กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 24


24...


อาลั้งเห็นคุณชายนั่งอยู่กับมารดา ทั้งสองต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด พออาลั้งก้าวเข้าไปในห้องโถง คุณชายก็เอ่ยว่า “อาลั้ง...วันนี้เราจะไม่เรียนพูดภาษาสยามกัน”
อาลั้งรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยอมรับด้วยดี “ค่ะ”
“เพราะวันนี้มีเรื่องสำคัญของลื้อ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “มีจดหมายมาจากเมืองจีนถึงลื้อ”

สีหน้าของอาลั้งจากเซื่องซึมเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจทันที

“แต่เป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก ลื้อต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้” คุณชายเอ่ยเตือน
สีหน้าดีใจของอาลั้งค่อยๆ จางหาย ใจเต้นไม่เป็นส่ำ จะมีเรื่องร้ายอะไรมาหรือ...แล้วความสงสัยในใจของอาลั้งก็ได้รับการเฉลย
ซาเสี่ยเนี้ยยื่นซองจดหมายให้คุณชาย “อาป้ออ่านให้อาลั้งฟังหน่อย”
“ครับแม่” คุณชายรับคำ พลางรับจดหมายนั้นมาเปิดซองออกอ่าน
“ถึงน้องลั้ง...ตอนนี้แม่ไม่สบายมาก ต้องการใช้เงินเพื่อหาหมอฝรั่ง ถ้าไม่มีเงินแม่ต้องตายแน่ๆ น้องต้องหาเงินส่งมาให้พี่มากๆ จากพี่ชาย อาตั่ว”
อาลั้งฟังเนื้อหาในจดหมายแล้วตกใจมาก อุทานว่า “แม่ไม่สบายมาก” ก่อนจะร้องไห้ออกมา “แล้วหนูจะหาเงินจากที่ไหน?”
“เสียงใครมาร้องห่มร้องไห้” เสียงยี่เสี่ยเนี้ยดุมา ก่อนที่เจ้าตัวซึ่งมีท้องใหญ่มากแล้วจะเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในห้องโถง
“ยี่อึ้ม เชิญนั่งก่อนครับ” คุณชายรีบลุกไปประคองผู้มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ให้มานั่งลงโดยสวัสดิภาพก่อน ตนเองจึงมานั่งลงที่เก่า
“แล้วนี่อาลั้งร้องไห้เรื่องอะไรกัน?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม
ซาเสี่ยเนี้ยจึงเล่าให้ฟังว่า “แม่อีป่วยหนัก พี่ชายเขียนจดหมายมาขอเงิน”
“เงินอีกแล้ว...บ้านนี้มีจดหมายมา ก็มีแต่ขอเงิน” ยี่เสี่ยเนี้ยบ่นอย่างรำคาญ
“แต่เหตุผลก็น่าเห็นใจนะคะ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย ในขณะที่อาลั้งพยายามกลั้นสะอื้น “นึกว่าทำบุญทำทานก็แล้วกันนะคะ”
“อั๊วไม่ชอบทำบุญ” ยี่เสี่ยเนี้ยพูดอย่างตัดเยื่อใย
“เอายังงี้ อั๊วให้ยี่สิบเหรียญ ยี่อึ้มก็ให้อีกยี่สิบเหรียญ เป็นสี่สิบเหรียญ คงพอจะเป็นค่าใช้จ่ายหาหมอฝรั่งได้ ส่วนของยี่อึ้มก็หักเอาคืนจากเงินแตะเอียในวันตรุษจีนแต่ละปีของอาลั้งก็ได้นี่คะ” ยี่เสี่ยเนี้ยพยายามเกลี่ยกล่อมคู่สะใภ้ อาลั้งได้ยินก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้ายี่เสี่ยเนี้ย
“ช่วยแม่ของหนูด้วยนะคะ”
ยี่เสี่ยเนี้ยถอนหายใจเฮือก “ก็ได้ๆ”
“ขอบคุณมากค่ะยี่เสี่ยเนี้ย...ขอบคุณมากค่ะซาเสี่ยเนี้ย...ขอบคุณมากค่ะคุณชาย” อาลั้งคำนับไปทั่ว
“เอ๋...อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย มาขอบคุณทำไม?” คุณชายป้อล้ออาลั้งเล่น
สองเด็กหนุ่มสาวสบตากัน...แล้วอาลั้งก็แก้มแดง!
ทุกอากัปกิริยาของเด็กทั้งสองไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของสองผู้ใหญ่ ซึ่งผ่านโลกมามากกว่า แต่ทั้งยี่เสี่ยเนี้ยกับซาเสี่ยเนี้ยไม่เอ่ยปากว่าอะไร
“อาลั้งลื้อไปนอนได้แล้ว” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“ค่ะ” อาลั้งรับคำเบาๆ แล้วออกจากห้องโถงนั้นมา โดยมาสายตาของคุณชายป้อมองตามจนลับสายตา
“อาป้อ ลื้อก็ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนหนังสืออีก” ซาเสี่ยเนี้ยบอกกับบุตรชายคนเดียว
“ครับแม่” คุณชายป้อรับคำ แล้วหันไปทางยี่เสี่ยเนี้ย “ขอตัวก่อนนะครับยี่อึ้ม” แล้วเดินไปขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังห้องนอน
พอเด็กหนุ่มสาวทั้งสองลับตาไปแล้ว ยี่เสี่ยเนี้ยก็ถามซาเสี่ยเนี้ยอย่างเปิดเผยว่า “ซาซิ่มชอบอาลั้งมากเหรอ”
“ชอบ” ซาเสี่ยเนี้ยตอบ “เพราะอาลั้งเป็นเด็กดี มีความกตัญญู แล้วก็ไม่ดื้อ”
“ท่าทางอาป้อก็จะชอบอาลั้งด้วยนะ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยอย่างเลียบๆ เคียงๆ
“ก็น่าจะ” ซาเสี่ยเนี้ยตอบ
“แล้วซาซิ่มยอมเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม สีหน้าไม่เชื่อหูเท่าไหร่
“เด็กๆ จะชอบพอกัน เราจะไปยอมหรือไม่ยอมอะไรล่ะ” ซาเสี่ยเนี้ยยิ้มละไม “อั๊วก็แค่คอยดูอย่าให้เลยเถิดไปก็แค่นั้นเอง”
“ลื้อทำใจยอมรับอาลั้งเป็นสะใภ้ได้จริงๆ หรือ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามตรงๆ
“อั๊วชอบอาลั้งก็จริง แต่ไม่ได้ชอบในฐานะสะใภ้” ซาเสี่ยเนี้ยตอบ “อาป้อจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม ทั้งฐานะ การศึกษา และหน้าตา”
“อ้าว...แล้วทำไมลื้อถึงปล่อยให้อีสองคนสนิทสนมกัน” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย “ทำไมไม่ตัดไฟแต่ต้นลม”
“ไม่เป็นไรหรอก...อีกสามเดือน อั๊วก็จะส่งอาป้อไปเรียนที่มาเลเซียแล้ว แต่อั๊วยังไม่บอกอีตอนนี้ รอไว้ใกล้ๆ ก่อนค่อยบอก”
“อ๋อ...” ยี่เสี่ยเนี้ยเข้าใจความคิดของคู่สะใภ้ทันที รอยยิ้มจึงปรากฏที่ริมฝีปาก

