เจ้าบ่าวค้างสต็อก by สลิลา

Tags: เจ้าบ่าว ,สต็อก ,โรแมนติก

ตอน: บทที่ 13

สวัสดีค่ะ ฉลองการเป็นสมาชิกวีไอพีจากการเล่นเกม e-card ด้วยการลงนิยายให้อ่านติดๆ กันไปเล้ย (ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่กดโหวตให้วิรัตต์ยาด้วยนะคะ อิอิ)

การได้เป็น วีไอพี มันสุดยอดมากกกกค่ะ เพราะได้รู้ ได้ดีใจ ได้ชื่นใจมากๆ กับจำนวนนักอ่านที่ follow งานของวิรัตต์ยา - ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่อุตส่าห์ติดตามนักเขียนไร้วินัยคนนี้ ไม่ส่งเสียงทักทายกันไว้ แต่รู้ว่าอ่านงานก็ชื่นใจแล้วค่ะ ^___^


คุณ Sukhumvit66...อิอิ อันนี้ต้องรอติดตามนิดนึงน้าาา

อ้อม...เอ๊ะ อ๊ะ อันนี้ก็ต้องรอดู)))))))))

คุณ Pat...ช่ายๆ พฤติกรรมน่าสงสัยมากค่ะ อิอิ


+ + + + + + + + + + +

บทที่ 13


วันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อน นวินตื่นสายกว่าปกติ อาจเพราะที่ผ่านมาเขากรำงานหนักมาก ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อนที่เต็มที่

ตอนที่เขาเดินลงมาข้างล่างเป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะทานข้าวรวบมื้อเช้ากับเที่ยงไปเลย

“แต่ตอนนี้ ขอกาแฟให้ฉันแก้วหนึ่งก็พอ ยกไปในห้องทำงานนะ” เขาสั่งหว้า ก่อนหมุนตัวตรงไปยังห้องทำงาน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นวาณีในชุดแต่งกายแบบยายป้าเปิ่นเชยที่พร้อมออกข้างนอก กำลังเดินเร็วๆ ตรงไปยังหน้าบ้าน

“นั่นเธอจะไปไหน” นวินร้องทักพลางสาวเท้าตามหล่อน

“หนูนัดพี่อุมาไว้ค่ะ” หญิงสาวตอบพลางเร่งฝีเท้าสลับกับมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย

“นัดที่ไหน แล้วใครอนุญาตให้ไป” หนุ่มใหญ่เอ่ยเสียงเคร่งเต็มไปด้วยรอยตำหนิ เท้าเรียวหยุดชะงัก ก่อนที่เจ้าของเท้าจะหันมาสบตาเขาด้วยความไม่พอใจ

“หนูนึกว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เข้าใจแล้วเสียอีก...หนูไม่ใช่นักโทษของอานะ ถึงไม่มีสิทธิ์ไปไหนมาไหนบ้างน่ะ”

“ใช่ ไม่ใช่นักโทษของฉัน แต่เป็นโจทก์ของไอ้นายนภดลนั่นไงล่ะ ลืมแล้วหรือยังไง...กรุงเทพไม่ได้กว้างอย่างที่เธอคิดนะ วาณี ทำอะไรหัดใช้สมองบ้างสิ!”

“แล้วคุณอาล่ะ ใช้หัวใจบ้างหรือเปล่า เคยคิดถึงจิตใจหนูบ้างมั้ย” วาณีย้อนกลับเสียงเครือ มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ นวินชะงักไปเล็กน้อยกับแววตาชนิดนั้น แต่ยามนี้เขาระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหวแล้วกับคำพูดของหล่อน

“เมื่อวันก่อน เธอพูดว่า เมียน้อยอย่างเธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้ใครเห็นใจเธอไง ซึ่งฉันก็เห็นด้วย เพราะเธอเองก็ไม่ได้นึกถึงหัวใจใครเหมือนกัน อย่างน้อยก็หัวใจของยายออม!”

