ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 17
เมลิอานาร์ขยับร่างอย่างอึดอัด ชักจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดก็อีตอนที่เกวียนสะเทือนอย่างแรงจนเอียงวูบ ทำให้นางกลิ้งไม่เป็นท่าไปปะทะกับแผงอกกว้างของคนข้างกายนี่แหละ พอรีบร้อนจะผละออกห่าง ศีรษะเจ้ากรรมก็ดันไปกระแทกกับลังหรือไหอะไรแถวๆ นั้นเข้าเสียอีก ความเจ็บปวดผสมกับความตกใจทำให้หญิงสาวเผลอส่งเสียงร้องอุทานออกมาไม่ค่อยนัก โชคดีที่เอลไวพอจะใช้มือข้างหนึ่งตะครุบปากของนางเอาไว้ทัน
“อย่าเสียงดังซี่ เดี๋ยวท่านป้าสงสัยขึ้นมาจะลำบาก” เขาก้มหน้าลงกระซิบเตือนเสียงหนัก
เมลิอานาร์ยกมือลูบรอยนูนกลางกระหม่อมที่เกิดขึ้นรวดเร็วทันใจพลางสูดปาก เกวียนก็แล่นเรียบดีมาตลอดแท้ๆ ใครจะนึกว่าอยู่ๆ จะเกิดเสียหลักขึ้นมาได้
“เจ็บมากหรือ”
คนถามยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสามารถแลเห็นผิวขาวละเอียดน่าอิจฉาและรอยบุ๋มเล็กๆ บริเวณปลายคางได้ถนัด ริมฝีปากสีสดได้รูปสวยตัดกับไรหนวดเขียวที่ลอยอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบมีรอยยิ้มขบขันประดับอยู่บางๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดอยู่ข้างผิวแก้มนวลขณะที่เสียงห้าวทุ้มกระซิบสั่ง
“อยู่นิ่งๆ นะ เดี๋ยวข้าจะดูให้ว่าแตกหรือเปล่า”
หญิงสาวรีบเบนศีรษะหนี พร้อมกับขู่ฟ่อทันที
“ไม่ต้อง”
“ไม่ต้องได้ยังไง อยู่นิ่งๆ ซี่ เดี๋ยวก็ได้อีกแผลหรอก” ไม่พูดเปล่า เจ้าของมือยังพยายามจะแหวกดูรอยกระแทกบนศีรษะของนางเสียอีกแน่ะ
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ต้องไงล่ะ หัวของข้าข้าก็ต้องรู้สิว่าแตกหรือเปล่า”
เอลเหลือบตามองใบหน้าแดงก่ำของคนตัวเล็กกว่าแล้วต้องกลั้นยิ้ม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีอาการขัดขืนไม่พอใจเขาก็ยิ่งอยากแกล้ง อ้อมแขนแข็งแรงจึงโอบกระชับรอบเอวบาง รั้งร่างเจ้าของเข้ามาประชิดอกเสียเลย ฝ่ายถูกโอบก็คงจะนึกไม่ถึงเช่นกันจึงไม่ทันได้ขืนตัวไว้ ร่างผอมบางภายใต้เสื้อทูนิกตัวโคร่งเลยสัมผัสกับแผงอกแบนเรียบของเขาเข้าอย่างจัง
เมลิอานาร์ทั้งผลักทั้งดิ้นจนมือของคนตัวใหญ่กว่ายอมคลายออกในที่สุด เมื่อสลัดตัวหลุดจากอ้อมอกของชายหนุ่มได้สำเร็จ หญิงสาวก็กระถดตัวถอยห่างจากเขาจนหลังแทบจะเบียดเป็นเนื้อเดียวกับแผงไม้ข้างเกวียน จ้องชายหนุ่มตาเขียวด้วยท่าทางเอาเรื่อง หากพอนางตั้งท่าจะเปิดศึก ฝ่ายนั้นกลับรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้าม มองมาด้วยดวงตาพราวระยับอย่างเป็นต่อ
หญิงสาวจำต้องกล้ำกลืนถ้อยคำเผ็ดร้อนที่แย่งกันวิ่งขึ้นมารออยู่แถวปลายลิ้นลงคอไปอย่างยากลำบาก ใจหนึ่งก็อยากจะโวยใส่อีกฝ่ายให้หายแค้น แต่ก็กลัวว่าเสียงจะดังออกไปถึงหูคนบังคับเกวียนให้ความแตกเสียเปล่าๆ จึงได้แต่คว้ากระสอบป่านที่เลื่อนตกอยู่ข้างตัวเพราะแรงเหวี่ยงของเกวียน ขึ้นมาคลุมร่างไว้ตามเดิม หลับตาลงแล้วพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มตัวต้นเหตุได้ อย่างน้อยการไม่ต้องเห็นหน้าเขาชั่วคราวคงจะช่วยให้อารมณ์ของนางเย็นลงได้บ้าง
ทันทีที่ดวงตาคู่งามของหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันปิดสนิทลง สีหน้ายิ้มระรื่นของคนที่นอนตะแคงมองดูอยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนไป
เอลยังคงจ้องมองไปที่เจ้าของร่างผอมบางไม่วางตา แม้ว่าฝ่ายนั้นจะคลุมตัวเองมิดชิดด้วยกระสอบป่าน นอนนิ่งไปนานแล้ว ร่องรอยขบขันในดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวของชายหนุ่มเลือนหายไปไม่มีเหลือ กลายเป็นอาการขมวดคิ้วครุ่นคิดขึ้นมาแทน
เจ้าหนุ่มหน้าอ่อน สวยราวกับผู้หญิงตรงหน้านี้ มีอะไรปิดบังเขาอยู่หรือเปล่าหนอ...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอลตั้งคำถามถามตัวเองเกี่ยวกับหนุ่มหล่อรายนี้ ตั้งแต่ออกเดินทางจากกรีนแลนด์มาด้วยกัน เมลก็มีอะไรสะกิดใจชวนให้เขานึกสงสัยอยู่หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่รูปกายภายนอกที่เห็นนั่นเลย รูปร่างของเมลดูจะผอมบางเกินไปสักหน่อยถ้าวัดตามมาตรฐานของชายหนุ่มในวัยเดียวกัน หากไม่ได้ยินจากปากเจ้าหญิงกาอิยาห์ว่าอาจารย์ของนางอายุยี่สิบ เขาคงนึกว่าเมลเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นเป็นแน่ ก็ขนาดเจ้ากันนาร์ที่มีหุ่นเพรียวลมสะโอดสะองของแท้ ยังดู ‘หนา’ กว่ากันตั้งเป็นกอง
นอกจากเรื่องรูปร่างแล้ว ชายหนุ่มยังอดรู้สึกสะดุดหูกับเสียงนุ่มไพเราะของสหายชาวแลมพ์ตันผู้นี้ไม่ได้ แม้ว่าเสียงของเมลจะไม่ถึงกับแหลมเล็กแบบเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม หากก็ห่างไกลจากเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายวัยฉกรรจ์อยู่หลายขุม โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าตัวหัวเราะหรืออุทานด้วยความตกใจ กังวานของน้ำเสียงจะแหลมสูงจนฟังคล้ายเสียงสตรีเลยทีเดียว
ทว่าสิ่งที่รบกวนจิตใจราชาหนุ่มมากที่สุดเวลานี้ กลับไม่ใช่ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและน้ำเสียงของสหายร่วมทาง แต่เป็น...สัมผัสนุ่มนวลประหลาดล้ำนั่นต่างหาก!
