เจ้าบ่าวค้างสต็อก by สลิลา

Tags: เจ้าบ่าว ,สต็อก ,โรแมนติก

ตอน: บทที่ 7-8

บทที่ 7

นวินลากร่างนั้นออกมาถึงหน้าบ้านแล้วปล่อยในลักษณะผลักอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ฉันยังไม่ได้แต่งงานก็เพราะผู้หญิงหน้าด้านอย่างพวกเธอต่างหาก!” นวินคำราม จ้องหน้าหล่อนเขม็ง “เพื่อนฉันชอบเอาพวกเมียน้อยมายัดเยียดให้เป็นเด็กของฉันเวลาที่เมียหลวงจับได้ จนทำให้คนรักของฉันเข้าใจผิด แล้วแบบนี้ ฉันจำเป็นต้องใจกว้างและให้อำนาจผู้หญิงแบบเธอหรือเปล่า วาณี”

“อ้าว แต่คุณกอบทรัพย์ไม่ได้ยัดเยียดหนูให้เป็นเด็กของคุณอาไม่ใช่เหรอ...” วาณีทำหน้างงๆ

“แต่ที่ผ่านมาเพื่อนคนอื่นทำแบบนี้ คนรักของฉันทุกคนจึงพร้อมจะเชื่อว่า ผู้หญิงที่อยู่กับฉันก็คือเด็กของฉัน” ตอนท้ายนวินเสียงเบาลงไป เมื่อนึกถึงกรณีของทิพรดา หล่อนต้องการจะเลิกกับเขาเพื่อไปหาเจ้าหนุ่มนั่นอยู่แล้ว ก็แค่อาศัยวาณีเป็นโอกาส

แต่ถึงอย่างไร ความผิดของวาณีก็หาได้น้อยลงไม่

“อ้าว แล้วทำไมคุณอาต้องยอมเพื่อนๆ ขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่เมกเซนส์เลย” หญิงสาวออกอาการงงหนักกว่าเดิม

“ฉันมีเหตุผลของฉันก็แล้วกัน เธอไม่จำเป็นต้องรู้ และคนอย่างเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ฉันด้วย” ขณะที่พูดประโยคเหล่านั้น ในดวงตาของเขามีความเจ็บปวดบางอย่างผสมปนเปมากับความเกลียดชังหล่อนด้วย

วาณีเงียบไปอย่างรู้สึกผิด เมื่อมีสติตระหนักได้ว่า เขาคงเสียใจกับเรื่องของทิพรดามาก และเรื่อง ‘ค้างสต็อก’ ก็คงเป็นปมใหญ่ของเขา

“ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”

คำขอโทษผ่านสีหน้าจริงใจของหล่อนช่วยให้นวินอารมณ์เย็นลง ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวๆ ขณะที่วาณีเอ่ยต่อไปว่า

“หนูแค่พยายามจะบอกคุณอาว่า ถึงหนูจะเป็นเมียน้อย แต่หนูไม่ใช่นักโทษ มีชีวิตจิตใจและต้องการอิสระในการใช้ชีวิตไม่ต่างกับคนอื่นๆ”

“ไม่ใช่ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการนะ วาณี แต่ฉันให้เธอไม่ได้ ตราบใดที่ฉันยังไม่มั่นใจสิ่งที่ฉันกังวล เธอรู้มั้ยว่าเมียพี่กอบเป็นโรคหัวใจ แค่พี่กอบประสบอุบัติเหตุ เขาก็ช็อกแล้วช็อกอีก แล้วถ้าเขารู้เรื่องเธอล่ะ ฉันไม่อยากคิดเลย”

“แม้หนูจะยืนยันว่าหนูจะไม่มีวันไปยุ่ง ไปแตะต้องพวกเขา คุณอาก็ไม่เชื่ออย่างนั้นใช่มั้ย”

“ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะทำใจเชื่อใจผู้หญิงที่ทำตัวผิดศีลธรรมได้หรือเปล่าล่ะ”

วาณีเงียบไปอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นลึกเข้าสู่หัวใจ ความผิดหวังในตัวเองแล่นริ้วไปทั่วร่าง ความเจ็บช้ำฉายชัดในแววตา

“คอยดูนะ หนูจะทำให้คุณอาไว้ใจและเชื่อใจหนูให้ได้...” หญิงสาวเว้นช่วงครู่หนึ่งเพื่อทบทวนสิ่งที่ตัวเองคิด ครั้นแน่ใจจึงเอ่ยต่อ “เรามาพบกันครึ่งทางดีไหมคะ หนูให้คุณอาตามดูหนูตลอดเวลาก็ได้ แต่...หนูจะไม่ไปทำงานกับคุณอา”

คราวนี้นวินเป็นฝ่ายเงียบพลางมองหล่อนอย่างพิจารณา วาณีไม่ใช่คนโง่สักนิด หล่อนรู้จักต่อรองอย่างชาญฉลาด...ทั้งสวยทั้งฉลาดแบบนี้นี่เล่า กอบทรัพย์ถึงได้ทั้งรักทั้งหวงทั้งห่วงเสียขนาดนี้

“ตกลง มันจะเป็นอย่างที่เธอว่ามา แล้วเธอก็อย่าลืมสิ่งที่ฉันต้องการด้วยล่ะ” ที่สุด นวินก็ยอมรับความคิดของหล่อน เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การให้หล่อนเข้าไปทำงานในโรงงานก็ยิ่งจะทำให้เขาหงุดหงิด เพราะต้องเจอหน้าทั้งวัน แค่อยู่ร่วมบ้านไม่กี่ชั่วโมง เขายังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้อยู่แล้ว

“หนูรับปากค่ะ ว่าคุณอาจะได้ทุกอย่างที่คุณอาต้องการแน่นอน” วาณียิ้มให้เขาเป็นครั้งแรก แววตาคู่นั้นเป็นมิตรและไว้ใจมากขึ้น ส่วนนวินแม้สีหน้าจะยังดูเคร่งขรึม ทว่าก็ผ่อนคลายไปมาก ยังผลให้บรรดาผู้ที่แอบดูต่างพลอยถอนหายใจโล่งอกไปตามกัน พยักหน้าให้กันเพื่อแยกย้ายสลายตัวไปทำงาน ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงของวาณีดังขึ้นอีกครั้ง

“อ้อ คุณอาคะ อย่าลืมให้หว้าเอาเจลล้างมือมาให้ด้วยนะคะ ก่อนที่กลิ่นคาวจากตัวหนูจะฝังลงไปในเนื้อดีๆ ของคุณอา!”

เวรกรรม มีคนไม่ยอมจบและอยากก่อสงครามขึ้นมาใหม่เสียอย่างนั้น!