“หนูรู้ค่ะว่าสิ่งที่หนูทำมันผิด มันเลวมาก แต่ถ้าอาเลิกมองหนูแบบอคติเสียบ้าง อาก็คงเห็นว่าหนูพยายามจะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองมาตลอด...” หญิงสาวแย้งกลับเสียงสั่น น้ำตาเริ่มตีตื้นขึ้นมาออที่หน่วยตา

“คนดีอย่างคุณอา เคยคิดเรื่องให้อภัย ให้โอกาสคนบ้างหรือเปล่า...หรือพอใครผิดพลาดเข้าหน่อยก็ต้องเหยียบให้จมดิน อย่าให้มันมีโอกาสมายืนในสังคมคนดีๆ เลย...ทำไมคะ คนทำผิดเนี่ย มันจะต้องเป็นคนเลวไปตลอดชีวิตเลยหรือไง”

พูดจบ หล่อนก็หมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมน้ำตาแห่งความน้อยใจที่ไหลเป็นสาย

“พี่เห็นด้วยกับหนูวาณีนะคะ” ช้องนางก้าวออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน เธอได้ยินคำโต้ตอบของสองหนุ่มสาวตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นคนยกกาแฟมาให้เขาเอง เพราะตั้งใจจะมาถามความคืบหน้าเรื่องคดี “คุณวินควรจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเธอได้แล้ว เลิกอคติ แล้วมองเธอด้วยสายตาเป็นกลาง แล้วคุณก็คงจะเห็นอะไรๆ ชัดกว่านี้”

“ชัดแล้วน่า พี่นาง” หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าอย่างคนที่ถือมั่นในความคิดตน “ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”

“แล้วทำอะไรคะ กำลังต้องการเอาชนะ ต้องการแกล้ง ต้องการแก้แค้นแทนคุณแบมกับเด็กๆ หรือต้องการอะไรกันแน่” ช้องนางคาดคั้นอย่างเจ็บแค้นแทน ทั้งนี้ด้วยเธอนั้นเอ็นดูวาณียิ่งนัก มานาทีนี้ เธอมองข้ามเรื่องการเป็นเมียน้อยของหญิงสาวไปได้แล้ว

“ผมจะทำงาน” เขาตัดบทให้ช้องนางส่ายหน้าด้วยความระอา “พี่นางไปบอกแม่...ไปบอกเขาทีนะว่า ผมอนุญาตให้เขาพาเพื่อนมาที่บ้านได้ จะได้ไม่ต้องออกไปเสี่ยงให้นภดลมันเจอตัว”

พูดจบ เขาก็เดินไปยังห้องทำงานของตน ช้องนางยิ้มออก ในแววตาของผู้ที่ผ่านโลกมาค่อนชีวิตและรู้จักนวินดี ปรากฏความเข้าใจบางอย่าง...



รถของอุมารังสีแล่นผ่านรั้วเข้ามาและจอดลงตรงหน้าบ้าน วาณีในชุดแต่งกายสไตล์ดั้งเดิมของหล่อนวิ่งออกมาต้อนรับ สองสาวกอดทักทายกันอีกครั้ง ก่อนอุมาจะเงยหน้ามองตัวบ้านด้วยความทึ่ง

“บ้านสวยมาก แล้วก็ใหญ่มากด้วย...แสดงว่า เจ้านายของวาณีต้องรวยมากแน่ๆ”

วาณีชะงักไป และเหลือบไปทางคนรับใช้ที่ชื่อจินดาซึ่งบังเอิญป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นและหมั่นมองมาที่พวกหล่อนอย่างใคร่รู้แว่บหนึ่งก็หันมาทางผู้เป็นแขก

“ไปกันที่ศาลาดีกว่าค่ะ พี่อุมา วาณีเตรียมของว่างไว้ที่นั่น”

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทานอาหารว่างไป คุยกันไปถึงเรื่องราวสมัยที่ยังอยู่ซิดนีย์ด้วยกัน ทั้งสองรู้จักและสนิทสนมกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง

