ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 21
แสงแดดยามสายปลุกหญิงสาวที่ยังคงนอนหลับตานิ่งให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นทีละนิด ศีรษะของนางปวดร้าวราวกับจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ลำคอแห้งผากจนแสบร้อนไปหมด นางกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่ความมึนงง หากพอขยับตัวก็รู้สึกถึงน้ำหนักของสิ่งที่พันธนาการอยู่รอบร่างจนต้องรีบลืมตาขึ้นมอง
ภาพพร่ามัวภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า คือแผงอกเปลือยเปล่าของบุรุษเพศซึ่งดูเหมือนจริงเกินกว่าจะเป็นภาพฝัน พอไล่สายตาขึ้นไปตามช่วงไหล่กว้าง ก็พบเข้ากับแนวคางเขียวครึ้มไปด้วยหนวดเครา ริมฝีปากสีสดประดับรอยยิ้มยั่วเย้า และดวงตาพราวระยับสีน้ำเงินอมเขียวที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“รู้สึกตัวแล้วหรือ”
เสียงห้าวคุ้นหูถามกลั้วหัวเราะ วงแขนแข็งแรงที่พาดอยู่หลวมๆ เหนือสะโพกของนางคลายออกเล็กน้อย
...นี่มันอะไรกัน!
เมลิอานาร์แทบจะหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง รีบผลักร่างของอีกฝ่ายให้พ้นไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือ พร้อมกับดีดตัวออกห่างอย่างไม่คิดชีวิต
“ระวัง”
เอลยื่นแขนตามออกมารั้งร่างบางเข้าชิดอก ด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะกลิ้งลงไปบนกองเถ้าถ่านคุแดงด้านหลัง หากเจ้าของร่างกลับดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”
“ใจเย็นๆ สิ ท่านเมล ข้าจะปล่อยก็ได้ แต่ท่านต้องไม่ทำแบบเมื่อกี้อีก ตกลงมั้ย”
“ไม่มีทาง”
“ถ้างั้นก็อยู่อย่างนี้ละ ไม่ต้องไปไหน”
คำตอบที่สวนกลับมายิ่งทำให้คนฟังพยายามออกแรงดิ้นรนหนักขึ้น
“เอล เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออมยิ้มอย่างขบขัน พอคลายวงแขนออก อีกฝ่ายก็กระถดตัวหนีทันที ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เสียงที่เอ่ยถามหากมีสีคงเขียวจัดทีเดียว
“เล่นบ้าอะไรของเจ้า”
“ใครว่าข้าเล่น”
เอลลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ปากยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าแขนข้างที่ใช้สอดรองศีรษะคนตรงหน้ามาทั้งคืนจะชาดิกจนแทบหมดความรู้สึกไปแล้วก็ตาม
“ข้าอุตสาห์ช่วยชีวิตท่านเอาไว้ นอกจากไม่ขอบคุณกันสักคำยังกลับมากล่าวหาข้าเสียอีก เมื่อคืนท่านจับไข้หนักแค่ไหนรู้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ข้าช่วยให้ความอบอุ่นด้วยการกอดท่านเอาไว้ละก็ ป่านนี้คงยังไม่ได้สติละมั้ง”
คำ ‘กอด’ ของผู้พูดเน้นเสียงหนักอย่างจงใจ ทำให้ใบหน้าซีดเซียวของคนฟังซับสีโลหิตขึ้นทันที เมลิอานาร์ขบริมฝีปากแน่น พยายามที่จะไม่ตอบโต้คำพูดของอีกฝ่าย หญิงสาวคว้าเสื้อเชิ้ตตัวบางที่คลุมอยู่เหนือร่างต่างผ้าห่มปาใส่เจ้าของ สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเลยลุกเลี่ยงไปที่ริมลำธารเพื่อถือโอกาสดื่มน้ำและล้างหน้าล้างตาเสียเลย
แม้อาการไข้จะสร่างลงแล้ว ทว่าความรู้สึกปวดตุบๆ ที่ศีรษะยังคงหลงเหลืออยู่ บาดแผลจากคมหอกของเจ้าชายดิเร็กซ์เจ็บระบมจนหญิงสาวต้องใช้มือกุมสีข้าง เดินตัวงอเป็นกุ้งไปตลอดทาง สัมผัสของผืนผ้าที่ทบซ้อนอยู่ใต้ชุดสาวใช้พุ่งปราดกระทบปลายนิ้ว กระตุ้นเตือนให้นางระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นในสมอง
ใครกันที่เป็นคนทำแผล...