จริงอยู่ว่าผู้ชายอาจจะมีรูปร่างหน้าตาบอบบาง หรือแม้กระทั่งมีเสียงนุ่มไพเราะคล้ายผู้หญิงได้ แต่ผู้ชายที่ไหนกันเล่าจะมี ‘หน้าอก’ เหมือนผู้หญิง
เอลหรี่ตามองร่างที่ซ่อนอยู่ใต้กระสอบเปล่าตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ
ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ผู้ชายจะมี ‘สิ่งนั้น’ เหมือนผู้หญิงไปได้อย่างไร ในเมื่อเทพเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งสองเพศให้มีความแตกต่างกันทางด้านสรีระอย่างชัดเจน
แม้จะคิดเช่นนั้น หากชายหนุ่มก็ไม่อาจอธิบายให้ตนเองเข้าใจได้ว่า สัมผัสอ่อนนุ่มยืดหยุ่นบนแผ่นอกเมื่อครู่นี้คืออะไร ซ้ำร้าย พอยิ่งคิดหนักเข้า แทนที่จะพบคำตอบ เขากลับได้คำถามใหม่ที่รบกวนหัวใจยิ่งกว่าเก่าขึ้นมาแทน
เมลเป็นผู้ชายแน่หรือ...
จะว่าไปแล้ว เขายังไม่เคยเห็นสหายรูปหล่อรายนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าต่อตาเลยสักครั้ง แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำ หมอนั่นก็ไม่เคยอาบให้เขาเห็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมลกำลังปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างเอาไว้จริงๆ
เกวียนขนของค่อยๆ ชะลอตัวช้าลงจนหยุดสนิทอยู่กับที่ เสียงพูดคุยถามไถ่ของสตรีนางหนึ่งดังลอดผ้าฝ้ายผืนหนาเข้ามาให้ได้ยินอยู่แว่วๆ ทำให้เจ้าคนที่ชายหนุ่มลอบจับตามองเริ่มขยับตัว พร้อมกับหันมาสะกิดให้เขาดึงกระสอบเปล่าอีกผืนขึ้นมาคลุมร่างไว้ จากนั้นเจ้าตัวก็บ่นอะไรงึมงำอยู่คนเดียวด้วยภาษาที่ชายหนุ่มฟังไม่รู้เรื่อง พอขาดคำ ผ้าผืนหนาที่ปิดคลุมสินค้าในเกวียนอยู่ก็ถูกกระชากเปิดออกแทบจะทันที
เอลเผลอกลั้นหายใจ หลับตาแน่นโดยไม่รู้ตัว เฝ้ารอเวลาที่จะถูกมือของใครบางคนกระชากร่างออกจากกองสัมภาระตามติดผ้าผืนนั้นไปบ้าง หากรออยู่นานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงกล้าพอที่จะลืมตาขึ้นมอง
ภาพที่เขาเห็นผ่านช่องตารางห่างๆ ของผืนกระสอบ คือร่างสูงสง่าน่าเกรงขามของนักบวชหญิงที่เดินวนเวียนตรวจตราสินค้าในเกวียน แล้วบังเอิญมาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่เขาขดตัวซ่อนอยู่พอดี ชายหนุ่มพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มแผ่นหลังไปหมดทั้งที่อากาศยามนั้นก็ไม่ได้ร้อนสักนิด เป็นเวลานานทีเดียวกว่านักบวชหญิงผู้นั้นจะละสายตาจากกองสัมภาระรอบร่างเขา หันไปส่งสัญญาณให้แม่ค้าชาวบัลซาร์พาเกวียนเคลื่อนที่ต่อไปได้
เอลรับรู้อาการไหวสะเทือนน้อยๆ ใต้ร่างขณะที่ล้อเกวียนเริ่มหมุนอีกครั้งด้วยความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเกือบจะเผลอถอนหายใจออกมาแล้ว หากต้องพยายามกลั้นเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงดังจนได้ยินไปถึงคนบังคับเกวียน ชายหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ครามครันที่นักบวชหญิงมองไม่เห็นทั้งเขาและเมล ทั้งที่กระสอบป่านก็ใช่ว่าจะผืนใหญ่ ต่อให้พยายามขดตัวยังไง ก็คงต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโผล่ออกไปให้เห็นบ้างละน่า...แล้วทำไมนางถึงไม่สังเกตเห็น
ยังไม่ทันจะได้คิดหาคำตอบให้ตนเอง เกวียนขนของก็แล่นอ้อมตัวตึกเก่าแก่ด้านหน้า ผ่านสวนสมุนไพรและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อม มาหยุดนิ่งอยู่ในพื้นที่ส่วนหลังของวิหารซึ่งมีโรงครัวชั้นเดียวสร้างด้วยหินสีเทาทึมตั้งอยู่โดดเดี่ยว ด้านหนึ่งติดกับลานซักล้างเยื้องบ่อน้ำขนาดใหญ่ก่อด้วยหินมีหลังคาคลุม อีกด้านติดกับทางเดินออกสู่ป่าละเมาะนอกอาณาเขตวิหาร
เอลแอบมองผ่านรอยต่อของแผ่นไม้ข้างเกวียน เห็นแม่ค้าร่างอ้วนเดินตรงไปเคาะประตูบานเล็กด้านหลังโรงครัวอย่างคุ้นเคย สักพักประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงผู้หนึ่งชะโงกหน้าออกมามองแล้วทำกิริยาเชื้อเชิญให้นางก้าวเข้าไปภายใน
พอลับร่างของสตรีทั้งสอง เอลก็ถูกสะกิดอีกครั้งโดยคนข้างกาย ฝ่ายนั้นส่งสัญญาณบอกให้เขากระโดดลงจากเกวียนแล้วพุ่งตัวนำลงไปก่อน ชายหนุ่มจึงรีบกระทำตามบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยเคยคุ้นกับการเคลื่อนไหวทำนองนี้ เขาจึงเสียหลักล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เสียงดังพลั่กและฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบ ทำให้คนนำหน้าต้องหันกลับมามองด้วยทีท่าอนาถใจ ก่อนจะขยับเข้ามาลากแขนเขาให้วิ่งต่อไปจนถึงบ่อน้ำใกล้ๆ ได้สำเร็จ ทันเวลาก่อนที่แม่ค้าชาวบัลซาร์จะย้อนกลับมาที่เกวียนพอดี
ชายหนุ่มค่อยๆ แนบแผ่นหลังเข้ากับก้อนศิลาชื้นเย็นเต็มไปด้วยคราบตะไคร่ พยายามงอตัวให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับขอบบ่อไว้เสมอ เขาเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวังเต็มที่ โชคดีที่การซักผ้าช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปแล้ว บริเวณลานซักล้างจึงปราศจากผู้คน เอลลอบระบายลมหายใจแผ่วๆ ก่อนจะเอี้ยวกาย ยืดร่างขึ้นแค่พอให้ดวงตาโผล่พ้นเหนือขอบบ่อ เฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่โรงครัวด้วยหัวใจเต้นระทึก
นอกจากแม่ค้าชาวบัลซาร์แล้ว ยังมีหญิงรับใช้และสตรีวัยกลางคนร่างท้วมอีกผู้หนึ่งตามหลังนางออกมาด้วย สตรีคนหลังสุดนี้ยืนมองดูสาวใช้ช่วยกันลำเลียงข้าวของจากเกวียนเข้าไปเก็บในห้องครัวด้วยท่าทางเข้มงวด สักพักนางก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนเป็นแม่ค้า อาการทำไม้ทำมือของนางบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน บางทีนางอาจจะรู้แล้วว่าสินค้าที่นำมาส่งคราวนี้ไม่ครบตามจำนวน
