ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 19
เอลกระพริบตาถี่ๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าเพื่อขับไล่อาการง่วงงุน นี่เขาเผลอหลับไปนานเท่าใดกันนะ ชายหนุ่มค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น รู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งร่างเพราะนั่งอยู่ในท่าเดิมนานไปหน่อย เขามองสำรวจไปรอบห้อง แสงสว่างอันน้อยนิดที่เคยส่องลอดลงมาทางช่องลมเหนือศีรษะเลือนหายไปสิ้นแล้ว รอบกายจึงมีแต่เงาตะคุ่มของไม้ฟืนในความมืด
ไม่มีวี่แววของเจ้าคนที่บอกว่าจะออกไปขโมยยาถอนพิษให้เห็น...
ชายหนุ่มชักเริ่มเป็นห่วง ไม่ว่าจะพยายามคิดในแง่ดีแค่ไหนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเมลใช้เวลาในการค้นหายาถอนพิษนานเกินไปแล้ว วิหารรีอาก็ไม่ได้กว้างขวางถึงขนาดที่จะต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินทั่วสักหน่อย แล้วหมอนั่นมัวทำอะไรอยู่
เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก เมลไม่ใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าหมอนั่นอาจจะหลงทางจึงตัดทิ้งไปได้ แต่ถ้าทำไมเย็นจนค่ำป่านนี้แล้วเมลถึงยังไม่กลับมา เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มกันแน่ หรือว่า สหายคนเก่งของเขาพลาดท่าถูกคนในวิหารจับได้เสียแล้ว
เอลสะบัดศีรษะไล่ความคิดอันไม่เป็นมงคลนั้นไปออกจากสมอง หากมันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกระวนกระวายใจหนักขึ้นจนอดทนเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ไหว
“ให้ตายเถอะ เจ้าบ้านั่น”
ชายหนุ่มสบถพึมพำอย่างหัวเสียขณะคว้าชุดกระโปรงลายดอกขึ้นมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่อย่างทุลักทุเล...คอยดูเถอะ ถ้ากลับไปถึงกรีนแลนด์ได้เมื่อไหร่ เขาจะต้องเอาคืนจากหมอนั่นให้สาสม สักสิบเท่า...ไม่สิ..ยี่สิบเท่าเป็นอย่างน้อย
ชายหนุ่มเดินคลำทางในความมืดไปเรื่อยๆ จนพบกับประตูห้องเก็บฟืน จึงออกแรงผลักบานไม้หนาหนักนั้นเบาๆ พอให้เกิดเป็นช่องขนาดมองลอดออกไปเห็นสภาพภายนอกได้
ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขาไปสักครู่ใหญ่แล้ว ท้องฟ้าเบื้องบนจึงกลายสภาพเป็นดั่งผืนกำมะหยี่สีดำ มีเกล็ดสีเงินแวววาวของดาวดวงน้อยกระพริบพราวเกลื่อนตา งดงามราวกับใครแกล้งนำเอาเพชรเม็ดเล็กๆ มาโปรยปรายเอาไว้ ที่ลานซักล้างยามนี้ว่างเปล่าปราศจากผู้คน ผ้าผ่อนมากมายที่เคยตากอยู่จนเต็มลานก็ถูกเก็บเรียบไม่เหลือสักชิ้น เอลจึงสามารถมองผ่านเลยไปจนถึงห้องครัวชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ่อน้ำได้โดยง่าย
แสงสีเหลืองอ่อนละมุนตาที่ทอลอดออกมาจากบานหน้าต่างห้องครัว รวมทั้งควันไฟจางๆ เหนือหลังคา บอกให้รู้ว่ายังมีคนอยู่ในนั้น กลิ่นอาหารค่ำหอมกรุ่นลอยมากับสายลม กระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า หากความกังวลใจเวลานี้มีมากเกินกว่าความรู้สึกอยากอาหารทั้งปวง
เอลกวาดสายตามองจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงค่อยๆ ย่างเท้าออกสู่ลานกว้างภายนอก สายลมเย็นฉ่ำที่พัดมาต้องผิวกายไม่อาจช่วยคลายความรุ่มร้อนในอกของเขาลงได้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าห้องปรุงยาของวิหารรีอาอยู่ทางไหน ซ้ำยังไม่ได้มองเสียด้วยว่าตอนแยกจากกันเมลเลือกเดินไปยังทิศทางใด เขาจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปทางด้านหลังห้องเก็บฟืน แฝงกายลัดเลาะไปตามเงามืดอันเกิดจากพรรณไม้หลากชนิดข้างทาง
เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่เอลก็เห็นแสงไฟวับแวมปรากฏอยู่หลังดงไม้เบื้องหน้า จึงมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นโดยชะลอฝีเท้าให้ช้าลงและเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ยิ่งเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเพราะดูเหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำคล้ายคนคุยกันดังแทรกมากับสายลมเป็นระยะ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเพื่อที่จะเงี่ยหูฟังให้ถนัด ไม่ผิดแน่ มีคนกำลังคุยกันอยู่หลังดงไม้จริงๆ เสียงแรกนั้นคงเป็นของใครคนใดคนหนึ่งในวิหาร หากอีกเสียงหนึ่งนี่สิ ฟังยังไงก็เป็นเสียงของผู้ชายชัดๆ
เอลใช้มือแหวกกิ่งไม้เป็นช่องแล้วมองลอดออกไป ท่ามกลางแสงคบสีเหลืองนวล เขาเห็นคอกสำหรับพักม้าซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยการนำเอาต้นไม้ขนาดเท่าแขนมาตอกเป็นโครงสี่เหลี่ยม ใช้ฟางแห้งมุงแทนหลังคา ด้านหน้ามีรางสำหรับใส่หญ้าและน้ำตอกติดอยู่กับพื้นดิน ในคอกมีม้าผูกอยู่เพียงสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาลท่าทางตื่นๆ อีกตัวหนึ่งนั้นเป็นม้าหนุ่มพันธุ์ดีสีดำ มีรอยแต้มสีขาวกลางหน้าผากเป็นเส้นเรียวเล็กแทบสังเกตไม่เห็น รูปร่างของมันสวยงามสมส่วน กล้ามเนื้อสมบูรณ์แข็งแรง ขนเป็นมันปลาบแสดงว่าได้รับการดูแลจากเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ ห่างจากเจ้าม้าตัวงามไปไม่เท่าไหร่คือร่างของนักบวชหญิง และผู้ชายในเครื่องแบบสีแดงมีสัญลักษณ์รูปดาวสีทองประดับอยู่กลางอก
ทหารทาเนียร์!
เอลขมวดคิ้วเข้าหากัน ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว เขาต้องรีบหาตัวเมลให้เจอเพื่อบอกเรื่องนี้ให้รู้โดยด่วน ชายหนุ่มถอยห่างจากบริเวณนั้นอย่างเงียบเชียบ เดินเลี่ยงไปอีกทางจนกระทั่งทะลุผ่านดงไม้ออกมาสู่ลานโล่งหน้าอาคารหลังหนึ่งที่หน้าต่างด้านข้างเปิดอ้าอยู่ เขาเดินโฉบเข้าไปใกล้แล้วลอบมองเข้าไปภายใน
นี่คือห้องปรุงยาไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มรู้ได้เพราะเห็นเด็กสาวที่อยู่ในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการคนของเหลวในหม้อทองเหลืองใบน้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ รอบกายนางมีสมุนไพรตากแห้งหลายชนิดวางอยู่ เขาพยายามกวาดตามองจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าคนที่อาสามาขโมยยาถอนพิษแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าหมอนั่นหายหัวไปอยู่เสียที่ไหน
หรือว่าเมลจะย้อนกลับไปที่ห้องเก็บฟืนแล้ว?
