ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 18
บนค้างไม้สูงระดับศีรษะเหนือผืนดินแปลงน้อย ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้หยักเป็นแฉกสีเขียวแกมเหลือง มีผลสีม่วงเข้มขององุ่นปลายฤดูปรากฏให้เห็นอยู่ประปราย บรรดาหญิงรับใช้ประจำวิหารและนักบวชฝึกหัดหลายนางต่างก็วุ่นอยู่กับการเก็บผลองุ่นรุ่นสุดท้ายนี้ เพื่อให้เสร็จทันก่อนที่อากาศหนาวจะมาเยือน ผลองุ่นส่วนหนึ่งจะถูกนำไปหมักเป็นไวน์ไว้ดื่มในวิหารตลอดทั้งปี อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปตากแห้งเก็บไว้สำหรับปรุงยาบางชนิด พวกนางมัวแต่เร่งมือเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะสนทนาหยอกล้อกัน ดังนั้นเมื่อหญิงสาวในชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีน้ำเงินเข้มมีผ้ากันเปื้อนสีขาวคาดเอวเดินผ่าน จึงไม่มีใครแสดงทีท่าว่าจะสังเกตเห็นหรือสนใจมองแม้แต่น้อย
เมลิอานาร์เดินอ้อมแปลงปลูกองุ่นไปโดยไม่มีคนตัวโตตามติดเป็นเงาอย่างเคย ครั้งนี้เอลยืนยันหนักแน่นว่า หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมสวมชุดสาวใช้ลายดอกที่นางอุตสาห์ลำบากลำบนไปหามาให้ หญิงสาวจึงจำต้องทิ้งให้ชายหนุ่มรออยู่ที่ห้องเก็บฟืนเพียงลำพัง
ถัดจากแปลงปลูกองุ่นไปไม่ไกลคือสวนสมุนไพรของวิหารรีอา เมลิอานาร์เพ่งมองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจึงตัดสินใจที่จะแวะเข้าไปสำรวจดูพรรณไม้ที่ปลูกอยู่ในสวนสักหน่อย นางเห็นพืชหายากหลายชนิดขึ้นปะปนอยู่กับสมุนไพรธรรมดาอย่างพวกบลัดรูท พิงค์รูทหรือเบลลาดอนน่า จึงไม่แปลกใจเลยที่เห็นไม้มีพิษอย่างลาเบอนัมยืนต้นตระหง่านอวดดอกสีเหลืองสวยอยู่ระหว่างต้นแบล็กวิลโลใหญ่ เห็นอย่างนี้แล้วยิ่งทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าวิหารรีอาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาพิษสิบสองอย่าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะมัวแต่เดินมองต้นไม้เพลินอยู่ หญิงสาวจึงไม่ทันเห็นสาวใช้วัยแรกรุ่นที่โผล่พรวดออกมาจากหลังต้นแอชริมทาง ฝ่ายหลังเองก็คงจะยั้งฝีเท้าไม่ทันเช่นกันจึงชนเข้ากับนางเต็มแรง ส่งผลให้ร่างผอมบางล้มลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น ตะกร้าหวายที่ถือมาด้วยหลุดมือกลิ้งตะแคงอยู่ข้างกาย ข้าวของกระจายเกลื่อน
เมลิอานาร์ยืนตัวแข็งพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พอหายตกใจนางก็รีบขยับเข้าไปช่วยพยุงเด็กสาวให้ลุกขึ้น ใช้มือปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากกระโปรงของฝ่ายนั้นแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าน้องสาว เจ็บตรงไหนบ้างมั้ย ข้าไม่ทันเห็นเจ้าจริงๆ ขอโทษที”
แม่สาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงถามนุ่มหูด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน นางอ้าปากจะตอบ หากแล้วกลับชะงัก ทำตาโตอุทานออกมาว่า
“ท่านนักบวช!”