เมลิอานาร์หันขวับไปมองคนที่ยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ที่เดิม มันน่าโมโหตรงที่พิษไข้ทำให้นางจำอะไรไม่ได้เลยนี่แหละ พออ้าปากจะถาม ก็เห็นฝ่ายนั้นเลิกคิ้วจ้องมองกลับมาด้วยสายตายิ้มๆ เลยจำต้องหุบปาก เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจตามเดิม
ถ้าเอลเป็นคนทำแผล เขาก็น่าจะรู้แล้วว่านางไม่ใช่ผู้ชาย แต่คำพูดและการวางตัวของชายหนุ่มยังคงกวนประสาทอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่มีวี่แววของความผิดปกติใดๆ ปรากฏให้เห็นสักนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้า บางทีนางอาจจะระแวงมากเกินไป คนที่ทำแผลคงไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวนางเองนั่นแหละ
หญิงสาวยักไหล่ พยายามสลัดความคิดกังวลไร้สาระออกจากหัวสมอง นางใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการกับธุระส่วนตัว พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินเลี่ยงไปที่พุ่มไม้อีกด้าน เปิดโอกาสให้เอลได้จัดการกับธุระของเขาในระหว่างที่นางลงมือเปลี่ยนสมุนไพรพอกแผล เมื่อย้อนกลับมาที่หาดหินอีกครั้ง ปรากฏว่าชายหนุ่มนั่งรออยู่แล้ว พร้อมด้วยอาหารมื้อแรกของวัน
เมลิอานาร์อดทนกินปลาย่างสุกๆ ดิบๆ ฝีมือเอลเข้าไปได้เพียงสองสามคำก็ต้องวาง รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาจนต้องวิ่งไปอาเจียนลงสายน้ำจนหมดไส้หมดพุง
เอลรีบลุกตามไปลูบหลังให้อีกฝ่าย สีหน้าของชายหนุ่มแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยเด่นชัดจนเกือบจะดูเคร่งเครียด ไม่เหลือรอยยิ้มยั่วเย้าให้เห็นอย่างเคย
“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าเมล หน้าท่านซีดจนจะเขียวอยู่แล้ว”
หญิงสาวเจ้าของชื่อโบกมือแทนการปฏิเสธ
“ข้าก็แค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น เจ้าอย่าห่วงเลย กลับไปจัดการกับอาหารเช้าของเจ้าก่อนที่มันจะเย็นชืดเถอะ”
“ไม่ละ ข้าคิดว่าข้าอิ่มดีกว่า”
เอลเหวี่ยงปลาย่างที่ถือติดมือมาด้วยลงในสายน้ำอย่างไม่ใยดี เขารั้งรออยู่จนกระทั่งเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนร่วมทางค่อยดีขึ้นบ้างแล้ว จึงย้อนกลับไปกลบเกลื่อนร่องรอยของกองไฟพักแรม ก่อนจะหันมาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเตรียมตัวออกเดินทางต่อ
ชายหนุ่มลอบชำเลืองสังเกตอาการของหญิงสาวด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางยังต้องเอามือกุมท้องเดินตัวงอ ก็อดที่จะปราดเข้าไปช่วยพยุงไม่ได้
“จะทำอะไรน่ะ” เมลิอานาร์เอ่ยถามเสียงเข้มด้วยท่าทางระแวงเต็มที่
“ทำอะไร ก็จะช่วยพยุงท่านน่ะสิ”
“ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้”
ท่าปฏิเสธชนิดหัวชนฝาของหญิงสาวทำให้คน ‘หวังดี’ ต้องกลั้นยิ้ม หากแทนที่จะถอยห่าง เขากลับยิ่งขยับเข้าใกล้ ซ้ำยังถือวิสาสะเอื้อมมือไปโอบรอบเอวเล็กบางเสียเลย
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่าท่านเมล ท่านยังมีไข้ ตอนที่ข้าเจ็บไหล่ท่านก็เคยช่วยพยุงนี่นา ตอนนี้ท่านเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บแล้วจะให้ข้ายืนดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน”
