^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: เพียงใจในสายลม(50%)

เพียงใจในสายลม

...เราพบกันในวันธรรมดา ๆ ที่ไม่ธรรมดาด้วยเรื่องราวในหัวใจ...

มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับครอบครัวชาวจีนตระกูลใหญ่ ที่บางครั้งเราก็มีนัดกันแทบยกครอบครัวเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่พวกลูกหลานแอบเบะปากให้กันอย่างรู้ทันอยู่เสมอ ผู้ใหญ่จะตกลงอะไรกันเราไม่เคยสนใจ รู้อย่างเดียวคือเด็ก ๆ อย่างพวกเราตกลงกันได้

...รั้นไว้ นิ่งไว้...เดี๋ยวก็จบเอง !

งานสังสรรค์ที่พากันมาทั้งครอบครัวกลายเป็นเรื่องสนุกที่นำเด็ก ๆ มารู้จักกัน ขณะที่ผู้ใหญ่นั่งคุยกันพลางเหลือบสังเกตปฏิกิริยาของเด็ก ๆ พวกเราก็แอบนั่งกระซิบหาทางหนีทีไล่และวิธีเจาะถุง หรือให้ดีที่สุดคือทำอะไรก็ได้ไม่ให้มีถุงใบไหนมาคลุมหัวได้

ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ฉันเตรียมใจมาตั้งแต่แรก แอบหาวเบา ๆ เมื่อเดินขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสองของภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังเพื่อไปยังห้องพิเศษที่จองไว้

การพบกันครั้งนี้อาจจะน่าสนใจ หากว่าฉันจะไม่มีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้หัวใจวุ่นวายอยู่ก่อนแล้ว

ผู้หญิงที่เพิ่งอกหัก...ให้ฝืนยิ้มแค่ไหนก็ไม่มีวันสดชื่นสวยงามได้จริงหรอก

ประตูบานเลื่อนถูกเปิดออก น่าประหลาดใจที่คนแรกที่สะดุดสายตาฉันคือผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าซึ่งลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นว่าเราเปิดประตูเข้าไป สายตาเขาพุ่งตรงมาสบตาฉันนิ่งเพียงชั่วครู่แต่ราวกับนานแสนนานจนฉันแทบลืมหายใจ

เสียงเอะอะของผู้ใหญ่ที่ลุกขึ้นเอ่ยต้อนรับกันเป็นภาษาไทยปนจีนดึงฉันให้ได้สติ แล้วม๊าก็ดึงแขนฉันมายืนตรงหน้าคุณป้าคนหนึ่ง พร้อมเอ่ยแนะนำเบา ๆ “นี่ไงคะ...เสี่ยวเยว่ ลูกสาวที่หนิงเล่าให้ซ้อฟัง”

ฉันยกมือไหว้ เอ่ยทักทายแล้วพูดคุยเพียงไม่กี่คำถาม เธอก็ลากฉันไปหน้าโต๊ะอีกตัวซึ่งมีสาวน้อยสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว กับผู้ชายคนนั้นที่สะดุดตาฉันตั้งแต่แรกพบ

“อาเล้ง...นี่เสี่ยวเยว่ ลูกสาวอาหนิง ม้าฝากดูน้องด้วยนะลูก” เธอบอกกับผู้ชายคนนั้น ก่อนหันมาทางฉัน “นี่เฮียเล้ง น่าจะรุ่นใกล้ ๆ หนู ส่วนนั่นน้องอิงกับน้องเอิร์น สองสาวม้าหมุนประจำบ้าน คุยด้วยแล้วหนูจะเวียนหัวเลยล่ะ”

“โธ่...ม้าน่ะ” หนึ่งสาวตวัดสายตาค้อนมารดา

“เอ้า...ม้าไม่กวนล่ะ เด็ก ๆ คุยกันให้สนุกนะลูก” เธอบอกก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะใหญ่ ทิ้งให้ฉันยืนมองตาปริบ ๆ
แล้วหนึ่งสาวก็ลุกมาคว้ามือ ดึงฉันไปนั่งข้าง ๆ เธอ “เจ้มานั่งข้าง ๆ เอิร์นเถอะ ตรงนี้ ๆ”