+ + + + + + +

นอกจากยอมให้ออกไปทำงานตามที่ต้องการแล้ว เรื่องอาหารการกิน นวินก็สั่งให้คนดูแลหล่อนอย่างดี อย่างดีที่หมายถึงให้จัดอาหารให้หล่อนต่างหาก ไม่ให้ทานร่วมกับคนรับใช้ แต่ยังคงเป็นสถานที่เดิมคือ ห้องครัว ซึ่งวาณีก็ไม่ได้ค้านหรือเรียกร้องอะไรมากกว่านั้น เป็นอย่างนี้หล่อนก็สบายใจดี

เช้าวันต่อมา นวินก็ให้หว้าออกไปพบนภดลเป็นเพื่อนวาณี เนื่องจากเขาให้คนสืบประวัตินภดลมาแล้วเรียบร้อย ซึ่งก็ได้ความว่า ผู้ชายคนนั้นไว้ใจเรื่องงานได้จริงๆ ส่วนเรื่องเจ้าชู้ นวินไม่ใส่ใจ แถมยังแอบคิดไปไกลว่า วันหนึ่ง นภดลอาจจะดึงวาณีออกไปจากชีวิตกอบทรัพย์ได้...โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

ทางด้านวาณี หล่อนพอใจและสบายใจที่เป็นหว้า เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องนั่งเกร็งไปกับเจ้าของบ้านเสียแล้ว

“นึกว่าเจ้านายของหว้าจะยอมทิ้งงานเพื่อมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี่เสียอีก” วาณีเอ่ยขึ้นขณะเดินตามกันไปขึ้นแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ส่วนนวินนั้น หลังจากสั่งทุกอย่างแล้ว เขาก็ออกไปทำงานทันที

“แทบจะไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เจ้านายทิ้งงานได้เลยฮะ ส่วนหนึ่งที่เจ้านายยังไม่ได้แต่งงาน เพราะเอาแต่ทำงานนี่แหละ...ตอนหว้ายังเด็กอยู่ โรงงานเจ๊งเพราะพ่อของเจ้านายเล่นการพนันฮะ เจ้านายเป็นคนทำให้มันฟื้นขึ้นมาใหม่ หว้าเลยชินกับภาพที่เจ้านายออกจากบ้านแต่เช้า กลับถึงบ้านตอนดึกๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แต่ลดลงไปหน่อยแล้ว”

วาณีพยักหน้ารับทราบ แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเขาอีก เพราะใจกำลังจดจ่ออยู่กับงานของตน

ทั้งสองมาถึงบริษัทของนภดลตรงตามเวลานัด ก็พบว่ามีเด็กสาวมานั่งรอพบเขาอยู่สองสามคน ครั้นนภดลมาถึง เขาก็เรียกหล่อนเข้าไปเป็นคนแรก จากนั้นก็อธิบายกฎ กติกา ของบริษัทให้ฟังอย่างละเอียด ซึ่งวาณีก็พอใจ ชายหนุ่มจึงยื่นสัญญาให้เซ็น

“ฉันขอทดลองงานดูก่อนได้มั้ยคะ แล้วค่อยคุยเรื่องสัญญา” วาณีไม่แม้แต่จะหยิบเอกสารขึ้นมาดู “ฉันอาจจะเป็นคนที่ทำงานห่วยแตกที่สุดจนคุณไม่อยากจ้างต่อก็ได้”

“แต่ผมเชื่อว่าคุณทำได้ คุณเป็นคนเก่งและฉลาดออกขนาดนี้” หนุ่มหล่อมองหล่อนอย่างพิจารณามากขึ้น

“ทำได้กับทำได้ดีมันคนละอย่างกันไม่ใช่หรือคะ...ฉันสัญญาค่ะว่า ถึงแม้จะไม่ได้เซ็นสัญญากัน แต่รายได้ส่วนหนึ่ง ฉันจะแบ่งให้คุณตามที่คุณควรจะได้ในฐานะที่เป็นคนหางานให้ฉัน และเมื่อฉันผ่านทดลองงานแล้ว ฉันก็จะเซ็นสัญญาเข้าสังกัดคุณคนเดียวเท่านั้น”

นภดลส่ายหน้าปฏิเสธ จากประสบการณ์ทำงานมาหลายปี เขาเจอการหักหลังมาไม่รู้เท่าไร หญิงสาวบางคนอาศัยเขาเป็นสะพานพาเข้าวงการเท่านั้น พอเริ่มมีชื่อเสียง ก็จะโดนคนอื่นมาลากไปเป็นเด็กในสังกัดพร้อมข้อเสนอที่น่าตาโตกว่า และพวกเธอเหล่านั้นก็พร้อมจะผละไปทันที เขาจึงไม่อยากไว้ใจใครอีกแล้ว

“นี่เป็นกฎของที่นี่ เด็กทุกคนต้องเซ็นสัญญาก่อนครับ คุณวาณี”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอปฏิเสธค่ะ” วาณีเอ่ยด้วยเสียงเด็ดขาดพลางทำท่าจะลุกขึ้น แต่นภดลรีบเรียกไว้ด้วยความเสียดาย หล่อนเป็นคนสวย แถมยังโดดเด่นตรงที่หน้าตาแตกต่างจากเด็กในสังกัดของเขาหลายคน หล่อนจะทำเงินให้เขาได้มากแน่ๆ

ในที่สุดวาณีก็ได้อย่างที่ต้องการ หญิงสาวยิ้มกว้างพึงพอใจ ขณะที่เจ้าของโมเดลลิ่งชักขุ่นใจในความเรื่องมากของหล่อน แต่เขาก็เก็บไว้ภายใต้ท่าทีสุขุมและอบอุ่นเช่นเดิม

หลังจากนั้น เขาก็ให้คนมาถ่ายรูปหล่อนไว้ในหลากหลายอิริยาบถ เป็นอันเสร็จกระบวนการในวันนี้ วาณีจึงชวนหว้ากลับบ้าน แต่นภดลยังไม่อนุญาต เพราะเขาจะขอเลี้ยงข้าวหล่อนก่อน

“เป็นการสร้างความรู้จักกันให้มากขึ้นไง ผมจะได้รู้ว่า คุณชอบหรือไม่ชอบงานแบบไหน” ชายหนุ่มกล่าวเสียงอบอุ่น แววตาจริงใจ “จะได้หางานให้ตรงกับความชอบของคุณไงครับ”

“เด็กในสังกัดคุณมีสิทธิ์เลือกงานด้วยหรือคะ” วาณีย้อนถามตรงๆ นภดลชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“สำหรับคนอื่นไม่มีครับ แต่สำหรับวาณี ผมให้สิทธิพิเศษ”

“ฟังดูน่าปลื้มใจดี...แต่ฉันไม่ขอรับดีกว่า กลัวว่าเมื่อถึงเวลาจ่าย จะต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่น...ฉันขอตัวก่อนนะคะ อ้อ แล้วก็หวังว่าคุณจะทำตามที่เคยบอกฉันไว้นะคะว่า ฉันจะมีงานทำทันที ฉันไม่เกี่ยงงานนะ คุณนภ ขออย่างเดียว อย่าเป็นงานขายตัวก็พอ”

คำพูดตรงๆ นั้นทำเอาคนฟังทั้งสองคนถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนที่เด็กหว้าจะยิ้มชอบใจในความกล้าของพี่สาวคนนี้ ส่วนนภดลเองก็นึกนิยมชมชอบในความตรงไปตรงมาของหล่อนไม่น้อย

“ครับ ผมไม่หลอกคุณแน่ พรุ่งนี้คุณมาพบผมที่นี่ตอนแปดโมงเช้า มีงานรอคุณอยู่”

วาณียิ้มกว้าง หันไปบีบมือกับหว้าอย่างดีใจ ก่อนจะหันมาไหว้ลาเขา แล้วก็เดินตามกันออกไปด้วยความหวังอันเรืองรอง นภดลเองก็ยิ้มด้วยความหวังวาดบางอย่างเช่นกัน!

