมลิอานาร์เกือบสะดุ้ง ...พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่ ถ้าไม่ทรงฉลาดเป็นกรดก็ต้องเป็นพวกขี้ระแวงสุดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
“เปล่านี่พ่ะย่ะค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธเอาไว้ก่อน ...ก็คนก่อเรื่องตัวจริงมันเจ้าซิส ไม่ใช่นาง
“ท่านแน่ใจนะ”
“แน่ใจสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะโกหกพระองค์ทำไม” ...ถ้าไม่จำเป็น...
เจ้าชายกันนาร์พยักพระพักตร์น้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะสาวพระบาทนำไปสู่ห้องบรรทมของประมุขแห่งกรีนแลนด์ตรงสุดทางเดิน
ที่หน้าประตูสีขาวมีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย เพียงแค่มองแวบเดียวเมลิอานาร์ก็บอกได้ทันทีว่าทั้งคู่เป็นชาวแลมพ์ตัน พวกเขาค้อมกายลงทำความเคารพเจ้าชายกันนาร์แล้วหันไปผลักบานประตูให้เปิดออก รอจนผู้มาเยือนทั้งสองก้าวผ่านเข้าไปภายในเรียบร้อย จึงหับประตูลงตามเดิม
เจ้าชายกันนาร์ทรงชี้ให้นักบวชหนุ่มนั่งรอที่เก้าอี้ผ้าไหมสีเทาเงินในห้องด้านหน้า ส่วนพระองค์เสด็จไปเคาะประตูอีกบานซึ่งซ่อนอยู่ระหว่างเตาผิงและกระจกเงาในกรอบทองคำฝังมุก ทรงผลุบหายเข้าไปหลังประตูบานนั้นพักใหญ่ ก่อนจะเยี่ยมพระพักตร์กลับออกมากวักพระหัตถ์เรียกให้อีกฝ่ายตามเข้าไปภายใน
“ท่านเมลพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นักบวชจากแลมพ์ตันที่กระหม่อมเคยกราบทูล” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยแนะนำ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
เมลิอานาร์ค้อมกายลงต่ำ ...ไหนๆ นางก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าต้องเป็นนักบวชพ่วงอีกสักตำแหน่งจะเป็นไรไป
“สวัสดี ท่านนักบวช” เสียงห้าวคุ้นหูตอบกลับมา
คนในชุดนักบวชพยายามเพ่งสายตามองฝ่าผ้าม่านสีขาวรอบเตียงไปยังร่างที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น หากไม่สามารถเห็นผู้เป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์ได้ถนัด
“กันนาร์คงบอกท่านแล้วสินะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี แล้วท่านพร้อมจะลงมือได้เมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมเสมอ”
“ดีมาก... ถ้าอย่างนั้นรีบลงมือเสียคืนนี้เลย หลังพระอาทิตย์ตกดินครึ่งชั่วยามข้าจะให้กันนาร์นำท่านไปยังวิหารจันทรา...”
“วิหารจันทรา” นักบวชหนุ่มทวนคำ ดวงตาสีน้ำเงินงามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู
“ถูกแล้ว วิหารจันทรา ‘งาน’ ของท่านรออยู่ที่นั่น”
คำตอบปนเสียงทรงพระกรรสะที่ดังลอดออกมาจากพระแท่นบรรทม มีกังวานประหลาดคล้ายเสียงหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคอ จนหญิงสาวในคราบนักบวชต้องเพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ ไหนๆ กระหม่อมก็มาแล้ว จะให้ตรวจดูพระอาการสักหน่อยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง!!” ชายหนุ่มสองคนในห้องปฏิเสธออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
เจ้าชายกันนาร์รีบสาวพระบาทมายืนขวางอยู่หน้าพระแท่น ในขณะที่ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบทจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นนอนราบลงกับฟูก
“ท่านกลับไปก่อนเถอะ จะได้มีเวลาเตรียมตัว เอาไว้หลังพระอาทิตย์ตกดินเราค่อยพบกันอีกที” พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสเหมือนจะไล่
คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับราชาหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพระองค์ทรงกลัวอะไรกัน หรือเพราะเห็นว่านางเป็นชาวแลมพ์ตันจึงไม่ไว้ใจ หญิงสาวยักไหล่...ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนั้นก็ช่วยไม่ได้
นางถอยกลับไปที่ประตู ค้อมกายลงถวายคำนับทั้งองค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินตัวตรงออกจากห้องไป
พอลับร่างของนักบวชหนุ่ม องค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์ก็ถอนพระทัยเฮือกออกมาพร้อมกัน
“เกือบไปแล้ว ว่าแต่นักบวชของเจ้ารูปหล่อดีนี่ มิน่า เจ้าถึงได้เป็นห่วงน้องสาวนัก ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว” ราชาหนุ่มตรัสแกมสรวล
เจ้าชายกันนาร์พระพักตร์บูด
“ฝ่าบาท... เลิกล้อกระหม่อมสักทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วทรงตอบมาด้วยว่าเหตุใดจึงทรงเปลี่ยนพระทัยกะทันหัน ไหนทีแรกตรัสว่าจะบอกความจริงเรื่องที่ไม่ได้ประชวรให้ท่านนักบวชรู้ กระหม่อมจึงได้นำตัวเขามาเข้าเฝ้าที่นี่”
“ข้า..เอ่อ...ข้าก็มีเหตุผลของข้าละน่า”
