กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 26


26...


เพี๊ยะ...ยี่เสี่ยเนี้ยตบหน้าคุณหนูโน้ยอย่างแรงทันที ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างดุดันว่า “ห้ามลื้อแช่งอาตี๋(น้องชาย)”
“อั๊วเกลียดมัน” คุณหนูโน้ยตะโกนแล้วร้องกรี๊ดๆ ไม่ยอมหยุด
“หยุดส่งเสียงร้องกรี๊ดๆ เดี๋ยวนี้นะ” ยี่เสี่ยเนี้ยเป็นคนดุ ฉวยได้ไม้ขัดฝาหม้อข้าว ก็หวดใส่ลูกสาวที่เคยทะนุถนอมราวไข่ในหินอย่างไม่นับ
คุณหนูโน้ยยิ่งส่งเสียงร้องบ้านแทบแตก...คนที่อยู่หน้าร้านต่างพากันวิ่งมาดู ยี่เสี่ยเห็นสภาพยังงั้น ก็เข้ามาห้ามด้วยการแย่งไม้ไปจากมือของยี่เสี่ยเนี้ยก่อน
“หยุดๆๆ...หยุดทั้งคู่”
ยี่เสี่ยเนี้ยยอมหยุด ยืนหอบหายใจหน้าแดงก่ำ แต่คุณหนูโน้ยยังไม่หยุด ร้องกรี๊ดๆ แล้วลงไปนั่งดิ้นกับพื้น
“อีเป็นบ้าไปแล้ว” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
ยี่เสี่ยวางไม้ในมือลง แล้วเข้าไปพยายามโอบกอดร่างของลูกสาว พลางเรียกด้วยเสียงที่ดังแข่งกับเสียงกรี๊ดๆ ของลูกสาว “อาโน้ยๆ นี่เตี่ยเองนะ”
คุณหนูโน้ยถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนของพ่อ พอได้ยินเสียงของพ่อด้วย ก็พอมีสติ จึงหยุดร้องกรี๊ดๆ เปลี่ยนเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นแทน
“เตี่ยรักอาโน้ยนะ ลูกเจ็บตรงไหนบอกเตี่ยซิ” ยี่เสี่ยพยายามปลอบโยนลูกสาว แต่ยี่เสี่ยเนี้ยซึ่งเป็นคนหยาบ ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนซาเสี่ยเนี้ย เอ่ยแทรกขึ้นว่า “ไปปลอบมันทำไม มันแช่งอากกให้ตาย ลื้อรู้มั้ย”
“จริงหรืออาโน้ย?” ยี่เสี่ยถามลูกสาว แม้จะรักลูกสาว แต่ยี่เสี่ยก็รักลูกชายมากกว่า เหมือนๆ กับภรรยา
“อั๊วเกลียดมัน” คุณหนูโน้ยเค้นเสียง
“ทำไมลื้อต้องเกลียดอาตี๋ด้วย?” เสียงยี่เสี่ยไม่ค่อยพอใจ
“เพราะมันมาเกิดทีเดียวทำให้อั๊วตกต่ำ” คุณหนูโน้ยพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ถ้ามันตายไปเสียได้ อั๊วจะดีใจที่สุด”
สีหน้าของยี่เสี่ยบึ้งตึงทันที อ้อมแขนที่โอบกอดลูกสาวคลายออก เอ่ยเสียงเด็ดขาดว่า “ห้ามลื้อแช่งอาตี๋!”