เป็นไปได้...
ชายหนุ่มคิดพลางหันหลังเตรียมย่องออกจากพื้นที่ หากเท้าเจ้ากรรมดันพลาดไปเหยียบกิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่แถวนั้นเข้าเสียก่อน เสียงกิ่งไม้หักเป๊าะดังก้องขึ้นในความเงียบ เรียกความสนใจของคนในห้องให้หันมองมาทันที
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”
เอลไม่รอให้เด็กสาวเจ้าของเสียงลุกขึ้นเดินมาชะโงกดูตรงหน้าต่าง หากเผ่นพรวดเดียวไปหลบอยู่ในเงามืดของอาคารหลังใหญ่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วที่ตนเองยังทึ่ง เขายืนนิ่งไม่กล้าขยับกายอยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงตั้งท่าจะออกเดินต่อ ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็บังเอิญเหลือบตามองผ่านรอยแง้มของประตูที่อยู่ด้านหลังอาคารเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้โลหิตในกายของเขาแทบจะจับตัวเป็นก้อนแข็งด้วยความหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที
ระหว่างที่คนทั้งห้องกำลังจับตาดูการต่อสู้ของเจ้าชายแห่งทาเนียร์และหัวขโมยสาวด้วยหัวใจเต้นระทึก ประตูด้านหลังห้องก็ถูกถีบให้เปิดผางออก อาชาทรงตัวงามของเจ้าชายดิเร็กซ์เผ่นโผนข้ามขอบระเบียงเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของเหล่านักบวชและสาวใช้ประจำวิหาร
เสียงเอะอะอึกทึกที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงเสียสมาธิ พระองค์จำต้องละความสนพระทัยจากคู่ต่อสู้ชั่วคราวเพื่อเหลียวไปทอดพระเนตรตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องชะงักงันไปอย่างคาดไม่ถึง เมื่อทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของคนบนหลังม้าเต็มตา
เมลิอานาร์ถือโอกาสที่เจ้าชายดิเร็กซ์มัวแต่เผลอไผลไม่ทันระวังพระองค์ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือผลักพระแสงดาบออกจนพ้นลำคอ ตวัดคมมีดฝากรอยแผลเอาไว้ที่ท่อนพระกรเป็นแนวยาว ก่อนจะพลิ้วร่างออกจากจุดเสียเปรียบ พุ่งตรงไปยังที่ว่างกลางห้อง ในจังหวะเดียวกับที่เจ้าม้าสีดำควบขับเข้ามาใกล้พอดี กว่านางจะรู้ตัว ร่างทั้งร่างก็ถูกยกลอยขึ้นไปนั่งพิงแผงอกอุ่นของคนที่อยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต นางยอมตกม้าตายดีกว่าต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของใครก็ไม่รู้ หากท่อนแขนแข็งแรงของคนที่นั่งกุมบังเหียนอยู่ด้านหลังกลับรั้งเอวบางเอาไว้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำอย่างใจคิด
“อยู่นิ่งๆ สิ นี่ข้าเอง” เสียงห้วนห้าวคุ้นหูกระซิบดุ
“เอล!”
หญิงสาวอุทานพลางเหลียวหลังไปมองด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าไปเอาม้ามาจากไหน แล้วรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่”
“เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งซักอะไรตอนนี้เลย เรื่องมันยาว...”
เอลตัดบทด้วยการกระแทกสีข้างม้าให้เผ่นโผนผ่านประตูโค้งด้านหน้าออกไปสู่ทางเดินภายนอกทันที
เจ้าชายดิเร็กซ์ตั้งพระสติได้ก็ทรงกระโจนข้ามระเบียงหลังลงไปยังพื้นดินด้านล่าง หวังจะวิ่งไปสกัดคนทั้งสองจากอีกทาง บาดแผลที่เพิ่งได้รับปวดแปลบ โลหิตไหลซึมจนชุ่มแขนเสื้อก่อความรำคาญให้ไม่น้อย หากพระองค์จะสนพระทัยก็หาไม่
“ทหาร ผูกม้าของข้าถวายเจ้าชาย เร็ว”
เสียงท่านนักบวชชราที่ออกวิ่งงกเงิ่นตามหลังนายหนุ่มมาติดๆ ร้องสั่งทหารรับใช้อยู่โหวกเหวก ทว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลม้ากลับวิ่งหน้าตาตื่น หิ้วเครื่องอานร่องแร่งเข้ามารายงานว่า
“เจ้าน้ำตาลถูกใครก็ไม่ทราบปล่อยไปแล้วขอรับ มันเตลิดหนีเข้าไปในป่าละเมาะด้านหลังโน่น ข้าวิ่งตามจนเหนื่อยแต่ก็ไม่ทัน”
“ต้องเป็นเจ้าคนที่ขโมยม้าทรงขององค์ชายแน่” ชายชรากัดฟันกรอด เจ็บใจที่รู้ว่าพวกตนพลาดท่าเสียทีให้อีกฝ่ายจนได้
“ช่างเถอะ” เขาพยายามข่มใจขณะหันไปสั่งทหารหนุ่ม
“เจ้ารีบตามเสด็จเจ้าชายไปเร็วๆ เข้า”
ทหารรับใช้รับคำด้วยท่าทางตื่นๆ ก่อนจะออกวิ่งตรงไปตามทิศทางที่ท่านนักบวชอาวุโสชี้บอก จนมาทันกับผู้เป็นนายที่ถนนดินด้านนอก
เจ้าชายดิเร็กซ์ประทับยืนกำพระหัตถ์แน่น ทอดพระเนตรตามหลังเจ้าม้าสีดำที่กำลังควบเข้าสู่เส้นทางลงเขาด้วยดวงเนตรวาวโรจน์ พอพระองค์เหลียวมาเห็นเขา ก็ออกคำสั่งทันที
“ธนู เร็วเข้า ไปเอาธนูมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
นายทหารหนุ่มรับคำแล้ววิ่งย้อนเข้าไปในวิหารรีอาอีกครั้ง เขาหายไปเพียงอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมด้วยธนูไม้คันเล็กบางแกะสลักเป็นลวดลายอ่อนช้อยเข้าชุดกับกระบอกศร ดูแล้วเหมือนของประดับมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้งานได้จริง
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงหันไปกระชากคันธนูมาจากมือของทหารรับใช้อย่างพระทัยร้อน พระองค์เขม้นมองไปเบื้องหน้า ร่างของเจ้าม้าสีดำดูราวกับจะกลืนหายไปในความมืดได้อย่างประหลาด คะเนจากระยะทางแล้วโอกาสของพระองค์คงจะมีไม่มากนัก...หากก็คุ้มที่จะเสี่ยง
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงคว้าลูกศรขึ้นพาดสาย น้าวเหนี่ยวเต็มล้าก่อนจะปล่อยพระหัตถ์
เสียงลูกธนูเสียดอากาศดังหวีดหวิวขณะพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย ดอกแรกพลาดไปนิดเดียว หากดอกที่สองเสียบฝังเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างจัง!