ราชาหนุ่มทรงอ้ำอึ้งอย่างมีพิรุธ ...ก็จะให้บอกได้อย่างไรว่าพระองค์ถูกเจ้านักบวชกำมะลอนั่นเห็นในสภาพที่ไม่อยากจะให้ใครเห็นมากที่สุดเข้าเสียแล้ว ขืนยอมให้หมอนั่นเห็นหน้าอีกครั้ง เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าหญิงรับใช้ที่เจอในวิหารจันทราเป็นคนเดียวกับประมุขแห่งกรีนแลนด์ แล้วพระองค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ก็มันเหตุผลอะไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ยังคงซักอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้น่ากันน์ เอ้า...ไหนเจ้าว่าแขกคนสำคัญของพวกเราเสด็จมาถึงแล้วไงล่ะ รีบไปทูลเชิญพระองค์เข้ามาสักทีสิ”
ราชาเอลเบอเรธทรงตัดบทด้วยการคว้าสมุนไพรประหลาดของเจ้าหญิงกาอิยาห์มาโยนใส่พระโอษฐ์เคี้ยว เพียงครู่เดียวก็มีอาการเหมือนกับคนป่วยหนัก พระพักตร์ซีดเผือด พระวรกายร้อนจัดราวกับไฟ เจ้าชายกันนาร์เห็นดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรีบเสด็จไปทูลเชิญเจ้าชายแห่งทาเนียร์มาเข้าเฝ้าก่อนที่ฤทธิ์ของสมุนไพรจะเสื่อมลง
เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรไปรอบห้อง แม้ม่านกำมะหยี่สีเลือดหมูจะถูกรูดเปิดออกทุกด้านเผยให้เห็นท้องฟ้าสีเทาเข้มภายนอก หากภายในห้องยังต้องตามไฟเอาไว้เพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอ แขกของพระองค์นั่งรออยู่แล้วบนเก้าอี้ผ้าไหมยกดอกตัวยาว ขนาบสองข้างด้วยเก้าอี้เท้าแขนบุนวมนุ่มเข้าชุดกัน เว้นช่องตรงกลางไว้สำหรับตั้งโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ด้านบนฝังกระดานหมากรุกเป็นหินอ่อนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำสลับขาว มีตัวหมากทำด้วยคริสตัลและทับทิมเจียระไนฝีมือประณีตจัดเรียงไว้พร้อม
พอผู้เป็นแขกเหลียวมาเห็นพระองค์เข้า ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มประจบ ไม่ต้องเห็นหน้ากันถนัด เจ้าชายก็พอจะเดาได้แล้วว่าผู้ที่กล้าปลุกพระองค์แต่เช้าเป็นใคร
“อรุณสวัสดิ์” เจ้าหญิงกาอิยาห์เอ่ยทักพี่ชายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
ผู้เป็นพี่ไม่ตอบ หากตั้งท่าจะเดินย้อนกลับเข้าสู่ห้องนอนตามเดิม
“พี่กันนาร์ใจร้าย น้องอุตสาห์มานั่งรอตั้งนานนะคะ”
“รอที่ไหน เจ้ามาปลุกข้าชัดๆ... เอ้า ก็ได้ มีอะไรก็รีบว่ามา”
เจ้าชายกันนาร์จำใจเสด็จข้ามห้องมาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ พระองค์รู้สึกแปลกพระทัยไม่น้อยเพราะตามปกติแล้วเจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ใช่คนที่จะตื่นเช้าขนาดนี้ได้
“มีอะไรก็พูดมาสักทีสิกายย์” ทรงร้องเร่งเมื่อเห็นว่าน้องสาวยังเอาแต่นั่งเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง
“เมลล่ะคะ”
ชื่อนั้นกระทบความรู้สึกของคนฟังเข้าอย่างจัง
“เมลของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่”
“อ้าว”
“ไม่ต้องมาอ้าว ข้าให้อาจารย์ของเจ้าพักอยู่กับพวกนักบวชที่เรือนแถวโน่น”
ดวงพักตร์นวลใสของเจ้าหญิงกาอิยาห์มีร่องรอยผิดหวังปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
“งั้นน้องก็ไม่มีธุระกับพี่กันนาร์แล้ว ไปนอนต่อเถอะค่ะ”
นางตัดบทง่ายๆ ด้วยการลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปที่ประตูห้องเพื่อเตรียมตัวกลับ ทิ้งให้ผู้เป็นพี่นั่งอ้าปากค้างมองอยู่กับที่
“เจ้ามาปลุกข้าแต่เช้าด้วยเรื่องแค่นี้หรือ”
“ก็น้องนึกว่าเมลอยู่กับพี่นี่นา น้องขอโทษก็ได้ค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์ไม่ใส่พระทัยกับคำขอโทษของน้องสาว พระองค์รีบเสด็จตามไปขวางหน้านางเอาไว้ก่อนที่จะก้าวพ้นไปจากห้อง
“เดี๋ยวก่อนสิกายย์ เจ้าจะรีบไปไหน อย่าบอกนะว่าจะไปหาเจ้าหมอนั่น”
“เจ้าหมอนั่น...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทวนคำเหมือนไม่เข้าพระทัย หากพอนึกได้ว่าพี่ชายน่าจะหมายถึงใคร รอยยิ้มซุกซนก็ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์
“ใช่แล้วละค่ะ น้องกำลังจะไปหา ’เจ้าหมอนั่น’ แหละ”
“เจ้าจะรีบไปทำไมตั้งแต่ฟ้าเพิ่งจะสาง ไว้รอพบเขาตอนข้าพาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ค่ะ” น้องสาวตอบทันควัน พร้อมกับให้เหตุผลที่ทำให้คนเป็นพี่แทบลมจับ
“น้องอยากเจอเมลนี่นา ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว...คิดถึงออก”
เจ้าชายกันนาร์ขมวดพระขนงอย่างไม่ชอบพระทัย จ้องมองวงพักตร์งามน่ารักของน้องสาวด้วยอาการคิดหนัก...ในฐานะที่พระองค์เป็นพี่ จะปล่อยให้นางไปพบปะพูดคุยกับเจ้าหนุ่มรูปหล่ออย่างร้ายกาจคนนั้นตามลำพังได้อย่างไร ต่อให้ไม่ใช่เวลาเช้ามืดอย่างเดี๋ยวนี้แต่เป็นตอนบ่ายแดดร้อนเปรี้ยงก็เถอะ ถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์จะมีนางข้าหลวงติดตามไปด้วยหมดทั้งตำหนักพระองค์ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ต้องยอมแพ้ หันไปตรัสกับน้องสาวอย่างเสียไม่ได้
“เอาละกายย์ ข้าจะพาเจ้าไปเอง...”
