ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9

ปีนี้ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแลมพ์ตันเร็วกว่าปกติ ใบไม้บนยอดเขาเริ่มเปลี่ยนสีให้เห็นบ้างแล้ว แต่ผู้คนที่คฤหาสน์โรสอคาเซียกลับไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความงามของธรรมชาติ เพราะมัวแต่วิ่งวุ่นตามหาเลดี้เมลิอานาร์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนหน้าวันหมั้นเพียงวันเดียว ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตถึงกับเป็นลมล้มพับไปหลายตลบตอนที่รู้ข่าว พิธีหมั้นที่จัดเตรียมไว้พรักพร้อมต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย คนงานชายถูกส่งออกไปตามหาเลดี้เมลิอานาร์อย่างลับๆ ตามสถานที่ที่นางชอบไปทุกแห่ง แต่ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาว

เกลรามือจากการกวาดเศษใบไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนอยู่หน้าคฤหาสน์ เหม่อมองออกไปนอกถนน ด้วยความหวังว่าคุณหนูของนางจะควบม้าลอดซุ้มประตูเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่ก็ต้องผิดหวังตามเคย ผ่านไปหกวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าพวกที่ออกไปตามหาจะพบตัวเลดี้เมลิอานาร์ ผู้คนในตลาดเริ่มซุบซิบถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น อีกไม่นานก็คงจะลือกันไปทั้งเมืองจนทราบถึงพระกรรณของเจ้าชายเอเดรียน ถึงตอนนั้นชะตากรรมของโรสอคาเซียจะเป็นอย่างไร เกลไม่อยากจะคิด

เสียงฝีเท้าม้าควบเป็นจังหวะดังมาจากสุดถนนซึ่งเป็นทางโค้ง เกลตาลุก ทิ้งไม้กวาดลงกับพื้นแล้ววิ่งไปชะเง้อดูถึงหน้าประตูใหญ่ เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงฝีเท้าของม้าเพียงตัวเดียวแสดงว่าไม่ใช่ม้าของพวกที่ออกไปตามหาเลดี้สาว ส่วนคนอื่นๆ ในเมืองหลวงก็นิยมไปไหนมาไหนกันด้วยรถม้ามากกว่า หรือว่า...

ความหวังเริ่มเรืองรองขึ้นในหัวใจของแม่สาวใช้วัยรุ่น

ม้าสีน้ำตาลตัวงามชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งอยู่ตรงทางเดินหน้าคฤหาสน์โอ่อ่าสีเหลืองหม่น มันสะบัดหัวพลางพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ก่อนจะก้มลงเล็มหญ้าอ่อนที่ขึ้นแซมอยู่ระหว่างแผ่นหิน คนบนหลังม้าก้มลงมองแม่สาวน้อยที่ยืนทำตาโตอ้าปากค้างขวางทางอยู่

“สวัสดี”

เขากล่าวพร้อมกับโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ เส้นผมหยิกสลวยสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแสงแดดเป็นประกายมันเลื่อมราวกับเส้นไหม

“ข้ามาพบนายของเจ้า ช่วยหลีกทางให้หน่อยได้มั้ย”

เกลพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตะลึงมองชายหนุ่มรูปงามบนหลังม้า ความหวังที่เพิ่งจะฉายแสงขึ้นในใจของนางเมื่อครู่ไม่เพียงแต่วูบดับลงเท่านั้น หากมันเพิ่งถูกแทนที่ด้วยเงาดำทะมึนของลางร้ายสดๆ ร้อนๆ เดี๋ยวนี้เอง

“เอ้า..ไม่หลบก็ไม่เป็นไร”

เจ้าชายเอเดรียนตวัดร่างลงจากหลังม้าแล้วยื่นสายบังเหียนส่งให้แม่สาวใช้ที่ยืนเก้ๆ กังๆ จะหลีกทางก็ไม่ใช่ จะขวางทางก็ไม่เชิง ก่อนจะสาวพระบาทตรงไปยังอาคารหลังใหญ่เบื้องหน้า

เกลยืนมองสายบังเหียนที่ถูกยัดเยียดใส่มืออย่างงงงัน กว่านางจะตั้งสติได้ โอรสองค์ที่สองของราชาซาเรียก็เสด็จถึงประตูคฤหาสน์แล้ว

ต้องรีบไปเตือนคนในบ้าน...

นั่นคือสิ่งแรกที่นางคิดออก

แต่ต้องจัดการกับเจ้าตัวตรงหน้านี่ก่อน...