เอลสะดุ้งเฮือก หากยังกัดฟันกุมบังเหียนไว้มั่นไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งพ้นจากระยะธนูของเจ้าชายดิเร็กซ์แล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงคลายมือที่กุมบังเหียนเปลี่ยนเป็นกำไว้หลวมๆ ผ่อนฝีเท้าม้าให้ช้าลงจนแทบจะกลายเป็นย่างเหยาะตามสบาย ช่วงไหล่ซีกซ้ายปวดหนึบ ปากแผลเต้นตุบๆ ราวกับมีหัวใจอีกดวงเพิ่มขึ้นที่ตรงนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีขึ้น ซ้ำยังลุกลามเรื่อยไปยังท่อนแขนและสีข้างจนชายหนุ่มไม่อาจฝืนทรงกายให้ตั้งตรงต่อไปได้
เขาค่อยเอนร่างทิ้งน้ำหนักลงพิงไหล่คนข้างหน้าทีละน้อย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราวทั้งใบหน้า ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งสติสัมปชัญญะเอาไว้ไม่ให้วูบดับ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
เมลิอานาร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อพบว่าเจ้าม้าที่ห้อเต็มเหยียดราวกับพายุเกิดชะลอฝีเท้าลงเสียเฉยๆ แถมคนบังคับม้ายังแกล้งโน้มร่างเข้ามาจนชิดแผ่นหลังของนางเสียอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าเนื้อที่บนหลังม้ามันจำกัด แค่ผู้ชายตัวโตอย่างเอลนั่งมาคนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว นี่ยังพ่วงเอาผู้หญิงตัวไม่เล็กนักอย่างนางเข้ามาอีก การกระทบกระทั่งถูกตัวกันย่อมต้องมีเป็นธรรมดา แต่นี่มัน... ออกจะแนบชิดกันเกินไปหน่อยแล้วไม่ใช่หรือ
หญิงสาวง้างศอกยันร่างของคนข้างหลังเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ตัว หากเอลทำเสมือนไม่รู้ ซ้ำยังโถมน้ำหนักลงมาบนร่างของนางมากยิ่งขึ้น เรียกว่าแทบจะพิงลงมาทั้งตัวเลยก็ว่าได้ หญิงสาวชักยัวะ นางเหลียวกลับไปมอง เตรียมโวยเต็มที่ ทว่าภาพที่เห็นทำให้คำพูดดุเดือดชะงักค้างอยู่แค่ปลายลิ้น
แสงจากจันทร์เสี้ยวที่ทอลอดใบไม้เหนือศีรษะลงมา ส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของคนข้างหลังชัดเจน บริเวณไรผมและขมับของเขามีเม็ดเหงื่อเกาะพราว หัวคิ้วเข้มหนาขมวดย่นเข้าหากัน ดวงตาปิดสนิท กรามขบกันจนเป็นสันนูน ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกำลังพยายามข่มความเจ็บปวดอยู่อย่างสุดความสามารถ
“เอล เจ้าเป็นอะไร...”
น้ำเสียงตกใจที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมอง เขายิ้มเนือยๆ ออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดดังเดิม เสียงห้าวแหบโหยตอบคำถามแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
“ข้า...ต้องธนู...ของเจ้า..ชาย...ดิเร็กซ์”
เมลิอานาร์ใจหายวาบ รีบมองสำรวจร่างกายของสหายหนุ่มอย่างร้อนรน นอกจากลูกธนูหักครึ่งที่ปักคาอยู่ตรงสะบักของเขาแล้ว ตามหลัง ไหล่ และท่อนแขนของชายหนุ่มยังมีบาดแผลอันเกิดจากคมธนูที่พลาดจากเป้าหมายอีกหลายแห่ง ในขณะที่นางไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเพราะได้คนตัวโตช่วยบังเอาไว้ให้ ...ถ้าเอลไม่ขี่ม้าเข้ามาช่วยนาง เขาก็คงไม่ต้องบาดเจ็บถึงขนาดนี้
หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสรอยแผลที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกอ่อนโยนในหัวใจทำให้นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นครั้งแรก
“ไหวหรือเปล่าเอล ข้าว่าเราหยุดพักกันก่อนดีกว่า จะได้ดูแผลให้เจ้าด้วย”
“ไม่” คนเจ็บตอบเสียงเฉียบขาด สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเพื่อข่มความเจ็บปวด ก่อนจะแข็งใจกล่าวต่อ
“หยุดไม่ได้...อัน..ต..รายเกินไป... พวกของ...เจ้าชายดิเร็กซ์อาจจะ...ตามมา ..เรา...ต้อง..รีบไป...”
“แต่เจ้าบาดเจ็บ”
“ไม่เป็นไร ข้า...ยังไหว..รีบ...รีบไป...”
เมลิอานาร์เหลียวหน้าเหลียวหลังละล้าละลัง ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอาการของเอล หากอีกใจก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แถวนี้ยังอยู่ใกล้เขตวิหาร อีกไม่ช้าพวกนักบวชคงระดมกำลังกันออกตามล่าตัวนาง หญิงสาวไม่เชื่อว่าพวกนักบวชจะปล่อยให้คนที่ลอบเข้าไปขโมยยาถอนพิษถึงในวิหารหนีรอดไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าพวกนางเกิดรู้ว่าคนผู้นั้นได้ตำราปรุงยาเล่มสำคัญไปด้วย
นางลอบชำเลืองสังเกตลักษณะบาดแผลของชายหนุ่มอีกครั้ง...ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ธนูคงไม่ได้อาบยาพิษ ถ้าเช่นนั้นก็พอจะคลายใจได้ว่าเอลคงไม่เป็นอะไรมาก หากนางรีบควบม้ากลับลงไปที่หมู่บ้านให้เร็วที่สุด ก็คงพอจะหาหมอแถวนั้นช่วยผ่าเอาหัวธนูออกจากร่างของเขาได้
“เอาละ” หญิงสาวตัดสินใจเด็ดขาด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน ข้าจะบังคับม้าให้เอง”
เมลิอานาร์ขยับท่านั่งให้มั่นคงยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนกระชับ อีกข้างพันล็อกเข้ากับแขนของคนเจ็บกันเขาพลาดตกลงไปหากหมดสติ จากนั้นจึงกระตุ้นสีข้างม้าเต็มแรง
เจ้าม้าสีดำส่งเสียงร้องรับอย่างคึกคะนองก่อนจะโผนทะยานไปเบื้องหน้า ม้าทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์ตัวนี้นับว่าฝีเท้าจัดเอาเรื่องทีเดียว ขนาดต้องแบกรับน้ำหนักของคนสองคนไว้บนหลัง มันยังวิ่งได้เร็วราวกับพายุ โชคดีที่เอลเลือกขโมยม้าได้ถูกตัว หาไม่แล้วทั้งเขาและนางคงไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมหัตถ์ของเจ้าชายพระองค์นั้นเป็นแน่
ไม่นานนักเจ้าม้าหนุ่มก็พาคนทั้งคู่ลงมาถึงป่าโปร่งเชิงเขา เมลิอานาร์ใจชื้นขึ้นเมื่อมองเห็นแสงสว่างวับแวมอยู่หลังเงาตะคุ่มของดงไม้ หมู่บ้านคงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว หญิงสาวควบม้าฝุ่นตลบมุ่งหน้าไปตามถนนดินโดยไม่คิดจะชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย ระยะทางยิ่งหดสั้นเข้า นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง แสงสว่างที่เห็น เคลื่อนที่ไปมาสับสน กลิ่นน้ำมันดินจางๆ ลอยปนมาในอากาศ บอกให้รู้ว่านั่นเป็นแสงจากคบไฟ หาใช่แสงจากตะเกียงตามบ้านเรือนไม่
หญิงสาวรั้งบังเหียนสุดแรง เจ้าม้าหนุ่มชูขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศพร้อมกับส่งเสียงร้องก้องก่อนจะหยุดนิ่ง นางยืนม้าหลบอยู่ในเงาไม้ เขม้นมองไปยังทิศที่ตั้งของปากทางเข้าหมู่บ้าน
ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนยืนถือคบไฟชุมนุมกันอยู่ มีชายร่างยักษ์ท่าทางเป็นหัวหน้าชี้นิ้วออกคำสั่งอยู่ข้างๆ ชายร่างเล็กหน้าเสี้ยมแหลม หญิงสาวจำได้ว่าทั้งสองคนเป็นทหารของเจ้าชายดิเร็กซ์ที่เคยซ้อมเจ้าซิสจนปางตาย นอกจากคนทั้งกลุ่มแล้ว ยังมีม้าหน้าตาคุ้นๆ ยืนสะบัดหัวพ่นลมหายใจฟืดฟาดอยู่อีกสองตัว แม้จะเห็นในระยะห่าง หากเมลิอานาร์ก็แน่ใจว่าตาไม่ฝาด เจ้าสัตว์สองตัวนั้นคืออดีตพาหนะของนางและเอลนั่นเอง
ท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว...