เอลรู้สึกเห็นใจแม่ค้าร่างอ้วนอยู่เหมือนกัน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าเขากับเมลไม่แอบขนสินค้าบางส่วนลงเสียบ้างก็คงไม่สามารถเข้าไปขดตัวซ่อนอยู่ในเกวียนขนของแคบๆ เช่นนั้นได้ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า หันไปกระซิบถามคนข้างกาย
“ทีนี้เอาไงต่อล่ะท่านเมล”
ฝ่ายถูกถามขบริมฝีปากล่างทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
“ไปหลบทางโน้นก่อนแล้วกัน”
เอลทอดสายตามองข้ามลานกว้างด้านขวามือไป ‘ทางโน้น’ ตามที่ชายหนุ่มหน้าสวยพูดถึง สิ่งที่เขาเห็นผ่านบรรดาผ้าปูเตียงและชุดเสื้อกระโปรงหลากสีซึ่งโบกสะบัดล้อลมอยู่บนราวไม้ คือที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างขนาดกะทัดรัดประกอบขึ้นจากไม้ทั้งหลัง ลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมห้องเดียว ไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูและช่องระบายอากาศเป็นซี่ไม้ตีโปร่งๆ อยู่สูงขึ้นไป หลังคาด้านหนึ่งยื่นล้ำออกมาเหมือนปีกรองรับด้วยเสาไม้แข็งแรง แผ่ร่มเงาปกคลุมท่อนฟืนสดจำนวนมากที่วางเรียงซ้อนเป็นกองสูงอยู่บนยกพื้นเตี้ยๆ หน้าประตูบานแคบมีแท่นไม้ทรงกลมสำหรับผ่าฟืนตั้งอยู่ ขวานเล่มใหญ่วางพิงอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยมัดฟืนขนาดเล็กสองสามมัด ห่างออกไปอีกหน่อยเป็นที่ตั้งของเรือนแถวยาวก่อด้วยอิฐสีแดงดูโอ่อ่า จำนวนหน้าต่างหลายสิบบานที่เห็น ทำให้เอลเดาได้ไม่ยากว่าอาคารหลังนี้คงจะเป็นเรือนพักของพวกนักบวช
เมลิอานาร์ชะเง้อมองกลุ่มสตรีที่พากันออกมายืนอออยู่หลังโรงครัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกนางต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เกวียนขนของ จึงส่งสัญญาณให้เอลออกวิ่งตัดลานกว้าง เร้นกายลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างราวไม้แต่ละแถว อาศัยบรรดาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตากอยู่บนนั้นช่วยกำบังร่างไว้จากสายตาของคนในวิหารอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมาถึงจุดหมาย หญิงสาวก็ออกแรงดึงประตูบานแคบให้แง้มเปิดออก แล้วแทรกกายเข้าไปภายในอย่างรวดเร็วโดยมีเอลก้าวตามมาติดๆ
สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่เมื่อปิดประตูลงตามหลังคือห้องสี่เหลี่ยมค่อนข้างมืด มีละอองฝุ่นบางเบาปลิวให้เห็นอยู่ยิบๆ ในแสงแดดซีดจางที่ส่องกระทบฝาผนังเป็นลำผ่านทางช่องลม มุมหนึ่งของห้องเต็มไปด้วยไม้ฟืนที่ผ่านการตากจนแห้งสนิทดีแล้ว เรียงเป็นกองสูงท่วมศีรษะ อีกมุมหนึ่งมีตะกร้าสำหรับขนฟืนทำจากแผ่นหนังรูปรีพร้อมหูหิ้วโค้งๆ วางสุมอยู่ นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้แห้งขนาดเล็กมัดรวมกันเป็นกำ วางพิงฝาห้องอยู่หลายสิบกำ
เอลทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้นด้วยอาการคล้ายคนหมดแรง ถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“อ้าว” เขาร้องพลางเงยหน้ามองคนถามที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ข้างกาย แต่ไม่อาจเห็นสีหน้าของฝ่ายนั้นได้ถนัด
“ท่านไม่เห็นตอนที่นักบวชหญิงยืนจ้องอยู่ข้างเกวียนหรือไง ข้านึกว่าจะถูกนางจับโยนออกไปนอกวิหารซะแล้ว ยังแปลกใจไม่หายที่นางยอมปล่อยให้เกวียนผ่านเข้ามาง่ายๆ เหมือนกับมองไม่เห็นพวกเราอย่างนั้นแหละ”
“ก็ไม่เห็นน่ะสิ” เมลิอานาร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด แล้วขยายความต่อเมื่อได้ยินเสียงอุทานเหมือนไม่เชื่อถือของคนฟัง
“ข้าท่องคาถาทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้น นางคงมองเห็นเราสองคนเป็นกระสอบมันฝรั่งหรืออะไรสักอย่างละมั้ง”
“คาถา” เอลทวนคำก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกับตนเอง “มิน่าล่ะ”
ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมาเมื่อครู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้
“แผนการบ้าบิ่นของท่านนี่นับว่าไม่เลวเหมือนกันนะท่านเมล”
“อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป เอล” ฝ่ายถูกชมไม่ยักปลื้มไปด้วย
“ส่วนที่ยากที่สุดของแผนข้ามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหาก”
พูดแล้วหญิงสาวก็สะกิดไหล่คนที่นั่งขวางทางอยู่ให้หลีก ก่อนจะแง้มประตูให้เปิดออกอีกครั้ง สอดส่ายสายตาผ่านช่องแคบๆ ออกไปสำรวจสภาพภายนอก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงหันกลับมา บอกกับชายหนุ่มเพียงสั้นๆ ว่า
“เจ้ารออยู่นี่ก่อนนะเอล”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คนออกคำสั่งก็ก้าวพรวดออกไปจากห้อง เอลจึงจำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งพิงผนัง หลบอยู่ในเงามืดข้างกองฟืน เหม่อมองไปที่ประตูบานเดียวในห้องนั้นอย่างไม่รู้จะทำอะไร ดีหน่อยที่ตอนนี้เพิ่งจะย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง ห้องเก็บฟืนจึงถือได้ว่าเป็นที่ซ่อนที่ปลอดภัยพอสมควร อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีใครสักคนต้องการใช้ฟืนขึ้นมานั่นแหละ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนคนที่ได้แต่นั่งรออยู่เฉยๆ เริ่มรู้สึกง่วง หากพอหนังตาอันหนักอึ้งของเขาทำท่าจะปิด ประตูบานเดิมก็ถูกดึงให้เปิดออกอีกครั้ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาของมันทำให้เอลสะดุ้งเฮือก เกือบจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจอยู่แล้ว ดีแต่ว่าสายตาเหลือบไปเห็นผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน จึงยั้งตัวเองเอาไว้ทัน