เกลออกแรงฉุดเจ้าม้าตัวโตจนสุดกำลัง แต่ไม่ว่าจะพยายามทั้งดึงทั้งลากอย่างไรม้าทรงของเจ้าชายเอเดรียนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนจากที่ ในที่สุดแม่สาวใช้ก็ต้องยอมแพ้ นั่งแปะลงกับพื้นหินอย่างหมดสิ้นทั้งเรี่ยวแรงและความหวัง

เจ้าชายเอเดรียนทรงเคาะห่วงทองเหลืองกับประตูไม้สองสามครั้ง ไม่นานนักบานประตูสีน้ำตาลเข้มก็เปิดออก จีน่าสาวใช้โผล่ใบหน้าอ่อนเยาว์ประดับรอยยิ้มใสของนางออกมาต้อนรับผู้เป็นแขก

“เชิญข้...” เสียงของแม่สาวใช้ขาดหายไปพร้อมๆ กับสีโลหิตบนใบหน้า ปากของนางอ้าค้างก่อนจะขยับขึ้นลงคล้ายจะอุทานคำว่า ‘เจ้าชาย’ แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ

“ข้าบังเอิญขี่ม้าผ่านมาแถวนี้พอดี เลยว่าจะมาสนทนากับท่านหัวหน้าองครักษ์สักหน่อย” เจ้าชายแย้มพระสรวลให้แม่สาวใช้

จีน่าขยับถอยห่างจากประตูเพื่อเปิดทางให้เจ้าชายเอเดรียนก้าวเข้ามาในห้องโถง แต่ยังคงยืนขวางหน้าพระองค์เอาไว้ไม่ยอมนำเสด็จไปที่ห้องรับรองอย่างที่ควร

“เอ่อ นะ..นายท่าน..มะ..ไม่อยู่เพคะ” นางกราบทูลตะกุกตะกัก

“เหรอ งั้นข้าขอพบท่านอาก็ได้”

“ท่านผู้หญิงป่วยเพคะ...เพิ่งจะนอนหลับไปเมื่อสักครู่นี่เองเพคะ”

เจ้าชายหรี่พระเนตรมองแม่คนรายงาน

“แล้วเมลล่ะ หวังว่านางคงไม่ได้ออกไปไหนนะ”

“มะ...ไม่ได้ออกเพคะ...” จีน่ารีบปฏิเสธปากคอสั่น นางเหลียวมองไปรอบห้องโถงคล้ายจะหาคนช่วย แต่เจ้ากรรม ไม่มีใครอยู่แถวนั้นสักคนเดียว นางจึงต้องหาทางเอาตัวรอดไปทั้งน้ำขุ่นๆ เท่าที่กำลังสมองยามตื่นตระหนกจะนึกออก

“คือ...คุณหนู..เอ่อ..คุณหนูก็ป่วยเหมือนกันเพคะ”

“ป่วย?”

“เพคะ”

จีน่าบิดมือไปมาอย่างอึดอัด นึกภาวนาขอให้เจ้าชายทรงเชื่อในคำโกหกของนางแล้วรีบเสด็จกลับวังหลวงไปเสีย ทว่าพระองค์ยังคงปักหลักซักต่ออย่างไม่ย่อท้อ พระพักตร์ที่เคยแย้มละไมอยู่เป็นนิจเริ่มขมวดบึ้งอย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก

“ป่วยเป็นอะไร”

แม่คนถูกถามทำหน้าราวกับจะร้องไห้

“มะ..ไม่ทราบ..เอ๊ย..เป็นไข้เพคะ เป็นไข้หนักมาก คงออกมาเข้าเฝ้าไม่ได้หรอกเพคะ”

“หนักขนาดนั้นเชียวหรือ”

“เพคะ”

“ดี ถ้างั้นข้าจะไปพบนางเอง เจ้าช่วยนำทางให้ด้วย”

จีน่ามองผู้พูดตาค้าง พร้อมกันนั้นก็นึกอยากจะเป็นลมไปเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องเผชิญชะตากรรมที่ยังไม่รู้ว่าจะเลวร้ายถึงขั้นไหนในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

แม่สาวใช้เดินนำเจ้าชายหนุ่มขึ้นบันไดไปชั้นบนสู่ห้องกว้างตรงสุดทาง นางค่อยๆ ผลักบานประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออกอย่างไม่เต็มใจ ห้องนอนของเลดี้เมลิอานาร์ที่ปรากฏแก่สายตายังคงมีสภาพเช่นเดียวกับตอนที่เจ้าของเพิ่งจากไปทุกประการ สายลมเย็นภายนอกพัดพรูผ่านประตูระเบียงที่เปิดทิ้งไว้กว้างพาให้ม่านโปร่งบางรอบเตียงนอนปลิวสะบัดเป็นครั้งคราว ภาพที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าทอสีขาวสะอาดเรียบตึงปราศจากรอยยับจึงปรากฏแก่สายตาผู้มาเยือนอย่างถนัดถนี่ เตียงสี่เสานั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน ‘เป็นไข้หนัก’ ตามที่แม่สาวใช้รายงาน

เจ้าชายเอเดรียนหยุดอยู่แค่บานประตูพลางกวาดสายพระเนตรสำรวจห้องนอนของว่าที่คู่หมั้นจนทั่ว

“นึกแล้วเชียว”

พระองค์บ่นพึมพำพลางถอนพระทัยหนักหน่วง ก่อนจะหันไปคาดคั้นเอากับแม่คนนำทางที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างกาย

“นางหนีไปแล้วใช่มั้ย”