เจ้าชายกันนาร์พาพระขนิษฐาขี่ม้าเข้ามาจนถึงบริเวณลานโล่ง หน้าอาคารสีขาวหม่นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสมุนไพรเขียวขจี แม้เวลานี้จะยังเช้าอยู่มาก หากบรรดานักบวชส่วนใหญ่ต่างก็วุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมสมุนไพรสำหรับปรุงยาถอนพิษเพื่อช่วยชีวิตองค์ราชา พวกเขาจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะแปลกใจกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของแขกหนุ่มผู้สูงศักดิ์
พระองค์ตวัดร่างลงจากหลังม้า จูงมันไปผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างห้องปรุงยาก่อนจะรับร่างของน้องสาวลงมาสู่พื้น ทรงกวาดสายพระเนตรมองหานักบวชหนุ่มชาวแลมพ์ตันในหมู่ชายสวมชุดยาวกรอมเท้าที่ง่วนอยู่กับการดูแลต้นพืชในสวน เมื่อไม่พบ จึงพาเจ้าหญิงกาอิยาห์เสด็จต่อไปยังเรือนแถวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องพระพักตร์ พระองค์ต้องเสียเวลาเดินวนเวียนตามหาเขาอยู่ครู่ใหญ่ จึงพบว่านักบวชที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนนักบวชผู้นั้นนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลัง ตั้งอกตั้งใจมองดูเจ้าเด็กขอทานใช้ดาบไม้ในมือฟาดเข้าใส่ท่อนฟืนที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะ ปากก็ตะโกนให้คำแนะนำเด็กหนุ่มไปด้วย
เจ้าชายกันนาร์ส่ายพระพักตร์อย่างรับไม่ได้ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ นักบวชสอนการใช้อาวุธให้ผู้อื่น แล้วดูหมอนั่นแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าสิ เหมือนนักบวชเสียที่ไหน พระองค์ตั้งท่าจะกระแอมให้อีกฝ่ายรู้ตัว หากไม่ทันคนเป็นน้องที่ส่งเสียงเรียก ‘เมล’ เสียดังลั่นพร้อมกับถลกกระโปรงวิ่งถลาตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม พอถึงตัว เด็กสาวก็โผเข้ากอดจนฝ่ายที่เพิ่งจะลุกขึ้นเหลียวหน้ามามองเกือบจะเสียหลักล้มกลิ้งไปด้วยกัน ดีแต่ฝ่ายนั้นอ้าแขนโอบรับร่างเล็กบางเอาไว้ทัน
คนเป็นเจ้าหญิงแย้มสรวลพระเนตรหยี ส่งเสียงใสแจ๋วราวระฆังเงินรัวใส่เจ้าของอ้อมแขนเป็นชุด
“เมล ข้าดีใจจังที่เจ้ามาได้ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยให้เจ้าฟังเยอะแยะเลย จริงสิ เจ้าเป็นยังไงบ้าง แล้วพี่เกลด้าล่ะสบายดีหรือเปล่า เจ้าชายเอเดรียนกับพี่เขยของข้าด้วย พวกเขาสบายดีใช่มั้ย ข้าคิดถึงเจ้ากับทุกๆ คนเหลือเกิน เจ้ามาถึงลินเด็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วสินะ ทำไมถึงไม่รีบไปพบข้าล่ะ…”
คนถูกโผเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัวขยับกายอย่างอึดอัด ไม่รู้จะเลือกตอบคำถามไหนก่อนดี พอเงยหน้าขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาเขียวปัดของชายหนุ่มผู้มีเค้าหน้าละม้ายเด็กสาวในอ้อมแขนอย่างจัง ชายผู้นั้นกำลังจ้องเขม็งมาที่นางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ประกายบางอย่างในดวงตาสีม่วงคมกริบบอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจขนาดหนัก หญิงสาวนึกถึงสภาพของตนเองกับเจ้าหญิงกาอิยาห์ขึ้นมาได้ จึงรีบคลายวงแขนออกโดยเร็วพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