อุมารังสีมาจากครอบครัวมีอันจะกิน ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในซิดนีย์ แต่ไม่เคยนึกรังเกียจครอบครัวปากกัดตีนถีบอย่างครอบครัววาณี แถมยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลเท่าที่จะช่วยได้ แต่พออุมารังสีเรียนจบปริญญาตรี ครอบครัวหล่อนก็ย้ายไปอยู่อเมริกา ก่อนจะตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง

“คุณแม่คิดถึงเมืองไทย ท่านเลยขอคุณพ่อกลับมาอยู่ที่นี่ก่อน อีกห้าปี คุณพ่อเกษียณก็ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่พี่ปล่อยให้คุณแม่มาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้ เลยลาออกจากงาน กลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”

“อย่างนี้คุณลุงก็กลายเป็นหนุ่มโสดอีกครั้งสิคะ สาวๆ ตอมกรูแน่ๆ” วาณีเอ่ยแซวขำๆ ด้วยรู้จักบิดาของฝ่ายนั้นดี ว่าแท้จริงแล้วเป็นคนรักครอบครัวมาก

“เขาเรียกตอมเกรียวหรือเปล่า วาณี” อุมารังสีแก้ให้ด้วยเสียงหัวเราะขำ วาณีเบิกตากว้างแล้วก็หัวเราะตาม อุมารังสีเอ่ยต่อไปว่า “ถ้าคุณพ่อท่านจะใจแตกตอนแก่ คุณแม่ท่านก็ทำใจไว้แล้วล่ะจ้ะ ท่านบอกว่าเด็กสาวๆ หน้าตาจุ๋มจิ๋ม มองแล้วก็ชื่นใจกว่าเมียแก่ๆ”

วาณีชะงักไปเล็กน้อยกับประโยคท้ายๆ นั่น และอุมารังสีก็เห็น จึงโพล่งถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

“อย่าหาว่าพี่ละลาบละล้วงเลยนะ วาณี แต่พี่อยากรู้ว่า วาณีอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะอะไรกันแน่จ๊ะ”

“คนอาศัยชั่วคราวค่ะ” วาณีที่รู้ดีว่าต้องเจอคำถามนี้อยู่แล้ว ตอบกลับเสียงดังฟังชัด

“ไม่เคลียร์อยู่ดี” อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างไม่พึงพอใจคำตอบ “มีคนเล่าให้พี่ฟังว่า หลังจากที่น้าแววเสีย มีคนรับอุปการะวาณีแล้วก็พามาเมืองไทย ใช่คุณนวินหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่ใช่ค่ะ คนละคน” สีหน้าวาณียุ่งยากใจหนักหนา เมื่อต้องพูดในสิ่งที่หล่อนอยากลืมและอยากหนีให้พ้น “คนนั้นเขา...พาหนูมาอยู่ที่นี่ก่อน แล้วค่อยให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นค่ะ”

“วาณี...” อุมารังสียื่นมือมาแตะแขนเรียวเบามือ มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตารักใคร่ เอ็นดู อย่างที่เคยมองตลอดมา “วาณีรู้ใช่มั้ยว่าพี่รักและหวังดีกับวาณีมาก วาณีเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของพี่”

“ค่ะ วาณีทราบ” หญิงสาวก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ทั้งละอายใจต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำ ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร

“ถ้าอย่างนั้น วาณีบอกพี่สาวคนนี้ได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น ชีวิตของวาณีถึงได้หักเห...มาเป็นแบบนี้ ทำไมวาณีถึงยอม เด็กที่หยิ่งในตัวเอง รักศักดิ์ศรีคนนั้นหายไปไหน”

วาณีส่ายหน้าน้ำตาร่วงเผาะ “วาณีไม่รู้พี่อุมา วาณีไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไง

อุมารังสีตกใจจนต้องกระเถิบเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดร่างแบบบางนั้นเอาไว้อย่างปลอบประโลม “พี่ขอโทษวาณี พี่ไม่ได้ตั้งใจ หยุดร้องนะ...วาณีของพี่เข้มแข็งจะตายนี่นา”

วาณีพยายามกลั้นสะอื้น วูบหนึ่งหล่อนคิดถึงคำพูดของนวินในคืนที่หล่อนมานั่งเป่าขลุ่ยที่ศาลาแห่งนี้ เขาบอกว่าแท้ที่จริงแล้ว หล่อนเป็นคนอ่อนแอ ตอนนั้นหล่อนไม่ยอมรับ เพราะหล่อนแทบไม่เคยมีเวลามานั่งเสียน้ำตา

แต่เขา...คำพูดเขา สายตารังเกียจเดียดฉันท์ของเขานั่นแหละ ที่ทำให้ความเข้มแข็งของหล่อนลดน้อยถอยลงทุกที...และตอนนี้ความรักเจือผิดหวังจากพี่สาวคนดีของหล่อนก็ยิ่งกระทุ้งความเข้มแข็งให้กระเด็นกระดอน

“พี่ขอโทษ พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว พี่เคารพการตัดสินใจของวาณีนะ” อุมารังสีเอ่ยขึ้นอีก พลางเช็ดน้ำตาจากแก้มใสนั้นให้เบามือ พลางยิ้ม “เอ...จะว่าไปก็ดีนะ ที่วาณีร้องไห้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่ได้ปลอบแล้วก็เช็ดน้ำตาให้วาณีบ้าง”

ได้ยินอย่างนั้น วาณีก็เงยหน้ามองคนพูด จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะสวมกอดกันอีกครั้งด้วยความรักความผูกพันที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้

นวินที่เห็นภาพนั้นผ่านกระจกห้องทำงานเผลอยิ้มออกมา...ยิ้มให้กับมิตรภาพของสองสาวที่แม้เขาจะเพิ่งได้เห็น แต่ก็รู้ว่าทั้งคู่รักและผูกพันกันมาก

มือแข็งแรงเอื้อมไปหยิบกระดิ่งเล็กๆ จากบนโต๊ะทำงานขึ้นมาสั่น เพียงไม่นาน หว้าก็เปิดประตูเดินเข้ามา

“ฮะ เจ้านาย”

“แกรู้มั้ยว่าวาณีเขาชวนเพื่อนทานกลางวันหรือเปล่า”

“ชวนฮะ พี่วาณีขอร้องให้ป้านางทำอาหารให้หน่อย แล้วเธอจะจ่ายเงินให้ป้านางฮะ แต่ป้านางไม่เอา” เด็กหว้าตอบแล้วขยายความพลางก็มองออกไปยังศาลาด้วย “เพื่อนวาณีซ้วยสวยนะฮะ เจ้านาย”

“สำหรับแก ผู้หญิงคงสวยทุกคน ไอ้หว้า” ชายหนุ่มแซวอย่างอารมณ์ดี

เด็กหว้าทำหน้ามุ่ย

“หว้าไม่เจ้าชู้ขนาดน้าน...ใครสวยหว้าก็ว่าสวย อย่างคุณอุมาคนนี้สวยเหมือนนางฟ้า...แต่หว้าชอบสวยแบบพี่วาณีมากกว่า”

“หือ? แล้วพี่วาณีของแกนี่สวยแบบไหนเรอะ” เขาหันมามองหน้ามันด้วยนึกสนใจในคำพูดนั้นขึ้นมา

“พี่วาณีเหมือนเจ้าหญิง...เจ้าหญิงที่ฉลาด สง่างาม แล้วก็เข้มแข็ง” เด็กสาววิจารณ์ออกมาได้เป็นฉากๆ จนคนฟังอดขำไม่ได้

“รู้จักเขาดีนักนะ แกน่ะ เจ้าหญิงที่ไหนจะยอมเป็นเมียน้อยคนอื่นวะ”