+ + + + + +

นวินแวะไปเยี่ยมกอบทรัพย์ที่โรงพยาบาลก่อนเข้าโรงงาน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ได้แต่กลอกตามองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าเป็นเรื่องไหน

“ห่วงลูกห่วงเมียบ้างก็ได้นะ พี่กอบ” เขาทรุดกายนั่งข้างเตียงและเอ่ยประชดด้วยความหมั่นไส้ “ยายเมียน้อยพี่น่ะ เขาเก่งยังกับอะไรดี ต่อปากต่อคำกับผมฉอดๆ แถมยังใจกล้าจะขอย้ายไปอยู่ข้างนอกด้วย”

มีปฏิกิริยาตอบสนองจากกอบทรัพย์ทันที ร่างเขากระตุกครั้งหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นพยายามกะพริบเพื่อส่งความรู้สึกนึกคิดของตนให้นวินรับรู้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมไม่ให้เขาไปอยู่ที่อื่นหรอก ผมกลัวเขาจะแอบมาหาพี่ มาประกาศฐานะของเขา ส่วนเรื่องงานของเขา เห็นว่ามีโมเดลลิ่งสนใจจะให้เขาเป็นนางแบบ นี่ก็ไปเซ็นสัญญากันแล้ว”

ร่างของกอบทรัพย์กระตุกอีกครั้ง แววตาอ่านได้ว่า ไม่ชอบใจและเป็นห่วงหญิงสาวผู้นั้นนัก แต่ยังไม่ทันที่นวินจะพูดอะไรต่อ เสียงทักของโกยทองก็ดังขึ้นด้านหลังเสียก่อน

“ใครไปเซ็นสัญญาอะไรหรือครับ อาวิน”

แม้จะตกใจ แต่นวินก็ยังรักษาอาการและมาดนิ่งของตนได้ เขาหันไปส่งยิ้มให้ลูกชายเพื่อนสนิท แล้วเอ่ย

“อาหมายถึงสัญญาผลิตของให้ตึกที่เขาจะรีโนเวทน่ะ พอดีอาประมูลมาได้ชั้นหนึ่ง เขานัดเซ็นสัญญาแล้ว” นวินจำใจต้องโกหก ซึ่งโกยทองไม่ได้ติดใจอะไร เขาหันไปทางบิดา แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นท่าทางของท่าน

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ อา ทำไมดูแปลกๆ”

“คงดีใจกับอาเรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” นวินตอบพลางลอบปรามกอบทรัพย์ด้วยสายตาว่าอย่าแสดงออกถึงความเป็นห่วงวาณีมากกว่านี้ ประเดี๋ยวลูกหลานจะสงสัย แล้วก็จะเกิดการล้วงแงะแคะเกาขึ้นมา มันจะเป็นเรื่อง

“ว่าแต่โกยเถอะ เรื่องงานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้อาช่วยก็บอกนะ อายินดี”

“ก็มีปัญหาจุกจิกรายวันล่ะครับ ผมจัดการได้” ตอนที่พูด โกยทองมองสบตาบิดา เพื่อจะบอกท่านว่า ไม่ต้องกังวล กอบทรัพย์กะพริบตาส่งคำขอบใจและกำลังใจมาให้

“แต่มีปัญหาใหญ่เรื่องอื่นและยังจัดการไม่ได้ อย่างนั้นใช่มั้ย” นวินเอ่ยทักเมื่อสังเกตเห็นแววตาหม่นของชายหนุ่มรุ่นหลาน โกยทองชะงักไปนิดหนึ่งก็ยืดกายเต็มความสูง

“ครับ” ชายหนุ่มยอมรับตรงๆ เพราะเขาสนิทกับนวิน ซ้ำยังไว้ใจให้นวินเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักมาโดยตลอด แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เคยประสบความสำเร็จเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่นวินก็จะมีข้อคิดดีๆ มาให้เขาฉุกคิดเสมอ

“หนูหยกยังไม่หายงอนล่ะสิ” นวินรู้มาว่า คนรักของโกยทองน้อยใจเรื่องที่โกยทองต้องกลับมาดูแลพ่อกับแม่ ทั้งที่อยู่ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งกว่าทั้งคู่จะว่างตรงกัน โปรแกรมเที่ยวก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ครั้นเวลาตรงกันก็กลับเกิดเรื่องเกิดราวเสียอีก แม้จะเข้าใจ แต่หญิงสาวก็ยังอดตัดพ้อไม่ได้ ในที่สุดก็จบลงตรงการทะเลาะกัน

“ยังครับ แต่ผมเข้าใจความรู้สึกเขานะ อา ผิดที่ผมเองนี่แหละ ที่ไม่ยอมใจเย็นพูดจากับเขาดีๆ...เฮ้อ แต่ก็ช่างเถอะ ให้เขาใจเย็นกว่านี้ ให้อาการของคุณพ่อดีขึ้นกว่านี้ก่อน ผมถึงจะไปหาเขา” โกยทองตัดบท เป็นจังหวะเดียวกับที่ปิยะภัสร์เปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมตะกร้าขนมและผลไม้

“อาวิน มาแต่เช้าเลยนะคะ” พอเห็นเขา เจ้าหล่อนก็ร้องทักเสียงใส ยื่นตะกร้าให้โกยทองแล้วก็หันมายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

“มาเยี่ยมคนป่วย แทนที่จะทักคนป่วยก่อนนะ ป้า” โกยทองอดเหน็บไม่ได้ ปิยะภัสร์ย่นจมูกใส่เขาครั้งหนึ่ง

“ก็ฉันมาเฝ้าคุณลุงทุกวัน เจอคุณลุงทุกวันแล้วนี่ แต่อาวินสิ เมื่อวานไม่ได้เจอเลย”

เนื่องจากปิยะภัสร์ไม่ได้ทำงาน ชอบทำขนมอบขนมอยู่ที่บ้าน มีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นจึงอาสามาเฝ้ากอบทรัพย์ให้ในตอนกลางวัน แม้จะมีพยาบาลพิเศษแล้วก็ตาม ส่วนกลางคืนโกยทองกับออมเงินสลับกันมานอนเป็นเพื่อนบิดาคนละวัน

“ทำไม ไม่เจออาวันเดียว จะหายใจไม่ออก เป็นไข้ ตัวร้อนหรือไง” โกยทองแซวขึ้นอีก เรียกอาการคอแดงหน้าแดงจากอีกฝ่ายได้ และเขาก็เห็น จึงมองไปทางนวิน โชคดีที่นวินมองไปทางอื่นพอดี

“บ้าสิ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าอาวินเป็นยังไงบ้างก็เท่านั้น ช่วงนี้มีแต่เรื่อง เห็นว่ามีเรื่องคุณรดาด้วย” ตอนท้ายหญิงสาวหันไปทางหนุ่มใหญ่ด้วยแววตาลุ้นๆ

“ก็ไม่มีอะไรนี่” นวินตอบขรึมๆ

“ไม่มีอะไรได้ยังไงคะ ก็คุณพ่อเห็นว่าพี่รดาไปกับผู้ชายคนอื่น ตกลงคุณอากับเขาเลิกกันแล้วหรือคะ”

“ป้าแอ๊นท์!” โกยทองเรียกเชิงปราม เพราะเขาเองก็รู้เรื่องรักล่มครั้งล่าสุดของนวินมาจากบิดาของปิยะภัสร์เหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มีใครทราบรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น

ซึ่งจะว่าไป พวกเขาก็ไม่เคยรู้เหตุผลที่แท้จริงที่นวินต้องเลิกรากับบรรดาคนรักสักครั้ง เพราะเขาเห็นมาตลอดว่านวินจริงจังกับทุกคน แต่พอถึงเวลาหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ยุติลง ด้วยเหตุผลซ้ำเดิม คือ เข้ากันไม่ได้ ซึ่งเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ความจริงหนึ่งเดียวที่สัมผัสได้ก็คือ นวินเจ็บปวดทุกครั้ง

“อย่าดุแอ๊นท์เลย โกย ไม่มีอะไรหรอก ก็เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ เข้ากันไม่ได้” นวินพยายามฝืนยิ้ม จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืน “อาไปทำงานก่อนนะ ใกล้ถึงเวลาส่งสินค้าแล้ว ต้องไปเร่งคนงานหน่อย”