หญิงสาวค่อยๆ รั้งบังเหียนบังคับเจ้าม้าหนุ่มให้หันหลังกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วควบจากไปเงียบๆ
คาลียกคบไฟในมือชูขึ้นสูง แสงสีเหลืองอมส้มสาดจับใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมบึกบึนของเขาให้กลายเป็นสีทองแดงเข้มดูดุดัน ชายหนุ่มปรายตามองสหายที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปยังลูกน้องที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า
“หาไม่พบขอรับ ข้าค้นจนทั่วหมู่บ้านแล้วแต่ไม่รู้ว่าพวกมันไปซ่อนอยู่ที่ไหน”
“เป็นไปได้ยังไง เจ้าแน่ใจนะว่าค้นจนทั่ว”
“แน่ใจขอรับ ข้าไปค้นบ้านพักหลังที่ท่านเรย์บอก เจอแค่ข้าวของไม่กี่อย่างกับเจ้าม้าสองตัวนี่ ส่วนพวกมันสองคน เจ้าของบ้านบอกว่าออกจากห้องไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้วขอรับ”
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้ตามไปสืบกับคนในหมู่บ้านหรอกหรือว่าพวกมันไปไหนกัน”
พวกที่ถูกส่งไป ‘สอดแนม’ หลบสายตากันวูบวาบ ไม่มีใครกล้าตอบ
คาลีขบริมฝีปากด้วยท่าทางขัดใจยิ่ง
ตอนที่รู้ว่าเรย์พบคนหน้าตาเหมือนราชาแห่งกรีนแลนด์ เขาก็รีบสั่งให้หัวหน้าหมู่บ้านปิดทางเข้าออกทุกแห่งในเมืองบัลซาร์ ก่อนจะส่งลูกน้องที่คิดว่ามีฝีมือและไว้ใจได้ไปที่บ้านพักคนเดินทาง หวังจะจู่โจมเข้าจับตัวชายผู้นั้นให้ได้ในทันที
แต่ก็ยังพลาด...
นี่ถ้าหากเจ้าหมอนั่นเป็นราชาเอลเบอเรธจริง แล้วเจ้าชายดิเร็กซ์ทรงทราบว่าเขาปล่อยให้มันหนีรอดไปได้ละก็ พระองค์คงไม่ไว้ชีวิตเขาแน่
“เจ้าพวกโง่ เรื่องแค่นี้ทำไมไม่รู้จักคิด หรือว่าต้องรอให้หัวหลุดจากบ่ากันก่อนถึงจะคิดออก หา” ชายหนุ่มตวาดลูกน้องเสียงดังลั่น
“ใจเย็นน่าคาลี” เรย์ตบไหล่ปรามสหาย
“พวกมันไปโดยทิ้งข้าวของเอาไว้แบบนี้ แปลว่าไม่น่าจะไปไกล ลองกระจายกำลังกันค้นหาดูก่อนเป็นไง ถ้าไม่เจอจริงๆ ค่อยทิ้งคนของเราให้คอยเฝ้าทางเข้าออกหมู่บ้านอีกที ข้าว่ายังไงเสียพวกมันก็ต้องย้อนกลับมาแน่”
คาลีถอนใจใหญ่
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
ชายหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องสองคนให้กลับไปซุ่มสังเกตการณ์อยู่ที่บ้านพักคนเดินทาง ส่วนพวกที่เหลือให้แยกย้ายกันออกค้นหาบริเวณชายป่ารอบหมู่บ้าน โดยเขาและเรย์จะเป็นผู้เฝ้าปากทางเข้าออก เมื่อแบ่งหน้าที่เสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็หันมาทางสหาย
“เรย์ เจ้าว่าพวกมันจะขึ้นไปถึงวิหารรีอาหรือเปล่า”
“ก็ไม่แน่ แต่ถ้าพวกมันจะโง่ขึ้นไปบนนั้นจริง เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกคาลี ท่านหัวหน้านักบวชคงไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าวิหารรีอาเป็นยังไง”
“นั่นสินะ”
ทั้งเรย์และคาลีต่างก็หัวเราะให้แก่กันเพราะรู้ความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประโยคนั้นดี หากเพียงครู่เดียวชายหนุ่มร่างยักษ์ก็ชะงักกึก ยกมือขึ้นห้ามสหายพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ เหมือนจะหาอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ” เรย์ขมวดคิ้วมองเพื่อนอย่างฉงน
“จุ๊ ฟังสิ...ข้าได้ยินเสียงเหมือนม้าร้องดังมาจากพุ่มไม้ตรงนั้น เจ้าได้ยินหรือเปล่า”
เรย์หลับตาทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังชั่วครู่ก็ลืมตาแล้วส่ายหน้า
“ไม่นี่ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เจ้าหูแว่วไปมากกว่ามั้งคาลี”
“ไม่ใช่”
คาลีตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเขม้นมองไปทางพุ่มไม้ที่ว่าอีกครั้ง ก่อนจะคว้าสายบังเหียนของเจ้าม้าหนึ่งในสองตัวที่ยึดมาได้ กระโดดขึ้นหลังมันแล้วควบทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาตะโกนบอกเพื่อน
“เรย์ เร็วเข้า ข้าเห็นเงาคน”
พอขาดคำ นายทหารร่างเล็กก็พุ่งปราดไปยังม้าตัวที่เหลืออยู่ทันที…
ไม่มีวี่แววของเจ้าคนที่บอกว่าจะออกไปขโมยยาถอนพิษให้เห็น...