เมลิอานาร์ใจหายวาบ ภาพใบหน้าอ่อนเยาว์กับดวงตาสีน้ำตาลแจ่มใสค่อยๆ ผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ ให้ตายเถอะ ไม่นึกเลยว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้
หญิงสาวพยายามตีหน้าตายขณะปฏิเสธ
“เจ้าจำคนผิดแล้วน้องสาว”
“เอ๊ะ แต่ข้าจำได้ว่าเพิ่งเจอท่านนักบวชที่ตลาดเมื่อวันวาน”
“ไม่ใช่หรอก ดูให้ดีๆ สิ ข้าก็เป็นสาวใช้เหมือนกับเจ้านั่นแหละ ใช้นักบวชที่ไหนกัน”
ประโยคปฏิเสธหนักแน่นของอีกฝ่าย ทำให้เด็กสาวชักจะเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาบ้าง
“เอ หรือว่าข้าจะจำคนผิดไปจริงๆ ขอโทษเถอะค่ะ แต่พี่สาวกับนักบวชหนุ่มคนนั้นหน้าตาคล้ายกันมากเหลือเกิน อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นคนอื่นก็ต้องทักผิดทั้งนั้นแหละ” สาวน้อยยิ้มเขินขณะถามต่อไปเหมือนชวนคุยว่า
“พี่สาวมาอยู่ที่วิหารนี่นานแล้วหรือคะ”
“เอ่อ... ก็ไม่ค่อยนานเท่าไหร่หรอก” เมลิอานาร์ตอบอ้อมแอ้ม
“มิน่า พวกเราถึงไม่เคยเดินสวนกันมาก่อน ข้าชื่อมาเรียค่ะ แล้วพี่ล่ะคะ”
“ข้าชื่อเมล”
“ชื่อแปลกจัง”
มาเรียก้มลงเก็บรากไม้และใบไม้ที่หล่นกระจายอยู่รอบตัวใส่กลับเข้าไปในตะกร้า เมลิอานาร์จึงลงมือช่วยนางอีกแรง หญิงสาวตั้งใจว่าจะลองชวนเด็กสาวพูดคุยต่อไปอีกสักหน่อย เพื่อหลอกถามทางไปยังห้องปรุงยาของวิหาร แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากก็ถูกแม่สาวน้อยชิงตั้งคำถามตัดหน้าขึ้นเสียก่อน
“พี่มาทำอะไรแถวนี้หรือคะ ข้าได้ยินว่าท่านหัวหน้านักบวชมีแขกสำคัญมาพบเลยเรียกพวกเราขึ้นไปรับใช้ที่วิหารใหญ่เกือบหมด ข้างล่างนี่เหลือแต่ข้ากับพวกที่กำลังเร่งมือเก็บองุ่นอยู่เท่านั้น”
“เอ่อ...คือ...”
“อ๊ะ หรือว่าท่านหัวหน้านักบวชใช้ให้พี่มาเอาอะไร” มาเรียหาคำตอบให้ตัวเองเสร็จสรรพ
เมลิอานาร์รีบพยักหน้าเออออไปกับเด็กสาวทันที ไม่น่าเชื่อว่าโอกาสของนางจะมาถึงง่ายดายขนาดนี้ “ใช่แล้วละ ท่านหัวหน้านักบวชใช้ให้ข้ามาเอา...เอ่อ...ยาน่ะ”
“อ๋อ งั้นตามมาทางนี้เลยค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พี่ต้องเสียเวลาเดินตามหา พอดีข้าออกมาเก็บสมุนไพรให้นายหญิงน่ะค่ะ”
มาเรียเดินนำหญิงสาวไปตามทางเล็กๆ ข้างสวนสมุนไพร ตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เป็นลานดินปราบเรียบ มีแคร่ไม้ปูผ้าขาวเต็มไปด้วยชิ้นส่วนตากแห้งของพืชตั้งเรียงเป็นระเบียบอยู่หน้าอาคารก่อด้วยอิฐสีเทาทึม
“พี่รอสักครู่นะคะ” เด็กสาวหันมาบอกก่อนจะไขกุญแจเพื่อเปิดประตูไม้ทั้งสองบาน แล้วก้าวนำเข้าไปภายใน ปากก็อธิบายอยู่แจ้วๆ
“ห้องปรุงยานี้ท่านหัวหน้านักบวชหวงมากค่ะ ข้าเลยต้องปิดล็อกเอาไว้เวลาที่ไม่มีใครอยู่เฝ้า”
เมลิอานาร์มองสำรวจไปรอบห้องด้วยความสนใจ นอกจากชั้นวางสมุนไพรตากแห้งที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้องแล้ว ยังมีโต๊ะไม้ตัวยาวตั้งอยู่กลางห้องอีกตัวหนึ่ง บนโต๊ะเต็มไปด้วยถ้วยกระเบื้องใบเล็กใบน้อย ตะเกียงน้ำมันพร้อมขาตั้ง หม้อทองเหลือง ตาชั่ง และครกใบเล็กสำหรับบดสมุนไพรวางอยู่ระเกะระกะ กลิ่นอับปนกับกลิ่นหอมเอียนๆ และกลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรสารพัดชนิดฉุนจัดจนหญิงสาวแทบสำลัก หากเจ้าของสถานที่กลับทำท่าเหมือนไม่รู้สึกอะไร คงเป็นเพราะเคยชินแล้วนั่นเอง
มาเรียวางตะกร้าหวายลงบนโต๊ะเล็กด้านในสุด เดินไปเปิดหน้าต่างบานแคบทั้งสองบานออกเพื่อให้อากาศถ่ายเท ก่อนจะย้อนกลับมาหาหญิงสาวที่ยืนหันรีหันขวางอยู่กลางห้อง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ท่านหัวหน้านักบวชต้องการยาอะไรคะ เดี๋ยวข้าจะไปหยิบให้”
“ยาถอนพิษสิบสองอย่าง” เมลิอานาร์แทบจะกลั้นใจตอบ
ห้องทั้งห้องดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบอันน่าอึดอัดชั่วขณะ
มาเรียจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแสดงความสงสัยอย่างเปิดเผย
“ยาถอนพิษสิบสองอย่าง ท่านหัวหน้านักบวชสั่งให้นายหญิงนำไปด้วยแล้วนี่คะ”
แย่ละสิ...