“อ้าว เฮียเล้งจะยืนอยู่ทำไม นั่งเร็ว นั่ง ๆ อิงหิวจะแย่แล้ว” สาวน้อยอีกคนร้องบอก แล้วพี่ชายคนดีของเธอก็ก้าวมานั่งข้าง ๆ ฉัน

เวลาหมุนไปค่อนข้างเร็ว ไม่น่าเบื่ออย่างที่ฉันคิดคงเพราะสองสาวที่ช่างพูดช่างคุยได้สนุกนัก เราคุยกันถูกคอ โดยเฉพาะเรื่องแนวทางการเรียนต่อของสาว ๆ ที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ฉันมีตรรกะแปลก ๆ ที่ทำให้พวกเธอหัวเราะคิกตบเข่าฉาดอย่างชอบอกชอบใจ

“นั่นไง...อิงก็ยังอยากนะ แต่ก็กลัวน่ะ”

“ไม่ต้องกลัวหรอก เลือกอะไรก็ได้ที่วันหนึ่งข้างหน้าเราจะเสียใจถ้าไม่เลือก ทำอะไรก็ได้ที่วันข้างหน้าเราจะเสียใจถ้าไม่ทำ นั่นล่ะ...อย่ามัวนั่งกลัว ยิ่งกลัวเราก็ยิ่งไม่กล้าเดิน แล้วเมื่อไรจะถึงเส้นชัยล่ะ” ฉันบอกเธอเหมือนที่เคยบอกกับเด็ก ๆ เวลาไปโรดโชว์แนะนำคณะ

“โหย...จริงค่ะ แต่อิงก็ยังอดกลัวไม่ได้อ่ะ”

“ค่อย ๆ คิด...อิงยังมีเวลาอีกเยอะ พี่เชื่อว่าถึงเวลาเธอจะเลือกได้” ฉันยิ้มปลอบเธอ ก่อนจะชะงักไปเพราะเสียงขลุกขลักจากคนข้างตัว ฉันหันไปมองหน้าผู้ชายตัวโตที่นั่งข้าง ๆ แต่เขากลับเงยหน้ามาสบตา เลิกคิ้วอมยิ้มใส่ แล้วยื่นมือข้ามหน้าฉันไปตักกระเพาะปลาผัดมาใส่จานฉัน

“อย่ามัวแต่คุยสิครับ เดี๋ยวเฮียก็แย่งกินหมดหรอก” เขาบอกแล้วหันไปดุน้องสาวในสายเลือด “พวกเรานี่ก็วุ่นวาย ชวนเจ้คุยจนไม่ได้กินแล้ว ดูซิตัวเล็กแค่นี้เอง”

“ไม่รีบขุน เดี๋ยวเฮียจะกอดไม่เต็มมือใช่ไหม” เสียงใครสักคนเอ่ยขึ้นทำให้ฉันเบิกตากว้าง ขณะที่เขาหัวเราะในคอ

“อย่าหาเรื่องมาให้เฮีย เราน่ะรีบ ๆ กินกันเลย ไม่อย่างนั้นคืนนี้เฮียไม่พาไปเที่ยวต่อนะ”

เพียงเท่านั้นสองสาวก็เงียบกริบ ก้มหน้าก้มตากินกันได้เพียงครู่ ก็หันมาคุยกันเอง ทิ้งให้ฉันนั่งกินเงียบ ๆ พยายามจะไม่ใส่ใจกับสายตาของผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ และมือที่พยายามตักอาหารมาให้เป็นระยะ ๆ

เราพูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ ก่อนที่มื้ออาหารจะจบลง แล้วเอิร์นก็เป็นคนชวน “เจ้ไปต่อกันไหม...เฮียเล้งจะพาพวกเราไปร้องเพลง”

ฉันเหลือบมองเขาเพียงแว่บผ่าน ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้มีเรียนเช้าพรุ่งนี้น่ะ ขอไปกับที่นอนดีกว่า”