จีน่าตาตกลงมองพื้น เพียงแค่นั้นเจ้าชายเอเดรียนก็ทรงเดาได้ว่าคำตอบคืออะไร พระองค์ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ทว่าสายลมที่พัดเข้ามาทำให้ชายผ้าม่านแหวกออกเป็นช่องพอดี จดหมายฉบับน้อยที่หล่นอยู่ตรงจึงปรากฎแก่สายพระเนตร เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรกระดาษสีขาวแผ่นน้อยบนพื้นนิ่งอยู่อึดใจก็สาวพระบาทเข้าไปหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกอ่าน




บ้านของช่างทำเครื่องประดับชื่อดังแห่งเมืองลัสเตอร์สโตนเป็นบ้านสองชั้นแบบโบราณ ก่อด้วยก้อนศิลาสีเทาอ่อน มีบานหน้าต่างกรุกระจกใสแจ๋วในกรอบไม้สีน้ำตาลเข้มกระจายอยู่โดยรอบ เหนือขึ้นไปคือหลังคาสีส้มแดงและปล่องไฟทรงเหลี่ยมสีเดียวกันมองเห็นได้ชัดเจนแต่ไกล หน้าบ้านมีแปลงดอกไม้เล็กๆ ชูช่อบานสะพรั่งอวดสีสันสดใสรับแสงแดดอุ่นยามเช้า

เมลิอานาร์เดินผ่านแปลงดอกไม้ตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านแล้วหยุดยืนรอโดยไม่ลืมหันไปส่งสายตาเขียวปัดให้คนตัวโตผิดผู้หญิง ที่ยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายก้าวเพราะมัวแต่เดินทอดน่อง

“ถ้าเจ้าขืนชักช้าอย่างนี้ ข้าจะเข้าไปคนเดียว” นางส่งเสียงขู่มาตามสายลม

เอลเร่งฝีเท้าจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มหน้าสวยในชุดนักบวชซึ่งมีความสูงเพียงแค่หัวไหล่ของเขา รอยยิ้มบางๆ จุดขึ้นบนเรียวปากงามได้รูปเมื่อเห็นลาดไหล่กะทัดรัดภายใต้ผ้าเนื้อหนาสีเทาเงินเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะตามแรงหอบหายใจ

“เหนื่อยละซีท่าน ก็ไม่รู้จะรีบเดินไปทำไมนี่น้า ยังไงบ้านมันก็ไม่หนีไปไหนหรอก เดินช้าๆ ก็ถึงเหมือนกัน” เขาอดที่จะกระเซ้าไม่ได้

เมลิอานาร์หันขวับ คราวนี้แม้แต่เสียงที่พูดก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสีเขียวไปด้วย

“ข้าจะเดินยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ราชาหนุ่มหัวเราะหึๆ ในลำคอพลางส่ายหน้า “อะไรกัน ข้าอุตสาห์หวังดีแท้ๆ ระวังนะเมล ท่านขี้โมโหแบบนี้แก่ตัวไปจะกลายเป็นตาแก่หัวล้าน”

“เอลลี่ นี่เจ้า...”

ประตูไม้หนาหนักถูกผลักให้เปิดออกจากด้านในทันเวลาพอดี สงครามย่อยๆ ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นจึงต้องปิดฉากลงโดยปริยาย

เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่าเอ็นดูจ้องมองชายหนุ่มรูปหล่อสองคนที่ยืนเถียงกันอยู่หน้าบ้านของนางด้วยสายตาพิศวง นางยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร ชายหนุ่มคนที่แต่งกายเหมือนนักบวชก็หันมายิ้มให้แล้วชิงพูดขึ้นเสียก่อน น้ำเสียงของเขาฟังอ่อนโยนนุ่มหู

“เรามาพบช่างทำเครื่องประดับชื่อริช ไคลี่ เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่าน้องสาว”

“อยู่ค่ะ” เด็กสาวตอบ “เชิญนายท่านทั้งสองเข้ามาข้างในก่อน”

สาวน้อยขยับหลีกทางให้ผู้เป็นแขกก้าวเข้ามาในตัวบ้าน แล้วเดินนำไปยังห้องด้านขวามือซึ่งมีชุดเก้าอี้หน้าตาขึงขังตั้งอยู่กลางห้อง

“นายท่านนั่งรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปตามท่านพ่อมาพบ” นางเอ่ยปากเชื้อเชิญ

เมลิอานาร์พึมพำคำขอบใจเบาๆ เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะหนานุ่มของเก้าอี้พนักโค้งสีน้ำตาลเข้ม ส่วนชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งยังยืนมองสำรวจมุมนั้นมุมนี้ในห้องเพลินอยู่