ปิยะภัสร์ยังคงมองตามร่างสูงด้วยแววตามีความหมายประหลาดจนกระทั่งประตูปิดลง ทำให้โกยทองต้องลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความหนักใจ

เขาสนิทกับปิยะภัสร์มาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับนวิน เขาจึงเป็นห่วงหล่อนนัก เพราะรู้ดีว่านวินไม่เคยมองหล่อนเป็นอย่างอื่นนอกจากหลานสาว และไม่มีวันจะมองด้วย

+ + + + + + +

โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ของนวินตั้งอยู่แถบชานเมือง บนเนื้อที่ประมาณสิบห้าไร่ มีอาคารตั้งอยู่ถึงแปดอาคาร ซึ่งแต่ละอาคารก็สำหรับงานแต่ละส่วนของการผลิต

นับจากวันที่ที่นี่ล้มละลายด้วยฝีมือพ่อ นวินได้พยายามพลิกฟื้นมันขึ้นมาใหม่ จนบัดนี้ โรงงานแห่งนี้กลายเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจรที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจเป็นอันดับต้นๆ

โดยงานที่เขารับมาทำนั้น มีทั้งรับผลิตงานให้บริษัทจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ชื่อดัง มีทั้งผลิตเครื่องเรือนเครื่องตกแต่งตามใบสั่งของลูกค้าอย่างพวกคอนโด สำนักงานสร้างใหม่ หรือพวกตึกต่างๆ ที่ต้องการรีโนเวท ตึกเป็นต้น รวมทั้งออกแบบเพื่อผลิตขายเองบางส่วนด้วย

ซึ่งการออกแบบเพื่อขายเองนี้ นวินพยายามไม่ให้คล้ายหรือใกล้เคียงกับงานของลูกค้า เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ที่ผ่านมา ลูกค้าก็ไว้ใจเขาในส่วนนี้ เนื่องจากมีทีมงานมาคอยตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว

ออฟฟิศตั้งอยู่ด้านหน้าสุด ถัดไปเป็นอาคารโชว์รูมวางตัวอย่างสินค้า ซึ่งบางครั้งลูกค้าทั่วไปที่ต้องการสินค้าราคาถูก ก็จะเข้ามาเลือกซื้อถึงที่ ลูกค้าพวกนี้ส่วนมากจะซื้อเพื่อไปตกแต่งบ้านหรือสำนักงานเล็กๆ ที่มูลค่าไม่สูงมาก

“รัฐ เตรียมข้อมูลลูกค้าที่จะประมูลบ่ายนี้เรียบร้อยหรือยัง คุณอัม เรื่องงานแฟร์ไปถึงไหนแล้ว คุณจอย วันนี้ผมมีนัดกับใครบ้าง”

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในออฟฟิศ นวินก็ร้องถามพนักงานตามรายทาง ทุกคนที่ถูกเรียกชื่อพร้อมใจกันลุกเดินตามเขาเข้าไปในห้องทำงาน แล้วก็เริ่มรายงานสิ่งที่เขาถามจนครบทุกคน โดยระหว่างนั้นเขาก็สอบถามรายละเอียดที่สงสัยไปด้วย

เสร็จจากฟังรายงาน นวินก็คว้าหมวกปีกกว้างเพื่อออกไปตรวจงานในส่วนต่างๆ โดยมีรัฐภูมิ คนสนิทขับรถกอล์ฟให้ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่ความที่เป็นคนขยัน ทำงานเก่ง และมักจะอาสาช่วยทำเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยไม่ได้ร้องขอ จึงทำให้นวินไว้ใจที่จะปรึกษาอะไรด้วยบ่อยๆ

รัฐภูมิเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดสะอาดหมดจด ปากแดงดังชาด ทรงผมหวีเรียบ แต่งกายเนี้ยบตลอดเวลา จนไม่คิดว่าจะมาทำงานโรงงานที่ต้องคลุกฝุ่นผจญแดดแบบนี้

เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนที่รัฐภูมิเดินเข้ามาสมัครงาน นวินยังนึกค่อนในใจว่า เขาน่าจะไปเป็นนายแบบหรือทำงานในห้องแอร์หรูหรามากกว่า แต่ครั้นได้พูดคุย เขาก็นึกทึ่ง เพราะรัฐภูมิมีความรู้เรื่องเฟอร์นิเจอร์ดีมาก

ถามไปถามมาเลยได้รู้ว่า ที่บ้านของเขาเคยเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กที่ต่างจังหวัดมาก่อน แต่ตอนนี้ปิดตัวไปแล้ว เนื่องจากไม่มีใครสืบทอดกิจการต่อ ด้วยลูกๆทั้งสามนั้นต่างก็มีความฝันของตัวเอง

‘ผมตกงานครับ ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีตำแหน่งว่าง เลยคิดว่าน่าจะลองทำงานที่ตัวเองคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก พอดีมาหาเพื่อนแถวนี้ เห็นโรงงานของคุณเลยตัดสินใจเดินเข้ามาสมัคร’

นวินเสียดายความสามารถและแนวคิดของเขา จึงรับเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายที่ต้องออกไปขายงานกับลูกค้า ซึ่งรัฐภูมิก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาได้งานกลับมาแทบจะทุกครั้ง

“เรื่องรีโนเวทตึกแถวสุขุมวิทน่ะ อย่าลืมให้คนโทรฯไปคอนเฟิร์มวันคุยรายละเอียดงานกับลูกค้านะ” นวินเตือน

“ครับ”

“ส่วนเรื่องรีโนเวทออฟฟิศของพี่กอบ อาจจะเลื่อนไปก่อน”

“แต่คุณออมบอกผมว่าจะรันต่อเลยนี่ครับ” รัฐภูมิทำหน้าแปลกใจ

“อ้าว เหรอ นายเจอยายออมเมื่อไร” คราวนี้เป็นนวินที่แปลกใจ เพราะครั้งล่าสุดที่เขาเจอออมเงินก็คือเมื่อเช้าวันเสาร์ ซึ่งตอนนั้นสองพี่น้องพูดให้เขาฟังว่าจะหยุดงานซ่อมแซมออฟฟิศนี้ไปก่อน โดยจะหันไปควบคุมงานด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพเท่าตอนที่กอบทรัพย์ทำก่อน

“เมื่อวานครับ ตอนผมไปเยี่ยมคุณกอบทรัพย์น่ะครับ”

รัฐภูมิรู้จักกับกอบทรัพย์ และสนิทกับลูกทั้งสองของเขา เหตุเพราะโรงงานของนวินกับกอบทรัพย์ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน โกยทองกับออมเงินเลยมาวิ่งเล่นที่นี่ตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ตราบจนโตขึ้น ทั้งสองก็ยังคงแวะมาหาคุณอาเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะออมเงิน เวลาที่มีปัญหากับพ่อหรือแม่ ที่พึ่งเดียวของหล่อนก็คืออานวิน

“งั้นหรือ ยายออมเอาจริงหรือนี่” ตอนที่พูด นวินยิ้มไปด้วยและเหล่ตามองเขาไปด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงทำให้รัฐภูมิรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้คำพูดนั้นตีความหมายได้สองแง่

แง่ที่หนึ่งคือเรื่องงาน ซึ่งหลังจากเรียนจบ ออมเงินไม่เคยคิดจะทำ ใช้ชีวิตอย่างลูกคนมีเงินทั่วไป แต่ก่อนหน้าที่กอบทรัพย์จะประสบอุบัติเหตุไม่กี่วัน จู่ๆ หญิงสาวก็ลุกขึ้นมาประกาศว่าจะเข้าไปช่วยงานพ่อ

ส่วนแง่ที่สอง รัฐภูมิรู้ดีว่า นวินหมายถึงตัวเขาเอง!