สองสาวทำหน้าม่อยอย่างเสียดายเพียงครู่เดียวก็กลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม ขณะที่ฉันเดินมาที่รถโดยมีเฮียเล้งตามประกบไม่ห่าง ตามประสาคนที่คุ้นชินกับถิ่นถนนมังกร ที่นี่...เหลาเทียมฟ้ากับยาจกริมทางอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งก้าว

พวกผู้ใหญ่ยืนคุยกันอยู่นานเพื่อบอกลา แล้วติดลมไปเรื่องอื่น ๆ จนยาว เฮียเล้งหายไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมายื่นถุงกระดาษใบเล็กให้ฉัน “เฮียให้...เป็นของขวัญปีใหม่ย้อมหลัง แล้วก็...สำหรับการที่เราได้พบกัน”

ฉันเอ่ยขอบคุณแล้วรับมาเปิดออกดู เพื่อจะพบว่าในนั้นเป็นกล่องน้ำหอมแบรนด์ดังสีทองสวย สัญญาณเตือนภัยบางอย่างดังอยู่ในใจ

...ผู้ชายที่ซื้อน้ำหอมให้ผู้หญิงที่ยังไม่รู้จักได้นี่...เป็นคนแบบไหนกันนะ

ยังไม่ทันที่สัญญาณเตือนในใจฉันจะเบาลง เขาก็ทำให้มันดังกว่าเดิมเมื่อป๊ากับม๊าเดินมาที่รถ แล้วเขาเปิดประตูส่งฉันขึ้นรถไปเสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอกเบา ๆ ทำให้ฉันได้แต่นั่งนิ่ง ทั้งแปลกใจและตกใจ

“...ดูเหมือนอินเดียฮิคส์จะเหมาะกับเธอมากกว่า วันหลังเฮียจะเอามาฝาก” เขาเอ่ยชื่อน้ำหอมที่ฉันพรมมาได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะปิดประตูไป

ฉันกระพริบตาอย่างประหลาดใจอยู่ในรถ อดไม่ได้ที่จะก้มลงแตะจมูกดมข้อมือตัวเอง กลิ่นหอมจาง ๆ คล้ายกำยานที่ฉันชอบนักเป็นเหตุผลให้น้ำหอมนี้เป็นคอลเลกชั่นโปรดของฉัน กลิ่นมันไม่ได้ฉุนเกินจนใครจะจำหรือรู้สึกได้ง่าย ๆ

หัวใจฉันไหวไปวูบหนึ่ง

...พระเจ้า...ผู้ชายคนนั้นเป็นตัวอันตรายชัด ๆ



ฉันจำได้ว่าไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์กับเขา แต่การให้น้องสาวเขาก็คงคล้าย ๆ กับการให้พี่ชายด้วย เด็กสาวสองคนคงขายฉันให้พี่ชายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาบอกชัดเจนเมื่อฉันเอ่ยรับโทรศัพท์

“เบอร์เธอมีราคาเกือบหมื่น”

“อะไรนะคะ”

“เบอร์หมิงเยว่...” เขาทอดเสียงนุ่ม ขณะที่ฉันตัวชาวาบกับชื่อนั้น ไม่กี่คนหรอกที่จะเรียกชื่อจีนฉันอย่างอ่อนหวานขนาดนั้น “ยายสองแสบขอเฟอร์บี้คนละตัว แลกกับเบอร์โทรศัพท์เธอ”

“อ้อ...” ฉันทำเสียงรับรู้ “แล้วเฮียจ่ายทำไมล่ะคะ”

“ถ้าไม่จ่าย...เฮียจะได้คุยกับเธออย่างนี้หรือ”

“ทำไมไม่ถามเองตั้งแต่วันนั้นล่ะคะ”

“ไม่อยากให้เธอตกใจ แค่นั้นเธอก็ไม่ไว้ใจเฮียแล้วไม่ใช่หรือ” เขาคาดเดาปฏิกิริยาฉันได้ถูกต้อง เพราะเขาฉลาดเกินไป หรือฉันตื่นตูมเองกันแน่นะ

