ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 8
วันรุ่งขึ้นเมลิอานาร์ถูกเคาะประตูปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางมีเวลาเก็บข้าวของเพียงไม่ถึงอึดใจก่อนจะถูกลากไปยังรถม้าซึ่งจอดซ่อนอยู่แล้วในดงไม้ข้างวิหาร เจ้าชายกันนาร์ทรงยัดแส้หนังใส่มือนาง พร้อมกับตรัสกำชับฝากฝังเอลลี่เสียมากมาย ราวกับว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจะเดินทางไปสู่สนามรบมากกว่าจะเดินทางไปตามหาตัวช่างทำอัญมณี เมลิอานาร์จ้องมองแส้หนังในมือสลับกับพระพักตร์เจ้าชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจแกมฉุน ...นี่นางต้องทำหน้าที่เป็นทั้งสารถีและองครักษ์ไปพร้อมกันทีเดียวหรือ
หญิงสาวเดินหน้ามุ่ยไปนั่งประจำที่คนขับ ในขณะที่แม่สาวใช้ประจำวิหารค่อยๆ ก้าวขึ้นนั่งบนเบาะนุ่มในประทุนรถด้านหลังด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจเป็นพิเศษ เมื่อทั้งคู่เข้าประจำที่เรียบร้อย เจ้าชายกันนาร์ก็โบกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ออกเดินทางได้ รถสีน้ำตาลคันเล็กเทียมด้วยม้าเพียงตัวเดียวจึงถูกกระตุ้นให้แล่นเรียบไปตามถนนปูอิฐ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นกำแพงปราสาท ปัญหาแรกก็มาเยือนเสียแล้ว
ทหารยามหน้าตาขึงขังในเครื่องแบบสีเทาไม่ยอมให้รถม้าที่มีนักบวชแปลกหน้าเป็นสารถีแล่นผ่านซุ้มประตูโค้งไปง่ายๆ พวกเขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดรถ
“จะไปไหนแต่เช้าขอรับท่านนักบวช” นายทหารซัก “แล้วในรถนั่นมีใครอยู่หรือเปล่า”
เมลิอานาร์ตอบคำถามไปตามจริง หากดูเหมือนทหารยามจะยังไม่พอใจ เขาใช้ด้ามหอกกระทุ้งประตูรถเสียงดังพลางออกคำสั่ง
“เฮ้ แม่หญิงที่นั่งอยู่ในรถน่ะ เยี่ยมหน้าออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
สิ้นเสียงของทหารผู้นั้น ม่านข้างหน้าต่างรถก็ถูกแหวกออกเป็นช่องด้วยปลายหอก คนในรถตวัดฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งๆ พร้อมกับเบียดตัวเองให้แนบผนังข้างตัวรถมากยิ่งขึ้น
“ไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกให้เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหน่อย”
ทหารยามส่งเสียงเรียก หากไม่ได้รับคำตอบ ทุกอย่างในรถยังคงเงียบกริบ
“แม่หญิง ได้ยินข้าหรือเปล่า กรุณาเยี่ยมหน้าออกมาหน่อย”
คราวนี้คนถามใช้ด้ามหอกเคาะประตูรถเสียงดัง นักบวชหนุ่มจึงต้องเป็นฝ่ายตอบเสียเอง
“แม่หญิงในรถนางไม่ค่อยสบายน่ะท่าน ข้าคิดว่านางคงนอนหลับอยู่เลยไม่ได้ยินที่ท่านสั่ง ถ้าท่านอยากดูหน้านางจริงๆ ข้าจะลงไปเปิดประตูให้”
นายทหารหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งอย่างลังเล ในที่สุดเขาก็ยอมถอยออกห่างจากตัวรถ โบกมือเป็นสัญญาณให้คนขับพารถม้าผ่านประตูไปได้
คนในประทุนรถลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง เสียงล้อรถบดถนนและเสียงฝีเท้าม้าที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนสามารถเอนกายพิงพนักได้ดังเดิม
“เป็นอะไรของเจ้าน่ะเอลลี่ ทำไมไม่ทำตามที่ทหารคนนั้นสั่ง” เมลิอานาร์ร้องถามมาจากที่นั่งคนขับ หลังจากพารถม้าแล่นห่างจากปราสาทลินเด็นเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว
“ไม่เห็นจำเป็นนี่ ถึงไม่ทำตาม พวกนั้นก็ปล่อยให้เราผ่านประตูออกมาอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
“แล้วมันเหตุผลอะไรกันที่เจ้าต้องขัดคำสั่งพวกทหาร หรือว่าที่ลินเด็นมีกฎห้ามหญิงรับใช้เดินทางออกนอกปราสาท เจ้าถึงให้ทหารเห็นตัวไม่ได้” น้ำเสียงของคนถามฟังดูก็รู้ว่าประชด
เอลเบอเรธอมยิ้ม รู้สึกสนุกที่จะได้ยั่วเจ้าหนุ่มคนขับให้หัวเสีย เขารู้ตั้งแต่เห็นหน้าหงิกๆ ของหมอนั่นแล้วว่าเมลไม่เต็มใจที่จะให้เขาร่วมทางมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตัวว่าจะต้องทำหน้าที่เป็นสารถีในขณะที่เขาได้นั่งสบายอยู่ในรถ ชายหนุ่มนึกอยากจะเห็นหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ยิ่งนัก ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยของหมอนั่นคงจะเป็นประกายกล้าราวกับมีไฟลุกอยู่ข้างในเลยทีเดียว
“ข้าอาจจะตกใจละมั้งท่านนักบวช เหตุผลข้อนี้พอจะทำให้ท่านอภัยให้ข้าได้หรือไม่”
นักบวชหนุ่มไม่ตอบ มีเพียงเสียงแส้หวดกระทบหลังม้าเบาๆ ดังแทรกอยู่ในความเงียบสงบของยามเช้า เอลเบอเรธฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแม้จะไม่มีใครเห็น...แค่นึกถึงใบหน้าหงุดหงิดของหมอนั่นก็ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นเวลากี่ปีแล้วหนอที่เขาไม่ได้ย่างเท้าออกนอกเขตกำแพงหนาที่ล้อมรอบปราสาทลินเด็นเอาไว้ ครั้งสุดท้ายที่เขาขี่ม้าออกจากปราสาทดูเหมือนจะเป็นเมื่อสี่ปีก่อน วันนั้นเป็นวันแรกของฤดูร้อนที่เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังป่าแทรี่ เพื่อเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ซึ่งจะดำเนินไปตลอดสัปดาห์ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มันกะทันหันเสียจนไม่มีใครทันคิดเฉลียวใจว่าจะเป็นแผนการอันแยบยลที่มีผู้ใดผู้หนึ่งวางเอาไว้ล่วงหน้า ทันทีที่เขาไปถึงก็ได้รับแจ้งข่าวว่าราชาอีริคผู้เป็นบิดาถูกลูกธนูล่าสัตว์ของสหายคนหนึ่งเข้าจนได้รับบาดเจ็บ บาดแผลนั้นไม่หนักหนาอะไรนักในทีแรก แพทย์หลวงเองก็รับรองแข็งขันว่าพระองค์จะหายดีและกลับมาแข็งแรงดังเดิมในเร็ววัน ทว่าในฤดูหนาวปีนั้นเองราชาอีริคก็สิ้นพระชนม์ แพทย์หลวงลงความเห็นว่าพระองค์ทรงถูกวางยาพิษ และพิษนั้นเป็นพิษที่ร้ายแรงมาก กว่าจะแสดงอาการให้ปรากฏก็สายเกินที่จะเยียวยารักษาเสียแล้ว