เมลิอานาร์รู้สึกว่าเหงื่อไหลจนฝ่ามือทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปหมด นางเกือบจะทำพลาดไปเสียแล้ว หากยังฝืนยิ้มแล้วกล่าวแก้ไปได้ทั้งน้ำขุ่นๆ ว่า
“เอ่อ...ข้าหมายถึงตำราน่ะ”
“ตำรา” เด็กสาวทวนคำ “อ๋อ พี่คงจะหมายถึงบันทึกโบราณเล่มนั้น รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปหยิบมาให้”
มาเรียกล่าวแล้วผลุบหายเข้าไปทางห้องลับ ซึ่งซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนหลังกำแพงว่างเปล่าติดกับชั้นวางของด้านในสุด จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นอาการถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกของอีกฝ่าย
เพียงครู่เดียวนางก็กลับออกมาพร้อมด้วยกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมแบนบาง ภายนอกหุ้มด้วยหนังอย่างดีถึงสองชั้น มีสลักเป็นโลหะสีเงินเงาวับปิดล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา มาเรียปลดสลักเปิดฝากล่อง แล้วหยิบบันทึกเล่มเล็กบางซึ่งที่จริงควรจะเรียกว่าเศษกระดาษเสียมากกว่า เพราะสภาพของมันทั้งเก่าทั้งขาดวิ่น แถมกระดาษก็เหลืองกรอบจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ หากจับแรงเกินไป ออกมาส่งให้หญิงสาวตรงหน้าพลางถาม
“สิ่งนี่ใช่มั้ยคะ ที่ท่านหัวหน้านักบวชต้องการ”
เมลิอานาร์พยายามบังคับมือไม่ให้สั่นขณะเอื้อมไปรับบันทึกเก่าแก่เล่มนั้นมาถือไว้ นางค่อยๆ พลิกเปิดดูทีละหน้าอย่างทะนุถนอมด้วยเกรงว่าจะทำให้บันทึกล้ำค่าเกิดการฉีกขาดเสียหาย แม้เนื้อกระดาษที่เห็นจะกลายเป็นสีเหลืองหม่นเพราะกาลเวลา แต่ข้อความภายในซึ่งเป็นลายมือเขียนด้วยเส้นหมึกสีคล้ำเข้มยังคงปรากฏอยู่อย่างครบถ้วนชัดเจน หญิงสาวลากสายตาผ่านตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดอย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อความในส่วนที่ต้องการ เมื่อพบแล้วก็ลองอ่านทวนดูอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะส่งบันทึกคืนให้เด็กสาวนำไปเก็บลงกล่องตามเดิม
“ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่ข้า เอ๊ย ท่านหัวหน้านักบวชต้องการ”
เมลิอานาร์รับกล่องไม้จากเด็กสาวมาถือเอาไว้แน่น ก่อนจะกล่าวคำขอบใจอีกฝ่ายตามมารยาท หากพอตั้งท่าจะก้าวเดินออกจากห้อง มาเรียก็ส่งเสียงร้องเรียกขึ้นเสียก่อน
“เดี่ยวสิคะพี่สาว”
หญิงสาวหันกลับไปมอง “มีอะไรหรือ”
มาเรียไม่ตอบในทันที หากแต่เดินไปหยิบตะกร้าสมุนไพรที่วางอยู่สุดมุมห้องมาถือไว้ แล้วก้าวมายืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าพร้อมกับขยายความว่า
“ข้าก็ต้องเอาสมุนไพรพวกนี้ไปส่งให้นายหญิงที่วิหารใหญ่เหมือนกัน เราเดินไปพร้อมๆ กันเลยดีมั้ยคะ”
อ่า...ไม่ดีแน่นอน...