ห้องที่แม่สาวน้อยทิ้งพวกเขาเอาไว้มีขนาดไม่กว้างมากนัก พื้นปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้ม ผนังเป็นสีเทาอ่อนตามสีของหินที่ใช้ก่อสร้าง แม้จะดูน่าอึดอัดอยู่สักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับมืดทึบเนื่องจากมีบานหน้าต่างขนาดใหญ่ถึงสองบานเปิดให้แสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านเข้ามาได้ เหนือชุดเก้าอี้ที่เมลนั่งอยู่คือโคมไฟแขวนทำด้วยทองเหลืองขัดจนขึ้นเงาวับ อีกด้านของห้องที่อยู่ลึกเข้าไปตั้งโต๊ะไม้ตัวใหญ่วางม้วนกระดาษระเกะระกะปนเปไปกับขวดหมึกและปากกาขนนก มีภาพร่างแบบเครื่องประดับที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์วางแผ่อยู่หลายแผ่น รอบโต๊ะคือตะกร้าหวายใส่ม้วนกระดาษร่างแบบเต็มแน่นจนล้นออกมาที่พื้น ที่ผนังด้านหลังโต๊ะคือหิ้งไม้ต่ออย่างหยาบๆ อัดแน่นไปด้วยสมุดปกหนังเล่มโตนับสิบเล่ม

“ขอโทษที่ให้พวกท่านต้องรอนาน”

เสียงทุ้มต่ำดังมาจากประตูห้อง เรียกร้องให้ผู้เป็นแขกทั้งสองต้องหันไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายกลางคนศีรษะล้าน รูปร่างอ้วนท้วม แต่งกายแบบลำลองด้วยเสื้อทูนิคสีน้ำตาลยาวคลุมสะโพกและกางเกงรัดหน้าแข้งสีดำ มีเข็มขัดหนังสีเดียวกับกางเกงคาดต่ำเน้นพุงใหญ่ที่ยื่นโย้ออกมาราวกับผู้หญิงท้องสักเจ็ดเดือน

“ข้าคือริช ไคลี่” เขาเอ่ยแนะนำตัว

เอลมองช่างทำเครื่องประดับชื่อดังที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก จริงอยู่ว่าชายหนุ่มไม่เคยพบกับช่างทำเครื่องประดับมาก่อน จึงไม่รู้ว่าคนพวกนั้นควรจะมีลักษณะท่าทางอย่างไร แต่ริช ไคลี่ผู้นี้แตกต่างไปจากภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้ลิบลับชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าอันอวบอูมจนคางแทบจะกลืนหายไปกับลำคอ จมูกแบนกว้าง ดวงตายิบหยีเหมือนหมูที่ดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ แม้กระทั่งนิ้วมือทั้งสิบของชายกลางคนก็ยังใหญ่โตเทอะทะจนไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างสรรค์งานศิลปะอันประณีตละเอียดอ่อนใดๆ ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เอลก็สรุปได้คำเดียวว่าช่างทำเครื่องประดับผู้นี้ดูเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดเสียมากกว่า

ชายหนุ่มรอจนกระทั่งเขานั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้วจึงนั่งลงบ้าง

“พวกท่านมีธุระอะไรกับข้า” ชายร่างอ้วนเริ่มเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา ดวงตาเรียวเล็กมีแววเจ้าเล่ห์เหลือบมองผู้เป็นแขกทั้งสองคล้ายกำลังตีราคาวัตถุอะไรสักชิ้น

เมลิอานาร์รู้สึกไม่ชอบสายตาของชายหัวล้านผู้นี้เอาเสียเลย นางเกลียดนักเวลาที่ต้องถูกมองแบบประเมินค่าราวกับเป็นสิ่งของ แต่เพราะนี่เป็นงาน...งานที่จะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงตามพันธะบ้าๆ ที่ยัยเอลลี่สร้างขึ้นมานั่นแหละ หญิงสาวจึงได้แต่ข่มความรู้สึกขุ่นใจเอาไว้แล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด

“พวกเรามีเรื่องจะถามท่านสักหน่อย คงไม่รบกวนเวลาของท่านนานนัก”

ริช ไคลี่เหยียดริมฝีปากออกอย่างดูแคลน เขาคะเนแล้วว่าเจ้าหนุ่มแปลกหน้าสองคนนี้ไม่น่าจะใช่ลูกค้าของเขาจึงไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่มากนัก

“ข้ามีงานมากเหลือเกินท่านนักบวช ไม่มีเวลาตอบคำถามของใครทั้งนั้น ถ้าพวกท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อสั่งทำเครื่องประดับละก็ ข้าคงต้องขอตัว”

“เดี๋ยวก่อนสิครับท่านลุง”

เอลร้องห้ามพลางหยิบถุงเงินหนักอึ้งจากข้างเอวออกมาโยนเล่นเหมือนจะลองกะประมาณน้ำหนัก ปากก็พูดต่อไปเรื่อยๆ คล้ายไม่สังเกตเห็นประกายแห่งความโลภที่ฉายชัดออกมาทางดวงตายิบหยียามมองตามการเคลื่อนไหวของถุงผ้าสีดำในมือเขา

“พวกเราแค่ต้องการถามคำถามสั้นๆ สักสองสามข้อเท่านั้นเอง”