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ เมื่อสิ่งที่เขานึกกลัวเกิดเป็นจริงขึ้นมารวดเร็วทันใจขนาดนี้ โชคดีที่แม่สาวใช้ประจำวิหารผู้นั้นเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง จึงต้องอาศัยเวลาในการปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างที่ลดลงเสียก่อน ชายหนุ่มจึงถือโอกาสตอนที่นางหันไปหับบานประตู ย่องเงียบกริบเข้าไปทางด้านหลัง ตวัดแขนข้างหนึ่งล็อกร่างของแม่สาวผู้โชคร้ายเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างเอื้อมไปปิดปากกันไม่ให้นางส่งเสียงร้อง
“ขอโทษนะแม่หญิง ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ”
เขากระซิบเสียงขรึมขณะออกแรงบังคับหญิงสาวให้ก้าวเดินลึกเข้าไปในห้องเรื่อยๆ โดยที่สายตาพยายามสอดส่ายหาเชือกซึ่งจะนำมาใช้มัดร่างของนางไปด้วย ที่จริงชายหนุ่มจะชกนางให้สลบไปเลยก็ทำได้ แต่เขาไม่อยากใช้วิธีที่ป่าเถื่อนรุ่นแรงเช่นนั้นกับผู้หญิง แม่สาวใช้คนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด นางแค่เข้ามาหยิบไม้ฟืนตามหน้าที่ แต่บังเอิญไม่ถูกเวลาเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเคราะห์ร้ายมากพออยู่แล้ว
ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านในเท่าไหร่ ร่างแบบบางในอ้อมแขนของเขาก็ยิ่งดิ้นรนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หญิงสาวส่งเสียงร้องและพยายามจะเอี้ยวตัวเพื่อหันหน้ามาทางเขา แต่เอลก็ใช้แรงที่มากกว่าบังคับให้นางหันกลับ มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดิมได้ทุกครั้ง จนกระทั่งเขาพาสาวใช้เคราะห์ร้ายเดินมาเกือบจะถึงมุมห้องด้านในสุด บริเวณนั้นค่อนข้างโล่งกว่าส่วนอื่น บนพื้นมีเชือกสำหรับมัดฟืนวางขดอยู่ข้างตะกร้าเก่าๆ และท่อนฟืนขนาดเล็กสำหรับจุดไฟในครัว
เอลกำลังนึกสงสัยว่าจะจับแม่สาวในอ้อมแขนมัดโดยไม่ให้นางส่งเสียงร้องโวยวายจนคนทั้งวิหารแห่กันมาเต็มห้องเก็บฟืนได้อย่างไร จึงไม่ทันระวังตัว ปล่อยให้แม่สาวใช้อาศัยจังหวะที่เขาเผลอ เบี่ยงร่างออกห่างแล้วตวัดศอกเข้าใส่ลำตัวของเขาจนได้ แรงกระแทกจากคมศอกทำเอาชายหนุ่มถึงกับตัวงอด้วยความเจ็บปวด ทั้งงงงันและคาดไม่ถึง
หญิงสาวไม่ปล่อยให้คนที่รวบตัวนางเอาไว้ได้มีเวลาตั้งตัวติด รีบคว้าท่อนแขนกำยำข้างที่อยู่ใกล้มือที่สุด แล้วใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีงัดร่างของชายหนุ่มให้ลอยขึ้น ก่อนจะกระชากข้ามไหล่ส่งเจ้าของร่างให้ลงไปนอนแอ้งแม้งจุกแอ้กอยู่กับพื้น ส่วนตนเองขยับถอยออกมายืนหอบแฮ่กมองดูผลงานด้วยท่าทางสะใจ พอหายใจได้เกือบจะเป็นปรกตินางก็เอ่ยถามเสียงกร้าว
“เล่นบ้าอะไรของเจ้าน่ะเอล”
เขาต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายตั้งคำถาม... ชายหนุ่มค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก รู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะและแผ่นหลังจนชักจะมึน เอ... เมื่อกี้นางเรียกเขาว่ายังไงนะ
“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้”
ประโยคห้วนๆ และน้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้นมาอีก ฟังคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
เอลเบิกตากว้างจ้องมองภาพตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาด้วยรอยยิ้มเครียดๆ ชวนเสียวสันหลังเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้!
ชายหนุ่มร้องบอกตัวเองในใจ เขาต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ แต่สีหน้าและแววตาแบบนี้จะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่...
“เมล!”
เอลอุทานเสียงหลง ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นยืนอ้าปากค้าง
“นี่ท่านนึกยังไงถึงได้...”
เขามองชุดเสื้อกระโปรงติดกันมีผ้ากันเปื้อนคาดเอวแบบสาวใช้ที่อยู่บนร่างของเพื่อนหนุ่ม ด้วยอาการคล้ายจะสำลักลมหายใจตนเอง
ฝ่ายถูกมองยักไหล่ด้วยมาดยียวน ตอบเสียงห้วนสนิทว่า
“ก็ปลอมตัวน่ะสิ ไม่เห็นต้องถาม”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินย้อนกลับไปหยิบเสื้อผ้าหอบโตที่ถือติดมือมาด้วย หากแต่ร่วงลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายรวบร่างเอาไว้ ขึ้นมาสะบัดเบาๆ ก่อนจะยัดใส่มือชายหนุ่มตัวต้นเหตุ พร้อมกับออกคำสั่ง
“เอ้า นี่ชุดของเจ้า รีบไปเปลี่ยนซะ”
เอลก้มลงมองของที่ถูกยัดเยียดให้สลับกับใบหน้าของคนออกคำสั่งเหมือนไม่แน่ใจ หากพอเขาลองคลี่ชุดในมือออกดู ก็ต้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง
“เฮ้ย นี่มัน...”
ชายหนุ่มคีบชุดกระโปรงลายดอกตัวใหญ่พร้อมผ้ากันเปื้อนขลิบลูกไม้ไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งด้วยท่าทางขนลุกขนพอง
“ท่านจะให้ข้าใส่ไอ้นี่เนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะ หรือว่ามันเล็กไป แต่นี่ก็ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมดที่ตากอยู่กลางลานแล้วนะ ตัวโตขนาดเจ้าหาเสื้อผ้ายากชะมัดเลยรู้มั้ย อ้อ ยังมีนี่อีก” เมลิอานาร์หยุดพูดแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน หยิบผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ขึ้นมาโบกสะบัดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
“ข้าว่าเจ้าโพกผ้านี่ไว้ด้วยดีกว่า จะได้ไม่ดูสะดุดตาจนเกินไปนัก”
“ท่านพูดเล่นหรือไงท่านเมล ถ้าต้องใส่ไอ้นี่ ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
เมลิอานาร์หัวเราะออกมาเต็มเสียงเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่ม
“อะไรกันเอล ข้านึกว่านี่เป็นงานอดิเรกของเจ้าซะอีก ทีตอนเป็น ‘เอลลี่’ ยังไม่เห็นเจ้าบ่นอะไรสักคำ”
“โธ่ นั่นมัน...” เอลอึกอัก ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำไปถึงใบหู ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่
“ท่านนึกว่าข้าอยากเองหรือไง ถ้าไม่เพราะความจำเป็นละก็...”