ที่บ้านอาลั้งที่เมืองจีน...คนจากตระกูลอึ๊งนำจดหมายกับเงินสี่สิบเหรียญมาให้อาตั่วที่ตอนนี้หันมาขายกับข้าวข้าวต้มเหมือนพ่อ
พอคนจากตระกูลอึ๊งกลับไป อาฮวยก็รีบเข้าไปจับแขนสามี “ไหนๆ จดหมายอาโก้ว (คำเรียกพี่สาวหรือน้องสาวของสามี) อยู่ไหน?”
“ลื้ออ่านออกเหรอ?” อาตั่วถามภรรยา
“อ่านไม่ออก แต่คนที่มาส่งข่าว ก็ต้องบอกลื้อว่าอาโก้วส่งอะไรมาบ้าง?” อาฮวยบ่งบอกความสนใจว่าคือสิ่งที่ส่งมาด้วย มาใช่ตัวจดหมายจริงๆ
“อีว่าอาลั้งส่งเงินมาให้รักษาแม่สี่สิบเหรียญ” อาตั่วบอก
“สี่สิบเหรียญ!” อาฮวยเสียงดังอย่างตื่นเต้น แล้วเร่งยิกๆ “เงินอยู่ไหน เอามาให้อั๊วเร็วๆ เข้า”
“ลื้อจะเอาเงินไปทำไม?”
“ก็เอามาเก็บไว้สิ” อาฮวยบอกเสียงกระชาก
“แต่เงินนี้ต้องเอาไว้พาแม่ไปหาหมอนะ” อาตั่วบอกเสียงระอา
“แม่ไม่ต้องหาหมอหรอก เดี๋ยวอั๊วตุ๋นไก่บำรุงอีสักสองสามตัว อีก็ดีขึ้นเองแหละ” อาฮวยคิดในใจว่าลงทุนตุ๋นไก่สักสองสามตัวแลกกับเงินตั้งสี่สิบเหรียญนั้นคุ้มสุดคุ้ม
อาฮวยไม่พูดเปล่า ยื้อแย่งถุงใส่เงินในมือสามีอย่างแรง อาตั่วนั่นกลัวภรรยาเป็นทุน ยื้อกันไปยื้อกันมาเพียงครู่ก็ต้องยอมปล่อยให้อาฮวยเอาเงินไป
“ลื้อต้องตุ๋นไก่บำรุงให้แม่จริงๆ นะอาฮวย” อาตั่วเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เออน่า...อั๊วทำให้แน่ๆ ลื้อเห็นอั๊วเป็นยังไง อั๊วก็เป็นศรีสะใภ้ที่ดีนะ” อาฮวยเอ่ยเข้าข้างตนเอง พลางล้วงหยิบเหรียญเงินขึ้นมาชื่นชม