ราชาหนุ่มถอนใจยาวพลางสะบัดศีรษะไล่ความคิดชวนหดหู่ออกไปจากสมอง เอื้อมมือไปแหวกม่านหน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก ทิวทัศน์ของกรีนแลนด์ยังคงงดงามเหมือนเช่นเดิม แนวสีครามสลับซับซ้อนของเทือกเขาอัลมาร์ยังคงดูน่าเกรงขามไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือตัวเขาเอง
นับตั้งแต่ราชาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ภาระหน้าที่ต่างๆ ที่พระองค์เคยปฏิบัติก็โถมทับลงบนบ่าทั้งสองข้างจนเขาแทบจะแบกรับไม่ไหว เอลเบอเรธจำต้องละทิ้งอารมณ์สนุกคะนองแบบเด็กวัยรุ่นไปเสียสิ้นแล้วหันมาทุ่มเทสมองและพลังกายทั้งหมดเท่าที่มีให้กับการปกครองบ้านเมือง จนแทบจะไม่เหลือเวลานึกถึงตัวเอง ความอยู่รอดของประเทศและประชาชนชาวกรีนแลนด์นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาจะต้องคำนึงถึง
ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เจือกลิ่นหอมของดอกไม้ข้างทางเข้าปอดด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาระที่ต้องแบกรับไว้ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา จะทำให้เขาลืมความรู้สึกรื่นรมย์ในชีวิตไปเสียสนิท เขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าทุ่งหญ้าในกรีนแลนด์ที่เคยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในวัยเด็กนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน หรือดอกไวโอเลตที่เขาเคยโปรดปรานมีสีสันเช่นไร ต้องขอบคุณน้องสาวตัวยุ่งของกันนาร์ที่ช่วยให้เขาได้มีโอกาสกลับมามองดูสิ่งสวยงามเหล่านี้อีกครั้ง ถ้านางไม่คิดจะหาเรื่องตามเจ้าหนุ่มเมลไปถึงเมืองลัสเตอร์สโตนละก็ ป่านนี้เขาคงต้องทนแต่งตัวเป็นผู้หญิงแอบซ่อนอยู่ในวิหารเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องแสร้งทำเป็นนอนป่วยอยู่บนเตียงทั้งวัน
บางทีเขาน่าจะหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับไปฝากนางสักชิ้น...
จวนค่ำแล้ว แสงแดดจ้าย่ามบ่ายเริ่มเลือนลับลงหลังภูผา ทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นหมู่บ้านและทุ่งนาแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้และป่าโปร่งจนดูราวกับว่าถนนทั้งสายถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดเขียวครึ้มของธรรมชาติ เสียงสายลมไกวใบไม้ก่อให้เกิดท่วงทำนองเพลงแห่งพฤกษา ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ท้องฟ้ากว้างเบื้องบนถูกอาบย้อมด้วยแสงสุดท้ายของวันจนกลายเป็นสีชมพูอมส้มไปทั้งผืน บรรยากาศโดยรอบงามสงบชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
“ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว ข้าว่าเราควรหยุดพักสักที เจ้าว่ายังไงเอลลี่” เสียงคนขับตะโกนแหวกความเงียบถามมาจากด้านหน้ารถ
“ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อยมีกระท่อมล่าสัตว์ตั้งอยู่ เราจะพักกันที่นั่นคืนนี้” ชายหนุ่มตอบกลับไป
อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะมืดจนมองอะไรไม่เห็น เมลิอานาร์จึงหวดแส้ลงบนหลังม้าเต็มแรง เร่งให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพื่อให้ถึงกระท่อมที่ว่าในขณะที่ยังพอมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หลงเหลืออยู่
ไม่นานนักรถม้าก็แล่นมาหยุดสนิทอยู่บริเวณลานเรียบริมแม่น้ำควินส์ติดกับชายป่าแทรี่ อันเป็นเสมือนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นดาโกที่ตั้งของเมืองหลวงกับแคว้นอังมาร์ ที่นี่มีกระท่อมล่าสัตว์สร้างด้วยปีกไม้ตั้งกระจายอยู่หลายหลัง แต่ละหลังมีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างมานานด้วยฤดูล่าสัตว์ประจำปีของกรีนแลนด์ผ่านพ้นไปแล้ว
เอลเบอเรธเปิดประตูก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะหยิบห่อเสบียงอาหารสำหรับสองคนซึ่งผู้เป็นสหายจัดเตรียมเอาไว้ให้ติดมือมาด้วย ส่วนเจ้าหนุ่มคนขับก็จัดการจุดไฟในตะเกียงหน้ารถ ก่อนจะปลดมันลงมาถือไว้ในมือ พลางเหลียวมองไปรอบกาย
“กระท่อมพวกนี้เป็นของใครกัน”
“กระท่อมล่าสัตว์ของพ่อข้าเอง”
ชายหนุ่มตอบแล้วเดินนำไปยังกระท่อมหลังใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เขาผลักประตูด้านหน้าให้เปิดออกโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ก่อนจะเบือนหน้ามาอธิบาย
“กระท่อมพวกนี้ไม่เคยปิดล็อก”
คนเดินตามหลังทำหน้าพิศวง “พวกเจ้าไม่กลัวของหายเลยหรือ”
“ของของพ่อข้า ไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก”