“งั้นนี่ก็ ‘จำเป็น’ เหมือนกันแหละ อย่ามัวแต่เรื่องมากอยู่เลยน่าเอล เจ้ารีบเปลี่ยนชุดซะ ข้าไม่มีเวลารอเจ้าทั้งวันนะ”
เมลิอานาร์ตัดบทด้วยการโบกมือให้สหายหนุ่มแล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปดูลาดเลาที่ประตู ทิ้งให้เขายืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่คนเดียว
“ให้ตายเถอะ” เอลสบถอย่างหัวเสีย ถ้าเขารู้ว่าเรื่องมันต้องลงเอยอย่างนี้ละก็ จะคัดค้านแผนการของหมอนั่นชนิดหัวชนฝาเลยทีเดียว
“อย่าเสียงดังซี่ เดี๋ยวท่านป้าสงสัยขึ้นมาจะลำบาก” เขาก้มหน้าลงกระซิบเตือนเสียงหนัก
เมลิอานาร์ยกมือลูบรอยนูนกลางกระหม่อมที่เกิดขึ้นรวดเร็วทันใจพลางสูดปาก เกวียนก็แล่นเรียบดีมาตลอดแท้ๆ ใครจะนึกว่าอยู่ๆ จะเกิดเสียหลักขึ้นมาได้
“เจ็บมากหรือ”
คนถามยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสามารถแลเห็นผิวขาวละเอียดน่าอิจฉาและรอยบุ๋มเล็กๆ บริเวณปลายคางได้ถนัด ริมฝีปากสีสดได้รูปสวยตัดกับไรหนวดเขียวที่ลอยอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบมีรอยยิ้มขบขันประดับอยู่บางๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดอยู่ข้างผิวแก้มนวลขณะที่เสียงห้าวทุ้มกระซิบสั่ง
“อยู่นิ่งๆ นะ เดี๋ยวข้าจะดูให้ว่าแตกหรือเปล่า”
หญิงสาวรีบเบนศีรษะหนี พร้อมกับขู่ฟ่อทันที
“ไม่ต้อง”
“ไม่ต้องได้ยังไง อยู่นิ่งๆ ซี่ เดี๋ยวก็ได้อีกแผลหรอก” ไม่พูดเปล่า เจ้าของมือยังพยายามจะแหวกดูรอยกระแทกบนศีรษะของนางเสียอีกแน่ะ
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ต้องไงล่ะ หัวของข้าข้าก็ต้องรู้สิว่าแตกหรือเปล่า”
เอลเหลือบตามองใบหน้าแดงก่ำของคนตัวเล็กกว่าแล้วต้องกลั้นยิ้ม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีอาการขัดขืนไม่พอใจเขาก็ยิ่งอยากแกล้ง อ้อมแขนแข็งแรงจึงโอบกระชับรอบเอวบาง รั้งร่างเจ้าของเข้ามาประชิดอกเสียเลย ฝ่ายถูกโอบก็คงจะนึกไม่ถึงเช่นกันจึงไม่ทันได้ขืนตัวไว้ ร่างผอมบางภายใต้เสื้อทูนิกตัวโคร่งเลยสัมผัสกับแผงอกแบนเรียบของเขาเข้าอย่างจัง
เมลิอานาร์ทั้งผลักทั้งดิ้นจนมือของคนตัวใหญ่กว่ายอมคลายออกในที่สุด เมื่อสลัดตัวหลุดจากอ้อมอกของชายหนุ่มได้สำเร็จ หญิงสาวก็กระถดตัวถอยห่างจากเขาจนหลังแทบจะเบียดเป็นเนื้อเดียวกับแผงไม้ข้างเกวียน จ้องชายหนุ่มตาเขียวด้วยท่าทางเอาเรื่อง หากพอนางตั้งท่าจะเปิดศึก ฝ่ายนั้นกลับรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้าม มองมาด้วยดวงตาพราวระยับอย่างเป็นต่อ
หญิงสาวจำต้องกล้ำกลืนถ้อยคำเผ็ดร้อนที่แย่งกันวิ่งขึ้นมารออยู่แถวปลายลิ้นลงคอไปอย่างยากลำบาก ใจหนึ่งก็อยากจะโวยใส่อีกฝ่ายให้หายแค้น แต่ก็กลัวว่าเสียงจะดังออกไปถึงหูคนบังคับเกวียนให้ความแตกเสียเปล่าๆ จึงได้แต่คว้ากระสอบป่านที่เลื่อนตกอยู่ข้างตัวเพราะแรงเหวี่ยงของเกวียน ขึ้นมาคลุมร่างไว้ตามเดิม หลับตาลงแล้วพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มตัวต้นเหตุได้ อย่างน้อยการไม่ต้องเห็นหน้าเขาชั่วคราวคงจะช่วยให้อารมณ์ของนางเย็นลงได้บ้าง
ทันทีที่ดวงตาคู่งามของหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันปิดสนิทลง สีหน้ายิ้มระรื่นของคนที่นอนตะแคงมองดูอยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนไป
เอลยังคงจ้องมองไปที่เจ้าของร่างผอมบางไม่วางตา แม้ว่าฝ่ายนั้นจะคลุมตัวเองมิดชิดด้วยกระสอบป่าน นอนนิ่งไปนานแล้ว ร่องรอยขบขันในดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวของชายหนุ่มเลือนหายไปไม่มีเหลือ กลายเป็นอาการขมวดคิ้วครุ่นคิดขึ้นมาแทน
เจ้าหนุ่มหน้าอ่อน สวยราวกับผู้หญิงตรงหน้านี้ มีอะไรปิดบังเขาอยู่หรือเปล่าหนอ...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอลตั้งคำถามถามตัวเองเกี่ยวกับหนุ่มหล่อรายนี้ ตั้งแต่ออกเดินทางจากกรีนแลนด์มาด้วยกัน เมลก็มีอะไรสะกิดใจชวนให้เขานึกสงสัยอยู่หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่รูปกายภายนอกที่เห็นนั่นเลย รูปร่างของเมลดูจะผอมบางเกินไปสักหน่อยถ้าวัดตามมาตรฐานของชายหนุ่มในวัยเดียวกัน หากไม่ได้ยินจากปากเจ้าหญิงกาอิยาห์ว่าอาจารย์ของนางอายุยี่สิบ เขาคงนึกว่าเมลเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นเป็นแน่ ก็ขนาดเจ้ากันนาร์ที่มีหุ่นเพรียวลมสะโอดสะองของแท้ ยังดู ‘หนา’ กว่ากันตั้งเป็นกอง
นอกจากเรื่องรูปร่างแล้ว ชายหนุ่มยังอดรู้สึกสะดุดหูกับเสียงนุ่มไพเราะของสหายชาวแลมพ์ตันผู้นี้ไม่ได้ แม้ว่าเสียงของเมลจะไม่ถึงกับแหลมเล็กแบบเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม หากก็ห่างไกลจากเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายวัยฉกรรจ์อยู่หลายขุม โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าตัวหัวเราะหรืออุทานด้วยความตกใจ กังวานของน้ำเสียงจะแหลมสูงจนฟังคล้ายเสียงสตรีเลยทีเดียว
ทว่าสิ่งที่รบกวนจิตใจราชาหนุ่มมากที่สุดเวลานี้ กลับไม่ใช่ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและน้ำเสียงของสหายร่วมทาง แต่เป็น...สัมผัสนุ่มนวลประหลาดล้ำนั่นต่างหาก!