เมลิอานาร์ตอบในใจแล้วรีบคิดหาทางเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ
“ข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า เกิดท่านหัวหน้านักบวชต้องการอะไรเพิ่มเติมจะได้ไม่ต้องไปตามหาเจ้าที่ไหนอีก ส่วนสมุนไพรพวกนี้ข้าจะถือไปให้นายหญิงของเจ้าเอง นางชื่ออะไรล่ะ”
“จะดีหรือคะพี่ ข้ากลัวว่าจะถูกนายหญิงดุเอาน่ะสิ”
“ไม่หรอกน่า ข้าจะบอกนางให้เองว่าที่ห้องปรุงยาเหลือเจ้าอยู่แค่คนเดียว นางน่าจะเข้าใจ”
เด็กสาวทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบรับ
“ดีเหมือนกันข้าจะได้เคี่ยวยาที่ค้างอยู่ให้เสร็จเสียที ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ด้วยนะคะ นายหญิงของข้าชื่อโซเฟียค่ะ”
มาเรียยื่นตะกร้าในมือส่งให้อีกฝ่ายพร้อมกับกำชับว่า
“พี่ต้องส่งสมุนไพรพวกนี้ให้ถึงมือนายหญิงจริงๆ นะคะ”
“แน่นอนจ้ะ” เมลิอานาร์ยิ้มหวานรับคำ
เมื่อหาทางปลีกตัวจากเด็กสาวได้สำเร็จ นางก็ทำทีเป็นมุ่งหน้าตรงไปยังตัวอาคารเก่าแก่ซึ่งอยู่ถัดจากห้องปรุงยาไปไม่ไกลนัก พอได้ระยะที่คาดว่าคนในห้องจะมองไม่เห็น หญิงสาวก็เดินวกไปอีกทางเพื่ออ้อมกลับไปยังห้องเก็บฟืนที่เอลรออยู่ แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เมื่อเดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ นางก็สวนทางกับนักบวชสูงวัยท่าทางเข้มงวดผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง แรกทีเดียวนักบวชหญิงผู้นั้นทำท่าเหมือนจะผ่านเลยไปเฉยๆ หากแล้วไม่รู้ด้วยเหตุอันใดกลับชะงักฝีเท้า หันมาจ้องหน้านางเขม็งพร้อมกับออกคำสั่ง
“หยุดก่อนซิเจ้าน่ะ...”
เมลิอานาร์ชะงักกึก รีบก้มหน้าซ่อนลงจนคางแทบจะชิดอก หัวใจเต้นระทึกราวกับรัวกลอง ยังดีที่นางซ่อนบันทึกเอาไว้ในอกเสื้ออย่างมิดชิดก่อนหน้านี้แล้ว ในมือจึงมีแค่ตะกร้าสมุนไพรของมาเรียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“หน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย เจ้าเป็นสาวใช้ของใครกัน ไม่มีงานทำหรือยังไง ทำไมถึงมาเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ แล้วในมือนั่นอะไร”
นักบวชหญิงตั้งคำถามติดต่อกันเป็นชุดแทบจะไม่เว้นช่วงหายใจ เมลิอานาร์จึงถือโอกาสเลือกตอบเฉพาะข้อสุดท้ายที่คิดแล้วว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด
“สมุนไพรเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะนำไปให้นายหญิงโซเฟีย”
“เจ้าเป็นสาวใช้ของโซเฟียหรอกหรือนี่” น้ำเสียงของผู้พูดคลายความเข้มงวดลงอย่างเห็นได้ชัด “พอดีทีเดียว นางกำลังอารมณ์เสียบ่นว่าทำไมเจ้าถึงช้านัก ท่านหัวหน้านักบวชเลยต้องใช้ให้ข้าออกมาดู เอ้า รีบมาด้วยกันเร็วๆ เข้าเถอะ”
พูดจบนักบวชหญิงก็ทำอาการคล้ายจะลากแม่สาวใช้ที่ยืนตัวแข็งทื่อให้ออกเดินตามหลังไปด้วย โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบจากนางให้เสียเวลา
เมลิอานาร์ถูกพาไปยังห้องโถงใหญ่ที่บรรดานักบวชหญิงและสาวใช้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวมองข้ามห้องไปยังโต๊ะกลางที่มีขวดแก้วเจียระไนใบน้อยสีขาวใสตั้งอยู่ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบุรุษรูปงามที่นั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้พนักสูงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ไม่ใช่เพราะชื่นชมในรูปลักษณ์อันชวนมองของเขา หากเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเจ้าชายแห่งทาเนียร์ในสถานที่นี้