ชายหนุ่มชักเริ่มเป็นห่วง ไม่ว่าจะพยายามคิดในแง่ดีแค่ไหนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเมลใช้เวลาในการค้นหายาถอนพิษนานเกินไปแล้ว วิหารรีอาก็ไม่ได้กว้างขวางถึงขนาดที่จะต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินทั่วสักหน่อย แล้วหมอนั่นมัวทำอะไรอยู่
เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก เมลไม่ใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าหมอนั่นอาจจะหลงทางจึงตัดทิ้งไปได้ แต่ถ้าทำไมเย็นจนค่ำป่านนี้แล้วเมลถึงยังไม่กลับมา เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มกันแน่ หรือว่า สหายคนเก่งของเขาพลาดท่าถูกคนในวิหารจับได้เสียแล้ว
เอลสะบัดศีรษะไล่ความคิดอันไม่เป็นมงคลนั้นไปออกจากสมอง หากมันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกระวนกระวายใจหนักขึ้นจนอดทนเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ไหว
“ให้ตายเถอะ เจ้าบ้านั่น”
ชายหนุ่มสบถพึมพำอย่างหัวเสียขณะคว้าชุดกระโปรงลายดอกขึ้นมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่อย่างทุลักทุเล...คอยดูเถอะ ถ้ากลับไปถึงกรีนแลนด์ได้เมื่อไหร่ เขาจะต้องเอาคืนจากหมอนั่นให้สาสม สักสิบเท่า...ไม่สิ..ยี่สิบเท่าเป็นอย่างน้อย
ชายหนุ่มเดินคลำทางในความมืดไปเรื่อยๆ จนพบกับประตูห้องเก็บฟืน จึงออกแรงผลักบานไม้หนาหนักนั้นเบาๆ พอให้เกิดเป็นช่องขนาดมองลอดออกไปเห็นสภาพภายนอกได้
ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขาไปสักครู่ใหญ่แล้ว ท้องฟ้าเบื้องบนจึงกลายสภาพเป็นดั่งผืนกำมะหยี่สีดำ มีเกล็ดสีเงินแวววาวของดาวดวงน้อยกระพริบพราวเกลื่อนตา งดงามราวกับใครแกล้งนำเอาเพชรเม็ดเล็กๆ มาโปรยปรายเอาไว้ ที่ลานซักล้างยามนี้ว่างเปล่าปราศจากผู้คน ผ้าผ่อนมากมายที่เคยตากอยู่จนเต็มลานก็ถูกเก็บเรียบไม่เหลือสักชิ้น เอลจึงสามารถมองผ่านเลยไปจนถึงห้องครัวชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ่อน้ำได้โดยง่าย
แสงสีเหลืองอ่อนละมุนตาที่ทอลอดออกมาจากบานหน้าต่างห้องครัว รวมทั้งควันไฟจางๆ เหนือหลังคา บอกให้รู้ว่ายังมีคนอยู่ในนั้น กลิ่นอาหารค่ำหอมกรุ่นลอยมากับสายลม กระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า หากความกังวลใจเวลานี้มีมากเกินกว่าความรู้สึกอยากอาหารทั้งปวง
เอลกวาดสายตามองจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงค่อยๆ ย่างเท้าออกสู่ลานกว้างภายนอก สายลมเย็นฉ่ำที่พัดมาต้องผิวกายไม่อาจช่วยคลายความรุ่มร้อนในอกของเขาลงได้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าห้องปรุงยาของวิหารรีอาอยู่ทางไหน ซ้ำยังไม่ได้มองเสียด้วยว่าตอนแยกจากกันเมลเลือกเดินไปยังทิศทางใด เขาจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปทางด้านหลังห้องเก็บฟืน แฝงกายลัดเลาะไปตามเงามืดอันเกิดจากพรรณไม้หลากชนิดข้างทาง
เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่เอลก็เห็นแสงไฟวับแวมปรากฏอยู่หลังดงไม้เบื้องหน้า จึงมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นโดยชะลอฝีเท้าให้ช้าลงและเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ยิ่งเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเพราะดูเหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำคล้ายคนคุยกันดังแทรกมากับสายลมเป็นระยะ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเพื่อที่จะเงี่ยหูฟังให้ถนัด ไม่ผิดแน่ มีคนกำลังคุยกันอยู่หลังดงไม้จริงๆ เสียงแรกนั้นคงเป็นของใครคนใดคนหนึ่งในวิหาร หากอีกเสียงหนึ่งนี่สิ ฟังยังไงก็เป็นเสียงของผู้ชายชัดๆ
เอลใช้มือแหวกกิ่งไม้เป็นช่องแล้วมองลอดออกไป ท่ามกลางแสงคบสีเหลืองนวล เขาเห็นคอกสำหรับพักม้าซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยการนำเอาต้นไม้ขนาดเท่าแขนมาตอกเป็นโครงสี่เหลี่ยม ใช้ฟางแห้งมุงแทนหลังคา ด้านหน้ามีรางสำหรับใส่หญ้าและน้ำตอกติดอยู่กับพื้นดิน ในคอกมีม้าผูกอยู่เพียงสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาลท่าทางตื่นๆ อีกตัวหนึ่งนั้นเป็นม้าหนุ่มพันธุ์ดีสีดำ มีรอยแต้มสีขาวกลางหน้าผากเป็นเส้นเรียวเล็กแทบสังเกตไม่เห็น รูปร่างของมันสวยงามสมส่วน กล้ามเนื้อสมบูรณ์แข็งแรง ขนเป็นมันปลาบแสดงว่าได้รับการดูแลจากเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ ห่างจากเจ้าม้าตัวงามไปไม่เท่าไหร่คือร่างของนักบวชหญิง และผู้ชายในเครื่องแบบสีแดงมีสัญลักษณ์รูปดาวสีทองประดับอยู่กลางอก
ทหารทาเนียร์!
เอลขมวดคิ้วเข้าหากัน ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว เขาต้องรีบหาตัวเมลให้เจอเพื่อบอกเรื่องนี้ให้รู้โดยด่วน ชายหนุ่มถอยห่างจากบริเวณนั้นอย่างเงียบเชียบ เดินเลี่ยงไปอีกทางจนกระทั่งทะลุผ่านดงไม้ออกมาสู่ลานโล่งหน้าอาคารหลังหนึ่งที่หน้าต่างด้านข้างเปิดอ้าอยู่ เขาเดินโฉบเข้าไปใกล้แล้วลอบมองเข้าไปภายใน
นี่คือห้องปรุงยาไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มรู้ได้เพราะเห็นเด็กสาวที่อยู่ในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการคนของเหลวในหม้อทองเหลืองใบน้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ รอบกายนางมีสมุนไพรตากแห้งหลายชนิดวางอยู่ เขาพยายามกวาดตามองจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าคนที่อาสามาขโมยยาถอนพิษแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าหมอนั่นหายหัวไปอยู่เสียที่ไหน
หรือว่าเมลจะย้อนกลับไปที่ห้องเก็บฟืนแล้ว?