ไม่เพียงแต่คนอื่นเท่านั้นที่ดูออกว่าช่วงสองปีหลังนี้ การมาที่โรงงานของออมเงิน มีจุดประสงค์อยู่ที่เขา ไม่ใช่คุณอาของหล่อนเสียแล้ว หล่อนแสดงออกชัดว่าพึงพอใจในตัวเขา และเขาก็รู้ว่านวินไม่รังเกียจเสียด้วย ถ้าหากว่าเขาจะเลื่อนขั้นจากลูกน้องไปเป็นหลานเขย

แต่เขาไม่ได้คิดอะไรกับออมเงินกินหลานสาวของเจ้านาย จึงอึดอัดเวลาหล่อนมาหา เลยแนะนำและยุให้ทำงานเสีย จะได้ไม่มีเวลาว่างมาก ไม่นึกเลยว่างานแรกที่หล่อนทำก็คือการซ่อมแซมแต่งเติมส่วนออฟฟิศของพ่อหล่อน ซึ่งแน่นอนว่าหล่อนเลือกบริษัทของนวินเป็นคนทำ

“นายนี่เก่งนะ มีคาถาอะไรดีวะ ถึงกล่อมให้ยายออมยอมทำงานได้น่ะ ขนาดพ่อมันแทบจะกราบเช้ากราบเย็น มันยังไม่สน” นวินเอ่ยขึ้นอีก เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

“คาถาบทเดียวครับ...ชื่อหวังดี” รัฐภูมิตอบแบบเล่นมุก นวินหัวเราะชอบใจ ก่อนจะบอกว่า

“ถ้าอย่างนั้น งานนี้ก็ถือเอาคำพูดของยายออมเป็นคำสั่งสุดท้ายก็แล้วกัน คนกำลังแรง อย่าไปขวางเป็นดีที่สุด”

พูดจบ รถกอล์ฟก็แล่นมาจอดหน้าโรงงานพอดี นวินก้าวลงจากรถ ผู้จัดการโรงงานซึ่งเป็นชายวัยใกล้เคียงกับเขาเดินมาต้อนรับแล้วพาเดินตรวจงาน ทิ้งให้รัฐภูมิยืนยิ้มด้วยความพอใจอยู่คนเดียว

+ + + + + + +

บทที่ 8


จากวันนั้น วาณีกับนวินก็ใช้ชีวิตอย่างที่ตกลงกันเอาไว้ โดยยังคงเป็นหว้าที่ทำหน้าที่ตามติดหล่อน ซึ่งหว้าก็พอใจอย่างยิ่งยวด เหตุเพราะเพื่อนร่วมงานของวาณีล้วนแต่สาวสวยน่าเจริญหูเจริญตาทั้งนั้น

โดยหว้าจะเข้าไปรายงานสิ่งที่วาณีทำให้คนเป็นนายฟังในตอนเช้าระหว่างเขาแต่งตัว และนั่นก็ทำให้นวินรู้ว่า หล่อนเริ่มมีงานวิ่งเข้าหาเยอะแล้ว ทั้งงานพิธีกรภาคสนาม งานเดินแบบ รวมทั้งพริตตี้

และอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้ถาม แต่เด็กหว้าภูมิใจนำเสนอก็คือ พี่วาณีของมันเสน่ห์แรงที่สุด มีหนุ่มๆ เข้ามาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน

หนุ่มใหญ่ยังคงตะขิดตะขวงใจกับวาณีอยู่ เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่าเมื่อก่อนแล้ว ด้วยเห็นว่าหล่อนได้ทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ ตัวเขาเองก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องหล่อนมากนัก เนื่องจากช่วงนี้ บรรดาเพื่อนรุ่นพี่ของเขาเริ่มต้นมองหาหญิงสาวแสนสวยเพื่อมาดามอกเขาแล้ว ด้วยความรู้สึกผิดที่เคยทำให้รุ่นน้องคนนี้ผิดหวังคนละครั้งสองครั้ง จึงอยากแก้ตัว

แล้วความวุ่นวายก็เกิด เมื่อต่างคนก็ต่างอยากให้นวินไปพบคนที่ตนหาให้ก่อน ศึกแย่งตัวนวินจึงเกิดขึ้น จนที่สุด นวินก็ต้องทำสลากให้จับ!

เมื่อการออกเดทผ่านไป นวินพอใจหญิงสาวอยู่สองคน ขณะที่กำลังใช้หัวใจตัดสินว่า อยู่กับใครแล้วน่าจะมีความสุขกว่า ผลก็ปรากฏว่า โกยทองไปเจอหนึ่งในนั้นจูบอยู่กับผู้ชายในผับ

ตอนแรกนวินไม่เชื่อ เพราะหญิงสาวคนที่ว่าท่าทางเรียบร้อยอย่างที่เขาชอบ แต่โกยทองซึ่งไปผ่อนคลายความเครียดหลังจากคร่ำเคร่งอยู่กับการดูแลพ่อมานาน เดาออกว่านวินจะไม่เชื่อ มีหลักฐานเป็นทั้งภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวมาโชว์

ส่วนหญิงสาวอีกคน ขานั้นมีมารดาที่หัวโบราณมากและหวงมาก เวลาไปเดท แม่ไปด้วย ซึ่งแรกๆ นวินมองว่าน่าเอ็นดูดีไม่หยอก แต่หนักเข้า แม่ก็ชักมีบทบาทเกินจนเขานึกหน่าย จึงต้องโบกมืออำลาแต่เพียงเท่านั้น และเขาก็ยังไม่เจอใครที่ถูกตาต้องใจอีกเลย


วันนี้ นวินออกจากโรงงานก็ดึกมากแล้ว เนื่องจากเป็นวันส่งมอบชิ้นส่วนเครื่องเรือนตกแต่งห้องในคอนโดขนาดกลางแห่งหนึ่ง เป็นงานที่อิทธิกรแซวว่าเทวดาจับวางนั่นเอง โดยในล็อตแรกนี้ จะส่งมอบเฉพาะชั้นเก้าชั้นเดียว อันเป็นชั้นที่ลูกค้าจะเปิดขายก่อนชั้นอื่น

สาเหตุที่ต้องส่งมอบกันตอนกลางคืนก็เพื่อให้เป็นไปตามกฎของการจราจรที่ว่า รถบรรทุกสิบล้อห้ามวิ่งเข้าเมืองในช่วงเวลาหกโมงเช้าถึงสิบโมงเช้าและช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงสามทุ่ม แต่ช่วงเวลาที่กำหนดให้วิ่งได้ งานก็ยังไม่เรียบร้อย

“คุณวินจะแวะไปดูคุณกอบทรัพย์ที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ” คนขับรถเอ่ยถามพลางมองหน้าเขาผ่านกระจกมองหลัง ตามปกติแล้ว นวินจะขับรถเอง แต่ช่วงไหนที่เหนื่อยหน่อยอย่างช่วงนี้ ถึงจะเรียกใช้บริการ

หนุ่มใหญ่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วส่ายหน้า “ดึกมากแล้ว แล้วฉันก็เหนื่อยมากด้วย เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า จะแวะไปก่อนไปงานแฟร์”

เมื่อนึกถึงกอบทรัพย์ นวินก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะจนป่านนี้แล้ว ฝ่ายนั้นก็ยังนอนเป็นผักอยู่บนเตียง ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด ยังดีที่วรภรณ์เริ่มทำใจได้แล้ว และกลับมาเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ลูกๆ ต้องเป็นห่วง โดยเขาเอง ถ้าคืนไหนไม่เหนื่อยจนเกินไป ก็จะแวะไปเยี่ยมกอบทรัพย์เสมอ