ฉันสูดลมหายใจยาว หลุบตาลงอย่างอ่อนใจก่อนตัดสินใจถาม “ก็เฮียน่าไว้ใจไหมล่ะคะ...หนูขออนุญาตถามชัด ๆ เถอะ เฮียไม่ได้คิดจะจีบหนูใช่ไหม”

เขาเงียบไปครู่ เป็นอึดใจที่น่าอึดอัด ฉันอาจเคยเอ่ยคำถามนี้กับใครหลายคน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่แย่ที่สุด ผู้ชายคนนี้มีบรรยากาศของมังกรสมชื่อเขานั่นล่ะ ภาพเขายังติดตาฉัน ร่างสูงสง่าแม้อยู่ในเสื้อผ้าธรรมดา ดวงตาคมเฉียง มุมปากหยักรั้น ตำราดูโหงวเฮ้งคงทายทักลักษณะเขาควรเป็นยอดคน คนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำโดยแท้ และฉันรู้...ฉันมักจะหลงใหลในตัวคนแบบนี้ ฉันรักบรรยากาศของมังกร แต่ไม่ใช่...ไม่ใช่วันที่ฉันมีเรื่องราวมากมายอยู่เต็มหัวใจ

ไม่ใช่วันที่หัวใจฉันยังไม่เสถียร ยังเซซัดด้วยภาพของใครอีกคน

“ใช่...” เขาตอบในที่สุด “เฮียตั้งใจจะจีบเธอ”

ฉันนิ่งงัน ซึมซับเอาเสียงที่เอ่ยตอบนั้นเข้าไปให้หัวใจพองฟูอย่างชื่นบาน...ฉันอยากรัก ผู้ชายคนนี้!

“ขอโทษนะคะ...สารภาพตามตรงว่าหนูเพิ่งอกหัก และไม่พร้อมจริง ๆ สำหรับความรัก...ไม่ว่าจริงหรือลวง”

“เฮียไม่ได้เร่งร้อน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ คล้ายไม่แยแสต่อความเป็นไปของโลก ไม่ใช่เพราะไม่ใส่ใจ แต่เพราะรู้ว่าทุกอย่างจะหมุนไปตามที่เขาต้องการต่างหาก

ฉันคลี่ยิ้ม “ค่ะ...เฮียไม่เร่ง 3 วันกำลังเหมาะสำหรับการพูดคุยหลังพบกัน แต่ไม่เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะคุยกัน”
คราวนี้เขาทำเสียงในคออย่างประหลาดใจให้ฉันยิ้มได้บ้าง ความร้ายกาจของฉันคือ ถึงฉันจะรักบรรยากาศของมังกร แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าหากริจะผงาดเคียงมังกร ก็ต้องเป็นหงส์ที่มีสมองให้เขายอมรับ

“ใจคอเฮียจะจีบหนู ทั้งที่มีคุณนางแบบฮ่องกงอยู่ทั้งคนน่ะหรือคะ” ฉันเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจบ้าง ใครใช้ให้ม๊าเขามาบ่นเรื่องสาว ๆ ของลูกชายที่บ้านฉันล่ะ “คิดจะจีบหนูตามใจคุณป้า...ดูไม่สมเป็นเฮียเล้งเลยนะคะ”

เขาเงียบไปครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ แล้วฉันก็ยื่นข้อเสนอ

“เราเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะค่ะ มันสวยงามกว่านะ”

“เฮียไม่อยากจูบน้องสาว” ฉันชะงักไปครู่ หัวใจเต้นประหลาดเหมือนมีผีเสื้ออยู่ในอก แต่ยังฝืนหัวเราะเบา ๆ

“ให้น้องจูบเฮียแทนไหมคะ” เขากล้าเล่น ฉันก็กล้าลอง นิสัยอวดดีเป็นคุณสมบัติที่ไม่ควรจะมีในตัวผู้หญิง แต่พระเจ้าประทานมันมาให้ฉันจนล้น