รุ่งขึ้น...อาฮวยก็ตุ๋นไก่รุ่นๆ ตัวหนึ่ง พอตุ๋นเสร็จก็รินน้ำซุปใส่ชามได้ชามหนึ่ง แต่พอได้กลิ่นหอมของน้ำซุป อาฮวยก็ยกชามขึ้นแอบดื่มไปซะเศษสองส่วนสาม ก่อนจะเติมน้ำเปล่าลงใส่ชามให้เต็ม แล้วบอกตัวเองในใจ...คงไม่มีใครรู้หรอกน่า
จากนั้นอาฮวยก็ถือชามน้ำซุปไปยังห้องเก็บฟืนที่ดัดแปลงมาเป็นห้องนอนของอาซิ่ว อาซิ่วนอนแบบบนเตียงที่ปูฟูกบางๆ เก่าคร่ำคร่า ร่างที่เคยบอบบาง เดี๋ยวนี้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดวงตาตอบจนเหมือนหัวกะโหลก นัยน์ตาลึกดำคล้ำ...อาตั่วใช้ผ้าหมาดๆ ค่อยๆ เช็ดหน้าให้แม่ ซึ่งไม่ค่อยได้สติ พออาฮวยมาถึง อาตั่วก็รับชามซุปมาใช้ช้อนไม้ค่อยๆ ป้อนให้แม่
“แม่กินหน่อยนะ จะได้หายป่วยไวๆ”
ป้อนไปได้สองคำ อาซิ่วก็ส่ายหน้าไม่เอา
อาตั่วพยายามจะป้อนอีก แต่คนป่วยไม่ยอมรับ ก็จนปัญญา แล้วอาตั่วก็ผิดสังเกต “ทำไมซุปไก่ถึงใสโจ๋มอย่างนี้”
“อั๊วจะไปรู้เหรอ” อาฮวยตีหน้าตาย ก็จะดึงชามซุปไปจากมือสามี “เอามา อั๊วจะไปอุ่นเอาไว้ เผื่อแม่จะกินเมื่อไหร่จะได้กิน”
อาตั่วไม่ใช่คนที่โง่เป็นควาย เพียงแต่ไม่อยากจะทะเลาะเบาะแว้งกับเมียเท่านั้น เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วหันไปดูแม่อีกครั้ง
การดูครั้งนี้ทำให้เขาเอะใจ...แม่นิ่งสนิท ทรวงอกไม่สะท้อนแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเสียววาบในใจ ค่อยๆ ยื่นนิ้วไปรอที่จมูกคนเป็นแม่ ครู่หนึ่งเมื่อแน่ใจก็ร้องไห้ออกมา
“อาม่าเป็นอะไร?” อาฮวยถาม หน้าถอดสีไปเล็กน้อย
“แม่ตายแล้ว!” อาตั่วเอ่ยเสียงดัง พลางร้องไห้
“อาม่าตายแล้ว” อาฮวยมือไม้สั่น รีบถือชามซุปออกไปจากห้องนั้น กลับไปที่ครัวงึมงำอธิษฐานว่า “อาม่าลื้ออย่าโกรธอั๊วนะ อั๊วแค่ดื่มซุปไปสองสามอึกเท่านั้น แล้วลื้อก็กินไม่ลงแล้วด้วย เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน อั๊วจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ลื้อใช้ในปรโลกเยอะๆ”
แต่ในความเป็นจริง...งานศพของอาซิ่วจัดเรียบง่ายและประหยัดที่สุด