จริงอยู่ว่าผู้ชายอาจจะมีรูปร่างหน้าตาบอบบาง หรือแม้กระทั่งมีเสียงนุ่มไพเราะคล้ายผู้หญิงได้ แต่ผู้ชายที่ไหนกันเล่าจะมี ‘หน้าอก’ เหมือนผู้หญิง
เอลหรี่ตามองร่างที่ซ่อนอยู่ใต้กระสอบเปล่าตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ
ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ผู้ชายจะมี ‘สิ่งนั้น’ เหมือนผู้หญิงไปได้อย่างไร ในเมื่อเทพเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งสองเพศให้มีความแตกต่างกันทางด้านสรีระอย่างชัดเจน
แม้จะคิดเช่นนั้น หากชายหนุ่มก็ไม่อาจอธิบายให้ตนเองเข้าใจได้ว่า สัมผัสอ่อนนุ่มยืดหยุ่นบนแผ่นอกเมื่อครู่นี้คืออะไร ซ้ำร้าย พอยิ่งคิดหนักเข้า แทนที่จะพบคำตอบ เขากลับได้คำถามใหม่ที่รบกวนหัวใจยิ่งกว่าเก่าขึ้นมาแทน
เมลเป็นผู้ชายแน่หรือ...
จะว่าไปแล้ว เขายังไม่เคยเห็นสหายรูปหล่อรายนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าต่อตาเลยสักครั้ง แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำ หมอนั่นก็ไม่เคยอาบให้เขาเห็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมลกำลังปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างเอาไว้จริงๆ
เกวียนขนของค่อยๆ ชะลอตัวช้าลงจนหยุดสนิทอยู่กับที่ เสียงพูดคุยถามไถ่ของสตรีนางหนึ่งดังลอดผ้าฝ้ายผืนหนาเข้ามาให้ได้ยินอยู่แว่วๆ ทำให้เจ้าคนที่ชายหนุ่มลอบจับตามองเริ่มขยับตัว พร้อมกับหันมาสะกิดให้เขาดึงกระสอบเปล่าอีกผืนขึ้นมาคลุมร่างไว้ จากนั้นเจ้าตัวก็บ่นอะไรงึมงำอยู่คนเดียวด้วยภาษาที่ชายหนุ่มฟังไม่รู้เรื่อง พอขาดคำ ผ้าผืนหนาที่ปิดคลุมสินค้าในเกวียนอยู่ก็ถูกกระชากเปิดออกแทบจะทันที
เอลเผลอกลั้นหายใจ หลับตาแน่นโดยไม่รู้ตัว เฝ้ารอเวลาที่จะถูกมือของใครบางคนกระชากร่างออกจากกองสัมภาระตามติดผ้าผืนนั้นไปบ้าง หากรออยู่นานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงกล้าพอที่จะลืมตาขึ้นมอง
ภาพที่เขาเห็นผ่านช่องตารางห่างๆ ของผืนกระสอบ คือร่างสูงสง่าน่าเกรงขามของนักบวชหญิงที่เดินวนเวียนตรวจตราสินค้าในเกวียน แล้วบังเอิญมาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่เขาขดตัวซ่อนอยู่พอดี ชายหนุ่มพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มแผ่นหลังไปหมดทั้งที่อากาศยามนั้นก็ไม่ได้ร้อนสักนิด เป็นเวลานานทีเดียวกว่านักบวชหญิงผู้นั้นจะละสายตาจากกองสัมภาระรอบร่างเขา หันไปส่งสัญญาณให้แม่ค้าชาวบัลซาร์พาเกวียนเคลื่อนที่ต่อไปได้
เอลรับรู้อาการไหวสะเทือนน้อยๆ ใต้ร่างขณะที่ล้อเกวียนเริ่มหมุนอีกครั้งด้วยความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเกือบจะเผลอถอนหายใจออกมาแล้ว หากต้องพยายามกลั้นเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงดังจนได้ยินไปถึงคนบังคับเกวียน ชายหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ครามครันที่นักบวชหญิงมองไม่เห็นทั้งเขาและเมล ทั้งที่กระสอบป่านก็ใช่ว่าจะผืนใหญ่ ต่อให้พยายามขดตัวยังไง ก็คงต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโผล่ออกไปให้เห็นบ้างละน่า...แล้วทำไมนางถึงไม่สังเกตเห็น
ยังไม่ทันจะได้คิดหาคำตอบให้ตนเอง เกวียนขนของก็แล่นอ้อมตัวตึกเก่าแก่ด้านหน้า ผ่านสวนสมุนไพรและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อม มาหยุดนิ่งอยู่ในพื้นที่ส่วนหลังของวิหารซึ่งมีโรงครัวชั้นเดียวสร้างด้วยหินสีเทาทึมตั้งอยู่โดดเดี่ยว ด้านหนึ่งติดกับลานซักล้างเยื้องบ่อน้ำขนาดใหญ่ก่อด้วยหินมีหลังคาคลุม อีกด้านติดกับทางเดินออกสู่ป่าละเมาะนอกอาณาเขตวิหาร
เอลแอบมองผ่านรอยต่อของแผ่นไม้ข้างเกวียน เห็นแม่ค้าร่างอ้วนเดินตรงไปเคาะประตูบานเล็กด้านหลังโรงครัวอย่างคุ้นเคย สักพักประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงผู้หนึ่งชะโงกหน้าออกมามองแล้วทำกิริยาเชื้อเชิญให้นางก้าวเข้าไปภายใน
พอลับร่างของสตรีทั้งสอง เอลก็ถูกสะกิดอีกครั้งโดยคนข้างกาย ฝ่ายนั้นส่งสัญญาณบอกให้เขากระโดดลงจากเกวียนแล้วพุ่งตัวนำลงไปก่อน ชายหนุ่มจึงรีบกระทำตามบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยเคยคุ้นกับการเคลื่อนไหวทำนองนี้ เขาจึงเสียหลักล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เสียงดังพลั่กและฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบ ทำให้คนนำหน้าต้องหันกลับมามองด้วยทีท่าอนาถใจ ก่อนจะขยับเข้ามาลากแขนเขาให้วิ่งต่อไปจนถึงบ่อน้ำใกล้ๆ ได้สำเร็จ ทันเวลาก่อนที่แม่ค้าชาวบัลซาร์จะย้อนกลับมาที่เกวียนพอดี
ชายหนุ่มค่อยๆ แนบแผ่นหลังเข้ากับก้อนศิลาชื้นเย็นเต็มไปด้วยคราบตะไคร่ พยายามงอตัวให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับขอบบ่อไว้เสมอ เขาเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวังเต็มที่ โชคดีที่การซักผ้าช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปแล้ว บริเวณลานซักล้างจึงปราศจากผู้คน เอลลอบระบายลมหายใจแผ่วๆ ก่อนจะเอี้ยวกาย ยืดร่างขึ้นแค่พอให้ดวงตาโผล่พ้นเหนือขอบบ่อ เฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่โรงครัวด้วยหัวใจเต้นระทึก
นอกจากแม่ค้าชาวบัลซาร์แล้ว ยังมีหญิงรับใช้และสตรีวัยกลางคนร่างท้วมอีกผู้หนึ่งตามหลังนางออกมาด้วย สตรีคนหลังสุดนี้ยืนมองดูสาวใช้ช่วยกันลำเลียงข้าวของจากเกวียนเข้าไปเก็บในห้องครัวด้วยท่าทางเข้มงวด สักพักนางก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนเป็นแม่ค้า อาการทำไม้ทำมือของนางบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน บางทีนางอาจจะรู้แล้วว่าสินค้าที่นำมาส่งคราวนี้ไม่ครบตามจำนวน
เอลรู้สึกเห็นใจแม่ค้าร่างอ้วนอยู่เหมือนกัน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าเขากับเมลไม่แอบขนสินค้าบางส่วนลงเสียบ้างก็คงไม่สามารถเข้าไปขดตัวซ่อนอยู่ในเกวียนขนของแคบๆ เช่นนั้นได้ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า หันไปกระซิบถามคนข้างกาย
“ทีนี้เอาไงต่อล่ะท่านเมล”