“อั๊วไม่นับมันเป็นอาตี๋” คุณหนูโน้ยเสียงสะบัด
“ถ้าลื้อไม่นับอากกเป็นอาตี๋ อั๊วก็ไม่นับลื้อเป็นลูก” พูดจบ...ยี่เสี่ยก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องครัว
“อั๊วก็เหมือนกัน” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย ก่อนจะเดินตามสามีออกไปอีกคน
คุณหนูโน้ยร้องไห้ไปตีอกชกหัวไป...คนที่มามุงดูจากหน้าร้าน พากันสลายตัวกลับไปขายของตามหน้าที่
อาลั้งกับอาเฮี่ยะจึงเข้าไปปลอบคุณหนูโน้ย
“คุณหนู อย่าร้องไห้เลยนะคะ ถ้าคุณหนูไม่อยากทำงาน อาลั้งจะทำแทนให้” อาลั้งเอ่ยปลอบ
“อย่างลื้อเหรอจะทำแทนคุณหนู งานในหน้าที่ของตนเองทำให้เสร็จเสียก่อนเหอะ” อาไล้เอ่ยแทรกขึ้นทันควัน
“จริงด้วย” อาเฮี่ยะเอ่ยอย่างซื่อๆ “งานของพวกเราก็เยอะแยะตาแปะไก๋ เอาตัวเองยังจะไม่รอดเลย”
“ใครไปขอให้ลื้อช่วย” คุณหนูโน้ยตวาดแว้ดใส่หน้าอาลั้ง “อั๊วก็เกลียดลื้อ” พร้อมกับยกมือตบหน้าอาลั้งดังฉาด
หึๆๆ...อาไล้หัวเราะในลำคอ นึกสมน้ำหน้าอาลั้ง
อาลั้งถูกอาเฮี่ยะดึงให้รีบถอยห่างคุณหนูโน้ย พลางกระซิบ “อีถูกผีเข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้”
อาลั้งถอนหายใจเอามือกุมแก้มที่เจ็บเพราะถูกตบ นึกเปรียบเทียบตัวเองกับคุณหนูโน้ย ตนอยากมีพ่อมีแม่อย่างคุณหนูโน้ย ก็ไม่มี มีพี่ชายก็อยู่ห่างไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียว ไม่มีทางที่จะได้พบหน้ากันและกัน...ถ้าตนมีทุกคนอยู่พร้อมหน้าอย่างคุณหนูโน้ย ต่อให้ต้องทำงานมากขึ้น ก็จะไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ
เวลานี้สิ่งเดียวที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้อาลั้งเข้มแข็งก็คือ...ความรักที่มีต่อคุณชายป้อที่อยู่แสนไกล...เด็กสาวยกมือทาบอกเสื้อที่ด้านในห้อยแหวนหยกขาวอยู่ แล้วรู้สึกซาบซ่านในใจจนต้องลอบยิ้มคนเดียว!

อาลั้งเฝ้ารอคอยจดหมายของคุณชายป้อ ที่เขาสัญญาว่าจะเขียนมาหาเธอทุกเดือน แต่นี่ก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบเชียบ เด็กสาวเป็นทุกข์กระวนกระวายเป็นที่สุด แต่จะถามซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่กล้า ได้แต่เมียงมองยามเมื่อซาเสี่ยเนี้ยมานั่งจิบน้ำชาในห้องโถงพักผ่อน จนครั้งหนึ่งซาเสี่ยเนี้ยสังเกตเห็น จึงส่งเสียงถามว่า
“นั่นใคร?”
อาลั้งไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงออกมายืนอยู่ตรงช่องประตูเข้าห้อง ตอบว่า “หนูเองค่ะซาเสี่ยเนี้ย”
“มาหาอั๊วเหรอ?” ซาเสี่ยเนี้ยถาม
“ปะ...เปล่าค่ะ หนูเดินผ่านมาทางนี้เท่านั้น” อาลั้งรีบปฏิเสธ ปากคอสั่น
ซาเสี่ยเนี้ยยิ้มเล็กน้อย นางรู้ดีว่า...อาลั้งมาที่นี่ทำไม คงมารอฟังข่าวจดหมายที่มาจากลูกชายนาง ซึ่งมีมาทุกเดือน เดือนละฉบับ และถามถึงอาลั้งทุกฉบับ ขอให้อาลั้งตอบจดหมายของเขาด้วย
แต่ซาเสี่ยเนี้ยไม่เคยอ่านจดหมายนั้นให้อาลั้งฟัง ซ้ำยังตอบจดหมายกลับไปว่า อาลั้งไม่ได้พูดว่ากระไร
“งั้น...อาลั้งก็กลับไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวทำไม่เสร็จจะถูกดุเอา”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ แล้วค่อยๆ เดินเข้าครัวไป
หนึ่งปีผ่านไป...