เป็นไปได้...
ชายหนุ่มคิดพลางหันหลังเตรียมย่องออกจากพื้นที่ หากเท้าเจ้ากรรมดันพลาดไปเหยียบกิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่แถวนั้นเข้าเสียก่อน เสียงกิ่งไม้หักเป๊าะดังก้องขึ้นในความเงียบ เรียกความสนใจของคนในห้องให้หันมองมาทันที
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”
เอลไม่รอให้เด็กสาวเจ้าของเสียงลุกขึ้นเดินมาชะโงกดูตรงหน้าต่าง หากเผ่นพรวดเดียวไปหลบอยู่ในเงามืดของอาคารหลังใหญ่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วที่ตนเองยังทึ่ง เขายืนนิ่งไม่กล้าขยับกายอยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงตั้งท่าจะออกเดินต่อ ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็บังเอิญเหลือบตามองผ่านรอยแง้มของประตูที่อยู่ด้านหลังอาคารเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้โลหิตในกายของเขาแทบจะจับตัวเป็นก้อนแข็งด้วยความหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที
ระหว่างที่คนทั้งห้องกำลังจับตาดูการต่อสู้ของเจ้าชายแห่งทาเนียร์และหัวขโมยสาวด้วยหัวใจเต้นระทึก ประตูด้านหลังห้องก็ถูกถีบให้เปิดผางออก อาชาทรงตัวงามของเจ้าชายดิเร็กซ์เผ่นโผนข้ามขอบระเบียงเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของเหล่านักบวชและสาวใช้ประจำวิหาร
เสียงเอะอะอึกทึกที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงเสียสมาธิ พระองค์จำต้องละความสนพระทัยจากคู่ต่อสู้ชั่วคราวเพื่อเหลียวไปทอดพระเนตรตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องชะงักงันไปอย่างคาดไม่ถึง เมื่อทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของคนบนหลังม้าเต็มตา
เมลิอานาร์ถือโอกาสที่เจ้าชายดิเร็กซ์มัวแต่เผลอไผลไม่ทันระวังพระองค์ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือผลักพระแสงดาบออกจนพ้นลำคอ ตวัดคมมีดฝากรอยแผลเอาไว้ที่ท่อนพระกรเป็นแนวยาว ก่อนจะพลิ้วร่างออกจากจุดเสียเปรียบ พุ่งตรงไปยังที่ว่างกลางห้อง ในจังหวะเดียวกับที่เจ้าม้าสีดำควบขับเข้ามาใกล้พอดี กว่านางจะรู้ตัว ร่างทั้งร่างก็ถูกยกลอยขึ้นไปนั่งพิงแผงอกอุ่นของคนที่อยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต นางยอมตกม้าตายดีกว่าต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของใครก็ไม่รู้ หากท่อนแขนแข็งแรงของคนที่นั่งกุมบังเหียนอยู่ด้านหลังกลับรั้งเอวบางเอาไว้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำอย่างใจคิด
“อยู่นิ่งๆ สิ นี่ข้าเอง” เสียงห้วนห้าวคุ้นหูกระซิบดุ
“เอล!”
หญิงสาวอุทานพลางเหลียวหลังไปมองด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าไปเอาม้ามาจากไหน แล้วรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่”
“เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งซักอะไรตอนนี้เลย เรื่องมันยาว...”
เอลตัดบทด้วยการกระแทกสีข้างม้าให้เผ่นโผนผ่านประตูโค้งด้านหน้าออกไปสู่ทางเดินภายนอกทันที
เจ้าชายดิเร็กซ์ตั้งพระสติได้ก็ทรงกระโจนข้ามระเบียงหลังลงไปยังพื้นดินด้านล่าง หวังจะวิ่งไปสกัดคนทั้งสองจากอีกทาง บาดแผลที่เพิ่งได้รับปวดแปลบ โลหิตไหลซึมจนชุ่มแขนเสื้อก่อความรำคาญให้ไม่น้อย หากพระองค์จะสนพระทัยก็หาไม่
“ทหาร ผูกม้าของข้าถวายเจ้าชาย เร็ว”
เสียงท่านนักบวชชราที่ออกวิ่งงกเงิ่นตามหลังนายหนุ่มมาติดๆ ร้องสั่งทหารรับใช้อยู่โหวกเหวก ทว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลม้ากลับวิ่งหน้าตาตื่น หิ้วเครื่องอานร่องแร่งเข้ามารายงานว่า
“เจ้าน้ำตาลถูกใครก็ไม่ทราบปล่อยไปแล้วขอรับ มันเตลิดหนีเข้าไปในป่าละเมาะด้านหลังโน่น ข้าวิ่งตามจนเหนื่อยแต่ก็ไม่ทัน”
“ต้องเป็นเจ้าคนที่ขโมยม้าทรงขององค์ชายแน่” ชายชรากัดฟันกรอด เจ็บใจที่รู้ว่าพวกตนพลาดท่าเสียทีให้อีกฝ่ายจนได้
“ช่างเถอะ” เขาพยายามข่มใจขณะหันไปสั่งทหารหนุ่ม
“เจ้ารีบตามเสด็จเจ้าชายไปเร็วๆ เข้า”
ทหารรับใช้รับคำด้วยท่าทางตื่นๆ ก่อนจะออกวิ่งตรงไปตามทิศทางที่ท่านนักบวชอาวุโสชี้บอก จนมาทันกับผู้เป็นนายที่ถนนดินด้านนอก
เจ้าชายดิเร็กซ์ประทับยืนกำพระหัตถ์แน่น ทอดพระเนตรตามหลังเจ้าม้าสีดำที่กำลังควบเข้าสู่เส้นทางลงเขาด้วยดวงเนตรวาวโรจน์ พอพระองค์เหลียวมาเห็นเขา ก็ออกคำสั่งทันที
“ธนู เร็วเข้า ไปเอาธนูมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
นายทหารหนุ่มรับคำแล้ววิ่งย้อนเข้าไปในวิหารรีอาอีกครั้ง เขาหายไปเพียงอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมด้วยธนูไม้คันเล็กบางแกะสลักเป็นลวดลายอ่อนช้อยเข้าชุดกับกระบอกศร ดูแล้วเหมือนของประดับมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้งานได้จริง
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงหันไปกระชากคันธนูมาจากมือของทหารรับใช้อย่างพระทัยร้อน พระองค์เขม้นมองไปเบื้องหน้า ร่างของเจ้าม้าสีดำดูราวกับจะกลืนหายไปในความมืดได้อย่างประหลาด คะเนจากระยะทางแล้วโอกาสของพระองค์คงจะมีไม่มากนัก...หากก็คุ้มที่จะเสี่ยง
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงคว้าลูกศรขึ้นพาดสาย น้าวเหนี่ยวเต็มล้าก่อนจะปล่อยพระหัตถ์
เสียงลูกธนูเสียดอากาศดังหวีดหวิวขณะพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย ดอกแรกพลาดไปนิดเดียว หากดอกที่สองเสียบฝังเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างจัง!