ฝ่ายถูกถามขบริมฝีปากล่างทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
“ไปหลบทางโน้นก่อนแล้วกัน”
เอลทอดสายตามองข้ามลานกว้างด้านขวามือไป ‘ทางโน้น’ ตามที่ชายหนุ่มหน้าสวยพูดถึง สิ่งที่เขาเห็นผ่านบรรดาผ้าปูเตียงและชุดเสื้อกระโปรงหลากสีซึ่งโบกสะบัดล้อลมอยู่บนราวไม้ คือที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างขนาดกะทัดรัดประกอบขึ้นจากไม้ทั้งหลัง ลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมห้องเดียว ไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูและช่องระบายอากาศเป็นซี่ไม้ตีโปร่งๆ อยู่สูงขึ้นไป หลังคาด้านหนึ่งยื่นล้ำออกมาเหมือนปีกรองรับด้วยเสาไม้แข็งแรง แผ่ร่มเงาปกคลุมท่อนฟืนสดจำนวนมากที่วางเรียงซ้อนเป็นกองสูงอยู่บนยกพื้นเตี้ยๆ หน้าประตูบานแคบมีแท่นไม้ทรงกลมสำหรับผ่าฟืนตั้งอยู่ ขวานเล่มใหญ่วางพิงอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยมัดฟืนขนาดเล็กสองสามมัด ห่างออกไปอีกหน่อยเป็นที่ตั้งของเรือนแถวยาวก่อด้วยอิฐสีแดงดูโอ่อ่า จำนวนหน้าต่างหลายสิบบานที่เห็น ทำให้เอลเดาได้ไม่ยากว่าอาคารหลังนี้คงจะเป็นเรือนพักของพวกนักบวช
เมลิอานาร์ชะเง้อมองกลุ่มสตรีที่พากันออกมายืนอออยู่หลังโรงครัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกนางต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เกวียนขนของ จึงส่งสัญญาณให้เอลออกวิ่งตัดลานกว้าง เร้นกายลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างราวไม้แต่ละแถว อาศัยบรรดาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตากอยู่บนนั้นช่วยกำบังร่างไว้จากสายตาของคนในวิหารอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมาถึงจุดหมาย หญิงสาวก็ออกแรงดึงประตูบานแคบให้แง้มเปิดออก แล้วแทรกกายเข้าไปภายในอย่างรวดเร็วโดยมีเอลก้าวตามมาติดๆ
สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่เมื่อปิดประตูลงตามหลังคือห้องสี่เหลี่ยมค่อนข้างมืด มีละอองฝุ่นบางเบาปลิวให้เห็นอยู่ยิบๆ ในแสงแดดซีดจางที่ส่องกระทบฝาผนังเป็นลำผ่านทางช่องลม มุมหนึ่งของห้องเต็มไปด้วยไม้ฟืนที่ผ่านการตากจนแห้งสนิทดีแล้ว เรียงเป็นกองสูงท่วมศีรษะ อีกมุมหนึ่งมีตะกร้าสำหรับขนฟืนทำจากแผ่นหนังรูปรีพร้อมหูหิ้วโค้งๆ วางสุมอยู่ นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้แห้งขนาดเล็กมัดรวมกันเป็นกำ วางพิงฝาห้องอยู่หลายสิบกำ
เอลทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้นด้วยอาการคล้ายคนหมดแรง ถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“อ้าว” เขาร้องพลางเงยหน้ามองคนถามที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ข้างกาย แต่ไม่อาจเห็นสีหน้าของฝ่ายนั้นได้ถนัด
“ท่านไม่เห็นตอนที่นักบวชหญิงยืนจ้องอยู่ข้างเกวียนหรือไง ข้านึกว่าจะถูกนางจับโยนออกไปนอกวิหารซะแล้ว ยังแปลกใจไม่หายที่นางยอมปล่อยให้เกวียนผ่านเข้ามาง่ายๆ เหมือนกับมองไม่เห็นพวกเราอย่างนั้นแหละ”
“ก็ไม่เห็นน่ะสิ” เมลิอานาร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด แล้วขยายความต่อเมื่อได้ยินเสียงอุทานเหมือนไม่เชื่อถือของคนฟัง
“ข้าท่องคาถาทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้น นางคงมองเห็นเราสองคนเป็นกระสอบมันฝรั่งหรืออะไรสักอย่างละมั้ง”
“คาถา” เอลทวนคำก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกับตนเอง “มิน่าล่ะ”
ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมาเมื่อครู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้
“แผนการบ้าบิ่นของท่านนี่นับว่าไม่เลวเหมือนกันนะท่านเมล”
“อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป เอล” ฝ่ายถูกชมไม่ยักปลื้มไปด้วย
“ส่วนที่ยากที่สุดของแผนข้ามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหาก”
พูดแล้วหญิงสาวก็สะกิดไหล่คนที่นั่งขวางทางอยู่ให้หลีก ก่อนจะแง้มประตูให้เปิดออกอีกครั้ง สอดส่ายสายตาผ่านช่องแคบๆ ออกไปสำรวจสภาพภายนอก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงหันกลับมา บอกกับชายหนุ่มเพียงสั้นๆ ว่า
“เจ้ารออยู่นี่ก่อนนะเอล”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คนออกคำสั่งก็ก้าวพรวดออกไปจากห้อง เอลจึงจำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งพิงผนัง หลบอยู่ในเงามืดข้างกองฟืน เหม่อมองไปที่ประตูบานเดียวในห้องนั้นอย่างไม่รู้จะทำอะไร ดีหน่อยที่ตอนนี้เพิ่งจะย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง ห้องเก็บฟืนจึงถือได้ว่าเป็นที่ซ่อนที่ปลอดภัยพอสมควร อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีใครสักคนต้องการใช้ฟืนขึ้นมานั่นแหละ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนคนที่ได้แต่นั่งรออยู่เฉยๆ เริ่มรู้สึกง่วง หากพอหนังตาอันหนักอึ้งของเขาทำท่าจะปิด ประตูบานเดิมก็ถูกดึงให้เปิดออกอีกครั้ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาของมันทำให้เอลสะดุ้งเฮือก เกือบจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจอยู่แล้ว ดีแต่ว่าสายตาเหลือบไปเห็นผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน จึงยั้งตัวเองเอาไว้ทัน
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ เมื่อสิ่งที่เขานึกกลัวเกิดเป็นจริงขึ้นมารวดเร็วทันใจขนาดนี้ โชคดีที่แม่สาวใช้ประจำวิหารผู้นั้นเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง จึงต้องอาศัยเวลาในการปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างที่ลดลงเสียก่อน ชายหนุ่มจึงถือโอกาสตอนที่นางหันไปหับบานประตู ย่องเงียบกริบเข้าไปทางด้านหลัง ตวัดแขนข้างหนึ่งล็อกร่างของแม่สาวผู้โชคร้ายเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างเอื้อมไปปิดปากกันไม่ให้นางส่งเสียงร้อง
“ขอโทษนะแม่หญิง ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ”