สภาพภายในกระท่อมหลังนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลยสักนิด โต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ในห้องโถงกว้างยังคงจัดวางอยู่ในตำแหน่งเดิม โคมไฟทองเหลืองเหนือโต๊ะก็มีเทียนไขแท่งใหม่ปักเรียงเป็นระเบียบ กองฟืนข้างเตาผิงที่ไม่เคยจุดยังคงกองอยู่สูงเท่าเดิม แม้ว่าจะถูกปิดทิ้งร้างเอาไว้นานแล้วแต่สภาพที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าชายชราผู้มีหน้าที่ดูแลกระท่อมล่าสัตว์ขององค์ราชายังปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เอลเบอเรธเดินไปยังตู้ไม้เล็กๆ มุมห้องค้นอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับจานและแก้วดีบุก เขาวางห่อเสบียงและของทั้งหมดลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยชวน
“หิวหรือยังท่านนักบวช ข้าว่าเราลงมือกันเลยดีกว่า”
“เลิกเรียกข้าว่านักบวชได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่”
คนในชุดนักบวชตอบเสียงห้วนขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับอีกฝ่าย เอื้อมมือไปรับส่วนแบ่งอาหารมื้อค่ำโดยไม่เกี่ยงงอน
เอลเบอเรธชักจะรู้สึกเห็นใจเจ้าหนุ่มร่างผอมบางตรงหน้าขึ้นมานิดๆ เขาอาจจะแกล้งเจ้าหมอนี่หนักข้อไปหน่อย รูปร่างของเมลดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขาแต่กลับต้องออกแรงบังคับรถม้าให้เขานั่งสบายมาทั้งวัน ดูแล้วก็ออกจะเป็นการเอาเปรียบกันเกินไปจริงๆ
ความรู้สึกสำนึกผิดชั่ววูบบงการให้ชายหนุ่มใช้มีดเฉือนเนื้อหมูอบก้อนโตส่งให้คนตรงข้ามเพิ่มอีก
“กินเยอะๆ ท่านนักบวช พรุ่งนี้จะได้มีแรง”
ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยตวัดผ่านหน้าเขาไปราวกับจะค้อน เห็นแล้วทำให้เอลเบอเรธรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจชอบกล หมอนั่นกำลังไม่พอใจกับคำพูดของเขา
“ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่นักบวช”
ริมฝีปากสีสดของคนฟังคลี่ออกเป็นรอยยิ้มขบขัน
“ถ้าจะให้ข้าเลิกเรียกท่านว่านักบวช ท่านก็ต้องเลิกเรียกข้าว่าเอลลี่ด้วย”
“ทำไม”
“อ้าว ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนไงล่ะ ตกลงมั้ยท่านนักบวช”
“ไม่ให้เรียกชื่อ แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร” คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายอย่างฉงน
“เอล...เรียกข้าว่าเอลเฉยๆ ก็พอแล้ว ส่วนข้าก็จะเรียกท่านว่าเมล ดีไหม”
“ก็ได้”
ทั้งสองลงมือรับประทานอาหารค่ำอันได้แก่ขนมปังขาวกับหมูอบและเนยแข็งกันเงียบๆ มีเหล้าผลไม้หมักขวดเล็กที่เจ้าชายกันนาร์ไม่ลืมติดมาให้ด้วยช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร หลังจากอาหารค่ำมื้อนั้นผ่านพ้นไป เอลก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่อีกฟากหนึ่งของห้อง ปล่อยให้เมลทำหน้าที่เก็บโต๊ะตามลำพัง
ชายหนุ่มผลักบานประตูให้เปิดออก ก้าวเข้าไปในห้องกว้างซึ่งมีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นห้องแต่งตัวที่กั้นแบ่งเอาไว้ด้วยฉากไม้แกะสลักเป็นลวดลายละเอียดงดงาม ติดกันนั้นคือห้องอาบน้ำแยกออกมาเป็นสัดส่วน แม้เครื่องเรือนในห้องจะมีอยู่น้อยชิ้นและประกอบขึ้นอย่างง่ายๆ แต่สีของไม้ที่เสมอกันทุกแผ่นและฝีมืออันประณีตของช่างที่นำแผ่นไม้เหล่านั้นมาประกอบทีละชิ้นจนกลายเป็นโต๊ะ ตู้ เตียงเข้าชุดกันอย่างที่เห็น ทำให้ห้องนอนในกระท่อมล่าสัตว์หลังนี้ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“สวยจริง พ่อของเจ้าคงเป็นคหบดีที่รวยมากสินะ ขนาดกระท่อมกลางป่ายังจัดเสียหรูขนาดนี้” คนในชุดนักบวชที่เพิ่งเดินตามเข้ามาสมทบเอ่ยปากชม
“ท่านพ่อแค่ชอบความสวยงามมีระเบียบเท่านั้นแหละ” เอลตอบเสียงเรียบ
เขาถอดเสื้อคลุมเดินทางออกสะบัดไล่ฝุ่นแล้วนำไปแขวนไว้ที่หมุดทองเหลืองบนฝาห้อง ก่อนจะเดินย้อนกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่ม ตั้งท่าจะถอดรองเท้าเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเจ้าคนปัญหามากส่งเสียงถามขึ้นมาอีก
“ห้องนี้มีแค่เตียงเดียว แล้วเจ้าจะให้ข้านอนที่ไหน”
“ไม่เห็นยากนี่...เตียงออกจะกว้าง ข้าแบ่งให้ท่านนอนครึ่งหนึ่งก็ได้”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไป ชายหนุ่มจึงเอ่ยสำทับต่อ
“คิดมากอะไรอีกล่ะท่านเมล หรือว่าท่านอยากจะนอนพื้นในฐานะที่เป็นสุภาพบุรุษก็เอา”
“เรื่องอะไร ข้าขับรถม้ามาทั้งวันเหนื่อยจะตาย ธุระอะไรจะยอมนอนพื้น”
เอลอดหัวเราะกับประโยคที่สวนขึ้นมาแทบจะทันทีของคนตัวเล็กกว่าไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นท่านจะมัวลังเลอะไรอีก ข้ารับรองว่าไม่ทำอะไรท่านแน่ๆ...ถ้าท่านกลัวข้อนั้นละก็นะ”
“ขอบใจที่บอก” เมลิอานาร์กัดฟันตอบ แล้วหมุนตัวกลับตั้งท่าจะเดินย้อนออกประตูไป
“อ้าว จะไปไหนล่ะ ข้าล้อเล่นแค่นี้ไม่เห็นจะต้องถึงกับหนีไปนอนข้างนอกนี่นา”
“มันเรื่องของข้า”
เมลิอานาร์กระแทกประตูปิดตามหลังโครมใหญ่
ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงทั้งๆ ที่เพิ่งย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น สายลมที่พัดผ่านรอยแตกของไม้เข้ามาในกระท่อมทำให้เจ้าของร่างบางที่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้สั่นสะท้าน จำต้องล้มเลิกความคิดบ้าๆ ที่จะนอนอยู่ในห้องโถงด้านนอกทั้งคืนไปเสียจากสมอง หญิงสาวขยับลุกจากเก้าอี้ ย่องเงียบกริบไปที่ประตูห้องนอน แล้วค่อยแง้มมันให้เปิดออกโดยไร้เสียง