ขณะที่อาลั้งกำลังล้างถ้วยชามอย่างตั้งอกตั้งใจ อาเฮี่ยะก็เข้ามาบอกว่า “อาลั้ง ซาเสี่ยเนี้ยเรียกแน่ะ”
“แล้วถ้วยชามพวกนี้ล่ะ?” อาลั้งถามอาเฮี่ยะ
“เดี๋ยวอั๊วล้างต่อเอง” อาเฮี่ยะอาสาอย่างมีน้ำใจ “ลื้อรีบไปเถอะ เห็นว่ามีจดหมายมาจากเมืองนอก”
“ขอบใจนะอาเฮี่ยะ...อั๊วจะรีบไป” แล้วอาลั้งก็เช็ดมือให้แห้ง ก่อนจะเดินลิ่วไปยังห้องโถงพักผ่อน เห็นซาเสี่ยเนี้ยนั่งอยู่ที่โต๊ะฝังมุก ในมือถือกระดาษจดหมายอ่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จึงยกมือเคาะที่บานประตูไม้เบาๆ แม้บานประตูจะเปิดอยู่ เพื่อให้คนในห้องรู้ตัว
ซาเสี่ยเนี้ยเงยหน้าจากจดหมาย หันมามองแล้วยิ้มให้ “เข้ามาสิ...อาลั้ง”
อาลั้งเดินเข้าไปยืนในตำแหน่งที่เหมาะสม ก่อนจะเรียกหาว่า “ซาเสี่ยเนี้ย”
“อืมม์...” ซาเสี่ยเนี้ยรับคำ “มีจดหมายถึงลื้อจากเมืองจีน”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้สิ่งที่อาลั้งหวังอยู่ในใจล่มสลาย
ซาเสี่ยเนี้ยหยิบจดหมายอีกฉบับหนึ่งมาวางตรงหน้าอาลั้ง ก่อนจะพูดว่า “อั๊วอ่านให้ฟังนะ”
“ขอบคุณค่ะ...ซาเสี่ยเนี้ย” อาลั้งยอบกายขอบคุณ
“ฟังนะ...” ซาเสี่ยเนี้ยเปิดจดหมายที่ว่านั่น แล้วอ่านว่า “ถึงอาโกวอาลั้ง ทำไมปีนี้อาโกวถึงไม่ส่งเงินมา อาโกวรู้มั้ยว่าอาตั่วอีขายกับข้าวได้เงินวันๆ ไม่พอยาไส้ อั๊วกับลูกๆ อดอยากลำบากมาก อาโกวรีบส่งเงินมาไวๆ นะ จากพี่สะใภ้ อาฮวย”
อาลั้งได้ฟังแล้วแสนจะอัดอั้นตันใจ มองซาเสี่ยเนี้ยด้วยแววตาระโหย
“อั๊วจะช่วยเขียนจดหมายตอบพี่สะใภ้ให้ลื้อ” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย พลางหยิบกระดาษและปากกาคอแร้งกับขวดหมึกมาวางตรงหน้า แล้วถาม “ลื้อจะตอบว่ายังไง?”
“หนูตอบไม่ถูกค่ะ หนูเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ อยากช่วยพวกเขาเลี้ยงดูหลานๆ แต่หนูไม่มีเงินจะส่งไปให้พวกเขา เพราะต้องคืนหนี้ยี่เสี่ยเนี้ยให้หมดก่อน” อาลั้งเอ่ยจากใจจริง
“ก็ที่ลื้อพูดมาทั้งหมดนี่ไง อั๊วจะเขียนตอบไปให้” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย แล้วก้มหน้าเขียนจดหมายตอบ ใช้เวลาไม่มากนักก็เขียนเสร็จ พอเขียนเสร็จก็ใช้แท่งไม้ทับบนล่างเพื่อรอให้หมึกแห้งสนิท แล้วเงยหน้ามองอาลั้ง เห็นอาลั้งจ้องมองจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ก็ถามว่า “สนใจจดหมายฉบับนี้หรือ”
“ปะ...เปล่าค่ะ” อาลั้งรีบปฏิเสธตามความเคยชิน
“จดหมายนี่เป็นจดหมายของอาป้อ”
ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยพลางจับจ้องมองสีหน้าแววตาของเด็กสาว เห็นแววตื่นเต้นปรากฏอย่างชัดเจน แต่วูบหนึ่ง เจ้าตัวก็พยายามระงับให้เป็นปกติ
“อั๊วอ่านให้ลื้อฟังเอาไหม?” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“เอ่อ...” ใจจริงอาลั้งอยากรีบรับคำ แต่ด้วยมารยาท “จะดีหรือคะ...ซาเสี่ยเนี้ย เพราะมันไม่ใช่จดหมายที่มีมาถึงอาลั้ง”
“อาป้อพูดถึงอาลั้งด้วยนะ” ซาเสี่ยเนี้ยกล่าว