เขากระซิบเสียงขรึมขณะออกแรงบังคับหญิงสาวให้ก้าวเดินลึกเข้าไปในห้องเรื่อยๆ โดยที่สายตาพยายามสอดส่ายหาเชือกซึ่งจะนำมาใช้มัดร่างของนางไปด้วย ที่จริงชายหนุ่มจะชกนางให้สลบไปเลยก็ทำได้ แต่เขาไม่อยากใช้วิธีที่ป่าเถื่อนรุ่นแรงเช่นนั้นกับผู้หญิง แม่สาวใช้คนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด นางแค่เข้ามาหยิบไม้ฟืนตามหน้าที่ แต่บังเอิญไม่ถูกเวลาเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเคราะห์ร้ายมากพออยู่แล้ว
ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านในเท่าไหร่ ร่างแบบบางในอ้อมแขนของเขาก็ยิ่งดิ้นรนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หญิงสาวส่งเสียงร้องและพยายามจะเอี้ยวตัวเพื่อหันหน้ามาทางเขา แต่เอลก็ใช้แรงที่มากกว่าบังคับให้นางหันกลับ มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดิมได้ทุกครั้ง จนกระทั่งเขาพาสาวใช้เคราะห์ร้ายเดินมาเกือบจะถึงมุมห้องด้านในสุด บริเวณนั้นค่อนข้างโล่งกว่าส่วนอื่น บนพื้นมีเชือกสำหรับมัดฟืนวางขดอยู่ข้างตะกร้าเก่าๆ และท่อนฟืนขนาดเล็กสำหรับจุดไฟในครัว
เอลกำลังนึกสงสัยว่าจะจับแม่สาวในอ้อมแขนมัดโดยไม่ให้นางส่งเสียงร้องโวยวายจนคนทั้งวิหารแห่กันมาเต็มห้องเก็บฟืนได้อย่างไร จึงไม่ทันระวังตัว ปล่อยให้แม่สาวใช้อาศัยจังหวะที่เขาเผลอ เบี่ยงร่างออกห่างแล้วตวัดศอกเข้าใส่ลำตัวของเขาจนได้ แรงกระแทกจากคมศอกทำเอาชายหนุ่มถึงกับตัวงอด้วยความเจ็บปวด ทั้งงงงันและคาดไม่ถึง
หญิงสาวไม่ปล่อยให้คนที่รวบตัวนางเอาไว้ได้มีเวลาตั้งตัวติด รีบคว้าท่อนแขนกำยำข้างที่อยู่ใกล้มือที่สุด แล้วใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีงัดร่างของชายหนุ่มให้ลอยขึ้น ก่อนจะกระชากข้ามไหล่ส่งเจ้าของร่างให้ลงไปนอนแอ้งแม้งจุกแอ้กอยู่กับพื้น ส่วนตนเองขยับถอยออกมายืนหอบแฮ่กมองดูผลงานด้วยท่าทางสะใจ พอหายใจได้เกือบจะเป็นปรกตินางก็เอ่ยถามเสียงกร้าว
“เล่นบ้าอะไรของเจ้าน่ะเอล”
เขาต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายตั้งคำถาม... ชายหนุ่มค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก รู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะและแผ่นหลังจนชักจะมึน เอ... เมื่อกี้นางเรียกเขาว่ายังไงนะ
“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้”
ประโยคห้วนๆ และน้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้นมาอีก ฟังคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
เอลเบิกตากว้างจ้องมองภาพตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาด้วยรอยยิ้มเครียดๆ ชวนเสียวสันหลังเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้!
ชายหนุ่มร้องบอกตัวเองในใจ เขาต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ แต่สีหน้าและแววตาแบบนี้จะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่...
“เมล!”
เอลอุทานเสียงหลง ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นยืนอ้าปากค้าง
“นี่ท่านนึกยังไงถึงได้...”
เขามองชุดเสื้อกระโปรงติดกันมีผ้ากันเปื้อนคาดเอวแบบสาวใช้ที่อยู่บนร่างของเพื่อนหนุ่ม ด้วยอาการคล้ายจะสำลักลมหายใจตนเอง
ฝ่ายถูกมองยักไหล่ด้วยมาดยียวน ตอบเสียงห้วนสนิทว่า
“ก็ปลอมตัวน่ะสิ ไม่เห็นต้องถาม”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินย้อนกลับไปหยิบเสื้อผ้าหอบโตที่ถือติดมือมาด้วย หากแต่ร่วงลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายรวบร่างเอาไว้ ขึ้นมาสะบัดเบาๆ ก่อนจะยัดใส่มือชายหนุ่มตัวต้นเหตุ พร้อมกับออกคำสั่ง
“เอ้า นี่ชุดของเจ้า รีบไปเปลี่ยนซะ”
เอลก้มลงมองของที่ถูกยัดเยียดให้สลับกับใบหน้าของคนออกคำสั่งเหมือนไม่แน่ใจ หากพอเขาลองคลี่ชุดในมือออกดู ก็ต้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง
“เฮ้ย นี่มัน...”
ชายหนุ่มคีบชุดกระโปรงลายดอกตัวใหญ่พร้อมผ้ากันเปื้อนขลิบลูกไม้ไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งด้วยท่าทางขนลุกขนพอง
“ท่านจะให้ข้าใส่ไอ้นี่เนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะ หรือว่ามันเล็กไป แต่นี่ก็ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมดที่ตากอยู่กลางลานแล้วนะ ตัวโตขนาดเจ้าหาเสื้อผ้ายากชะมัดเลยรู้มั้ย อ้อ ยังมีนี่อีก” เมลิอานาร์หยุดพูดแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน หยิบผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ขึ้นมาโบกสะบัดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
“ข้าว่าเจ้าโพกผ้านี่ไว้ด้วยดีกว่า จะได้ไม่ดูสะดุดตาจนเกินไปนัก”
“ท่านพูดเล่นหรือไงท่านเมล ถ้าต้องใส่ไอ้นี่ ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
เมลิอานาร์หัวเราะออกมาเต็มเสียงเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่ม
“อะไรกันเอล ข้านึกว่านี่เป็นงานอดิเรกของเจ้าซะอีก ทีตอนเป็น ‘เอลลี่’ ยังไม่เห็นเจ้าบ่นอะไรสักคำ”
“โธ่ นั่นมัน...” เอลอึกอัก ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำไปถึงใบหู ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่
“ท่านนึกว่าข้าอยากเองหรือไง ถ้าไม่เพราะความจำเป็นละก็...”
“งั้นนี่ก็ ‘จำเป็น’ เหมือนกันแหละ อย่ามัวแต่เรื่องมากอยู่เลยน่าเอล เจ้ารีบเปลี่ยนชุดซะ ข้าไม่มีเวลารอเจ้าทั้งวันนะ”
เมลิอานาร์ตัดบทด้วยการโบกมือให้สหายหนุ่มแล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปดูลาดเลาที่ประตู ทิ้งให้เขายืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่คนเดียว
“ให้ตายเถอะ” เอลสบถอย่างหัวเสีย ถ้าเขารู้ว่าเรื่องมันต้องลงเอยอย่างนี้ละก็ จะคัดค้านแผนการของหมอนั่นชนิดหัวชนฝาเลยทีเดียว
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2556, 08:53:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2556, 09:00:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 1828
<< ตอนที่ 16 | ตอนที่ 18 >> |