“สาวใช้ของโซเฟียมาถึงแล้วเพคะ”
นักบวชหญิงที่ ‘ลาก’ นางมาย่อกายลงกราบทูลเสียงใส เป็นเหตุให้สายตาทุกคู่ในห้องโถงใหญ่เหลียวขวับมาจับจ้องอยู่ที่ผู้พูดเป็นตาเดียว เมลิอานาร์แข็งใจเดินตัวลีบเข้าไปหาสตรีร่างผอมบางท่าทางหงุดหงิดที่ยืนอยู่ริมผนังใกล้บานประตู นางเดาว่าสตรีผู้นี้น่าจะเป็นนายหญิงของมาเรียจึงยื่นตะกร้าสมุนไพรส่งให้โดยไม่ยอมเงยหน้า
“เจ้าไม่ใช่มาเรียนี่”
นักบวชหญิงรับตะกร้าไปจากมือนางพลางจ้องกลับมาด้วยอาการฉงนอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าค่ะ มาเรียไม่ว่างก็เลยวานให้ข้านำสมุนไพรมาให้นายหญิงแทน” เมลิอานาร์ตอบแบบถนอมเสียง
นายสาวของมาเรียขมวดคิ้ว แม้จะนึกสงสัย หากขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะมัวมาซักไซ้ไล่เลียงหาคำตอบจากแม่สาวใช้แปลกหน้า จึงเพียงแต่รับตะกร้าสมุนไพรมาถือไว้ แล้วหันไปออกคำสั่งกับนักบวชฝึกหัดที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอพริล เจ้าลงไปดูซิว่ามีใครหาน้ำหาหญ้าให้ม้าทรงของเจ้าชายแล้วหรือยัง ถ้ายัง เจ้าช่วยเป็นธุระจัดการให้ที อ้อ แล้วอย่าลืมบอกนายทหารที่เฝ้าอยู่ด้วยว่าให้เตรียมตัวไว้ อีกสักครึ่งชั่วยามพระองค์คงจะเสด็จกลับ”
“ค่ะ แม่ครู”
เอพริลยื่นถาดใส่อ่างน้ำร้อนพร้อมผ้าพันแผลที่ถืออยู่ในมือส่งให้สาวใช้ผู้มาใหม่ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง เมลก้มลงมองถาดหนักอึ้งในมืออย่างงงงัน ยังไม่ทันที่นางจะได้อ้าปากถาม เสียงของนักบวชหญิงคนเดิมก็ดังขึ้น
“เจ้าตามข้ามาทางนี้”
โซเฟียเดินนำสาวใช้แปลกหน้าไปยังหมู่เก้าอี้กลางห้อง ก่อนจะย่อกายลงถอนสายบัวทำความเคารพชายหนุ่มในชุดดำ แล้วจึงหันไปกล่าวกับหัวหน้านักบวชผู้มากด้วยอาวุโสว่า
“สมุนไพรที่ท่านหัวหน้าสั่งได้แล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมยาพอกทางด้านโน้น ให้สาวใช้ผู้นี้ชำระบาดแผลถวายเจ้าชายไปพลางก่อน”
พอพูดจบนางก็ผละไป เมลิอานาร์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้น วางถาดในมือลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า ถลกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นในอ่างทองเหลืองเช็ดทำความสะอาดบาดแผลบนหลังพระหัตถ์ข้างขวาของเจ้าชายแห่งทาร์เนีย ในใจก็นึกภาวนาขอให้หน้าที่อันเสี่ยงต่อการความแตกนี้สิ้นสุดลงเสียโดยเร็ว
“ทรงสบายพระทัยเถิดเพคะ พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นแล้วว่ายาถอนพิษยังอยู่ที่นี่ ศัตรูของพระองค์ไม่มีทางที่จะรอดชีวิตไปได้หรอกเพคะ”
เสียงของสตรีอาวุโสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ
เมลิอานาร์หูผึ่ง ตวัดสายตามองขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างอ่างน้ำโดยอัตโนมัติ ...ยาถอนพิษที่หัวหน้านักบวชพูดถึงจะใช่เจ้าขวดนี้หรือเปล่าหนอ
“ถึงท่านจะพูดอย่างนั้น แต่ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้เห็นร่างไร้ชีวิตของเอลเบอเรธกับตา ก็คงจะรู้สึกสบายใจไปไม่ได้หรอก ท่านนักบวช” เจ้าชายดิเร็กซ์ตรัสตอบเสียงกร้าว
มือที่กำลังใช้ผ้านุ่มซับน้ำจากพระหัตถ์พลันชะงักด้วยความสงสัย เหตุใดพระนามของราชาแห่งกรีนแลนด์จึงมาเกี่ยวข้องกับบทสนทนาของคนทั้งสองได้