วันที่ยี่เสี่ยเนี้ยคลอดลูกคนเล็กเป็นวันที่โกลาหลที่สุดวันหนึ่ง...ยิ่งได้ลูกชายแล้ว ยี่เสี่ยกับยี่เสี่ยเนี้ยนั้นดีใจอย่างออกนอกหน้า...ในขณะเดียวกันก็มีคนเสียใจ คือคุณหนูโน้ย หล่อนไปแอบร้องไห้ในห้องจนตาบวมแดง เพราะรู้ตัวดีว่า จะไม่ได้เป็นคนโปรดของพ่อและแม่ดังเดิมแล้ว เพราะน้องชายที่เกิดใหม่จะดึงเอาความสำคัญไปจนหมด
ทุกคนในบ้านจะได้เงินรางวัลมากบ้างน้อยบ้างตามฐานะ...อาลั้งกับอาเฮี่ยะได้เงินกันมาคนละสลึง
“อั๊วจะไปซื้อแป้งสีชมพูมาทาแก้ม” อาเฮี่ยะวางแผนใช้เงิน ก่อนจะถามอาลั้งว่า “แล้วลื้อล่ะ?”
“อั๊วต้องเก็บเงินไว้คืนยี่เสี่ยเนี้ย” อาลั้งบอก แล้วอดประหวัดนึกถึงมารดาไม่ได้ “ไม่รู้แม่หายป่วยหรือยัง เมื่อคืนนี้อั๊วฝันว่าแม่มาหาอั๊ว มายิ้มให้อั๊ว แม่สวยมากเลยล่ะ”
“เหรอ...ก็เป็นฝันดีนี่” อาเฮี่ยะออกความเห็นตามประสา
อาลั้งยิ้ม พลันน้ำตาก็หลั่งไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ลื้อร้องไห้ทำไม?” อาเฮี่ยะถาม
“อั๊วก็ไม่รู้ อยู่ๆ น้ำตามันก็ไหลเอง” อาลั้งตอบ
“ลื้ออย่าไปให้ใครเห็นนะ โดยเฉพาะอาไล้ เดี๋ยวอีจะเอาไปฟ้องยี่เสี่ยเนี้ย” อาเฮี่ยะเตือนด้วยความหวังดี
แต่สุภาษิตจีนที่ว่า...พูดถึงผี ผีก็มา...นั้นดูจะเป็นจริง
เพราะพออาเฮี่ยะเพิ่งพูดขาดคำ อาไล้ก็โผล่เข้ามาในครัว ทำให้อาลั้งรีบเช็ดน้ำตาแทบไม่ทัน
อาไล้พอเข้าครัวก็นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ไม่มีพนัก แล้วหัวเราะดังๆ “ฮาๆๆ...อยากหัวเราะให้ฟันหลุด”
“ทำไมต้องหัวเราะให้ฟันหลุดด้วย?” อาเฮี่ยะถาม
“ก็อั๊วสมน้ำหน้าคนบางคน” อาไล้ลอยหน้าลอยตา
“ใคร...แล้วสมน้ำหน้าเรื่องอะไร?” อาเฮี่ยะเป็นเด็กช่างซัก
“จะมีใคร ก็คนที่เคยสูงส่งเหมือนหงส์ ตอนนี้มีน้องชายมาแข่งบุญแข่งวาสนา จากหงส์ก็ตกลงมาคลุกขี้ดินกลายเป็นแค่ไก่ธรรมดาๆ” ว่าแล้วอาไล้ก็หัวเราะต่อ
อาเฮี่ยะเกาหัวแกรก “เดี๋ยวหงส์เดี๋ยวไก่ ฟังแล้วงง อั๊วไปซื้อแป้งดีกว่า” แล้วอาเฮี่ยะก็เดินออกจากครัวไป
อาลั้งจะทำเนียนเดินออกไปอีกคน ก็ถูกอาไล้เรียกไว้
“อาลั้ง...ลื้อเป็นอะไร ทำไมตาถึงแดงๆ?”
“เอ่อ..” อาลั้งคิดหาข้อแก้ตัว “อั๊วถูกควันฟืนเข้าตา”
เมื่อไม่มีช่องให้หาเรื่อง อาไล้ก็ว่า “ลื้อนี่น่าเกลียดจริงๆ ยิ่งโตยิ่งน่าเกลียด จะไปทำอะไรก็ไป”
อาลั้งรีบใช้โอกาสนั้นปลีกตัวออกห่าง