“ว้า เจ้านายเกรียนอะ เชยด้วย นี่เขาเลิกคุยเรื่องนี้กันไปนานแล้วนะฮะ ตอนนี้พวกเราเห็นแล้วว่าพี่วาณีเป็นคนดีแล้วก็น่ารักแค่ไหน” มันพูดด้วยเสียงตำหนิปนผิดหวัง แล้วก็ถอยหลังกรูดเอาไว้ก่อน ด้วยก็รู้ว่าตัวชักจะลามปามอยู่เหมือนกัน

“อย่าหลงไปกับภาพคนดีที่เขาสร้างขึ้นหน่อยเลยน่า” นวินตะโกนกลับมาจนเด็กสาวนึกแปลกใจ

“แล้วทำไมต้องตะโกนด้วยล่ะฮะ เจ้านาย หรืออยากให้ใครได้ยินเหรอฮะ” มันถามประสาซื่อ แต่คนฟังกลับสะดุ้งอยู่ในใจ...เมื่อตระหนักได้ในบัดดลว่า คนเพียงคนเดียวที่อยากให้ได้ยินก็คือ...ตัวเขาเอง!

“ก็อยากให้แกกับพี่นางนั่นแหละได้ยิน...พอๆ ไม่ต้องพูดอะไรอีก...” เขารีบตัดบทเมื่อเห็นมันอ้าปากจะพูดอะไรอีก “ไปบอกพี่นางให้ตั้งโต๊ะอาหารของวาณีกับคุณอุมา...โต๊ะเดียวกับฉัน”



บรรยากาศการทานอาหารเป็นไปอย่างน่าอึดอัดในช่วงแรก เหตุเพราะความสัมพันธ์ของนวินกับวาณีที่ไม่ได้ดีต่อกันมากพอ บวกกับนวินกับอุมารังสีเองก็เพิ่งรู้จักกัน

ทว่าผ่านไปสักพัก เมื่อนวินกับอุมารังสีเริ่มคุ้นเคยแถมยังคุยกันถูกคอ ความอึดอัดจึงคลายลงและกลายเป็นดีในที่สุด

อย่างน้อยวาณีก็มั่นใจว่าดีขึ้นและดีมากในความรู้สึกของนวินนั่นละ

หล่อนดูออกว่าเขาชอบอุมารังสี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในงานแฟร์โน่นแล้ว และวันนี้มันก็ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร นั่นทำให้หล่อนรู้เหตุผลที่แท้จริงที่เขาไม่อยากให้หล่อนออกไปข้างนอก ไม่ใช่เพราะห่วงว่านภดลจะเจอหล่อนอย่างที่ช้องนางบอกหรอก แต่เป็นเพราะเขาอยากเจออุมารังสีมากกว่า!

และคงกลัวตัวเองจะดูไม่ดีในสายตาของอุมารังสีกระมัง ถึงได้ยอมให้เมียน้อยอย่างหล่อนนั่งร่วมโต๊ะด้วย!

วาณีบอกตัวเองว่าหล่อนไม่น้อยใจหรือโกรธเขา เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนสองหน้าได้หน้าตาเฉยแบบนี้

“เอ๊ะ เมื่อกี้ อุมาบอกว่าจะซื้อบ้านใหม่หรือครับ คิดไว้หรือยังว่าจะอยู่แถวไหน” ครั้งหนึ่ง นวินเอ่ยถามอุมารังสี

“ดูไว้หลายที่เหมือนกันค่ะ อุมากับคุณแม่คิดตรงกันว่าอยากอยู่ชานเมือง ที่อากาศดีๆ หน่อย รถไม่เยอะ คุณอามีที่ไหนจะแนะนำหรือเปล่าคะ”

“มาเป็นเพื่อนบ้านอามั้ยล่ะครับ ถัดบ้านอาไปสามหลัง เขาเพิ่งประกาศขาย เห็นว่าจะย้ายไปเมืองนอกกันทั้งครอบครัว”