เมื่อรถมาถึงบ้าน ช่วงจังหวะที่รถชะลอรอประตูรั้วเปิดนั่นเอง รถเก๋งคันหนึ่งก็เลี้ยวปราดมาจอดเยื้องๆ กัน ชายหนุ่มหันไปมอง จึงเห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากด้านผู้โดยสารคือวาณี

“คุณวาณีนี่ครับ” คนขับรถอุทานและเขม้นมองไปที่รถคันนั้นเช่นกัน

คนเป็นนายไม่พูดอะไร จับตาดูเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กะพริบ และเขาก็เห็นว่า เจ้าของรถเก๋งคันหรูที่มาส่งหล่อนคือเจ้าของโมเดลลิ่งนั่นเอง เพราะเขาเปิดประตูลงมาคุยอะไรกับเจ้าหล่อนสองสามคำ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะโบกมือทำนองไล่กลับด้วยท่าทางร่าเริงสดใส

นวินยิ้มพอใจกับภาพความสนิทสนมที่เห็น จัดการควักมือถือของตนออกมาซูมถ่ายภาพของสองหนุ่มสาวเอาไว้อย่างว่องไว

“ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิดหาแผนให้แม่นั่นเลิกกับพี่กอบ...เข้าบ้านได้แล้ว พจน์” ตอนท้ายเขาสั่งพลางกดเก็บภาพ รอเวลาที่จะนำไปให้กอบทรัพย์ดู

“เราไม่รับคุณวาณีไปด้วยหรือครับ” พจน์ถามตามประสาซื่อ เพราะเห็นว่าระยะทางจากรั้วไปยังบ้านนั้นไม่ใช่ใกล้ๆ และไหนๆ ก็เข้าบ้านพร้อมกันแล้ว ก็น่าจะให้หญิงสาวอาศัยไปด้วย

“ไม่ละ เดี๋ยวต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ดเบาะ!” คนเป็นนายตอบกลับเสียงห้วนสั้น พจน์จึงหุบปากนิ่งและทำตามคำสั่งของเขาทันที

+ + + + + + + +

วาณีเห็นรถของนวินแล้วเหมือนกัน แต่หล่อนไม่ใส่ใจ ตรงข้ามกับนภดลที่แสดงความอยากรู้ชัดแจ้ง

นี่เป็นครั้งแรกที่วาณียอมให้เขามาส่งถึงบ้าน และพอเห็นบ้านของหล่อน เขาก็ถึงกับอึ้งและเกิดความคลางแคลงใจขึ้นมาทันที บ้านหลังเบ้อเร่อ รถที่จอดอยู่ข้างๆ รถเขา ก็เป็นรถยุโรปราคาแพงระยับ

แล้วทำไมหล่อนถึงอยากได้งานอยากได้เงินนัก ตั้งแต่ตกลงทำงานกับเขา วาณีก็ทำงานทุกวัน แถมบางวันรับถึงสามงาน ตั้งแต่เช้าจนค่ำ

หล่อนเป็นลูกคนรวยตกยากแต่จมไม่ลง หรือเป็น ‘อีหนู’ ของเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่รายรับไม่พอกับรายจ่ายกันแน่!

ถึงวาณีจะมีท่าทางและความคิดที่ห่างไกลคำว่า อีหนู มากในความรู้สึกของเขา เพราะหล่อนดูไว้ตัว หยิ่งในตัวเอง แต่ของแบบนี้ ก็ไม่อาจวางใจได้ คนสวย คนรวยเป็นเมียน้อยก็เยอะแยะไป

“บ้านคุณสวยมาก” นภดลเอ่ยทักพลางเขม้นมองเข้าไปในตัวบ้าน

“ไม่ใช่บ้านฉันหรอกค่ะ ฉันแค่อาศัยเขาอยู่ อีกไม่นานก็จะย้ายออกแล้วค่ะ”

“หือ? ทำไมล่ะ”

“เหตุผลส่วนตัวค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่มาส่ง” พูดจบหล่อนก็เปิดประตูก้าวลงไป นภดลนึกอะไรได้จึงรีบเปิดประตูก้าวตาม

“เดี๋ยววาณี พรุ่งนี้คุณมีงานสำคัญรออยู่นะ อย่าลืมล่ะ”

หญิงสาวหันไปยิ้มกว้างให้เขา ดวงตาเป็นประกายเรืองรอง

“ฉันไม่ลืมงานที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตฉันไปทั้งชีวิตหรอกค่ะ ขอบคุณมากค่ะ คุณนภ แล้วพบกันค่ะ”

“ให้ผมมารับนะ”

“อย่าดีกว่าค่ะ...สวัสดีค่ะ” หล่อนโบกไม้โบกมือให้เขา สีหน้ายังระบายด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง เมื่อนึกถึงงานสำคัญวันพรุ่งนี้...นภดลจะพาหล่อนไปพบกับผู้จัดละครรายหนึ่ง ซึ่งกำลังต้องการนางเอกใหม่

ถ้าหากทางนั้นถูกใจ หล่อนก็จะได้เริ่มต้นอาชีพใหม่ทันที เถอะ ถึงจะไม่ใช่อาชีพในฝัน และอยากทำงานด้านออกแบบอย่างที่ร่ำเรียนมามากกว่า แต่บางที นี่อาจเป็นเส้นทางที่เหมาะกับหล่อนก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

โบกมือลานภดลแล้ว หล่อนก็หมุนตัวเดินเข้าบ้าน พร้อมกับรถของนวินที่แล่นผ่านรั้วเข้าไป สักพักรถคันนั้นก็แซงหน้าหล่อน โดยไม่มีการจอดรับหรือแม้แต่ทักทายไถ่ถาม ซึ่งวาณีก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หล่อนกลับชอบเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากคุยกับเขาอยู่แล้ว

แม้เขาจะไม่ได้ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของหล่อนแล้ว แต่วาณีก็ยังคงอึดอัดไม่หาย เพราะทั้งเขาและคนรับใช้เกือบทุกคนยังคงมีสายตารังเกียจหล่อนอยู่ โดยเฉพาะเขาเอง ซึ่งแสดงออกอย่างไม่มีเกรงใจสักนิด

แต่อีกไม่นานหรอก หล่อนจะไปจากที่นี่ ไปให้พ้นสายตาเหล่านี้ วาณีหมายมั่นในใจ ตอนนี้งานของหล่อนกำลังไปได้ดี และถ้าหากทางผู้จัดละครถูกใจหล่อน มันก็จะดีกว่านี้ ถึงตอนนั้น หล่อนคงหาข้ออ้างออกจากบ้านของนวินได้ไม่ยาก

“หว้าไปไหน” เสียงถามเชิงตำหนิดังขึ้นทันทีที่หล่อนก้าวเท้าไปในบ้าน นวินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาและมองมาที่หล่อนนิ่ง มีรอยตำหนิพาดผ่านดวงตาคู่นั้น

“กลับมาก่อนแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบกลับเสียงเรียบและทำท่าจะผละขึ้นข้างบน

“ต้องการเวลาส่วนตัวสินะ ถึงไล่มันกลับน่ะ” เสียงส่อเลศนัยนั้นรั้งเท้าเรียวของวาณีเอาไว้ได้

“ค่ะ หนูต้องการเวลาส่วนตัว เหมือนที่หว้าเองก็ต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกัน คุณอาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้วค่ะ หนูก็มีเรื่องจะคุยกับคุณอาพอดี”

“ได้ แต่ก่อนอื่น ฉันอยากรู้ว่า เจ้านายเธอไม่แปลกใจหรือที่เธออาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่โตแบบนี้...เธอบอกเขาว่ายังไง”