เสียงตอบใสซื่อ ใบหน้าก็ซื่อ ลูกกะตาสีน้ำทะเลแสนสวยปราศจากรอยยิบๆ อย่างเคย ทำให้คนจะได้รับความช่วยเหลือต้องมองแล้วมองอีกอย่างไม่แน่ใจ ครั้นจะสะบัดตัวหนี ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายสงสัย หญิงสาวจึงจำต้องยอมรับความช่วยเหลือจากเขาอย่างเสียไม่ได้ในที่สุด
เมื่อออกเดินลัดเลาะไปตามช่องว่างแคบๆ ระหว่างดงไม้ได้ครู่ใหญ่ ทั้งสองก็ล่วงเข้าสู่ถนนดินสายเดิมที่เคยควบม้าผ่านไปเมื่อสามวันก่อน สภาพของป่าที่เริ่มคุ้นตาบอกให้รู้ว่ากรีนแลนด์อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว เมลิอานาร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากยังไม่ทันจะได้ก้าวเดินต่อก็ถูกเอลรั้งร่างให้ถอยกลับเข้ามาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ เขาพยักเพยิดไปบนถนนดินแคบๆ ตรงหน้าที่บัดนี้มีร่างของชายแปลกหน้าสองคนและม้าสีนิลตัวหนึ่งปรากฎอยู่
หญิงสาวแทบจะอ้าปากค้าง เพราะจำรอยแต้มเรียวเล็กกลางหน้าผากและเครื่องอานราคาแพงบนหลังม้าได้ทันที ม้าตัวนี้เป็นตัวเดียวกับอาชาทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์ที่นางใช้หลอกล่อทหารทาเนียร์เมื่อคืน ไม่ผิดแน่
“เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่แถวนี้หรือ เกรย์”
ชายซึ่งทำหน้าที่จูงม้าพูดขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก เขาดูมีอาวุโสกว่าผู้ที่เดินเยื้องไปทางเบื้องหลังเล็กน้อย รูปร่างกำยำล่ำสัน อกผายไหล่ผึ่งจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้เจอเจ้าโอนิกซ์เข้าอย่างไม่คาดฝันที่นี่ ลองหาดูก่อนเถอะน่า เขาอาจจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ก็ได้”
ฝ่ายที่ตอบเป็นชายหนุ่มหน้าอ่อน รูปร่างกล้องแกล้งผอมบางต่างจากชายคนแรกโดยสิ้นเชิง
ยังไม่ทันที่ชายทั้งสองจะก้าวพ้นไปจากบริเวณนั้น วัตถุประหลาดสีแดงเพลิงก็พุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ทะลุผ่านพุ่มไม้หายลับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ครู่ต่อมาก็มีเสียงร้อง ‘เฮ้ย’ ดังขึ้น ตามติดด้วยเสียง ‘โครม’ สนั่นหวั่นไหว
ชายแปลกหน้าทั้งคู่เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วความตื่นเต้นระคนยินดีก็ฉายชัดออกมาทางดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน พวกเขาพร้อมใจกันหันขวับไปทางทิศที่มาของเสียง ต่างฝ่ายต่างก็พุ่งพรวดผ่านเข้าไปยังอีกฟากของดงไม้โดยไม่ได้นัดหมาย
“ซี..ซ่าร์....”
ภาพผู้ชายตัวโตที่นอนหงายหลังอยู่กับพื้น มีสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนมังกรหากตัวเล็กเท่าลูกสุนัขเกาะอยู่บนแผ่นอก ทำให้เสียงเรียกชื่อเด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นจากริมฝีปากค่อยๆ ถูกกลืนกลับไปในลำคอ ผู้มาใหม่ทั้งสองได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ตะลึงมองภาพตรงหน้าอยู่กับที่
“เมล รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน... เมล รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว....”