“สลับกันเลยนะคะ เขาย้ายไปโน่น แต่อุมาย้ายกลับเมืองไทย” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ “จริงๆ แถวนี้ก็น่าสนใจนะคะ ยังมีที่ว่างๆ โล่งๆ ให้ปลอดโปร่ง ยังต้นไม้เขียวๆ ให้สดชื่น...เอาไว้ อุมาพาคุณแม่มาดูก่อนนะคะ แล้วค่อยว่ากันอีกที”

“ครับ เรื่องซื้อบ้านต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูค่อยๆ เลือกไป เพราะเราต้องอยู่ไปตลอดชีวิต” หนุ่มใหญ่ส่งยิ้มมาให้ ดวงตาคู่คมของเขาเปล่งประกายระยิบ อุมารังสีใจเต้นโครมครามจนต้องหลบสายตาคู่นั้น โดยเลือกมองไปทางน้องสาวสุดที่รักแทน ก็พบว่าฝ่ายนั้นกำลังนั่งเขี่ยจานอาหารเล่นด้วยสีหน้าเหม่อลอย

“วาณี...ทำไมนั่งใจลอยล่ะจ๊ะ อาหารไม่อร่อยเหรอ นี่ของโปรดของวาณีทั้งนั้นเลยนี่นา ทั้งเสต็ก ทั้งมันบด”

เมนูวันนี้คือเสต็กหมู เพราะทำง่าย เนื่องจากมีหมูชิ้นหมักเครื่องปรุงตามสูตรของช้องนางอยู่แล้ว น้ำเกรวี่ก็มีติดบ้านตลอด สเต็กของช้องนางหน้าตาน่ากินด้วยผักหน้าตาหลากสี สีส้มจากแครอท สีเขียวเข้มจากบร็อคโคลี่ สีเหลืองสดใสจากข้าวโพดต้มแกะเมล็ด สีเขียวเหลือบขาวของกะหล่ำปลี นอกจากนี้เธอยังลงมือทำมันบดด้วยตัวเองอีกด้วย ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก

“วาณีดีใจที่ได้เจอพี่อุมา จนกินอะไรไม่ลงแล้ว” หญิงสาวยิ้มกว้าง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาบ่งบอกความรู้สึก

“ไม่ได้ๆ ต้องกินเยอะๆ วาณีผอมเกินไปแล้วนะ...” อุมารังสีเว้นช่วงเพื่อหันไปทางนวิน “เชื่อมั้ยคะ คุณอา ตอนเด็กๆ วาณีกินเก่งมาก มันบดนี่เขาสามารถกินได้เป็นถังๆเลย”

ได้ยินอย่างนั้น นวินก็หันมาทางวาณี ส่งสายตาเอ็นดูมาให้แวบหนึ่ง ทำเอาคนได้รับถึงกับขนลุก!

เขาแสดงละครเก่งจริงๆ

“แหม ก็บ้านวาณียากจน ไม่ค่อยได้กินของอร่อยๆ นี่คะ ไปเจอมันบดฝีมือแม่พี่อุมาเข้า วาณีกินลืมตายเลย” วาณีสลัดความรู้สึกที่มีต่อนวินออกให้พ้น แล้วตอบกลับอุมารังสีด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังนั้น

“แต่วาณีก็ไม่อ้วน เพราะเขาเป็นนักกีฬาตัวยง” อุมารังสีเล่าให้นวินฟังอีก และยามนี้สายตาของนวินก็ยังไม่ละจากใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นหัวข้อสนทนา

“เล่นอะไรบ้างล่ะ เรา นอกจากมวยไทยน่ะ” เขาถามหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“คุณอารู้ด้วยเหรอคะว่า วาณีเป็นมวยไทย” อุมารังสีแทรกถามแปลกใจ หากแต่ไม่ได้จะเอาคำตอบจริงจัง เพราะหล่อนพูดต่อไปว่า “นอกจากมวยแล้ว วาณีเขาเป็นนักกีฬาฟุตบอล แล้วก็บาสเก็ตบอลค่ะ”