“เขาสงสัยค่ะ แต่หนูไม่ได้พูดอะไรมาก และเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อด้วย เขามีมารยาทพอค่ะ...ทีนี้มาที่เรื่องหว้าได้แล้วใช่ไหมคะ” วาณีที่รู้ว่าเขาจ้องจะจับผิดมองเขาอย่างรู้เท่าทัน

“เชิญ!” นวินกระแทกเสียงไม่ดังนัก

ได้ยินคำอนุญาต วาณีก็เดินไปนั่ง เพราะไม่อยากยืนค้ำศีรษะเขา

ถึงจะเติบโตที่ต่างประเทศ แต่มารดาของหล่อนพร่ำสอนเรื่องมารยาทไทยเสมอ และหล่อนเองก็ถือปฏิบัติมาตลอด ซึ่งไม่เพียงเรื่องมารยาทเท่านั้น ความเป็นไทยหลายอย่างท่านก็ปลูกฝังมิได้ขาด แต่ด้วยชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตัวเอง ทำให้หล่อนกลายเป็นคนแข็งๆ ไม่ยอมใคร ซึ่งก็อาจจะแข็งเกินไปนิดในสายตาของคนไทย

หญิงสาวเลือกเก้าอี้ตัวที่ห่างเขาที่สุด เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา หากต้องชะงัก กับสายตาแปลกใจปนทึ่งที่ทอดมองมา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่า...” นวินดึงสายตากลับพลางปฏิเสธ จะบอกได้อย่างไรว่าเขากำลังนึกทึ่งหล่อนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ที่หล่อนรู้ว่าการยืนค้ำศีรษะผู้สูงวัยกว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ

ความจริง เขาสังเกตมาหลายหนแล้ว ถึงหล่อนจะดูแข็งๆ ไปสักหน่อย มั่นใจในความคิดตัวเองไปสักนิด แต่ไม่ใช่คนก้าวร้าว ไร้มารยาท เขาจำได้ว่าวันแรกที่เจอกัน หล่อนก็ยกมือไหว้เขา ช้องนางเองก็เคยชื่นชมหล่อนให้ฟังบ่อยๆ ว่า เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แม้แต่กับคนรับใช้ ที่สำคัญ น้ำใจของหล่อนยังเต็มเปี่ยม

‘ถ้ามีเวลาว่าง หนูวาณีก็ยังช่วยงานบ้านอยู่เหมือนเดิมค่ะ แต่พอได้ยินเสียงรถของคุณ แกก็จะวางมือทันที นี่เสื้อผ้าของแก แกก็ไม่ยอมให้นังสมเพียรมันซักให้นะคะ ลงมาจัดการเองทุกอย่าง’

“คำว่าเปล่าของคนไทย หมายถึงว่าไม่เปล่า ใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยแซวยิ้มๆ

“หือ? ดูเหมือนเวลาไม่กี่วัน เธอจะรู้จักคนไทยดีขึ้นนะ มี ‘ครู’ ดีล่ะสิ” เขาเลิกคิ้วถาม พลางมองหล่อนอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง

“เรื่องพูดอ้อมๆ ก็เป็นอีกหนึ่งนิสัยของคนไทย” วาณีพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณอาพูดถูกค่ะ แค่ไม่กี่วันที่หนูออกไปทำงาน ทำให้หนูรู้จักพื้นนิสัยของคนที่นี่เพิ่มขึ้นมาก แต่จริงๆ แล้ว ครูที่ดีที่สุดของหนูก็คือ คุณแม่ค่ะ แม่สอนความเป็นไทยให้หนูอยู่เสมอ”

แววตาของหล่อนเปล่งประกายภาคภูมิใจเมื่อเอ่ยถึงมารดา แต่นวินไม่ภูมิใจไปด้วย เขาแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอ่ย

“แต่คงลืมสอนเรื่องศีลธรรม”

สิ้นคำพูดเขา ความเงียบก็เข้าครอบครองห้องนั้นไปชั่วขณะ วาณีพยายามกลืนก้อนความเจ็บปวดลงไปให้ลึกที่สุด

“คุณแม่สอนค่ะ แต่หนูไม่จำเอง...หนูว่าเรามาคุยเรื่องของหว้าดีว่านะคะ” หญิงสาวตัดบทก่อนที่เขาจะหาเรื่องประชดประชันหล่อนแล้วลามไปถึงมารดาผู้ล่วงลับอีก “หนูไม่อยากให้หว้าต้องตามหนูไปทำงานอีกแล้วค่ะ”

“เหตุผลคือ...เธอจะได้มีเวลาส่วนตัวเยอะๆ งั้นใช่ไหม” เขาเอ่ยแทรก มองหล่อนอย่างรู้เท่าทัน

“หนูไม่ชินกับการต้องมีคนตามติดตลอดเวลา แต่ที่สำคัญที่สุด หนูเกรงใจหว้า แกควรจะมีเวลาได้พักผ่อนและเป็นส่วนตัวบ้าง ไหนจะงานบ้าน ไหนจะต้องรับใช้คุณอา แล้วก็ต้องออกไปกับหนูทั้งวันอีก”

นวินหัวเราะหึหึในลำคอ “แบบนี้สุภาษิตไทยเขาเรียกว่า ปีกกล้าขาแข็ง พอเริ่มบินได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนที่คอยช่วยเหลือแล้ว”

“เอ๊ะ ช่วยเหลือเหรอคะ หว้าก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณอาไม่ใช่หรือคะ” วาณีย้อนถามเสียงไม่ชอบใจนัก ที่เขาพูดเหมือนหล่อนเป็นคนอกตัญญู

“แต่ถ้ามันไม่อยากช่วยเหลือเธอเพราะสงสารลูกนกลูกกาพลัดถิ่น มันก็คงไม่ยอมทำงานแบบถวายชีวิตแบบนี้หรอก...ถามจริงๆ นี่แม่เธอไม่ได้สอนเรื่องการมีน้ำใจบ้างเลยหรือไง” นวินโพล่งถามเสียงเยาะเพื่อความสะใจมากกว่าจะคิดจริงจัง เพราะเรื่องน้ำใจของหล่อนนั้น มีคนการันตีมาแล้ว

“แล้วไม่เคยมีใครสอนคุณอาเรื่องลามปล้ำไปถึงแม่ของคนอื่นหรือคะ” วาณีถลันลุกขึ้นด้วยความโกรธ ลูกแก้วสีน้ำตาลวาววับขึ้น เมื่อต้องแสงไฟจึงทำให้ตาของหล่อนเหมือนดวงตาของนางมาร แต่นวินไม่นึกกลัวสักนิด เพราะกำลังขำปนสะอึกกับการใช้คำผิดๆ ประสาหล่อน

“เขาเรียกลามปาม แม่หนู...ส่วนปล้ำหมายถึง...อย่างอื่น” เขาเองก็หยัดกายลุกขึ้นเช่นกัน เมื่อความขำเลือนหาย ก็กลายเป็นความโกรธขึ้นมาที่หล่อนกล้าย้อนเขามาแบบนั้น

“นั่นแหละค่ะ จะลามปามหรือปล้ำ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำทั้งนั้นไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวย้อนมาให้เขาอีกดอก

“ใช่ ไม่ควรทำ...กับคนดีๆ มีศีลธรรม” เขาก็ไม่ยอมแพ้ ห้ำหั่นลงมาตรงจุดอ่อนของหล่อนให้ยิ่งเกิดแผล

“วันนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่อง เอาไว้พรุ่งนี้ หนูจะเจรจากับคุณอาเรื่องหว้าใหม่” วาณีเอ่ยเสียงลอดไรฟัน และสะบัดหน้าทำท่าจะเดินจากไป หากเขารั้งหล่อนไว้ได้อีกครั้ง

“ไม่ต้อง ฉันให้คำตอบเธอได้ตอนนี้เลย...ตกลง...มันจะเป็นอย่างที่เธอต้องการ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ให้หว้าตามดูเธออีกแล้ว”

ขณะที่วาณียิ้มกริ่มกับชัยชนะอีกครั้งของตัวเอง นวินก็กำลังยิ้มพอใจในแผนการของตนอยู่เช่นกัน...