เจ้าหญิงกาอิยาห์เหลียวมองตามสายตาของเพื่อนสาว พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าบูดบึ้งของผู้เป็นพี่ก็ทรงพระสรวลคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“นั่นกันนาร์พี่ชายของข้าเองแหละ...” เด็กสาวขยายความด้วยเสียงกระซิบ “กันน์เค้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ชายน่ะเมล แต่อย่าเพิ่งบอกความจริงออกไปตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวกันน์จะช็อกตายไปเสียก่อน”
ถึงคนเป็นเจ้าหญิงไม่สั่ง เมลิอานาร์ก็ไม่มีความคิดที่จะพูดอะไรออกไปอยู่แล้ว เพราะสารรูปของนางตอนนี้ ถึงจะบอกว่าเป็นผู้หญิงก็คงไม่มีใครเชื่อ
“กายย์” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยเรียกน้องสาวด้วยเสียงหนักกว่าปกติ “มาหาข้าทางนี้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ยอมทำตามคำสั่งของผู้เป็นพี่อย่างว่าง่าย แล้วถือโอกาสแนะนำให้พี่ชายรู้จักอีกฝ่ายเสียเลย
“พี่กันนาร์ นี่เมลที่น้องเคยเล่าให้ฟังไงคะ”
“ยินดีที่ได้พบ” เจ้าชายกันนาร์ตอบรับเสียงห้วน
“เช่นกัน...พ่ะย่ะค่ะ”
เมลิอานาร์งึมงำคำลงท้ายอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนักพลางค้อมกายลงต่ำ เมื่อยืดกายขึ้นอีกครั้งนางก็เหลียวหาเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันหวังจะแนะนำให้อีกฝ่ายได้รู้จัก ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปาก เจ้าตัวแสบก็หันหลังเดินหนีเข้าบ้านพักไปเสียแล้ว
“เฮ้ เดี๋ยวสิ ซิส... บ๊ะ เจ้าหมอนี่”
“ใครน่ะเมล”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ชะเง้อมองตามร่างของหนุ่มน้อยวัยไล่เลี่ยกันไปด้วยความสนพระทัย
“เพื่อนของเจ้าหรือ”
“เด็กเลี้ยงม้าที่บ้านพักคนเดินทางน่ะเพ..พ่ะย่ะค่ะ ชื่อซิส เขาโดนเจ้าของบ้านพักไล่ออกจากงานก็เลยขอติดตามหม่อมฉ..เอ๊ย...กระหม่อมมาด้วย ถ้าไม่เป็นการรบกวนองค์หญิงจนเกินไปนัก กระหม่อมก็อยากจะขอฝากซิสไว้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่สักคน”
“ได้ซี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ใช่มั้ยพี่กันนาร์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์หันไปเขย่าแขนพี่ชายกึ่งถามกึ่งขอร้อง
“ก็ได้ ข้าจะจัดการให้เอง ท่านนักบวชไม่ต้องเป็นห่วง”
เมลิอานาร์ขยับจะยิ้มรับความเอื้อเฟื้อของชายหนุ่ม หากต้องเปลี่ยนเป็นย่นหัวคิ้วแทนเพราะสะดุดหูกับบางถ้อยคำในประโยคของเขา
นักบวชอีกแล้วหรือ ทำไมคนที่นี่ชอบคิดว่านางเป็นนักบวชกันนักนะ...
หญิงสาวยังไม่ทันจะได้ปริปากพูดอะไรต่อ ก็พอดีเจ้าชายกันนาร์ทรงหันไปทางน้องสาวเสียก่อน
“กายย์ เจ้ากลับตำหนักไปได้แล้ว”
รอยยิ้มแจ่มกระจ่างบนพักตร์นวลใส ‘หุบ’ ลงทันควัน
“อะไรกัน น้องยังคุยกับเมลไม่ถึงห้าประโยคเลยนะคะ ทำไมจะต้องรีบกลับ”
“เจ้ายังมีวิชาประวัติศาสตร์กับลีลาศที่ต้องเรียนในช่วงเช้านี่ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าโดดหรอกนะกายย์ อีกอย่างตอนบ่ายเจ้าต้องเข้าเฝ้าท่านน้าพร้อมกับเจ้าหญิงลูเซียด้วย ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือไง”
‘หน้าที่’ ที่พี่ชายหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างในประโยคหลัง ทำให้คนเป็นน้องต้องยอมยอมจำนนโดยไม่มีคำโต้แย้งใดๆ อีก
“เจ้าไปรอที่ม้าก่อน ข้าขอคุยธุระกับท่านนักบวชครู่เดียวแล้วจะรีบตามไป”
เจ้าชายกันนาร์ออกคำสั่ง ทรงรอจนแน่พระทัยว่าผู้เป็นน้องสาวเดินห่างออกไปจนไม่มีโอกาสได้ยินบทสนทนาของพระองค์แล้ว จึงสาวพระบาทเข้าไปหานักบวชชาวแลมพ์ตัน
“เอาละ ทีนี้มาว่าเรื่องของท่านกันต่อ...”