“ก็ได้” ชายอ้วนนั่งลงตามเดิม “แต่บอกไว้ก่อนนะว่าความจำข้าไม่ค่อยดี”

“นี่คงพอจะช่วยทำให้ความจำของท่านลุงดีขึ้นบ้าง”

ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองในถุงออกมาวางไว้ตรงหน้าผู้สูงวัยกว่าสองเหรียญ

ริช ไคลี่มองเหรียญทองคำสุกปลั่งบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย ท่าทางดูแคลนแบบเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างขวางแทบจะฉีกไปถึงใบหู เขาขยับขึ้นนั่งตัวตรงพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอาการเอางานผิดเป็นคนละคน

“นายท่านต้องการรู้เรื่องอะไร เชิญถามมาได้เลย”

คนในชุดนักบวชรีบหยิบตลับทองคำรูปไข่ยื่นไปตรงหน้าเจ้าของบ้าน

“งานชิ้นนี้ ท่านพอจะจำได้หรือไม่”

ชายกลางคนเอื้อมมืออวบอูมไปรับตลับทองคำฝังพลอยน้ำงามใบน้อยขึ้นมาพลิกดูอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าว่าจำได้

“นี่เป็นงานของข้าเอง พวกท่านได้มันมายังไง”

“พวกข้าได้มันมายังไงไม่สำคัญหรอกครับท่านลุง ท่านรู้แค่ว่าพวกข้าไม่ได้ขโมยมันมาก็พอแล้ว” เอลเอ่ยแทรกขึ้น

เจ้าของบ้านหัวเราะกลบเกลื่อนจนพุงกระเพื่อม

“แหมนายท่าน...ข้าก็ถามไปอย่างนั้นเองแหละ”

“แล้วท่านพอจะบอกได้มั้ยว่าคนที่สั่งทำตลับอันนี้เป็นใคร มาจากไหน” เมลิอานาร์ดึงการสนทนากลับมายังเรื่องสำคัญที่นางต้องการรู้อีกครั้ง

ริช ไคลี่ไม่ตอบ เขาทำเสมือนไม่ได้ยินสิ่งที่นางถาม ดวงตาเจ้าเล่ห์เหลือบมองไปยังถุงเงินในมือของชายหนุ่มผมทองก่อนจะเสมองไปทางอื่น

เอลจ้องหน้าชายเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกรังเกียจ ตาแก่อ้วนคนนี้นอกจากจะมีหน้าตาท่าทางเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดแล้วยังมีนิสัยโลภมากเหมือนกันไม่มีผิด ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นเสียงถอนหายใจด้วยความสมเพชเอาไว้ไม่ให้หลุดลอดออกมา ขณะหยิบเหรียญทองจากในถุงวางลงบนโต๊ะอีกหนึ่งเหรียญ

เสียงโลหะมีค่ากระทบพื้นไม้ดังกริ๊กเบาๆ เรียกร้องให้ช่างทำเครื่องประดับชื่อดังหันมามอง ดวงตายิบหยีเป็นประกายวาวอย่างพึงพอใจ แล้วคำพูดก็หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากอวบหนาของเขาราวกับทำนบแตก

“ขอโทษเถอะนะนายท่าน คนแก่ก็อย่างนี้แหละความจำไม่ค่อยดี แต่ข้าพอจะนึกออกแล้ว ตลับอันนี้มีนายทหารผู้หนึ่งว่าจ้างให้ข้าทำขึ้นพร้อมกับเครื่องประดับผมเข้าชุดกัน เขากำชับให้ข้าทำอย่างสุดฝีมือทีเดียวเพราะต้องการนำไปถวายแด่เจ้าชายและพระคู่หมั้น”

เอลหยิบเหรียญทองออกมาวางเพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญสำหรับคำถามต่อไป

“ท่านลุงพอจะจำได้มั้ยว่าทหารคนนั้นมีหน้าตาท่าทาง หรือว่าแต่งกายยังไง”

“เอ.. ดูเหมือนเขาจะสวมเครื่องแบบสีแดงมีสัญลักษณ์รูปดาวอยู่ที่อกเสื้อหรือยังไงนี่แหละ ข้าเองก็ชักจะลืมๆ ไปแล้ว”

เครื่องแบบทหารสีแดงปักสัญลักษณ์รูปดาว ...ในดินแดนแถบนี้มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ใช้เครื่องแบบดังกล่าว แม้ชายหนุ่มจะรู้ระแคะระคายมานานแล้วว่าราชาคาลอสแห่งทาเนียร์ต้องการยึดครองกรีนแลนด์ แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์จะถึงกับยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนี้

ยาพิษ!

ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมองของเอลราวกับสายฟ้าฟาด ...ราชาองค์ก่อนของกรีนแลนด์ก็ถูกลอบสังหารด้วยยาพิษเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า...