+ + + + + + + +

หว้าออกอาการน้อยอกน้อยใจยกใหญ่ที่ตนถูกยกเลิกหน้าที่ที่ชอบนักหนา เด็กสาวไปขอร้องนวินให้ออกคำสั่งอีกครั้ง แต่นวินบอกว่า คนขอยกเลิกคำสั่งคือวาณี ฉะนั้นมันก็ควรจะไปพูดกับวาณี

แต่ครั้นแล่นไปขอร้องวาณี หญิงสาวก็ปฏิเสธ พร้อมให้เหตุผล แม้มันจะแย้งว่ามันทำไหวและไม่เหนื่อยเลย วาณีก็ยังคงปฏิเสธ แต่เพื่อเป็นการไม่หักหาญน้ำใจกันมากนัก หล่อนจึงบอกว่าจะอนุญาตให้ตามไปด้วยเป็นครั้งๆ ไป

“ก็ยังดีฮะ ดีกว่าไม่ได้ไปด้วยเลย” เด็กสาวยิ้มออก “อย่างวันนี้ ให้หว้าไปด้วยนะฮะ”

“วันนี้ไม่ได้จ้ะ พี่ไปพบผู้ใหญ่ พี่จะไปกับคุณนภดลสองคนเท่านั้น”

“ว้า...อ้ะ แต่ไม่เป็นไร งั้นหว้าไปพรุ่งนี้ก็ได้” หว้ารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะวิ่งจู๊ดไปรดน้ำต้นไม้ที่หลังบ้านอันเป็นหน้าที่ประจำของตน วาณีมองตามร่างอวบนั้นไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ถ้าถามหล่อนตอนนี้ว่า การมาเมืองไทย อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด หล่อนจะตอบว่า นางสาวพัฒนาพรคนนี้แหละ

นวินออกจากบ้านในตอนสาย แวะไปเยี่ยมกอบทรัพย์แล้วจึงออกไปคุมงานลูกน้องจัดวางสินค้าสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์แฟร์ ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก และตอนนี้ลูกน้องของเขาก็กำลังทำงานแข่งกับเวลา เนื่องจากมีผู้ผลิตตลอดจนบริษัทจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จำนวนมากมาร่วมออกบูธ จึงเสียเวลาไปกับการขนย้ายค่อนข้างมาก

หนุ่มใหญ่ออกจากสถานที่จัดงานตอนบ่าย เพื่อเลี่ยงรถติด ระหว่างนั้นก็โทรฯหาทุกคนในกลุ่ม

“ไป ‘เฝ้าไข้’ พี่กอบกันหน่อยมั้ย พี่”

พอเขาเน้นคำว่า เฝ้าไข้ ทุกคนก็เดาออกว่ามันหมายถึงการไปสังสรรค์ พูดคุยกันในห้องพักฟื้นของกอบทรัพย์นั่นเอง ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำอย่างนี้ ปีที่ไกรศรป่วยเพราะเครียดจัด ทุกคนก็พร้อมใจหอบเครื่องดื่ม อาหารการกินไป ‘เฝ้าไข้’ ให้คนเจ็บมองด้วยความอิจฉา

เมื่อทุกคนตกลง นวินก็บึ่งรถกลับบ้านทันที เพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว พอไปถึง เขาก็เรียกหาไอ้หว้าเสียงลั่น เพื่อให้มันเตรียมน้ำให้อาบ ก่อนจะเรียกหาช้องนางเพื่อให้เตรียมกับแกล้มสักสองสามอย่าง

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงกดออดดังรัวแสดงให้เห็นว่าคนกดร้อนใจนักหนา

“ใคร ไร้มารยาทซะจริง” นวินบ่น ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กสาววิ่งออกไปดู มันหายไปพักใหญ่ก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมา และไม่พูดอะไร แต่กลับมองไปยังด้านหลัง

สักพักร่างของวาณีก็เดินเข้ามาในห้องนั้น ในสภาพใบหน้าซีดเผือด ผมเผ้าไร้ระเบียบและเสื้อเปื้อนเลือด!

“ว้าย เกิดอะไรขึ้นคะ คุณวาณี” ช้องนางอุทานด้วยความตกใจ

วาณีเงยหน้าสบตานวิน แล้วเอ่ยเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น

“วันนี้ คุณนภพาหนูไปพบผู้จัดละครมา หลังจากคุยกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกไปทานข้าว หลังจากนั้นคุณนภก็ขอตัวกลับก่อน ผู้ชายคนนั้นพยายามจะลวนลามหนู...หนูเลย...เอาแจกันฟาดเขา เขาเลือดออกตรงหัว แต่ยังไม่สลบ ยังพยายามจะเข้ามาจับตัวหนู หนูเลยใช้ปากขวดแทงเขา...แล้วหนีออกมา...แต่ไม่รู้ว่าเขาตายหรือเปล่า!”

(จบบทที่ 8) ค่ะ

+ + + + + + +

คุณสุขุมวิทฯ ค้า...ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมาเมนท์นะคะ อิอิ ส่วนเรื่องโคแก่กินหญ้าอ่อน อันนี้ก็มิอาจรู้ได้นะค้า ๕๕๕๕๕

ป.ล. เดี๋ยวตอนหน้าจะมาลงพร้อมด้วยโครงการดีๆ นะคะ




วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2556, 01:32:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2556, 01:32:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2394





<< บทที่ 2    บทที่ 13 >>
konhin 5 ก.พ. 2556, 02:23:56 น.
อ้าว ไม่เห็นตอนที่แล้ว ขอโทษทีค่ะ
อ่ะ คราวนี้ขอเดาอีกที เดาเหมือนเดิมเลย วาณีเป็นลูกสาวนายกอบ แต่ที่บอกว่าเป็นเมียน้อยเพราะว่าหวงกลัวได้เพื่อนมาเป็นเขย รู้ว่าเพื่อนเกลียดเมียน้อยเลยใช้เป็นจุดอ่อน ทีนี้พอกลายเป็นอัมพาตก็เลยพูดความจริงไม่ได้ ซวยแล้ววว ลูกลับก็ห่วง เพื่อนก็ดันไม่ให้มาเจออีกต่างหาก
ถูกมั้ยคะ?

แต่ขำที่ว่าเพื่อนๆพึ่งสำนึกได้ เลยหาสาวมาให้เลือก ฮ่าๆๆ เอาลูกสาวมาประเคนเลยดีกว่ามั้ย? ;)


ตุ๊งแช่ 5 ก.พ. 2556, 10:06:16 น.
งานเข้าสาวน้อยเสียแล้ว นี่ล่ะน๊า ไม่เชื่อผู้ใหญ่ อาบมาหลายร้อนแล้ว หึหึ


Sukhumvit66 5 ก.พ. 2556, 14:27:46 น.
แล้วเมื่อไรความจริงจะเปิดเผย


Pat 6 ก.พ. 2556, 19:27:54 น.
งานเข้าแล้วไง


ผักหวาน 13 พ.ย. 2556, 16:17:59 น.
โดนปากฉลามหนูวาณีเข้าให้แล้ว อีตาหื่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account