พระองค์ยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ชายหนุ่มจนพระนาสิกแทบจะชนกับจมูกของอีกฝ่าย ยังดีที่ทรงยั้งพระทัยเอาไว้ได้ ไม่ขยุ้มคอเสื้อของเขาติดพระหัตถ์ขึ้นมาด้วย
“ไม่ว่าที่แลมพ์ตัน ท่านจะสนิทสนมกับกายย์มากแค่ไหน แต่ขอให้ช่วยจำเอาไว้ด้วยว่าที่นี่คือกรีนแลนด์ เพราะฉะนั้นอย่าให้มีภาพแบบเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ถ้าข้าเห็นหรือได้ยินข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อีกแม้แต่หนเดียวละก็ ท่านเตรียมตัวไสหัวออกไปจากกรีนแลนด์ได้เลย”
เจ้าชายกันนาร์ขยับถอยออกห่างจากนักบวชหนุ่ม ใช้สายพระเนตรมองสำรวจเครื่องแต่งกายอันประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว และรองเท้าบู้ทหนังนุ่มของเขาอย่างตำหนิ
“องค์ราชาทรงมีพระประสงค์ให้ข้าพาท่านไปเข้าเฝ้า หลังอาหารมื้อเที่ยงข้าจะรอท่านอยู่ที่ห้องปรุงยา อ้อ แล้วถ้าไม่ลำบากจนเกินไปนักก็ช่วยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดที่มันดูเข้าท่ากว่านี้ด้วย ถ้าท่านไม่รู้ว่าควรจะแต่งกายอย่างไร ลองถามจากพวกนักบวชที่อยู่รอบๆ ตัวท่านดูก็ได้ ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงจะมีเสื้อผ้ามากพอที่จะให้ท่านขอยืมสักชุดสองชุดหรอก”
พระองค์ตรัสทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น แล้วทรงสาวพระบาทจากไปในทิศทางเดียวกับเจ้าหญิงกาอิยาห์ โดยไม่เบือนพระพักตร์กลับมามองคนที่ยังยืน ‘อึ้ง’ อยู่กับที่อีกแม้แต่แวบเดียว
พอตกบ่ายเจ้าชายกันนาร์ก็เสด็จมารออยู่ที่ห้องปรุงยาตามรับสั่ง พระองค์พาหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันในเครื่องแต่งกายแบบนักบวชไปยังอาคารทรงวิคตอเรียซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารจันทรามากนัก ระหว่างทางก็อธิบายเหตุการณ์ที่เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามช่วยชีวิตเจ้าหญิงแคธรีนซึ่งบังเอิญถูกยาพิษ จนทำให้นางต้องกลายเป็นหินให้เขาฟังไปด้วย พร้อมกับย้ำว่าหน้าที่ของเขาคือทำให้เจ้าหญิงแห่งวูดแลนด์ผู้นั้นกลับเป็นเหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
นักบวชหนุ่มเดินอย่างสงบเสงี่ยมตามหลังคนเป็นเจ้าชายไปตามระเบียงหินอ่อนที่มีภาพวาดของอดีตราชาและราชินีแห่งกรีนแลนด์ในกรอบทองคำฝังอัญมณีล้ำค่าแขวนประดับ สลับกับเชิงเทียนตั้งพื้นทรวดทรงอ่อนช้อยและกระจกเงาสูงท่วมศีรษะในกรอบทองคำฉลุลายละเอียดงาม เนื้อกระจกเที่ยงตรงใสแจ๋วสะท้อนภาพช่องหน้าต่างโค้งฝั่งตรงข้าม เลยไปถึงท้องฟ้าสีครามจัดแต้มระบายด้วยปุยเมฆขาวภายนอก
ที่หน้าต่างบานหนึ่งมีชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังและอาภรณ์สีดำล้วนทำให้เขาดูสะดุดตายิ่งกว่าเครื่องเรือนราคาแพงพวกนั้นหลายเท่า ท่ากอดอกเหยียดตัวตรงขาแยกออกจากกันเล็กน้อย แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองเต็มเปี่ยมจนเกือบจะกลายเป็นหยิ่งผยอง ทว่าเมื่อเจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็หันกลับมาถวายคำนับเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทีหยิ่งผยองหายวับไปเหลือเพียงรอยยิ้มสวยบนใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง
“สวนในลินเด็นงามจริง เห็นทีหม่อมฉันต้องส่งคนสวนที่ทาเนียร์มาเรียนรู้วิธีการจัดสวนกับพระองค์บ้างแล้ว”
“เจ้าชายดิเร็กซ์!!“
เจ้าชายกันนาร์อุทานอย่างตื่นตะลึง หากเพียงครู่เดียวก็ทรงเกลื่อนสีพระพักตร์ได้เป็นปกติ พระองค์รีบสาวพระบาทเข้าไปหาผู้เป็นแขกพลางกล่าวขอโทษไปด้วย
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะเสด็จ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะที่ไม่ทันได้ส่งคนไปต้อนรับ”
“ไม่ใช่ความผิดของพระองค์หรอกพ่ะย่ะค่ะ ทางหม่อมฉันต่างหากที่เดินทางมาลินเด็นกะทันหัน ...ได้ข่าวว่าราชาเอลเบอเรธประชวรหนัก”
คิ้วเข้มของเจ้าชายกันนาร์เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย พระหทัยเต้นแรง พระองค์คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าแผนการขององค์ราชาจะสัมฤทธิ์ผลไวปานนี้
“ ‘ข่าว’ ลือไปไกลจนถึงทาเนียร์เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งกลับจากซาร์ด บังเอิญเดินทางผ่านมาแถวนี้พอดี ได้ยินชาวบ้านแถบชายแดนพูดกันหนาหูว่าองค์ราชาทรงพระประชวร ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน”
“พระองค์ก็เลยรีบร้อนเสด็จมาหาคำตอบจนถึงที่นี่”
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงพระสรวลเบาๆ เสมือนไม่รู้เท่าคำประชดของอีกฝ่าย