เสียงตั้งคำถามของคนในชุดนักบวชที่ดังอยู่แว่วๆ ดึงความคิดที่เตลิดไปของชายหนุ่มให้กลับมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง เขาฟังไม่ถนัดว่าเมลถามอะไรแต่ช่างทำเครื่องประดับส่งเสียงปฏิเสธดังลั่น

“โอ๊ยย...ที่อยู่กับชื่อของลูกค้าข้าคงบอกท่านไม่ได้หรอกท่านนักบวช”

เอลเลิกคิ้วน้อยๆ มองหน้าผู้พูดพลางขยับถุงผ้าในมือ เหรียญทองที่บรรจุอยู่ในนั้นกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ชายศีรษะล้านแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ยอมลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหลังโต๊ะทำงาน คว้าสมุดปกหนังเล่มโน้นเล่มนี้ลงมาเปิดดูอยู่สักพักก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งถือติดมือเดินอุ้ยอ้ายกลับมานั่งที่เดิม

“ที่จริงข้าไม่ควรทำแบบนี้เลย มันผิดกฎของพวกเรา”

“เอาเถอะน่าท่านลุง หากข้าไม่พูด ท่านไม่พูด แล้วใครจะรู้”

ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองอีกสองสามเหรียญยัดใส่มือข้างที่ยังว่างอยู่ของริช ไคลี่

สมุดถูกกางลงบนโต๊ะตรงหน้าคนทั้งสาม หนุ่มหล่อสองคนก้มลงดูภาพในนั้นอย่างสนใจจนศีรษะแทบจะชนกัน บนหน้ากระดาษสีเหลืองนวลมีรูปของตลับเจัาปัญหาและหวีสับสำหรับสตรีวาดเอาไว้เพียงคร่าวๆ ด้านข้างเป็นรายละเอียดชนิดของเพชรพลอยและจำนวนที่จะต้องใช้ ถัดลงมาบริเวณมุมขวาล่างซึ่งเป็นตำแหน่งที่ควรจะมีชื่อและที่อยู่ของลูกค้าเขียนเอาไว้ กลับมีเพียงตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกปรากฏอยู่สองบรรทัด อ่านได้ความว่า ‘มารับเอง’ และ ‘รีอา’

“อะไรกันนี่” เอลครางออกมาอย่างผิดหวัง “ไม่เห็นมีที่อยู่...ท่านหลอกเราหรือไง”

ชายกลางคนยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หลอก...แต่ลูกค้ารายนี้แปลกอยู่สักหน่อย เขาขอมารับของเอง แถมยังจ่ายเงินล่วงหน้าเต็มจำนวนเสียด้วย ข้าก็เลยไม่ได้จดชื่อที่อยู่ของเขาเอาไว้”

“แล้วคำว่า ‘รีอา’ นี่ล่ะ ไม่ใช่ชื่อของเขาหรอกหรือ”

นิ้วเรียวสวยราวกับลำเทียนของนักบวชหนุ่มชี้ลงตรงตัวอักษรบรรทัดที่สอง

“อ๋อ นั่นเป็นชื่อวิหารน่ะท่าน ข้าจดไว้กันลืมเพราะนายทหารคนนั้นบอกว่าจะให้นักบวชจากวิหารรีอามารับของแทน”

“นักบวช?” เอลขมวดคิ้ว ...นักบวชกับยาพิษ ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เหมาะเหม็งอะไรอย่างนี้

“ใช่ ท่านฟังไม่ผิดหรอก” ชายอ้วนหัวเราะพุงสั่นอีกหน “ตอนนั้นข้าก็ถามย้ำแบบเดียวกับท่านนี่แหละ แต่พอเอาเข้าจริง คนที่มารับของกลับกลายเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารเสียนี่ แปลกดีมั้ยล่ะ”

เมลิอานาร์ไม่ได้ฟังแล้วว่าเจ้าของบ้านจะพล่ามอะไรต่อไปหรือเอลจะถามคำถามอะไรเพิ่มเติมอีก ตอนนี้ในสมองของหญิงสาวนึกถึงแต่ชื่อของปฐมวิหารรีอา ท่านปราชญ์ผู้เป็นอาจารย์ของนางเคยเอ่ยถึงวิหารรีอาเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นจึงไม่แปลกเลยที่ริช ไคลี่จะเข้าใจผิด น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงของวิหารเก่าแก่ที่มีแต่นักบวชหญิงแห่งนี้

ในที่สุดนางก็พบคำตอบที่กำลังค้นหาสักที...



หลังจากซักถามช่างทำเครื่องประดับจนไม่มีสิ่งใดที่เขาจะบอกได้อีก คนทั้งคู่ก็ร่ำลาเจ้าของบ้านเพื่อกลับไปหารือกันต่อยังที่พัก ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะใช้เวลาอยู่ในบ้านของริช ไคลี่นานเกือบสี่ชั่วยาม เมื่อออกมายืนอยู่ภายนอก แสงแดดอ่อนอุ่นในตอนเช้าก็แผดกล้าขึ้นจนกลายเป็นแดดยามเที่ยงไปเสียแล้ว