“แล้วคุณอุมาล่ะครับ เป็นนักกีฬาอะไรหรือเปล่า” นวินหันมาทางคนเล่าบ้าง

“อุมาไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเลยค่ะ ถนัดพวกเต้นๆ รำๆ มากกว่า”

“แล้วก็ประกวดนางงามด้วย” วาณีต่อประโยคให้ และหันไปเล่าให้นวินฟังบ้าง “พี่อุมาคว้ารางวัลอันดับหนึ่งทุกเวทีเลยค่ะ”

หนุ่มใหญ่ทำเสียงรับรู้ ก่อนเอ่ยถามวาณีต่อ “แล้วเธอล่ะ ประกวดอะไรกับเขาบ้างมั้ย”

วาณีส่ายหน้าหวือแทนคำตอบ แล้วอุมารังสีก็รับช่วงอธิบายขยายความต่อ

“วาณีเขาเป็นแผนกคุ้มครองค่ะ”

“เอ๊ะ ยังไงเหรอครับ” นวินถามต่ออย่างสนใจ

“เขาเป็นคนคอยดูแลพวกเราน่ะค่ะ คุณอาคงนึกภาพออกใช่มั้ยคะ ว่าเด็กเอเชียผมดำตัวเล็กๆ มักตกเป็นเหยื่อให้พวกเด็กฝรั่งแกล้งเสมอ พวกเราก็ได้วาณีนี่แหละค่ะคอยปกป้อง เพราะเขาไม่กลัวใคร ใครแกล้งมาแกล้งตอบ ใครรังแกเพื่อนเขา เขาลุยแทนตลอด”

“ท่าทางจะวีรกรรมเยอะนะครับ น้องสาวคุณอุมาคนนี้”

“โอ๊ย นับไม่หวาดไม่ไหว...”

“อะแฮ่ม...พี่อุมาคะ...วาณีว่าเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ” วาณีรีบเอ่ยแทรก ก่อนที่เพื่อนรุ่นพี่จะเล่าเรื่องของหล่อนไปมากกว่านี้ ซึ่งหล่อนไม่อยากให้เขารับรู้ เพราะแน่ใจว่าเมื่อรู้ก็คงจะยิ่งดูถูกหล่อนหนักเข้าไปอีก

“อ้าว ทำไมล่ะ กำลังสนุกเลย” นวินหันมามองหล่อนงงๆก่อนเอ่ยกับอุมารังสีว่า “เล่าต่อเถอะครับ คุณอุมา”

อุมารังสีกำลังติดลม บวกกับความเอ็นดูวาณี หล่อนจึงอยากเย้าแหย่ อยากแซวให้ได้อาย ให้ได้หัวเราะกัน

“อย่างที่บอกแหละค่ะ ว่าวาณีเขาแสบมาก แต่ที่ทำให้เขาดังไปทั้งโรงเรียนคือ ตอนไปมีเรื่องกับลูกเศรษฐีในโรงเรียนค่ะ...ตอนนั้นเราอยู่ไฮสคูลกันแล้วละ เด็กผู้ชายคนนั้นเขาชอบอุมา ชอบขู่ให้อุมาไปกินข้าวด้วยบ่อยๆ แต่อุมาพยายามเลี่ยงตลอดเพราะไม่ชอบนิสัยเขา วันนั้น เขาพยายามจะลากอุมาออกจากแคนทีน วาณีอยู่ใกล้ๆ พอดีก็เลยวิ่งมาห้าม ปรากฏว่าเขาผลักวาณีจนล้ม...วาณีโกรธมาก พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งมาชกเด็กคนนั้น ทั้งต่อยทั้งเตะจนเด็กนั่นสลบไปเลย”