ในห้องค่อนข้างมืด เคราะห์ดีที่คืนนี้ดวงจันทร์ไม่ถูกเมฆบัง แสงนวลที่ทอลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างจึงช่วยให้หญิงสาวพอจะคลำทางไปยังเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่ชิดฝาห้องด้านในสุดได้ไม่ยาก นางหยุดยืนเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังแม่สาวตัวใหญ่ที่ทอดร่างอยู่บนเตียง เอลลี่ ไม่ใช่สิ เอลเองก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับนาง แม้จะมีร่างกายที่สูงใหญ่จนดูคล้ายผู้ชายไปหน่อย แต่นั่นก็ยังเป็นร่างกายของผู้หญิง แล้วนางยังจะต้องคิดมากอะไรอีกในเมื่อเตียงนอนก็กว้างพอสำหรับสองคนแถมยังมีผ้าห่มอุ่นอีกทั้งผืน เรื่องอะไรจะต้องไปทนนอนหนาวอยู่ข้างนอกทั้งคืนเพื่อรักษาเกียรติของสุภาพบุรุษ ในเมื่อนางเองก็ไม่ใช่บุรุษสักหน่อย
เมลิอานาร์ชะโงกหน้าไปจนเกือบจะชนกับใบหน้าคมเข้มของคนบนเตียง จริงดังคาด แม่สาวรางยักษ์หลับสนิทไปแล้ว เสียงลมหายใจของนางดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในความมืด หญิงสาวตัดสินใจสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มบนเตียงนอนฝั่งที่ยังว่างอยู่ สัมผัสของที่นอนนุ่มช่วยให้ร่างกายอันเหนื่อยล้ารู้สึกผ่อนคลายลง นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเป็นสุข ตั้งท่าจะหลับให้สบาย ทว่าจู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของคนที่หลับไปแล้วก็ดังขึ้นข้างหู
“ข้านึกว่าท่านจะนอนอยู่ข้างนอกทั้งคืนเสียอีก”
เมลิอานาร์แทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันที หากคนข้างๆ เอื้อมมือมากดไหล่เอาไว้เสียก่อน
“เอาเถอะ นอนด้วยกันบนนี้นั่นแหละ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ข้าเองก็ง่วงเต็มทีแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
พูดจบแม่สาวร่างยักษ์ก็พลิกกายไปอีกทางแล้วหลับตาเงียบ ทิ้งให้อีกฝ่ายนอนตัวแข็ง ตาค้าง ไม่กล้ากระดุกกระดิกร่างกายอยู่อย่างนั้นอีกนาน จนกระทั่งเกือบค่อนรุ่งจึงได้ผล็อยหลับไป...
แสงแดดอุ่นยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกที่ปราศจากผ้าม่านทั้งสองบาน ปลุกชายหนุ่มร่างสูงบนเตียงนอนให้ตื่นขึ้นก่อน เขาลุกลงจากเตียงหายเข้าไปหลังฉากกั้นครู่ใหญ่ ก่อนจะกลับออกมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเมื่อวันวานโดยสิ้นเชิง เอลเบอเรธค้นพบชุดเก่าของผู้เป็นบิดาในหีบหนังหุ้มทองเข้าหลายชุด จึงจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากกระโปรงยาวกรอมเท้าที่สวมตอนลอบออกจากปราสาท เป็นเสื้อเชิ้ตไหมเนื้อนิ่มและกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ถึงแม้ตัวเสื้อจะคับไปสักนิดและขากางเกงจะสั้นไปสักหน่อย ก็ยังดีกว่าจะให้เขาแต่งชุดผู้หญิงไปอวดคนทั้งเมืองล่ะน่า
ชายหนุ่มเดินย้อนกลับมาหยุดอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง ตั้งใจจะปลุกคนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เตรียมตัวออกเดินทางต่อ ทว่าพอรู้สึกตัวเขากลับพบว่าตนเองมัวแต่จ้องมองใบหน้าหล่อจัดจนเรียกได้ว่าสวยของฝ่ายนั้นเพลินอยู่ ใบหน้าในห้วงนิทรารมณ์ของเมลช่างดูเหมือนผู้หญิงจนน่าพิศวง เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลทองซึ่งปกติจะถูกมัดรวบไว้เบื้องหลังแผ่กระจายอยู่เต็มหมอนขับเน้นวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาของหมอนั่นให้ดูงามเด่นขึ้นมาอย่างประหลาด คิ้วโค้งได้รูปวางอยู่อย่างเหมาะเจาะเหนือดวงตาที่พริ้มปิด แลเห็นแพขนตางอนหยับทอดทาบไปบนนวลแก้มใส รับกับจมูกโด่งคมได้สัดส่วนและริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆ ราวกับจะเชิญชวน มันทำให้เขาอดนึกไปถึงนิทานปรัมปราเรื่องที่เจ้าชายพระองค์หนึ่งปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นจากคำสาปชั่วร้ายของแม่มดด้วยจุมพิตไม่ได้
เอลคงจะเผลอโน้มกายลงเพื่อกระทำสิ่งเดียวกับเจ้าชายพระองค์นั้นไปแล้ว ถ้าสำนึกในใจของเขาจะไม่ร้องเตือนขึ้นเสียก่อน มันน่าโมโหตัวเองพิลึกที่ดันไปคิดเปรียบเทียบผู้ชายคนหนึ่งกับเจ้าหญิงในนิทานได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกเก้อกระดาก ก่อนส่งเสียงกระแอมหนักๆ เพื่อปลุกเจ้าคนนอนขี้เซาให้ตื่นขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางต่อสักที
เมลิอานาร์ใช้เวลาไม่นานนักจัดการกับธุระส่วนตัว พอเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินตรงไปยังรถม้าซึ่งจอดทิ้งไว้หน้ากระท่อม พบเอลยืนยิ้มแป้นรออยู่ก่อนแล้ว เสื้อเชิ้ตไหมและกางเกงขายาวที่แม่สาวร่างยักษ์สวมอยู่ทำให้ดูแตกต่างจากวันวานราวกับเป็นคนละคน พอแต่งกายแบบนี้เอลก็ยิ่งดูเหมือนผู้ชายเข้าไปใหญ่ บางทีอาจจะเหมือนยิ่งกว่าคนที่โดนเข้าใจผิดมาตลอดทางว่าเป็นผู้ชายอย่างนางเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงเอลจะสลัดกระโปรงยาวรุ่มร่ามทิ้งไปแล้ว เจ้าตัวก็ยังคงรักษาสิทธิของการเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้นคนที่ต้องทำหน้าที่สารถีจึงยังคงเป็นหญิงสาวตามเดิม
การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างลำบากและหนักแรงกว่าวันวาน เมลิอานาร์ต้องบังคับรถม้าให้แล่นตัดเข้าไปในป่าแทรี่ซึ่งมีเพียงทางดินแคบๆ ขรุขระขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้าง รถม้าจึงเคลื่อนที่ไปได้ไม่เร็วนักและต้องหยุดพักอยู่บ่อยครั้งเพื่อกำจัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมากีดขวางเส้นทาง กว่าคนทั้งคู่จะล่วงพ้นเขตป่าเข้าสู่พื้นที่ราบโล่งอันเป็นที่ตั้งของแคว้นอังมาร์ก็ปาเข้าไปค่อนวัน
แคว้นอังมาร์เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติและเหมืองทองคำหลายสิบแห่ง ครอบคลุมอาณาเขตด้านทิศเหนือของกรีนแลนด์ไปจนถึงทิศตะวันออกบางส่วน มีเทือกทิวสูงเสียดฟ้าของภูเขาทวิสต์และภูเขาอัลเป็นปราการมั่นคงตามธรรมชาติ เลยพ้นทิวเขาทั้งสองออกไปคือผืนดินกว้างไพศาลของประเทศทาเนียร์
ลัสเตอร์สโตนเป็นหนึ่งในเมืองทั้งห้าของแคว้นอังมาร์ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสำคัญสองสายคือแม่น้ำลัสต์ และแม่น้ำควินส์น้อยซึ่งไหลผ่านป่าวิเวกบริเวณชายแดนเลยเรื่อยเข้าไปในเขตประเทศทาเนียร์ แม้จะเป็นเมืองที่มีขนาดเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ลัสเตอร์สโตนก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ด้วยเป็นแหล่งการค้าอัญมณีที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับประเทศกรีนแลนด์มาช้านาน
เมื่อรถม้าสีน้ำตาลคันเล็กแล่นเข้าสู่เขตเมืองลัสเตอร์สโตน ดวงอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว โชคดีที่ในตัวเมืองมีที่พักสำหรับคนเดินทางให้เช่าอยู่หลายแห่ง เอลจึงตกลงใจเลือกที่พักขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นก่อด้วยอิฐฉาบปูนขาวดูหรูหรา ตั้งอยู่ใกล้กับลานน้ำพุบริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง สนนราคาที่พักตกคืนละพันเกรนซึ่งเมลิอานาร์รู้สึกว่าแพงเหลือเกิน แต่ในเมื่อนางไม่ต้องเป็นคนจ่ายเงินหญิงสาวก็เลยไม่ได้ว่าอะไร พอได้เวลาแยกย้ายเข้าสู่ห้องพัก เมลิอานาร์ก็ตรงรี่ไปที่เตียงนอนแล้วหลับเป็นตายไปทันทีที่ร่างกายอันเหนื่อยล้าสัมผัสกับที่นอนนุ่มหอมสะอาด
รุ่งเช้า..หลังจากจัดการกับธุระส่วนตัวและอาหารเช้าที่มีหญิงรับใช้นำมาเสิร์ฟให้จนถึงห้องนอนเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวในคราบของนักบวชหนุ่มจึงค่อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง นางก้าวออกมานอกอาคารที่พัก จ้องเป๋งไปยังถนนด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ
เมื่อคืนตอนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ถนนทุกสายในเมืองลัสเตอร์สโตนล้วนมืดมิดเงียบเชียบ แม้แต่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองที่ตามปกติมักจะมีผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนดึกดื่นก็ยังเงียบสงัดราวกับเป็นเมืองร้าง ทว่าในเช้าวันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด
ถนนทั้งสี่สายตลอดจนบริเวณลานกลางซึ่งมีน้ำพุรูปเทพแห่งท้องสมุทรตั้งตระหง่านอยู่ ถูกประดับประดาด้วยธงผืนยาวและช่อดอกไม้สดหลากสีสันส่งกลิ่นหอมรวยริน สองฟากถนนเต็มแน่นไปด้วยแผงขายสินค้าใหญ่น้อยละลานตา ผู้คนที่ไม่รู้ว่าหลั่งไหลมาจากไหนเดินเลือกชมสินค้าอยู่ขวักไขว่ จนดูราวกับว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อคืนก่อนเป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ก็ความฝันเท่านั้น
“ยืนเหม่ออะไรอยู่ท่านเมล ทำไมไม่ออกเดินสักที”
เสียงห้าวทุ้มที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นข้างหูทำเอาหญิงสาวเกือบสะดุ้ง นางหันไปตำหนิเจ้าของเสียงด้วยสายตา ก่อนจะก้าวลงไปบนถนนปูหินหน้าที่พัก ออกเดินปะปนไปกับชาวเมืองคนอื่น
“คนเยอะชะมัด ข้านึกว่าลัสเตอร์สโตนจะเป็นเมืองที่สงบกว่านี้เสียอีก”
เสียงบ่นเบาๆ ของนางทำให้คนที่เดินตามหลังมาติดๆ อดหัวเราะไม่ได้
“ปกติลัสเตอร์สโตนก็เป็นอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลขายสินค้า คนก็เลยมากหน่อย” เขาอธิบาย
“เทศกาลขายสินค้า”
“ใช่ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี ชาวบ้านที่ทำงานในเหมืองจะนำสินค้าที่พวกเขาหาได้มาวางขาย รวมทั้งพวกช่างทำเครื่องประดับมือสมัครเล่นด้วย ท่านสนใจจะเข้าไปดูสักหน่อยมั้ยล่ะ”
“ไม่ละ เรามีงานต้องทำ ข้าไม่อยากเสียเวลา”
“เถอะน่าท่านเมล ไหนๆ ก็มาถึงเมืองแห่งอัญมณีในช่วงเทศกาลทั้งที แวะดูหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่”
เอลไม่พูดเปล่า เขาก้าวพรวดสองทีก็แซงหน้าคนที่เดินนำอยู่ก่อนได้อย่างสบาย แถมยังหันกลับมาคว้าข้อมือเล็กบางของนักบวชหนุ่ม ฉุดให้ตามไปหยุดอยู่หน้าแผงขายเครื่องประดับกระจุกกระจิกที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดเสียอีกด้วย
หญิงชราเจ้าของแผงเห็นลูกค้าพุ่งพรวดเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าก็ยิ้มแก้มปริ กุลีกุจอเลื่อนถาดใส่เครื่องประดับที่มีทั้งแหวน ต่างหู สร้อยคอ ตลอดจนเข็มกลัดเสื้อคลุมหลากหลายแบบไปตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจยิ่ง
“เชิญเลือกชมดูได้ตามสบายเลยค่ะ นี่เป็นเครื่องประดับฝีมือลูกชายข้าเอง ราคาไม่แพงหรอกค่ะรับรอง นายท่านไม่คิดจะซื้อไปฝากคนรักสักชิ้นหรือคะ”
“นั่นสินะ...”