เอลเริ่มรู้สึกว่าท้องไส้ชักจะออกอาการประท้วงเป็นระยะ ชายหนุ่มกวาดตามองร้านค้าแผงลอยข้างทางที่มีผ้าผืนใหญ่สีสดดาดแทนหลังคาบังแดด แลเห็นเป็นแนวยาวต่อเนื่องกันไปจนสุดถนนจรดกับจัตุรัสกลางเมือง สายน้ำพุเย็นฉ่ำกลางจัตุรัสสาดละอองฝอยกระทบเปลวแดดทอประกายสีรุ้งงดงามเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ ตามทิศทางของผู้มอง รอบลานน้ำพุมีแผงลอยขายผลไม้และร้านขายขนมปังอบใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย

“หาอะไรรองท้องกันก่อนดีมั้ยท่านเมล” เขาเอ่ยชวน

ไม่มีเสียงตอบ.. ดูเหมือนคนข้างกายกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้ยินคำถาม เอลพยายามส่งเสียงทำลายสมาธิของเพื่อนร่วมทางต่อไปอีกหลายประโยค แต่ฝ่ายนั้นยังคงมุ่นคิ้วเฉย ไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง

ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ถือวิสาสะคว้าไหล่บอบบางของเจ้าคนรูปหล่อที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างกายให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาก่อนจะถามเสียงห้วน

“นี่ท่านจะปล่อยให้ข้าพูดคนเดียวอีกนานแค่ไหน”

เมลิอานาร์สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของแม่สาวร่างยักษ์ด้วยอาการตกใจ ดวงตาสีน้ำเงินวาววับขึ้นมาทันทีอย่างเอาเรื่อง

“ทำอะไรของเจ้าน่ะ”

“ข้าต่างหากต้องเป็นฝ่ายถาม” ชายหนุ่มปล่อยมือจากไหล่ของคนตรงหน้า เปลี่ยนเป็นท่ายืนกอดอกเอียงคอมอง กึ่งฉุนกึ่งสงสัย “ท่านเป็นอะไรไป ข้าเรียกตั้งหลายคำยังไม่ได้ยิน”

หญิงสาวในคราบนักบวชหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าชื้นเหงื่อราวกับจะลบร่องรอยเคร่งเครียดเมื่อสักครู่ให้จางหาย น้ำเสียงที่เอ่ยตอบอ่อนลงเล็กน้อย

“ขอโทษที ข้ามัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“มีเรื่องอะไรให้ท่านต้องคิดนักหรือไง”

“มีก็แล้วกันน่า” หญิงสาวสะบัดเสียงตอบ “ตาลุงคนนั้นให้ข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามาบ้างเหมือนกัน”

ราชาหนุ่มเลิกคิ้วเข้มหนาของตนขึ้นสูง “ตรงไหนล่ะที่เป็นประโยชน์ ทหารชุดแดง นักบวชที่กลายเป็นหญิงรับใช้ หรือว่าวิหารชื่อประหลาดนั่น”

สายตาขุ่นๆ ของคนในชุดนักบวชตวัดผ่านหน้าผู้พูดไปราวกับจะค้อน ริมฝีปากสีสดขมุบขมิบไม่รู้ว่าชมหรือด่า ...แต่สงสัยว่าจะเป็นอย่างหลัง

เอลเผลอหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ ยามหัวเราะ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มดูสว่างไสวชวนมองเสียจนแทบจะกลบรัศมีเจิดจ้าของดวงอาทิตย์เบื้องบนได้เลยทีเดียว ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอดยั่วหนุ่มหล่อข้างกายไม่ได้สักที โดยเฉพาะเวลาที่หมอนั่นทำหน้ายุ่งๆ ตาขวางๆ ให้เห็น อย่างตอนนี้

“ขำอะไรของเจ้า”

คน ‘ตาขวาง’ ยิ่งออกอาการ ‘ขวาง’ หนักขึ้นกว่าเดิม

“เปล๊า” เอลยักไหล่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ตอบเสียงซื่อ “ท่านจะพูดอะไรก็พูดไปสิ ข้ารอฟังอยู่”

ดวงตาสีน้ำทะเลใสแจ๋วจ้องหน้านางเหมือนกำลังตั้งใจรอฟังอยู่จริงๆ จนเมลิอานาร์ชักไม่แน่ใจว่าแม่สาวตัวโตพูดจริงหรือพูดเล่น จึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปกำกับไว้ก่อนแล้วค่อยถ่ายทอดความคิดของตนออกมาเป็นคำพูด

“ทหารชุดแดงคนนั้นน่าจะเป็นชาวทาเนียร์”

“ข้อนั้นข้ารู้แล้ว”

“อ้อ” หญิงสาวลากเสียงอย่างหมั่นไส้ “งั้นอีกสองข้อเจ้าก็คงรู้แล้วเหมือนกันสิ”

“อย่าเพิ่งงอนน่าท่านเมล ทำใจน้อยเป็นผู้หญิงไปได้ท่านนี่ ข้าไม่รู้หรอก ตอนนี้รู้แต่ว่าข้าหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วเท่านั้นแหละ ไปหาอะไรรองท้องกันก่อนเถอะ แล้วท่านค่อยเล่าความคิดอีกสองข้อที่เหลือให้ข้าฟังระหว่างมื้ออาหาร ตกลงไหม”