อาลั้งรู้สึกหัวใจพองโต ดีใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เอาละ...อั๊วอ่านให้ลื้อฟัง” แล้วซาเสี่ยเนี้ยก็หยิบจดหมายฉบับที่อ่านก่อนที่จะอ่านจดหมายจากเมืองจีนให้อาลั้งฟัง “กราบเท้าคุณแม่...ผมมาอยู่ที่นี่ได้สักพักก็เริ่มคุ้นเคย ตอนแรกที่เรียนหนังสือที่นี่ก็ลำบากอยู่เพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆ แล้วคนที่นี่ก็พูดเร็วจนผมแทบท้อใจ ดีที่ได้น้องเม่งจูช่วยติวภาษาให้ จนผมเรียนตามเพื่อนๆ ทัน พูดถึงน้องเม่งจูแล้ว ต้องบอกว่าเธอเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง เรียนก็เก่ง งานบ้านงานเรือนก็เก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอทำอาหารได้เก่งมาก ทำได้ทั้งอาหารจีน อาหารฝรั่ง และอาหารพื้นเมือง แถมอร่อยทุกอย่าง ผมกินอาหารที่เธอทำจนน้ำหนักขึ้นหลายโล แถมสูงขึ้นมากด้วย ผมชอบสเต๊กเนื้อมากที่สุด เม่งจูก็ทำสเต็กเนื้อให้ผมกินแทบทุกอาทิตย์ วันอาทิตย์น้องเม่งจูจะพาผมไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของมาเลเซีย เธอขับรถยนต์เป็น และขับเก่งด้วยครับ เธอสอนผมขับรถยนต์ด้วย ช่างสนุกจริงๆ อ้อ...ผมเล่าแต่เรื่องของผมตั้งนาน ยังไม่ได้ถามไถ่ทางบ้านที่บางกอกเลยว่าทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง ยี่แปะยี่อึ้มอาโน้ยอากกสบายดีหรือ เตี่ยกับคุณแม่สบายดีนะครับ อาลั้งด้วยสบายดีนะครับ พร้อมกับจดหมายนี้ผมส่งขนมหวานที่เรียกว่าทอฟฟี่มาด้วย เป็นฝีมือของน้องเม่งจูทำเอง รับรองว่าอร่อยจนน้ำลายไหล สุดท้ายนี้ผมรักเตี่ยกับคุณแม่ที่สุด จากลูกชาย อาป้อ”
พอซาเสี่ยเนี้ยอ่านจบ...อาลั้งรู้สึกแน่นหน้าอก อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก
เม่งจูคือใคร?
รู้สึกได้จากจดหมายว่า คุณชายป้อชื่นชมนางมาก นางมีความรู้ เรียนหนังสือเก่ง นางเป็นกุลสตรีทำอาหารเก่ง แถมยังทำขนมหวานส่งมาให้ที่บ้านที่เมืองสยาม
เรื่องราวที่อึงอลอยู่ในสมอง ทำให้อาลั้งไม่ได้ยินซาเสี่ยเนี้ยเรียก จนนางเรียกซ้ำด้วยเสียงที่ดัง “อาลั้ง!”
“คะ” อาลั้งรู้สึกตัวรับคำ
“ลื้อกำลังคิดอะไรเหรอ?” ซาเสี่ยเนี้ยถาม
“ปะ...เปล่าค่ะ” อาลั้งรีบปฏิเสธก่อน
“แล้วทำไมถึงเหม่อยังงั้น...ลื้อคิดอะไรก็บอกออกมาได้ ซาเสี่ยเนี้ยไม่ว่าหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวลใจดี ทำให้อาลั้งรวบรวมความกล้าเอ่ยปาก
“หนูคิดนิดหนึ่ง ว่าคุณหนูเม่งจูช่างเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก”
“อ้อ...” ซาเสี่ยเนี้ยพยักหน้าแล้วถามว่า “อยากเห็นรูปถ่ายของเม่งจูมั้ย อาป้อส่งมากับจดหมายนี้ด้วย”
แล้วซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่รอคำตอบจากอาลั้ง ก็ยื่นรูปสาวสวยคนหนึ่งให้อาลั้งดู หญิงสาวในภาพแต่งหน้าทาปากครบครัน ผมสั้นดัดเป็นลอนๆ สวมหมวกใบสวย เปิดหน้าให้เด่น ใส่เสื้อคอกว้างกับกระโปรงบาน คาดเข็มขัดทำให้เอวเล็ก สวมรองเท้าส้นสูงสีขาว ดูเป็นสาวทันสมัยและมีสกุล ที่อาลั้งเทียบไม่ติดฝุ่น