ตลอดเวลาที่อุมารังสีพูด นวินมองหน้าเจ้าของวีรกรรมเกือบตลอดเวลา มองไปด้วยก็นึกภาพตามไปด้วย และเขาก็เห็นภาพเด็กสาวผมดำ ร่างผอมบาง ท่าทางแก่นกะโหลกกำลังต่อยเด็กฝรั่งร่างยักษ์อยู่อย่างกล้าหาญ เมื่อร่างยักษ์นั้นล้มลง เสียงปรบมือก็ดังกราวจากทุกทิศทุกทาง เด็กสาวยกขาข้างหนึ่งวางบนร่างสลบสไลของเจ้ายักษ์ แล้วหันไปยิ้มกว้างรับเสียงปรบมือด้วยความภาคภูมิใจ

“คุณอาวินคะ...คุณอา...” สองสาวสบตากันงงๆ เมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มเอาแต่ยิ้มและเงียบไป อุมารังสีจึงทำหน้าที่เรียก

“ครับ? ครับ...ขอโทษที พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ตอนที่พูด เขาเหลือบมองวาณีแว่บหนึ่ง เห็นหล่อนทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งอายก็เผลอยิ้มขำ

“คุณอาอยากรู้มั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น” อุมารังสียังไม่ยอมจบ ยิ่งเห็นว่าคนเป็นน้องสาวอาย ก็ยิ่งอยากแกล้ง

“พี่อุมาคะ...” วาณีเรียกเสียงอ่อย มองอีกฝ่ายเว้าวอน ไม่พอ ยังตักอาหารใส่จานให้เพื่อเป็นอามิสสินจ้างอีกด้วย “ทานอาหารต่อนะคะ นี่สลัดผักนี่ ของโปรดพี่อุมาเลยนะ นะ นะ”

อุมารังสีกลั้นยิ้มขำจนหน้าแดงพอๆกับนวิน เพราะเขาไม่เคยเห็นวาณีในภาพเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้มาก่อน จะว่าไป เขาก็แทบไม่เคยเห็นหล่อนภาพแบบไหนเลย นอกจากเมียน้อยที่แสนแข็งกระด้างกับยายป้าเปิ่นเชยสุดดื้อ

“หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็พลิกผันค่ะ พวกเรานึกว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะเอาเรื่องวาณี แต่ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนจากจีบอุมา เป็นตามจีบวาณีแทน”

นวินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “จริงหรือครับ สงสัยหมอนั่นจะซาดิสม์...แล้วจีบติดหรือเปล่า”

“อันนี้ต้องถามวาณีเองแล้วล่ะค่ะ” คนที่เล่าเรื่องมาตลอดโบ้ยไปที่เจ้าของเรื่อง และคนอยากรู้ก็ไม่รอช้า หันมาทางหล่อนทันที พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ริมฝีปากสีสดของเขาแย้มออกแต่เพียงน้อย

“เอ่อ...วาณีว่า...เรารีบทานอาหารนี่ต่อดีกว่า คุณอาจะได้ไปทำงานต่อ แล้ววาณีกับพี่อุมาก็จะได้ไปคุยกันต่อ วาณีมีเรื่องจะพูดกับพี่อีกเยอะแยะเลย” พูดจบหล่อนก็จิ้มสเต็กเข้าปากเป็นการตัดบท นวินกับอุมารังสีหันสบตากันแล้วก็หัวเราะน้อยๆ

(จบบทที่ 13)



วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2556, 08:04:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2556, 10:31:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2120





<< บทที่ 7-8   บทที่ 14 (มีเกมมาให้เล่นชิงหนังสือด้วยจ้า) >>
konhin 28 ก.พ. 2556, 09:05:07 น.
ความอคติบางทีก็ลบอยาก


ตุ๊งแช่ 28 ก.พ. 2556, 10:34:30 น.
กำลังจะหลงเด้กหรือป่าวน้อ นวิน


Sukhumvit66 28 ก.พ. 2556, 11:19:58 น.
อคติเยอะจริงๆผู้ชายคนนี้


Pat 28 ก.พ. 2556, 22:00:55 น.
เริ่มใจอ่อนแล้วสินะคุณอา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account