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด จนสตรีในชุดสาวใช้สกปรกมอมแมมที่ยืนตัวงออยู่แถวนั้น ต้องปราดเข้าไปตะครุบปากของมันเอาไว้ นางเหลือบตามองชายแปลกหน้าสองคนที่โผล่พรวดผ่านดงไม้เข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน พูดออกตัวว่า
“สัตว์เลี้ยงของข้าเองแหละ มันเอ่อ...ออกจะหนวกหูไปสักหน่อย”
“สัตว์เลี้ยง!”
ชายหนุ่มหน้าอ่อน ชี้นิ้วไปที่เจ้าสัตว์ประหลาดพูดได้ด้วยท่าทางตื่นตระหนก “นะ นั่นมันมังกรชัดๆ”
“ใครว่า เจ้านี่เป็น...อ่า...ลูกผสมระหว่างกิ้งก่ากับนกแก้วต่างหาก”
“จะตัวอะไรก็ช่างเถอะ” เสียงห้วนห้าวของบุรุษร่างยักษ์ที่นอนแผ่อยู่กับพื้นดังแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบเอา ‘สัตว์เลี้ยง’ ของท่านออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าของ ‘สัตว์เลี้ยง’ ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย นางคว้าร่างกลมป้อมของเจ้าตัวพูดมากมาโอบไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ยอมปล่อยมือจากปากของมัน
ชายผู้ออกคำสั่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัวด้วยท่าทางฉุนเฉียว ก่อนตวัดสายตาคมปลาบทรงอำนาจจ้องมองผู้มาใหม่อย่างเพ่งเล็ง
“พวกท่านเป็นใคร ดูจากการแต่งกายแล้ว คงไม่ใช่ชาวบ้านแถบนี้”
“พวกเราเป็น ...เอ่อ...เป็นพ่อค้าน่ะพี่ชาย เพิ่งเดินทางมาจากวูดแลนด์ ข้าชื่ออเล็กซ์ ส่วนนี่คือเกรย์ เราสองคนกำลังตามหาเจ้าของม้าตัวนี้ พอดีได้ยินเสียงคนร้องดังแว่วๆ อยู่หลังพุ่มไม้ นึกว่าเป็นเขาก็เลยพรวดพราดเข้ามาดู ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้พวกท่านตกใจ”
“เจ้าของม้า” เอลทวนคำพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนที่จะฟังอีกฝ่ายพูดจนจนประโยคด้วยซ้ำ “เจ้าชายดิเร็กซ์น่ะหรือ”
อเล็กซ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ท่าทางงุนงงจนเห็นได้ชัด
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเจ้า เอ่อ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง สูงประมาณนี้” เขาทำมือประกอบ “รูปร่างผอมๆ ผมสีแดง ตาสีน้ำตาล พวกท่านเห็นเขาผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่เลย”
“เดี๋ยวก่อน...”