เอลสะดุ้งเฮือก หากยังกัดฟันกุมบังเหียนไว้มั่นไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งพ้นจากระยะธนูของเจ้าชายดิเร็กซ์แล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงคลายมือที่กุมบังเหียนเปลี่ยนเป็นกำไว้หลวมๆ ผ่อนฝีเท้าม้าให้ช้าลงจนแทบจะกลายเป็นย่างเหยาะตามสบาย ช่วงไหล่ซีกซ้ายปวดหนึบ ปากแผลเต้นตุบๆ ราวกับมีหัวใจอีกดวงเพิ่มขึ้นที่ตรงนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีขึ้น ซ้ำยังลุกลามเรื่อยไปยังท่อนแขนและสีข้างจนชายหนุ่มไม่อาจฝืนทรงกายให้ตั้งตรงต่อไปได้
เขาค่อยเอนร่างทิ้งน้ำหนักลงพิงไหล่คนข้างหน้าทีละน้อย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราวทั้งใบหน้า ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งสติสัมปชัญญะเอาไว้ไม่ให้วูบดับ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
เมลิอานาร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อพบว่าเจ้าม้าที่ห้อเต็มเหยียดราวกับพายุเกิดชะลอฝีเท้าลงเสียเฉยๆ แถมคนบังคับม้ายังแกล้งโน้มร่างเข้ามาจนชิดแผ่นหลังของนางเสียอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าเนื้อที่บนหลังม้ามันจำกัด แค่ผู้ชายตัวโตอย่างเอลนั่งมาคนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว นี่ยังพ่วงเอาผู้หญิงตัวไม่เล็กนักอย่างนางเข้ามาอีก การกระทบกระทั่งถูกตัวกันย่อมต้องมีเป็นธรรมดา แต่นี่มัน... ออกจะแนบชิดกันเกินไปหน่อยแล้วไม่ใช่หรือ
หญิงสาวง้างศอกยันร่างของคนข้างหลังเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ตัว หากเอลทำเสมือนไม่รู้ ซ้ำยังโถมน้ำหนักลงมาบนร่างของนางมากยิ่งขึ้น เรียกว่าแทบจะพิงลงมาทั้งตัวเลยก็ว่าได้ หญิงสาวชักยัวะ นางเหลียวกลับไปมอง เตรียมโวยเต็มที่ ทว่าภาพที่เห็นทำให้คำพูดดุเดือดชะงักค้างอยู่แค่ปลายลิ้น
แสงจากจันทร์เสี้ยวที่ทอลอดใบไม้เหนือศีรษะลงมา ส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของคนข้างหลังชัดเจน บริเวณไรผมและขมับของเขามีเม็ดเหงื่อเกาะพราว หัวคิ้วเข้มหนาขมวดย่นเข้าหากัน ดวงตาปิดสนิท กรามขบกันจนเป็นสันนูน ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกำลังพยายามข่มความเจ็บปวดอยู่อย่างสุดความสามารถ
“เอล เจ้าเป็นอะไร...”
น้ำเสียงตกใจที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมอง เขายิ้มเนือยๆ ออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดดังเดิม เสียงห้าวแหบโหยตอบคำถามแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
“ข้า...ต้องธนู...ของเจ้า..ชาย...ดิเร็กซ์”
เมลิอานาร์ใจหายวาบ รีบมองสำรวจร่างกายของสหายหนุ่มอย่างร้อนรน นอกจากลูกธนูหักครึ่งที่ปักคาอยู่ตรงสะบักของเขาแล้ว ตามหลัง ไหล่ และท่อนแขนของชายหนุ่มยังมีบาดแผลอันเกิดจากคมธนูที่พลาดจากเป้าหมายอีกหลายแห่ง ในขณะที่นางไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเพราะได้คนตัวโตช่วยบังเอาไว้ให้ ...ถ้าเอลไม่ขี่ม้าเข้ามาช่วยนาง เขาก็คงไม่ต้องบาดเจ็บถึงขนาดนี้
หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสรอยแผลที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกอ่อนโยนในหัวใจทำให้นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นครั้งแรก
“ไหวหรือเปล่าเอล ข้าว่าเราหยุดพักกันก่อนดีกว่า จะได้ดูแผลให้เจ้าด้วย”
“ไม่” คนเจ็บตอบเสียงเฉียบขาด สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเพื่อข่มความเจ็บปวด ก่อนจะแข็งใจกล่าวต่อ
“หยุดไม่ได้...อัน..ต..รายเกินไป... พวกของ...เจ้าชายดิเร็กซ์อาจจะ...ตามมา ..เรา...ต้อง..รีบไป...”
“แต่เจ้าบาดเจ็บ”
“ไม่เป็นไร ข้า...ยังไหว..รีบ...รีบไป...”
เมลิอานาร์เหลียวหน้าเหลียวหลังละล้าละลัง ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอาการของเอล หากอีกใจก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แถวนี้ยังอยู่ใกล้เขตวิหาร อีกไม่ช้าพวกนักบวชคงระดมกำลังกันออกตามล่าตัวนาง หญิงสาวไม่เชื่อว่าพวกนักบวชจะปล่อยให้คนที่ลอบเข้าไปขโมยยาถอนพิษถึงในวิหารหนีรอดไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าพวกนางเกิดรู้ว่าคนผู้นั้นได้ตำราปรุงยาเล่มสำคัญไปด้วย
นางลอบชำเลืองสังเกตลักษณะบาดแผลของชายหนุ่มอีกครั้ง...ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ธนูคงไม่ได้อาบยาพิษ ถ้าเช่นนั้นก็พอจะคลายใจได้ว่าเอลคงไม่เป็นอะไรมาก หากนางรีบควบม้ากลับลงไปที่หมู่บ้านให้เร็วที่สุด ก็คงพอจะหาหมอแถวนั้นช่วยผ่าเอาหัวธนูออกจากร่างของเขาได้
“เอาละ” หญิงสาวตัดสินใจเด็ดขาด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน ข้าจะบังคับม้าให้เอง”
เมลิอานาร์ขยับท่านั่งให้มั่นคงยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนกระชับ อีกข้างพันล็อกเข้ากับแขนของคนเจ็บกันเขาพลาดตกลงไปหากหมดสติ จากนั้นจึงกระตุ้นสีข้างม้าเต็มแรง
เจ้าม้าสีดำส่งเสียงร้องรับอย่างคึกคะนองก่อนจะโผนทะยานไปเบื้องหน้า ม้าทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์ตัวนี้นับว่าฝีเท้าจัดเอาเรื่องทีเดียว ขนาดต้องแบกรับน้ำหนักของคนสองคนไว้บนหลัง มันยังวิ่งได้เร็วราวกับพายุ โชคดีที่เอลเลือกขโมยม้าได้ถูกตัว หาไม่แล้วทั้งเขาและนางคงไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมหัตถ์ของเจ้าชายพระองค์นั้นเป็นแน่
ไม่นานนักเจ้าม้าหนุ่มก็พาคนทั้งคู่ลงมาถึงป่าโปร่งเชิงเขา เมลิอานาร์ใจชื้นขึ้นเมื่อมองเห็นแสงสว่างวับแวมอยู่หลังเงาตะคุ่มของดงไม้ หมู่บ้านคงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว หญิงสาวควบม้าฝุ่นตลบมุ่งหน้าไปตามถนนดินโดยไม่คิดจะชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย ระยะทางยิ่งหดสั้นเข้า นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง แสงสว่างที่เห็น เคลื่อนที่ไปมาสับสน กลิ่นน้ำมันดินจางๆ ลอยปนมาในอากาศ บอกให้รู้ว่านั่นเป็นแสงจากคบไฟ หาใช่แสงจากตะเกียงตามบ้านเรือนไม่
หญิงสาวรั้งบังเหียนสุดแรง เจ้าม้าหนุ่มชูขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศพร้อมกับส่งเสียงร้องก้องก่อนจะหยุดนิ่ง นางยืนม้าหลบอยู่ในเงาไม้ เขม้นมองไปยังทิศที่ตั้งของปากทางเข้าหมู่บ้าน
ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนยืนถือคบไฟชุมนุมกันอยู่ มีชายร่างยักษ์ท่าทางเป็นหัวหน้าชี้นิ้วออกคำสั่งอยู่ข้างๆ ชายร่างเล็กหน้าเสี้ยมแหลม หญิงสาวจำได้ว่าทั้งสองคนเป็นทหารของเจ้าชายดิเร็กซ์ที่เคยซ้อมเจ้าซิสจนปางตาย นอกจากคนทั้งกลุ่มแล้ว ยังมีม้าหน้าตาคุ้นๆ ยืนสะบัดหัวพ่นลมหายใจฟืดฟาดอยู่อีกสองตัว แม้จะเห็นในระยะห่าง หากเมลิอานาร์ก็แน่ใจว่าตาไม่ฝาด เจ้าสัตว์สองตัวนั้นคืออดีตพาหนะของนางและเอลนั่นเอง
ท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว...