“เชิญเสด็จทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์ออกเดินนำผู้เป็นแขกตรงไปยังห้องรอเฝ้าสุดมุมระเบียง โดยมีนักบวชชาวแลมพ์ตันเดินตัวลีบตามหลังไปด้วย อาคันตุกะหนุ่มปรายพระเนตรมองเจ้าของร่างในชุดสีเทาเงินยาวรุ่มร่ามนั้นแวบหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นลอยๆ
“ ‘ข่าวลือ’ ที่พระองค์ว่า เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรทำให้ทรงคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มพระสรวล
“เพราะว่านักบวชคงไม่มาเดินเล่นในตำหนักหลวงแน่ๆ หรือว่าเจ้าชายทรงมีกิจอื่นใดกับนักบวชรูปงามที่เดินตามมาข้างหลังคนนั้นล่ะพะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องขอประทานอภัยด้วยที่เดาผิด”
ดวงเนตรสีม่วงของเจ้าชายกันนาร์หรี่ลงเล็กน้อย ทรงซ่อนความหงุดหงิดพระทัยเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงร่าเริงตามปกติ เมื่อตรัสว่า
“เจ้าชายช่างสังเกตเหลือเกิน ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชาของเราประชวรพระโรคประหลาดมาหลายวันแล้ว ท่านหมอเองก็ดูเหมือนจะจนใจ ไม่ว่ายาขนานใดก็ไม่สามารถรักษาพระอาการให้ทุเลาลงได้ หม่อมฉันเลยคิดจะลองพึ่งเวทมนตร์ของพวกนักบวชดูบ้าง”
“ขนาดนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ...” ชายหนุ่มผมดำเบิกตากว้างด้วยท่าทีเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด “พอดีหม่อมฉันเพิ่งไปรับตัวนักบวชที่เก่งที่สุดของทาเนียร์กลับมาจากซาร์ด ถ้าเจ้าชายไม่รังเกียจหม่อมฉันจะตามตัวเขามาช่วยตรวจดูพระอาการอีกแรง...”
“อย่าได้ทรงลำบากไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เรามี ‘ท่านเมล’ นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์อยู่ตรงนี้ทั้งคนแล้ว แต่ก็ต้องขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”
“นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์” เจ้าชายดิเร็กซ์เลิกพระขนง
“เจ้าหนุ่ม...เอ่อ...ท่านผู้นี้น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันว่าเขาออกจะดูอ่อนอาวุโสไปสักหน่อย ถ้าเป็นที่ทาเนียร์ นักบวชอายุน้อยขนาดนี้คงจะเป็นได้แค่พวกฝึกหัดเท่านั้น แล้วที่สำคัญ นักบวชเขาไม่พกดาบกันไม่ใช่หรือท่านเมล” ท้ายประโยคทรงหันไปตรัสกับ ‘นักบวชที่เก่งที่สุด’ โดยตรง
คนที่ถูกทึกทักให้เป็นนักบวชตวัดสายตาขึ้นมองผู้พูดเป็นครั้งแรก ดวงเนตรคมกริบสีรัตติกาลที่จ้องตอบกลับมาทำให้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น เมลิอานาร์พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบแลไปยังรอยสีแดงจางๆ บนหลังพระหัตถ์ขวา ซึ่งนางรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ...เจ้าชายดิเร็กซ์ยังไม่ทรงลืมเรื่องเมื่อคราวก่อน ข้อนี้หญิงสาวแน่ใจ แต่ที่แน่ใจยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนพระองค์จะทรงจำนางได้ด้วย!
เมลิอานาร์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แข็งใจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด
“พ่ะย่ะค่ะ นักบวชย่อมไม่พกอาวุธไม่ว่าชนิดใด มันเป็นกฎ”
“อย่างนั้นหรือ ข้านึกว่าท่านได้รับการยกเว้นจากกฎข้อนี้เสียอีก”
น้ำเสียงของเจ้าชายดิเร็กซ์ฟังสะดุดหูเสียจนเจ้าชายกันนาร์ต้องเบือนพระพักตร์กลับมามอง
“นักบวชของหม่อมฉันทำสิ่งใดให้เคืองเบื้องพระบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันแค่เย้า ‘นักบวช’ ของพระองค์เล่นเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าชายประทับรอในห้องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์เสด็จนำอาคันตุกะหนุ่มเข้าไปในห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องเรือนสีน้ำตาลและทอง กลมกลืนกับชุดเก้าอี้ผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีเหลืองอ่อนลออตา พระองค์หยิบกระดิ่งเงินอันเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะริมประตูขึ้นมาสั่นเบาๆ เพียงครู่เดียวมหาดเล็กสองนายก็ก้าวเข้ามาในห้องเพื่อรอรับคำสั่ง เจ้าชายหันไปตรัสอะไรกับพวกเขาสองสามประโยค ก่อนเบือนพระพักตร์กลับมาหาผู้เป็นแขก
“หม่อมฉันต้องขอตัวพาท่านเมลไปถวายการตรวจพระอาการสักครู่ก่อน เสร็จแล้วจะให้คนมาเชิญเสด็จ คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน”
“อย่าเกรงใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรอได้ เชิญเจ้าชายกับ..ท่านนักบวชตามสบาย”
เจ้าชายดิเร็กซ์ตรัสตอบด้วยรอยแย้มสรวลละมุนบนเรียวโอษฐ์ หากทันทีที่ร่างของเจ้าชายกันนาร์และนักบวชหนุ่มลับออกประตูไป รอยแย้มพระสรวลก็หายวับราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นบนพระพักตร์มาก่อน
“ท่านไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือ?”