“เม่งจูเป็นลูกสาวคนเดียวของน้องชายซาเสี่ยเนี้ยเอง” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ค่ะ...คุณหนูเม่งจูสวยมาก” แล้วอาลั้งก็ยื่นรูปถ่ายใบนั้นคืนอีกฝ่าย
ซาเสี่ยเนี้ยก็ยื่นกล่องที่ทำจากกระดาษแข็งสีสวยให้
“ให้หนูเหรอคะ” อาลั้งถาม
“ใช่จ๊ะ” ซาเสี่ยเนี้ยตอบ “อาป้อส่งมาให้ แต่อั๊วอายุมากแล้ว ไม่ชอบขนมหวาน ลื้อยังเด็กอยู่เอาไปกินก็แล้วกัน”
ในความจริงนั้น...คุณชายป้อส่งขนมนี้มาพร้อมกับบอกว่าซื้อจากแหม่มที่มาสอนภาษาอังกฤษ ฝากให้อาลั้ง ทุกครั้งที่อาลั้งกินทอฟฟี่จะได้นึกถึงเขา และเตือนอาลั้งด้วยว่า หลังจากกินทอฟฟี่แล้วต้องแปรงฟัน ฟันจะได้ไม่ผุ
“ขอบคุณค่ะ” อาลั้งรับกล่องขนม ในใจไม่มีความยินดีเลย เพราะเชื่อว่าเป็นฝีมือของเม่งจูที่คุณชายยกย่องว่าอร่อยจนน้ำลายไหล แต่เธอคงน้ำตาไหลมากกว่า
“แล้วอย่าลืมแปรงฟันหลังกินขนมล่ะ เดี๋ยวฟันจะผุ” ซาเสี่ยเนี้ยเตือนให้เป็นคำพูดของตนเองเสีย จะได้ไม่ต้องพาดพิงถึงลูกชาย
“ค่ะ”
“เอาละ...หมดเรื่องแล้ว ลื้อกลับไปทำงานต่อเถอะ”
พอซาเสี่ยเนี้ยอนุญาต อาลั้งก็รีบยอบกายคารวะ แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องโถงแห่งนั้นโดยเร็ว เพราะว่าทันทีที่หันหลัง...น้ำตาที่กั้นเอาไว้ ก็ร่วงหล่นลงมาราวกับไข่มุกที่ขาดจากสาย

อาลั้งกลับเข้าไปในห้องครัว พยายามเอาแขนเสื้อที่เก่าจนจวนเจียนจะขาดปาดเช็ดน้ำตา
อาเฮี่ยะเพิ่งล้างชามเสร็จ จึงบิดตัวแก้เมื่อย พลางตะโกนเป็นภาษาสยามว่า “โอ๊ย...เมื่อยชิกหาย” ก็บังเอิญเห็นหน้าอาลั้ง จึงถามว่า “ลื้อร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรลื้อ บอกอั๊วมาเร็วๆ”
“บอกลื้อแล้วลื้อทำอะไรได้?” อาลั้งถาม
“อั๊วก็จะด่าอี ด่าๆๆๆ...แต่ด่าลับหลังนะ”
อาลั้งได้แต่ยิ้มทั้งที่น้ำตายังไม่แห้ง...คนในระดับเดียวกันกับอาลั้งและอาเฮี่ยะ ก็คงทำได้อย่างมากแค่ด่าลับหลังเท่านั้น ไม่สามารถไปสู้รบปรบมือกับใครได้
“เอ้า...อั๊วให้ลื้อ” อาลั้งยื่นกล่องทอฟฟี่ให้อาเฮี่ยะ
“ให้อั๊ว...” อาเฮี่ยะสีหน้าเป็นงง “อะไรเหรอ?”
“ขนมหวานเรียกว่าทอฟฟี่ กินแล้วต้องแปรงฟันให้สะอาด ไม่งั้นฟันจะผุ” อาลั้งเอ่ยเสียงระห้อยระเหี่ย
“ใครให้ลื้อมาเหรอ?” อาเฮี่ยะถาม พลางรับกล่องไปเปิดดู เห็นในกล่องเต็มไปด้วยทอฟฟี่ห่อด้วยกระดาษสีสันหลากหลาย จึงอุทานว่า “ท่าทางจะแพง”
“อืมม์...ซาเสี่ยเนี้ยให้มา” อาลั้งเอ่ย
“แล้วทำไมของดีๆ อย่างนี้ ซาเสี่ยเนี้ยไม่กินเอง เอามาให้ลื้อทำไม?” อาเฮี่ยะอดสงสัยไม่ได้
“ก็เพราะซาเสี่ยเนี้ยเป็นคนใจดีไง!” อาลั้งสรุป
“อืมม์...จริงด้วย” อาเฮี่ยะก็เห็นด้วย พลางแกะห่อทอฟฟี่ใส่ปาก แล้วร้องเป็นภาษาสยาม “แม่เจ้าโว้ย...อะหล่อยชิกหาย”




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2556, 11:16:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2556, 11:16:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1360





<< ตอนที่ 25   ตอนที่ 27 >>
ree 11 ก.พ. 2556, 21:12:46 น.
ซาเสี่ยเนี้ยเริ่มยื่นมือมาควบคุมสถานการณ์แล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account