พอครบเดือน...คุณชายคนใหม่ก็ได้ชื่อว่า...กก...แปลว่าประเทศชาติ เพื่อให้เข้มแข็ง แข็งแรง และยิ่งใหญ่เหมือนประเทศชาติ
วันครบเดือนมีการเลี้ยงโต๊ะจีน เพื่อนฝูงญาติมิตร คึกคักครึกครื้น...อาไล้ อาลั้ง และอาเฮี่ยะทำงานมือเป็นระวิง ขนาดว่าโต๊ะจีนนั้นไม่ได้ทำเอง แต่จ้างร้านอาหารมาทำ
ส่วนยี่เสี่ยเนี้ยนั้นอุ้มลูกชายคนเล็กออกมาให้ญาติๆ ดูประเดี๋ยวเดียว ก็ให้แม่นมที่จ้างมาดูแลคุณชายกก พาเข้าห้อง เพื่อที่จะไม่ให้ถูกลมมากเกินไป
แม่นมที่จ้างมาดูแลคุณชายคนเล็กนี้ อายุประมาณสามสิบปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงใหญ่พอประมาณ ชื่อว่าอาฮวง นางมีลูกมาแล้วสามคน ลูกๆ ก็โตพอดูแลตัวเองได้ จึงฝากแม่สามีดูแล ส่วนสามีของนางเสียชีวิตไปห้าปีแล้ว
อาฮวงกับอาไล้ไม่ค่อยกินเส้นกัน เพราะอาฮวงถือว่าตนมีฐานะเป็นแม่นมของคุณชาย แต่อาไล้ก็ถือตัวว่าตนเป็นคนเก่าคนแก่
“แม่นม...เชอะ...เป็นแม่นมได้ยังไง ไม่มีนมให้คุณชายกินสักกะหยด อย่างดีก็เป็นแค่พี่เลี้ยงหรอก” อาไล้แกล้งว่ากระทบ เมื่ออาฮวงมาล้างขวดนม
“ไม่รู้อะไรแล้วแค่นจะมาพูด นมผงฝรั่งมีวิตามินเยอะกว่านมคน คุณชายเป็นลูกเศรษฐีต้องกินนมผงจึงจะสมฐานะ” อาฮวงโต้ลอยๆ
สองคน เสือเก่ากับสิงห์ใหม่ จึงแง่งๆ ใส่กันอยู่เสมอ...
แล้ววันที่ซาเสี่ยเนี้ยตัดสินใจที่จะพูดกับลูกชายก็มาถึง
“แม่จะส่งอาป้อไปเรียนต่อที่มาเลเซีย”
“ครับ” คุณชายป้อรับคำด้วยความมึนๆ งงๆ ทั้งสองแม่ลูกสนทนากันที่โต๊ะไม้ฝังมุกในห้องโถงพักผ่อน
“อีกเจ็ดวันเดินทาง” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงนุ่มนวล แต่เป็นคำสั่งมากกว่าจะขอความเห็นอะไรจากลูกชาย
“ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะครับแม่?”
“ไม่เร็วหรอกอาป้อ ยังเหลือเวลาเก็บของอีกตั้งอาทิตย์หนึ่ง”
“แต่...ผมยังอยากเรียนอยู่ที่สยามนี่ก่อน” คุณชายเอ่ยเสียงสุภาพ
“วิชาที่เรียนก็เหมือนๆ กันแหละ แต่ที่นั่นลูกจะได้ภาษาอังกฤษ เพราะที่นั่นครูฝรั่งเยอะ เพราะเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ” ซาเสี่ยเนี้ยให้เหตุผล
“แต่...” คุณชายพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน
ทว่า...ไม่ทันคนเป็นแม่
“ไม่ต้องแต่อะไรอีกหรอก หนังสือเดินทางแม่ก็จัดการให้แล้ว ตั๋วเรือแม่ก็ซื้อให้แล้ว ไปถึงที่นั่น...อากู๋ (น้าชาย) จะมาคอยรับที่ท่าเรือ”
อาป้อได้แต่นิ่งอึ้ง ยอมรับคำสั่งของมารดา ด้วยความว้าวุ่นใจ ในใจของเด็กหนุ่มมีแต่ดวงหน้าอ่อนเยาว์และสวยงามของอาลั้ง...เขาจะบอกเรื่องนี้กับเธอว่ายังไงดี!





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2556, 15:18:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2556, 15:18:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1348





<< ตอนที่ 23   ตอนที่ 25 >>
ree 6 ก.พ. 2556, 23:20:40 น.
สงสารอาลั้ง อุตส่าห์หาเงินให้แม่ได้ ดันตายซะอีก


konhin 7 ก.พ. 2556, 07:12:08 น.
สงสารอาลั้ง ส่งเงินรักษาแม่พี่สะใภ้ก็ยึดเงิน แม่ตายแต่คงไม่มีใครบอก ถ้าคิดรักกับคุณชายจริง ในสมัยนั้นก็คงไปได้แค่เมียบ่าว น่าสงสาร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account