ชายหนุ่มคนที่ตัวใหญ่กว่าก้มลงหยิบเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มจากในถาดขึ้นมาพลิกดู แล้วหันไปถามนักบวชร่างบางที่ยืนหน้าหงิกอยู่ข้างๆ
“ท่านล่ะ ไม่ซื้อเครื่องประดับไปฝากสาวคนรักสักชิ้นหรือ”
“ข้าไม่มีคนรัก แล้วก็ไม่สนใจจะซื้อของพวกนี้ด้วย ถ้าเจ้าอยากจะซื้อเครื่องประดับไปฝากเจ้าชายกันนาร์ก็ซื้อไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
“อ๊ะ แปลก... หนุ่มรูปหล่ออย่างท่านยังไม่มีคนรัก เป็นไปได้ยังไง...” เอลพูดกลั้วหัวเราะ หากแล้วเสียงหัวเราะก็กลืนหายไป ตามมาด้วยอาการย่นหัวคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวมองหน้าคนที่กล่าวประโยคเมื่อสักครู่อย่างฉงนแกมหาเรื่อง
“เดี๋ยวนะ แล้วทำไมข้าจะต้องซื้อเครื่องประดับให้กันน์ด้วย”
“อ้าว เจ้าไม่อยากจะซื้อของไปฝากคนรักบ้างหรอกหรือ”
“คนรัก?” ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย พอรู้ความนัยที่แฝงเร้นอยู่ในประโยคนั้น ผิวละเอียดค่อนข้างขาวก็แดงซ่านจากใบหน้าตลอดถึงลำคอ
“ข้ากับกันน์ไม่ได้...อะไรทำให้ท่านคิดบ้าๆ แบบนั้นท่านเมล...”
“ก็ข้าเคยเห็นเจ้าชายลอบเข้าไปในวิหารตอนค่ำเพื่อพบกับเจ้า อย่างนี้ไม่ใช่คนรักแล้วจะเรียกว่าอะไร”
คำตอบที่ได้ยินชัดเจนทำเอาคนเป็นราชาแทบสำลัก หมอนี่เห็นเขาตอนแต่งเป็นผู้หญิงยังไม่พอ ดันแอบไปเห็นตอนอยู่กับกันนาร์ที่วิหารเสียอีก ...เจ้าบ้ากันนาร์ ไหนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีใครเห็นแน่นอนไงล่ะ กลับไปถึงลินเด็นเมื่อไหร่เขาจะต้องไล่เตะเจ้าเพื่อนสนิทคนนี้ให้สมแค้นสักที
“กันนาร์เป็นสหายของข้า” ราชาหนุ่มกัดฟันตอบ “ได้ยินมั้ยท่านเมล เราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเลิกคิดอกุศลได้แล้ว”
คนในชุดนักบวชยิ้มกริ่มพยักหน้าเสมือนรับรู้ หากสิ่งที่ปรากฏออกมาทางดวงตาสีน้ำเงินสดใส บ่งบอกว่านางไม่เชื่อคำแก้ตัวที่ได้ยินแม้แต่คำเดียว
“เพื่อนก็เพื่อนสิ ข้าไปว่าอะไรเจ้าล่ะ ไม่เห็นต้องทำท่าโกรธขนาดนั้นนี่นา เอ๊ะ หรือว่าเจ้าจะเขินกันแน่”
“หยุดพูดได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะโมโหท่านขึ้นมาจริงๆ”
เมลิอานาร์ยักไหล่ นางรู้แล้วว่าจุดอ่อนของแม่สาวร่างยักษ์ผู้นี้คืออะไร
“ตกลง ข้าไม่พูดก็ได้ เจ้าจะซื้ออะไรฝากใครก็ตามใจเถอะ แต่อย่านานนักล่ะ เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ”
“ข้าไม่ซื้อแล้ว”
ชายหนุ่มกระแทกต่างหูทับทิมสีแดงจัดรูปหยดน้ำที่ตั้งใจจะซื้อไปฝากเจ้าหญิงกาอิยาห์คืนลงในถาดเครื่องประดับแล้วทำท่าจะผละจากไป หากหญิงชราเจ้าของแผงพยายามยื่นแหวนทองคำขนาดเล็กประดับพลอยสีน้ำเงินอมเขียวทอประกายระยับมาตรงหน้าเขา พร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาวิงวอน
“อย่าเพิ่งไปสิคะนายท่าน ท่านไม่ซื้อต่างหูก็ไม่เป็นไรแต่แหวนพลอยน้ำทะเลสีเข้มหายากวงนี้ท่านไม่ควรมองข้ามมัน ได้โปรดชมดูสักนิดเถอะค่ะ สีของพลอยเข้ากับสีดวงตาของนายผู้ชายท่านนี้เหลือเกิน ไม่ลองชมดูก่อนหรือคะ”
เอลเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ หากคนในชุดนักบวชเหลือบมองแหวนทองคำวงน้อยประดับพลอยสีเขียวเข้มอมน้ำเงินสดใสราวกับสีของท้องทะเลยามคลื่นลมสงบ ในมือเหี่ยวย่นของหญิงชราอย่างใช้ความคิด ที่จริงก็ไม่เลวนักหรอกถ้าจะต้องซื้อแหวนสักวง หากมันจะทำให้นางทุ่นเวลาในการตามหาตัวช่างทำเครื่องประดับชื่อดังคนนั้นได้
หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองหน้าคนขายแล้วยื่นข้อเสนอทันที
“เอาอย่างนี้แล้วกันท่านป้า ถ้าท่านตอบคำถามที่ข้าต้องการรู้ได้ เราจะซื้อแหวนของท่าน”
“คำถามอะไรหรือคะ ถ้าตอบได้ข้าก็ยินดี”
“ท่านรู้จักช่างทำเครื่องประดับที่ชื่อ ริช ไคลี่หรือเปล่า”
“อ๋อ” หญิงชราลากเสียงยาว ดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกายสดใส “รู้จักค่ะท่านนักบวช ท่านไคลี่เป็นช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีที่สุดของหมู่บ้านเรา”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน ท่านป้าพอจะทราบมั้ย”
“บ้านของเขาอยู่ใกล้ๆ หอระฆังค่ะ พวกท่านเดินไปตามถนนสายนี้จนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึง”
“ขอบคุณท่านป้ามาก แหวนของท่านราคาเท่าไหร่”
“สี่พันห้าร้อยเกรนค่ะ”
หญิงชรารีบห่อแหวนวงน้อยด้วยกระดาษเยื่ออย่างดีแล้วยื่นส่งให้นักบวชหนุ่มซึ่งเอื้อมมือมารับไว้ ก่อนจะหันไปยัดห่อกระดาษนั้นใส่มือคนข้างกายอีกต่อหนึ่ง