เจ้าชายกันนาร์ตรัสถามขึ้นลอยๆ เมื่อทรงแน่พระทัยว่าเสด็จห่างออกมาจากห้องรอเฝ้าพอสมควรแล้ว
“ทรงหมายถึงอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นเข้าใจ” คนถูกถามตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียน
“อย่ามาทำไก๋ ข้าพอจะอ่านสายพระเนตรของเจ้าชายดิเร็กซ์ออก...ถามจริงๆ เถอะท่านเมล ท่านกับเจ้าชายดิเร็กซ์เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนใช่หรือเปล่า”
เมลิอานาร์เกือบสะดุ้ง ...พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่ ถ้าไม่ทรงฉลาดเป็นกรดก็ต้องเป็นพวกขี้ระแวงสุดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
“เปล่านี่พ่ะย่ะค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธเอาไว้ก่อน ...ก็คนก่อเรื่องตัวจริงมันเจ้าซิส ไม่ใช่นาง
“ท่านแน่ใจนะ”
“แน่ใจสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะโกหกพระองค์ทำไม” ...ถ้าไม่จำเป็น...
เจ้าชายกันนาร์พยักพระพักตร์น้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะสาวพระบาทนำไปสู่ห้องบรรทมของประมุขแห่งกรีนแลนด์ตรงสุดทางเดิน
ที่หน้าประตูสีขาวมีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย เพียงแค่มองแวบเดียวเมลิอานาร์ก็บอกได้ทันทีว่าทั้งคู่เป็นชาวแลมพ์ตัน พวกเขาค้อมกายลงทำความเคารพเจ้าชายกันนาร์แล้วหันไปผลักบานประตูให้เปิดออก รอจนผู้มาเยือนทั้งสองก้าวผ่านเข้าไปภายในเรียบร้อย จึงหับประตูลงตามเดิม
เจ้าชายกันนาร์ทรงชี้ให้นักบวชหนุ่มนั่งรอที่เก้าอี้ผ้าไหมสีเทาเงินในห้องด้านหน้า ส่วนพระองค์เสด็จไปเคาะประตูอีกบานซึ่งซ่อนอยู่ระหว่างเตาผิงและกระจกเงาในกรอบทองคำฝังมุก ทรงผลุบหายเข้าไปหลังประตูบานนั้นพักใหญ่ ก่อนจะเยี่ยมพระพักตร์กลับออกมากวักพระหัตถ์เรียกให้อีกฝ่ายตามเข้าไปภายใน
“ท่านเมลพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นักบวชจากแลมพ์ตันที่กระหม่อมเคยกราบทูล” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยแนะนำ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
เมลิอานาร์ค้อมกายลงต่ำ ...ไหนๆ นางก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าต้องเป็นนักบวชพ่วงอีกสักตำแหน่งจะเป็นไรไป
“สวัสดี ท่านนักบวช” เสียงห้าวคุ้นหูตอบกลับมา
คนในชุดนักบวชพยายามเพ่งสายตามองฝ่าผ้าม่านสีขาวรอบเตียงไปยังร่างที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น หากไม่สามารถเห็นผู้เป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์ได้ถนัด
“กันนาร์คงบอกท่านแล้วสินะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี แล้วท่านพร้อมจะลงมือได้เมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมเสมอ”
“ดีมาก... ถ้าอย่างนั้นรีบลงมือเสียคืนนี้เลย หลังพระอาทิตย์ตกดินครึ่งชั่วยามข้าจะให้กันนาร์นำท่านไปยังวิหารจันทรา...”