“มีอะไรหรือ”
เจ้าชายแห่งทาเนียร์ตวัดดวงเนตรดำคมจ้องมองมาอย่างแปลกพระทัย
“ปละ... เปล่าเพคะ”
เมลิอานาร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วทำทีเป็นตั้งอกตั้งใจทำงานของตนต่อไปเงียบๆ หูก็คอยเงี่ยฟังคำตอบจากปากของท่านหัวหน้านักบวชไปด้วย
“อย่าทรงกังวลพระทัยไปเลยเพคะ พิษสิบสองอย่างไม่เหมือนพิษชนิดอื่น คนทั่วไปจะทนได้อย่างมากก็แค่สามชั่วยามเท่านั้น หม่อมฉันเป็นผู้ปรุงยาพิษเองกับมือ ซ้ำยังทดลองผลก่อนที่จะมอบมันให้พระองค์อีกด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการผิดพลาดขึ้น นอกเสียจากว่าจะมีใครล่วงรู้ส่วนผสมจนปรุงยาถอนพิษขึ้นมาได้เท่านั้น แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน”
“อย่าแน่ใจนักท่านนักบวช เรื่องที่ท่านคาดไม่ถึงอาจจะเกิดขึ้นแล้วก็ได้” คนเป็นเจ้าชายแย้งอย่างเย็นชา
เมลิอานาร์นำสมุนไพรที่นักบวชโซเฟียบดเสร็จเรียบร้อยมาพอกลงบนรอยแผลนูนแดงหลังพระหัตถ์ของเจ้าชายแห่งทาเนียร์ ก่อนจะพันผ้าขาวทับลงอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยบรรจงเก็บข้าวของกลับคืนใส่ถาดช้าๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบแลไปรอบกายอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเจ้าชายดิเร็กซ์ทรงหันไปตรัสอะไรบางอย่างกับนักบวชชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ติดกัน ส่วนหัวหน้านักบวชหญิงก็มัวแต่ให้ความสนใจกับชายทั้งสองจนไม่เป็นอันมองคนอื่น หญิงสาวก็ถือโอกาสลุกถอยหลังเลี่ยงออกมาเงียบๆ ด้วยความโล่งอกเป็นที่สุด ในใจคิดประหวัดไปถึงคนที่รออยู่ในห้องเก็บฟืน ป่านนี้เอลคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปแล้ว นับว่าโชคดีอย่างยิ่งที่เขาไม่ได้ตามมาด้วย หาไม่แล้วคงได้ยุ่งหนักกว่านี้แน่
เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวนึกขอบคุณความดื้อรั้นจนน่าโมโหของอีกฝ่าย นางสัญญากับตัวเองว่าหากได้พบกับชายหนุ่มเมื่อไหร่ จะรีบชวนเขาหลบออกจากวิหารรีอาโดยไม่รอช้า
ทว่า...ได้แค่คิด
เมื่อนางก้าวเท้าไปจนเกือบจะถึงประตูห้องก็ถูกใครบางคนคว้าข้อมือกระชากกลับจนร่างบางเสียหลักเซถลา ถาดที่ถืออยู่ในมือพลัดหล่นกระแทกพื้นเสียงดังเปรื่อง น้ำในอ่างทองเหลืองไหลนอง
“เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป” เจ้าของอุ้งมือแข็งปานคีมเหล็กส่งเสียงห้าวห้วนคุกคามอยู่เหนือศีรษะ
หญิงสาวตกใจจนยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก บรรดานักบวชและสาวใช้ขวัญอ่อนทั้งหลายพากันหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
ประมุขของสถานที่ผวาลุกจากที่นั่ง ยกมือขึ้นทาบอก ร้องถามอย่างงุนงง
“อะไรกันเพคะเจ้าชาย”
เจ้าชายดิเร็กซ์เหยียดรอยแย้มสรวลเยือกเย็น ตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงกลั้วหัวเราะบาดหู
“ไม่มีอะไรหรอกท่านนักบวช ก็แค่...” พระองค์ปรายพระเนตรมองคนในชุดสาวใช้ตรงหน้า ตรัสต่อด้วยรอยแย้มพระสรวลที่แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “ได้พบคนรู้จักเท่านั้นเอง”
“อย่าทรงล้อหม่อมฉันเล่นเลยเพคะ ที่นี่คือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วนางผู้นั้นก็เป็นเพียงหญิงรับใช้ประจำวิหาร จะเป็นคนรู้จักของพระองค์ได้อย่างไร”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ได้โปรด...”
นักบวชชรายังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าชายดิเร็กซ์ก็ขัดจังหวะด้วยการหงายพระพักตร์ขึ้นสำรวลก้องราวกับทรงรู้สึกขบขันเสียเต็มประดา
“ได้โปรดอะไรเล่าท่านบาธ อย่างนี้หรือเปล่า”
ตรัสแล้วก็ทรงกระชากร่างของ ‘คนรู้จัก’ เข้ามาในอ้อมพระกร โน้มพระพักตร์ลงไปหาจนเรียวโอษฐ์งามได้รูปแทบจะสัมผัสกับกลีบปากนุ่มของฝ่ายนั้น พระสุรเสียงกร้าวกล่าวคำเย้ยหยันแค่พอได้ยินกันสองคน
“คงไม่นึกว่าข้าจะลืมหน้าคนที่สร้างบาดแผลให้เร็วนักหรอกใช่มั้ยท่านนักบวชเมล โอ๊ะ ไม่ใช่ ต้องเรียกท่านว่าสาวใช้ประจำวิหารรีอาถึงจะถูกสินะ”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
เมลิอานาร์พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม นางใช้มือข้างที่เป็นอิสระยันแผ่นอกของเขาไว้ ใบหน้างามเบือนหลบไปอีกทาง หากยังรู้สึกได้ถึงรอยสัมผัสของริมฝีปากอุ่นจัดที่ลากผ่านนวลแก้มไปแนบกระซิบอยู่ริมหู
“เจ้าก็คืนยาถอนพิษที่อยู่ในมือมาก่อนเป็นไง แล้วข้าจะค่อยๆ คิดดู”
“ยาถอนพิษอะไรกัน ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง”
“หึ”
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงรัดร่างของหญิงสาวแน่นขึ้นอีก ดวงเนตรสีนิลทอประกายกล้าราวกับมีเปลวเพลิงคุกรุ่นอยู่ภายใน
“ยังจะปากแข็งอีกหรือ อยากจะลองดีกับข้าก็เอา พวกปากแข็งอย่างเจ้านี่ข้าชอบนัก”
พระองค์ตรัสพลางไล้พระหัตถ์ไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองนุ่มละเอียดเหมือนเส้นไหม ก่อนจะกระชากดึงให้ใบหน้านวลงามแหงนเงยขึ้น แล้วบดพระโอษฐ์ลงไปบนกลีบปากนุ่มอย่างรุนแรง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนทั้งห้อง
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอเถิดอย่าทรงก่อเรื่องในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านบาธทนดูอยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ไหว ถึงกับต้องขยับเข้ามาห้ามปราม หากก็ทำได้เพียงแค่พูดหากล้าลงมือทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ เช่นเดียวกับหัวหน้านักบวชหญิงที่ได้แต่ยืนตะลึงมอง อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางห้อง
หญิงสาวที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งดิ้นทั้งผลักจนสุดกำลัง นางรู้สึกถึงลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามจะล่วงล้ำเข้ามาในช่องปากจึงหลับหูหลับตากัดลงไปเต็มแรง ...ดูเหมือนจะได้ผล เพราะชายหนุ่มหยุดชะงักไปทันที เขาผลักนางออกห่างก่อนจะสะบัดฝ่ามือฟาดตามลงมา
เสียงดังฉาดสะท้อนไปในความเงียบของห้องโถง ขวดแก้วเจียระไนใบน้อยกลิ้งหลุดจากมือของหญิงสาวตกกระทบพื้นแตกกระจาย ร่างบางถลาล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แก้วหูลั่นเปรี๊ยะพร้อมกับที่ใบหน้าซีกซ้ายชาไปทั้งแถบ รสคาวเค็มของโลหิตซ่านอยู่ในปาก แยกไม่ออกว่าเป็นโลหิตของใครกันแน่
“ตายแล้ว เจ้าชายเพคะ เลือด...”