“แหวนเป็นของเจ้าแล้ว จ่ายเงินให้นางด้วย”
“อะไรกัน ท่านเป็นคนตกลงกับนาง ท่านก็จ่ายเองสิ...” คนที่หลวมตัวยืนฟังนักบวชหนุ่มสนทนาโต้ตอบกับแม่ค้าชราอยู่เป็นนานโวยลั่นที่จู่ๆ จะต้องมาจ่ายค่าแหวนราคาแพง หากเจ้าคนต้นคิดไม่ได้อยู่รอฟังเสียงโวยเสียแล้ว หมอนั่นเผ่นแผล็วหายเข้าไปในฝูงชนตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้อ้าปากด้วยซ้ำ เอลจึงจำต้องควักถุงเงินออกมาอย่างเสียไม่ได้ เขาหยิบเหรียญทองในถุงส่งให้หญิงชราโดยแทบจะไม่ได้นับ แล้วรีบสาวเท้าตามเพื่อนร่วมทางตัวแสบไปทันที
ชายหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตาฝ่าฝูงชนที่กีดขวางอยู่ข้างหน้ามองหาเจ้าของร่างผอมบางในชุดยาวรุ่มร่ามสีเทาเงิน ...เจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหนไวชะมัด... เขายังคิดไม่ทันจบก็พอดีมองเห็นเมลยืนยิ้มกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ข้างทางเหมือนกำลังรออยู่ ท่าทางสบายอกสบายใจไม่ทุกข์ร้อนของหมอนั่นดูแล้วขัดตาชายหนุ่มยิ่งนัก
“ท่านนี่มันน่า...จริงๆ”
เมลิอานาร์ยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน นางขยับออกเดินไปตามทิศทางที่หญิงชราคนขายแหวนชี้บอก ปากก็พูดไปเรื่อยๆ
“ใจเย็นๆ น่าเอล เจ้าจะโมโหไปทำไม เราได้ทั้งแหวนได้ทั้งที่อยู่ของริช ไคลี่ ไม่ดีหรือไงหา”
“แล้วใครว่าข้าอยากได้แหวนไม่ทราบ”
“ถ้าไม่อยากได้ เจ้าโยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง”
เอลหยิบแหวนออกมาจากห่อกระดาษแล้วตั้งท่าจะขว้างมันทิ้งตามคำแนะนำจริงๆ หากคนแนะนำหันมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบร้องห้ามเสียงหลง
“เฮ้ยยย เจ้าจะบ้าเหรอเอล แหวนราคาตั้งสี่พันห้าร้อยเกรน คิดเป็นค่าเช่าห้องพักได้ตั้งหลายคืน เจ้าจะทิ้งจริงๆ น่ะ”
“ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากได้”
เมลถอนใจเฮือก แล้วเสนอทางออกใหม่
“เจ้าก็เก็บไว้ให้คนอื่นๆ อย่างเจ้าช...เอ่อ..ใครก็ได้นี่”
“งั้นให้ท่านก็แล้วกัน ถือว่าเป็นค่าจ้างที่ท่านอุตสาห์เดินทางจากแลมพ์ตันมาเพื่อช่วยพวกเรา” ชายหนุ่มยื่นมือที่กำแหวนออกมาตรงหน้า ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ข้าไม่ต้องการค่าจ้างจากเจ้า ที่ข้ามานี่ก็เพราะเจ้าหญิงไม่ใช่เพราะเจ้าสักหน่อย”
“ยื่นมือมาเดี๋ยวนี้ท่านเมล”
คนในชุดนักบวชยังคงเฉย ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนออกคำสั่งนิดหนึ่งพลางถอนใจอีกเฮือก
“จะต้องให้ข้าพูดตรงๆ หรือเอลลี่ แหวนพลอยสีเหมือนดวงตาของเจ้าอย่างนี้ ข้าเห็นแล้วมัน... เอ่อ... ขนลุกน่ะ เจ้าเก็บเอาไว้ให้คนอื่นดีกว่า”
ราวกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่จวนหรี่ดับให้กลับโหมฮือขึ้นมาใหม่ สีหน้าของเอลเบอเรธกระด้างเย็นชาไม่ผิดอะไรกับหน้ากากเหล็ก ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียววาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับเขามาก่อน แล้วเจ้าหนุ่มชาวแลมพ์ตันผู้นี้กล้าดียังไง
ชายหนุ่มคว้าไหล่รั้งร่างของคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้า พลางเอ่ยถามเสียงกร้าว
“ท่านจะยื่นมือมารับแหวนไปดีๆ หรือต้องให้ข้าสวมให้”
“ก็ได้ ก็ได้” คนในชุดนักบวชยกสองมือขึ้นเสมอไหล่ในท่ายอมแพ้ ...ที่จริงแหวนวงนั้นก็สวยดีอยู่หรอก พลอยน้ำทะเลสีเข้มจัดหายากอย่างนี้ หากท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตได้มาเห็นเข้าเป็นต้องกรี๊ดกร๊าดแน่นอน ดีเหมือนกันเวลาที่นางกลับบ้านจะได้มีของไปกำนัลผู้เป็นมารดา ...เผื่อท่านผู้หญิงจะบ่นน้อยลงอีกหน่อย
หญิงสาวแบมือออกมาตรงหน้า
“ส่งมาสิ”
ดูเหมือนเอลจะรอจังหวะอยู่แล้ว พอเห็นอีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว เขาก็คว้ามือข้างซ้ายของหมอนั่นขึ้นมาสวมแหวนให้ โดยไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตนสวมแหวนลงบนนิ้วไหน แค่เห็นคนตรงหน้าชักมือกลับด้วยสีหน้าตกใจก็เพียงพอแล้ว ความรู้สึกขุ่นมัวในใจของเขาดูเหมือนจะมลายหายไปจนเกือบหมด ...หากไปเกาะติดอยู่กับคนในชุดนักบวชแทน
“ทำอะไรของเจ้าน่ะเอล” เมลิอานาร์จ้องหน้าคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาขุ่นเขียว
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่า...”