หญิงสาวค่อยๆ รั้งบังเหียนบังคับเจ้าม้าหนุ่มให้หันหลังกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วควบจากไปเงียบๆ
คาลียกคบไฟในมือชูขึ้นสูง แสงสีเหลืองอมส้มสาดจับใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมบึกบึนของเขาให้กลายเป็นสีทองแดงเข้มดูดุดัน ชายหนุ่มปรายตามองสหายที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปยังลูกน้องที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า
“หาไม่พบขอรับ ข้าค้นจนทั่วหมู่บ้านแล้วแต่ไม่รู้ว่าพวกมันไปซ่อนอยู่ที่ไหน”
“เป็นไปได้ยังไง เจ้าแน่ใจนะว่าค้นจนทั่ว”
“แน่ใจขอรับ ข้าไปค้นบ้านพักหลังที่ท่านเรย์บอก เจอแค่ข้าวของไม่กี่อย่างกับเจ้าม้าสองตัวนี่ ส่วนพวกมันสองคน เจ้าของบ้านบอกว่าออกจากห้องไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้วขอรับ”
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้ตามไปสืบกับคนในหมู่บ้านหรอกหรือว่าพวกมันไปไหนกัน”
พวกที่ถูกส่งไป ‘สอดแนม’ หลบสายตากันวูบวาบ ไม่มีใครกล้าตอบ
คาลีขบริมฝีปากด้วยท่าทางขัดใจยิ่ง
ตอนที่รู้ว่าเรย์พบคนหน้าตาเหมือนราชาแห่งกรีนแลนด์ เขาก็รีบสั่งให้หัวหน้าหมู่บ้านปิดทางเข้าออกทุกแห่งในเมืองบัลซาร์ ก่อนจะส่งลูกน้องที่คิดว่ามีฝีมือและไว้ใจได้ไปที่บ้านพักคนเดินทาง หวังจะจู่โจมเข้าจับตัวชายผู้นั้นให้ได้ในทันที
แต่ก็ยังพลาด...
นี่ถ้าหากเจ้าหมอนั่นเป็นราชาเอลเบอเรธจริง แล้วเจ้าชายดิเร็กซ์ทรงทราบว่าเขาปล่อยให้มันหนีรอดไปได้ละก็ พระองค์คงไม่ไว้ชีวิตเขาแน่
“เจ้าพวกโง่ เรื่องแค่นี้ทำไมไม่รู้จักคิด หรือว่าต้องรอให้หัวหลุดจากบ่ากันก่อนถึงจะคิดออก หา” ชายหนุ่มตวาดลูกน้องเสียงดังลั่น
“ใจเย็นน่าคาลี” เรย์ตบไหล่ปรามสหาย
“พวกมันไปโดยทิ้งข้าวของเอาไว้แบบนี้ แปลว่าไม่น่าจะไปไกล ลองกระจายกำลังกันค้นหาดูก่อนเป็นไง ถ้าไม่เจอจริงๆ ค่อยทิ้งคนของเราให้คอยเฝ้าทางเข้าออกหมู่บ้านอีกที ข้าว่ายังไงเสียพวกมันก็ต้องย้อนกลับมาแน่”
คาลีถอนใจใหญ่
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
ชายหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องสองคนให้กลับไปซุ่มสังเกตการณ์อยู่ที่บ้านพักคนเดินทาง ส่วนพวกที่เหลือให้แยกย้ายกันออกค้นหาบริเวณชายป่ารอบหมู่บ้าน โดยเขาและเรย์จะเป็นผู้เฝ้าปากทางเข้าออก เมื่อแบ่งหน้าที่เสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็หันมาทางสหาย
“เรย์ เจ้าว่าพวกมันจะขึ้นไปถึงวิหารรีอาหรือเปล่า”
“ก็ไม่แน่ แต่ถ้าพวกมันจะโง่ขึ้นไปบนนั้นจริง เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกคาลี ท่านหัวหน้านักบวชคงไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าวิหารรีอาเป็นยังไง”
“นั่นสินะ”
ทั้งเรย์และคาลีต่างก็หัวเราะให้แก่กันเพราะรู้ความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประโยคนั้นดี หากเพียงครู่เดียวชายหนุ่มร่างยักษ์ก็ชะงักกึก ยกมือขึ้นห้ามสหายพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ เหมือนจะหาอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ” เรย์ขมวดคิ้วมองเพื่อนอย่างฉงน
“จุ๊ ฟังสิ...ข้าได้ยินเสียงเหมือนม้าร้องดังมาจากพุ่มไม้ตรงนั้น เจ้าได้ยินหรือเปล่า”
เรย์หลับตาทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังชั่วครู่ก็ลืมตาแล้วส่ายหน้า
“ไม่นี่ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เจ้าหูแว่วไปมากกว่ามั้งคาลี”
“ไม่ใช่”
คาลีตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเขม้นมองไปทางพุ่มไม้ที่ว่าอีกครั้ง ก่อนจะคว้าสายบังเหียนของเจ้าม้าหนึ่งในสองตัวที่ยึดมาได้ กระโดดขึ้นหลังมันแล้วควบทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาตะโกนบอกเพื่อน
“เรย์ เร็วเข้า ข้าเห็นเงาคน”
พอขาดคำ นายทหารร่างเล็กก็พุ่งปราดไปยังม้าตัวที่เหลืออยู่ทันที…
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2556, 08:59:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.พ. 2556, 09:14:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1941
<< ตอนที่ 18 | ตอนที่ 20 >> |
ชลวารี 19 ก.พ. 2556, 18:08:17 น.
พระนางเรา จะหนี้พ้นมั้ย
พระนางเรา จะหนี้พ้นมั้ย