“วิหารจันทรา” นักบวชหนุ่มทวนคำ ดวงตาสีน้ำเงินงามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู
“ถูกแล้ว วิหารจันทรา ‘งาน’ ของท่านรออยู่ที่นั่น”
คำตอบปนเสียงทรงพระกรรสะที่ดังลอดออกมาจากพระแท่นบรรทม มีกังวานประหลาดคล้ายเสียงหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคอ จนหญิงสาวในคราบนักบวชต้องเพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ ไหนๆ กระหม่อมก็มาแล้ว จะให้ตรวจดูพระอาการสักหน่อยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง!!” ชายหนุ่มสองคนในห้องปฏิเสธออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
เจ้าชายกันนาร์รีบสาวพระบาทมายืนขวางอยู่หน้าพระแท่น ในขณะที่ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบทจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นนอนราบลงกับฟูก
“ท่านกลับไปก่อนเถอะ จะได้มีเวลาเตรียมตัว เอาไว้หลังพระอาทิตย์ตกดินเราค่อยพบกันอีกที” พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสเหมือนจะไล่
คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับราชาหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพระองค์ทรงกลัวอะไรกัน หรือเพราะเห็นว่านางเป็นชาวแลมพ์ตันจึงไม่ไว้ใจ หญิงสาวยักไหล่...ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนั้นก็ช่วยไม่ได้
นางถอยกลับไปที่ประตู ค้อมกายลงถวายคำนับทั้งองค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินตัวตรงออกจากห้องไป
พอลับร่างของนักบวชหนุ่ม องค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์ก็ถอนพระทัยเฮือกออกมาพร้อมกัน
“เกือบไปแล้ว ว่าแต่นักบวชของเจ้ารูปหล่อดีนี่ มิน่า เจ้าถึงได้เป็นห่วงน้องสาวนัก ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว” ราชาหนุ่มตรัสแกมสรวล
เจ้าชายกันนาร์พระพักตร์บูด
“ฝ่าบาท... เลิกล้อกระหม่อมสักทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วทรงตอบมาด้วยว่าเหตุใดจึงทรงเปลี่ยนพระทัยกะทันหัน ไหนทีแรกตรัสว่าจะบอกความจริงเรื่องที่ไม่ได้ประชวรให้ท่านนักบวชรู้ กระหม่อมจึงได้นำตัวเขามาเข้าเฝ้าที่นี่”
“ข้า..เอ่อ...ข้าก็มีเหตุผลของข้าละน่า”
ราชาหนุ่มทรงอ้ำอึ้งอย่างมีพิรุธ ...ก็จะให้บอกได้อย่างไรว่าพระองค์ถูกเจ้านักบวชกำมะลอนั่นเห็นในสภาพที่ไม่อยากจะให้ใครเห็นมากที่สุดเข้าเสียแล้ว ขืนยอมให้หมอนั่นเห็นหน้าอีกครั้ง เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าหญิงรับใช้ที่เจอในวิหารจันทราเป็นคนเดียวกับประมุขแห่งกรีนแลนด์ แล้วพระองค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ก็มันเหตุผลอะไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ยังคงซักอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้น่ากันน์ เอ้า...ไหนเจ้าว่าแขกคนสำคัญของพวกเราเสด็จมาถึงแล้วไงล่ะ รีบไปทูลเชิญพระองค์เข้ามาสักทีสิ”
ราชาเอลเบอเรธทรงตัดบทด้วยการคว้าสมุนไพรประหลาดของเจ้าหญิงกาอิยาห์มาโยนใส่พระโอษฐ์เคี้ยว เพียงครู่เดียวก็มีอาการเหมือนกับคนป่วยหนัก พระพักตร์ซีดเผือด พระวรกายร้อนจัดราวกับไฟ เจ้าชายกันนาร์เห็นดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรีบเสด็จไปทูลเชิญเจ้าชายแห่งทาเนียร์มาเข้าเฝ้าก่อนที่ฤทธิ์ของสมุนไพรจะเสื่อมลง
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2556, 18:49:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2556, 18:52:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1719
<< ตอนที่ 5 | ตอนที่ 7 >> |
ชลวารี 5 ก.พ. 2556, 07:25:14 น.
สงสัยค่ะทำไมกายย์ต้องบอกว่าเชิญนักบวชมา แต่กลับให้นางเอกเรามาแทนล่ะคะ
สงสัยค่ะทำไมกายย์ต้องบอกว่าเชิญนักบวชมา แต่กลับให้นางเอกเรามาแทนล่ะคะ
angelK 5 ก.พ. 2556, 08:33:43 น.
ขอบคุณที่ถามนะคะ ทำให้เห็นช่องโหว่หนึ่งจุดละ
อันที่จริงกายย์ไม่ได้บอกว่าจะตามนักบวชมาช่วยค่ะ แต่บอกว่าจะตามเมลมาช่วย เจ้าชายกันนาร์คิดว่าเมลคือนักบวชค่ะ เลยไปบอกองค์ราชาว่าน้องสาวจะตามนักบวชมาช่วย รายละเอียดตรงนี้เป็นส่วนที่ถูกตัดออกไปในการรีไรท์รอบนี้ละค่ะ สงสัยต้องไปอ่านทวนดูอีกทีว่าควรจะเพิ่มเข้าไปหรือไม่ อย่างไร
ขอบคุณที่ถามนะคะ ทำให้เห็นช่องโหว่หนึ่งจุดละ
อันที่จริงกายย์ไม่ได้บอกว่าจะตามนักบวชมาช่วยค่ะ แต่บอกว่าจะตามเมลมาช่วย เจ้าชายกันนาร์คิดว่าเมลคือนักบวชค่ะ เลยไปบอกองค์ราชาว่าน้องสาวจะตามนักบวชมาช่วย รายละเอียดตรงนี้เป็นส่วนที่ถูกตัดออกไปในการรีไรท์รอบนี้ละค่ะ สงสัยต้องไปอ่านทวนดูอีกทีว่าควรจะเพิ่มเข้าไปหรือไม่ อย่างไร
angelK 5 ก.พ. 2556, 08:51:04 น.
เข้าไปแก้ไขตอนที่ 4 เล็กน้อย เพื่อเพิ่มรายละเอียดตรงจุดนี้แล้วค่ะ อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็หวังว่าจะลดความสงสัยของผู้อ่านลงได้บ้าง
เข้าไปแก้ไขตอนที่ 4 เล็กน้อย เพื่อเพิ่มรายละเอียดตรงจุดนี้แล้วค่ะ อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็หวังว่าจะลดความสงสัยของผู้อ่านลงได้บ้าง