หญิงสาวชะงักคำพูดไว้แค่ปลายลิ้น ก้มลงมองดูมือซ้ายของตนด้วยความเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีให้คนตรงหน้าจนได้ พลอยสีน้ำทะเลบนนิ้วนางทอประกายระยิบระยับราวกับกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ หญิงสาวสะบัดมือไปตรงหน้าแม่สาวร่างยักษ์ด้วยท่าทางโกรธจัด
“ถอดมันออกเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะอภัยให้กับความไม่รู้ของเจ้า”
คนได้รับคำสั่งยืนยิ้มเฉยอยู่ในหน้า ทำไมเขาจะไม่รู้ธรรมเนียมประหลาดของชาวแลมพ์ตัน ในเมื่อบิดาของเขาเองเป็นผู้สวมแหวนแห่งพันธะไว้ที่พระดัชนีข้างซ้ายของราชาซาเรียเมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์ทรงทำข้อตกลงทางทหารร่วมกัน เขารู้ดีเชียวละ แล้วยังรู้อีกด้วยว่าแหวนที่สวมลงบนนิ้วมือข้างซ้ายของชาวแลมพ์ตันเปรียบเสมือนสัจจะสัญญาที่ต้องรักษา ผู้ถูกสวมแหวนจะไม่มีสิทธิ์ถอดแหวนออกเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ที่สวมแหวนให้ นอกเสียจากกว่าสัจจะสัญญานั้นจะถูกกระทำให้สำเร็จลุล่วงหรือถูกยกเลิกเป็นโมฆะ
“ข้าจะไม่ถอดแหวนให้ท่าน จนกว่างานจะสำเร็จ” ชายหนุ่มตอบ
“เจ้ารู้...” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจจนเกือบจะลืมความโกรธไปชั่วขณะ
“เจ้ารู้เรื่องแหวนแห่งพันธะ”
เอลพยักหน้ารับ
“ใช่ ข้ารู้ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนี่ ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ของข้า ไม่ใช่นิ้วนาง”
“สำหรับข้าจะนิ้วไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ท่านอย่าใช้ลูกไม้ตื้นๆ มาหลอกให้ข้าถอดแหวนเสียให้ยาก ข้าไม่มีทางหลงกล”
เอลพูดแล้วก็ผายมือไปที่ถนน เป็นการบอกให้อีกฝ่ายออกเดินทางต่อสักที
เมลิอานาร์ได้แต่ยืนกัดฟันกรอดจ้องหน้าแม่สาวใช้ร่างยักษ์อย่างแสนแค้น เคราะห์ดีที่เอลลี่ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงจะได้เห็นเลือดของชาวกรีนแลนด์กันมั่งหรอก หญิงสาวทิ้งสายตาอาฆาตไว้ที่ร่างสูงใหญ่ผิดผู้หญิงของคนตรงหน้า หันหลังขวับ ก้าวเดินดุ่มๆ ไปตามถนนโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
เอลมองตามร่างบางที่เดินนำลิ่วห่างออกไปด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนต้องผิวปากออกมาเป็นเพลง ไม่ใส่ใจกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองทั้งหลายที่เดินผ่านไปผ่านมา ชายหนุ่มขยับออกเดินตามหลังคนในชุดนักบวชไปช้าๆ ไม่รีบร้อน ขืนเร่งความเร็วเหมือนตามหาวัวหายอย่างเจ้าหมอนั่น กว่าจะถึงบ้านของช่างทำอัญมณีชื่อดังเป็นได้หมดแรงก่อนพอดี เมื่อนึกถึงอาการสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปของหนุ่มหล่อรายนั้นแล้ว เอลก็ต้องส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เรื่องแค่นี้เอง เจ้าหมอนั่นกลับทำงอนตุ๊บป่องเป็นผู้หญิงไปได้ ...แปลกแท้ๆ เชียว
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.พ. 2556, 08:35:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.พ. 2556, 08:48:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 1703
<< ตอนที่ 7 | ตอนที่ 9 >> |
ชลวารี 7 ก.พ. 2556, 11:06:18 น.
ถ้ารู้ความจริงว่านางเอกเราเป็นผู้หญิง จะทำไงกับแหวนเอ่ย
กลับไป น่าจะมีล้อเลียนของเจ้าหญิงองค์น้องบ้างแหละ
รอตอนต่อไปค่ะ
ถ้ารู้ความจริงว่านางเอกเราเป็นผู้หญิง จะทำไงกับแหวนเอ่ย
กลับไป น่าจะมีล้อเลียนของเจ้าหญิงองค์น้องบ้างแหละ
รอตอนต่อไปค่ะ
ชลวารี 7 ก.พ. 2556, 11:06:45 น.
ตอนนี้น่ารักจังเลยค่ะ
ตอนนี้น่ารักจังเลยค่ะ
angelK 8 ก.พ. 2556, 08:40:12 น.
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