บรรดาสาวๆ ในห้องแลเห็นหยาดโลหิตสีแดงคล้ำตกต้องพื้นหินอ่อน ก็พากันกรี๊ดกร๊าดราวกับจะขาดใจ
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงใช้ท่อนพระกรปาดเช็ดพระโลหิตที่ไหลย้อยออกจากมุมพระโอษฐ์ด้วยท่าทางกริ้วจัด ดวงเนตรคมกริบสีรัตติกาลจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเขม็งราวกับจะแผดเผาให้มอดไหม้เป็นจุณ หากอีกฝ่ายก็จ้องตอบไม่ลดละด้วยนัยเดียวกัน
ชายหนุ่มหันไปหาท่านนักบวชผู้ชรา ตรัสสั่งห้วนสั้น
“ท่านบาธ ส่งดาบมาให้ข้า”
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นสาวใช้ของวิหารนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แน่หรือ ท่านลองมองดูให้ดีเสียก่อนเถอะ”
คำตอบของพระองค์เรียกเสียงฮือฮาได้จากทุกผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในห้องนั้น หัวหน้านักบวชเขม้นมองใบหน้าของหญิงสาวที่นอนกองอยู่กับพื้นสลับกับเศษซากของขวดยาที่ตกแตก ด้วยท่าทางราวกับจะเป็นลมไปเสียเอง นางสงสัยแต่แรกแล้วว่าไม่เคยเห็นสาวใช้หน้าตาเช่นนี้มาก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะเป็นคนนอกที่แฝงกายเข้ามาในวิหารเพื่อขโมยยาถอนพิษ
“ท่านบาธ ข้าบอกว่าดาบ ไม่ได้ยินหรือ” พระสุรเสียงเยียบเย็นปานน้ำแข็งของเจ้าชายดิเร็กซ์ดังขึ้นอีกครั้ง บอกชัดถึงพระอารมณ์
ชายชราไม่ต้องรอให้ทรงเรียกซ้ำเป็นครั้งที่สาม รีบลนลานหยิบดาบยาวที่วางพิงอยู่ข้างเก้าอี้เข้าไปยื่นถวายให้ผู้เป็นนายจนถึงพระหัตถ์ แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์เลยสักนิดก็ตาม
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาผู้ที่ยังคงนอนฟุบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางของพยัคฆ์ร้ายที่หมายจะขย้ำเหยื่อ คมดาบเปลือยฝักยื่นไปจ่ออยู่แทบลำคอของหญิงสาว เพียงพระองค์ตวัดข้อพระหัตถ์นิดเดียว ชีวิตของนางก็จะปลิดปลิวตามปลายดาบไปอย่างง่ายดาย
หากเมลิอานาร์หรือจะยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น หญิงสาวแสร้งทำทีเป็นเจ็บปวดมึนงงจนลุกไม่ขึ้น ในขณะเดียวกันก็คอยจับตามองตามการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มในชุดดำทุกย่างก้าว มือขวาค่อยๆ เอื้อมไปปลดมีดสั้นที่เหน็บซ่อนอยู่ด้านในรองเท้าบู้ทอย่างแช่มช้า ไม่มีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางเพราะกระโปรงตัวยาวกรอมเท้าช่วยบดบังเอาไว้มิดชิด นางกำอาวุธเดียวที่มีเอาไว้แน่น เตรียมพร้อมเพื่อรอจังหวะ
ทันทีที่คมดาบของเจ้าชายดิเร็กซ์ฟาดฉับลงมา เมลิอานาร์ก็ยกมีดสั้นในมือขึ้นรับแล้วปัดออกให้พ้นตัวได้อย่างหวุดหวิด เสียง ‘คนดู’ หวีดระงมด้วยความหวาดเสียว เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงผงะไปอย่างคาดไม่ถึง เปิดโอกาสให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนตั้งรับได้เต็มตัว ก่อนที่พระแสงดาบในพระหัตถ์จะตวัดซ้ำลงมาอีกครั้ง
การจู่โจมของชายหนุ่มเป็นไปอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงรุนแรง แม้ว่าเมลิอานาร์จะสามารถปัดป้องคมดาบของเขาเอาไว้ได้ หากโอกาสที่นางจะเป็นฝ่ายโจมตีกลับแทบจะไม่มีเอาเสียเลย ต่อให้เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงเปิดช่องว่างให้เห็น นางก็ไม่อาจเข้าประชิดตัวพระองค์ได้ ด้วยความแตกต่างด้านพละกำลังและอาวุธมีมากเกินไป ซ้ำกระโปรงตัวยาวรุ่มร่ามก็คอยแต่จะพันขา ทำให้หญิงสาวเคลื่อนไหวไม่สะดวก นางจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
เมลิอานาร์สู้พลางถอยพลางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังชิดกำแพง หมดทางให้ถอยหนีได้อีก
“เลิกเล่นกันสักทีนะ ท่านเมล”
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงฟาดอาวุธในพระหัตถ์เข้าใส่ลำคอระหงของอีกฝ่ายเต็มพระกำลัง หากหญิงสาวยังไวพอที่จะยกมีดสั้นขึ้นรับไว้ได้ทัน ครั้งนี้นางต้องใช้ทั้งสองมือช่วยกันเพื่อต้านน้ำหนักดาบที่โถมลงมา หญิงสาวรู้ดีว่าหากนางพลาดท่าเพลี่ยงพล้ำแม้เพียงเล็กน้อย นั่นย่อมหมายถึงชีวิต!
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2556, 10:48:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2556, 10:48:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1726
<< ตอนที่ 17 | ตอนที่ 19 >> |