“เอาสิ...เธอไม่ทำหรอก หมิงเยว่” เขาบอกเสียงเรียบ “กลับไปคิดดี ๆ เฮียรู้ว่าเธอมีเรื่องในใจ แต่เฮียว่าไม่มีใครเหมาะกับเฮียเท่าเธอ”

“เฮียคงเป็นผู้เลือกจนชิน ทำไมไม่คิดว่าจะต้องเป็นผู้ถูกเลือกบ้างล่ะคะ” ฉันอดหมันไส้ไม่ได้จริง ๆ

เขาหัวเราะอีกครั้ง “ลองดูสิ...เฮียจะเป็นตัวเลือกให้เธอคนเดียวล่ะ”

“ฝันดีหมิงเยว่...”

“คงดีล่ะค่ะ...ถ้าไม่มีมังกรเกเรเข้าไปหลอนในฝัน” ฉันบอกก่อนตัดสัญญาณไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดประหลาดในใจ

หัวใจฉันพองฟูไปครู่ใหญ่กับคำของเขา แต่สมองบอกให้รู้ถึงความจริงบางอย่างที่ฉันไม่อาจวางลงไปได้ ด้วยฐานะที่ฉันยืนอยู่ ทุกอย่างเหมาะสมลงตัวกับเขาราวกิ่งทองใบหยก มารดาเขาเองเคยออกปากทาบทามขอฉันไว้ครั้งหนึ่ง หากไม่เพราะม๊าขอเวลาให้ฉํนเรียนจบเสียก่อน ฉันคงได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเขาไปแล้ว

มันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความเหมาะสมที่จะคล้องเราไว้ด้วยกัน

ถ้าจะผูกพัน ก็คงไม่ใช่หัวใจ...แต่เป็นสัญญา

ฉันเหนื่อยเกินไปแล้วกับเรื่องราวของความรัก เหนื่อยมากจนหยาดน้ำตาใส ๆ ร่วงรินจากปลายหางตา กลืนเก็บทุกความเจ็บเอาไว้แล้วปล่อยให้สายลมพัดพาความทรงจำให้จางหาย

ได้โปรด...เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉันจะเข้มแข็งขึ้นกว่านี้

-------
ส่งครึ่งแรกมารับเดือนแห่งความรักก่อนนะคะ
คิดถึงบ้านสิรินดาค่ะ



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2556, 18:51:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2556, 18:51:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1875





<< บางบทตอน...ละครรัก   เพียงใจในสายลม(ครึ่งหลัง) >>
sumiya 5 ก.พ. 2556, 19:14:35 น.
คราวนี้จะหวานหรือจะขมคะเนี่ยคุณไอซ์ เดาทางไม่ถูก
รออ่านครึ่งหลังนะคะ:)


sai 5 ก.พ. 2556, 20:42:01 น.
คิดถึงคุณไอซ์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


หมีสีชมพู 5 ก.พ. 2556, 23:44:07 น.
ขอตอนจบแบบแฮปปี้นะคะ


คิมหันตุ์ 6 ก.พ. 2556, 01:32:05 น.
คิดถึงคุณไอซ์และเรื่องสั้นมากๆ ค่ะ


nateetip 6 ก.พ. 2556, 07:34:59 น.
แค่ครึ่งก็สนุกจนอยากอ่านจนจบแล้วค่ะ..รอนะคะ


pattisa 6 ก.พ. 2556, 08:54:42 น.
ชอบพระเอกอ่ะ


yayee62 6 ก.พ. 2556, 15:26:45 น.
พระเอกมาแนว เท่ห์ๆ ดิบๆ แกมบังคับนิดส์ น่ารักค่ะ จบแฮปปี้มะเนี่ย


Thananya 8 ก.พ. 2556, 17:23:31 น.
ชอบคำพูดพระเอกนางเอกและการบรรยายเรื่องมากค่ะ


grazioso 12 ก.พ. 2556, 06:36:22 น.
คิดถึงพี่ไอซ์มากค่าาาาา ดีใจที่ได้อ่านผลงานพี่ไอซ์อีก :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account