เมลิอานาร์อยากจะแกล้งตอบว่า ‘ไม่ตกลง’ อยู่เหมือนกันแต่ไม่มีโอกาส เพราะพอพูดจบแม่สาวร่างยักษ์ก็เดินนำลิ่วไปยังร้านอาหารเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามลานน้ำพุ จับจองที่นั่งริมถนนใต้ร่มหลังคาผ้าฝ้ายเนื้อหนาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกัน

อาหารกลางวันที่แม่ค้าร่างท้วมยกมาเสิร์ฟประกอบไปด้วยซุปมันฝรั่งกินกับขนมปังก้อนกลมที่อบจนผิวนอกเป็นสีน้ำตาลสวยและเนื้อแกะย่างชิ้นโต ที่ขาดไม่ได้คือเหล้าน้ำผึ้งกลิ่นหอมรสแรงซึ่งเอลบอกว่าเป็นเหล้าพื้นเมืองอันเลื่องชื่อของแคว้นอังมาร์

หลังจากก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตนไปได้สักครู่ ชายหนุ่มก็เงยขึ้นมองอีกฝ่าย

“เอ้า ว่ายังไงล่ะท่าน ไม่พูดหรือไงข้ารอฟังอยู่นะ”

เมลิอานาร์ตวัดหางตาผ่านหน้าผู้พูดแวบหนึ่ง ใช้ส้อมจิ้มเนื้อส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆ ก่อนจะกล่าวแบบรวบรัด

“ข้าคิดว่าคนปรุงยาพิษจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารที่ว่า ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือต้องเดินทางไปที่นั่น”

“หือ” ราชาหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านรู้ที่ตั้งของวิหารหรือไง”

หญิงสาวส่ายหน้า

“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่เพราะผู้หญิงคนนั้นสามารถเดินทางไปกลับด้วยตัวคนเดียวได้”

เอลยกเหล้าน้ำผึ้งในถ้วยดีบุกขึ้นจิบระหว่างที่คิดตามคำพูดของอีกฝ่าย

“แถวนี้ไม่มีวิหารชื่อประหลาดเช่นนั้นหรอกท่านเมล บางทีข้อสันนิษฐานของท่านอาจจะผิด”

“หรือบางทีวิหารนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในกรีนแลนด์” เสียงนุ่มหูสวนขึ้นทันควัน

ราชาหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง คำแย้งของนักบวชร่างบางฟังดูมีเหตุผลไม่น้อย ที่สำคัญมันสอดคล้องกับสิ่งที่เขากำลังนึกสงสัยอยู่เสียด้วย

“ท่านหมายถึงทาเนียร์หรือ”

“ถูกต้อง เจ้าเข้าใจอะไรได้เร็วเหมือนกันนี่”

เอลยิ้มดุๆ ให้กับประโยคที่ฟังยังไงก็ไม่เหมือนคำชมของอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น “แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ล่ะ”

เมลิอานาร์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที นางมองคนตรงหน้านิ่งนานอย่างชั่งใจ ทาเนียร์ไม่ใช่ประเทศที่ปลอดภัยและสงบสุขเหมือนกรีนแลนด์ การที่จะพ่วงแม่สาวตัวโตคนนี้ไปด้วยจะดีละหรือ... แต่เอลก็ดูไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว แถมพอแต่งตัวแบบนี้ยิ่งทำให้เหมือนผู้ชายเข้าไปใหญ่ คงไม่มีโจรงี่เง่าที่ไหนกล้าเข้ามาหาเรื่องกับคนเดินทางที่(ดูเหมือนจะ)เป็นผู้ชายทั้งคู่หรอกน่า

“ว่ายังไงล่ะท่าน” เอลส่งเสียงถามย้ำมาอีกรอบ หญิงสาวจึงตัดสินใจตอบ

“เราจะเดินทางกันคืนนี้ แต่มีข้อแม้...”

คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันทันที “ข้อแม้อะไร”

“เจ้าขี่ม้าเป็นมั้ย”

“เป็นสิ ถามทำไม”

“ดี” หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ

“งั้นเจ้าเตรียมซื้อม้าฝีเท้าจัดสำหรับตัวเองไว้ได้เลย”






angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2556, 08:39:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2556, 08:48:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1633





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
ชลวารี 8 ก.พ. 2556, 13:33:06 น.
ข้อแม้ คืออะไรเอ่ย
เตรียมม้าไว้ทำไม สำหรับหนีหรอคะ
แล้วนางเอกของเราตาสีอะไรหรอคะ


angelK 8 ก.พ. 2556, 22:21:41 น.
ข้อแม้ก็เกี่ยวกะคำถามนั่นละค่ะ รออ่านตอนที่ 15 นะคะ ก็จะเดาได้ว่าข้อแม้คืออะไร

นางเอกตาสีน้ำเงินค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account