ชายหนุ่มทั้งสามพร้อมใจกันหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทักท้วงเป็นตาเดียว หากคนถูกมองไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อไปด้วยเสียงเนิบช้าอย่างใช้ความคิด
“ข้าคิดว่าเคยเห็นเด็กหนุ่มลักษณะอย่างที่ท่านว่าอยู่คนหนึ่ง”
“จริงหรือ”
เมลิอานาร์พยักหน้ารับ แล้วรีบขยายความต่อ “แต่เขาไม่ได้อยู่แถวนี้”
ดวงตาของชาววูดแลนด์ทั้งคู่เปล่งประกายวาบขึ้นอย่างมีความหวัง “แล้วเขาอยู่ที่ไหนกันแม่หญิง เจ้าเคยเห็นเขาที่ไหน”
“กรีนแลนด์”
คำตอบของนางทำให้คนฟังนิ่งงันไปทันที ใบหน้าที่สดใสอยู่เมื่อครู่ก่อนเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด หากเพียงครู่เดียวชาววูดแลนด์ทั้งคู่ก็ปรับสีหน้าได้เป็นปกติ
“เจ้าเห็นเขานานหรือยัง ข้าเพิ่งพบม้าของเขาเมื่อคืนนี้เอง” อเล็กซ์เอ่ยซัก
“ก็หลายวันมาแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่...” หญิงสาวทำท่าจะบอกชื่อสถานที่แห่งหนึ่งออกไป หากแล้วกลับเปลี่ยนใจ หุบปากนิ่งเสียเฉยๆ จนคนฟังต้องร้องเร่ง
“ที่ไหนหรือแม่หญิง กรุณาบอกพวกข้าด้วยเถอะ”
“บอกพวกท่านไป แล้วข้าจะได้อะไรไม่ทราบ”
“เจ้าต้องการอะไรล่ะ” เกรย์ย้อนถามทันควัน
“ม้าตัวที่ท่านจูงมาเป็นไง”
ชายหนุ่มชาววูดแลนด์มองสบตากันด้วยท่าทางลำบากใจ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ
“ก็ได้ เจ้าโอนิกซ์เป็นของแม่หญิง ...ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเขาอยู่ที่ไหน”
เมลิอานาร์รับสายบังเหียนจากอีกฝ่าย จูงม้าให้มายืนอยู่ข้างกายเรียบร้อยจึงบอกที่อยู่ของซิสให้ชาววูดแลนด์ทั้งสองรู้ หลังจากซักถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกสองสามประโยค พวกเขาก็รีบร้อนขอตัวแยกจากไป
เมื่อลับร่างคนทั้งสอง เอลที่ทำท่าคันปากยิบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็อดที่จะหันมาคาดคั้นเอากับคนข้างกายไม่ได้
“นี่ท่านรู้จักเด็กคนนั้นจริงๆ หรือว่าแกล้งหลอกเอาม้าเขามากันแน่ หือ ท่านเมล”
“เจ้าก็ลองเดาดูสิ” คนถูกถามอมยิ้ม ทิ้งคำตอบกำกวมไว้แค่นั้น แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับภูติรับใช้ในอ้อมแขนต่อ พอนางวางมันลงกับพื้น เจ้าสัตว์ตัวน้อยก็เริ่มต้นส่งเสียงหนวกหูด้วยประโยค ‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน’ ซ้ำไปซ้ำมาอีกหน
“หุบปากน่าวาย ข้ารู้แล้ว”
เมลิอานาร์ดุมันเบาๆ ด้วยสีหน้าขมวดยุ่ง ข้อความที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงส่งมากับวายคราวนี้ฟังสับสนพิกล โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ใครกันคือ ‘ฝ่าบาท’ ที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงต้องการให้นาง ‘พากลับลินเด็นด่วน’
ในเมื่อไม่สามารถรู้คำตอบ หญิงสาวจึงตัดความรำคาญด้วยการวาดมือผ่านร่างเจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อย พร้อมกับท่องคาถาสั้นๆ เพื่อเปลี่ยนให้มันกลับไปอยู่ในรูปของต่างหูพลอยแดงตามเดิมแล้วสวมติดหูไว้ ก่อนออกเดินทางต่อโดยไม่ได้นึกถึงเจ้าภูติรับใช้ตัวน้อยอีกเลย
ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาลงนานแล้ว แสงแดดอ่อนลำสุดท้ายทิ้งประกายสีทองอยู่บนริ้วเมฆทางทิศตะวันตก ก่อนจะจางหายเมื่อรัตติกาลคลี่ปีกสีดำสนิทห่มคลุมแผ่นฟ้า พระจันทร์ยังไม่ขึ้น ผืนกำมะหยี่มืดมิดเบื้องบนจึงมีเพียงดาวดวงน้อยแต้มประดับอยู่สองสามดวง
เอลปล่อยให้เจ้าม้าดำย่างเหยาะไปตามถนนแทนการควบตะบึงเช่นปกติ เพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงบาดแผลของคนที่นั่งตัวงอซ้อนอยู่ข้างหน้า เวลานี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก เพราะไม่มีทหารทาเนียร์คอยไล่ตามดังเช่นวันวาน ชายหนุ่มจึงมีโอกาสสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมทางได้ตามสบาย
เขานึกขันเมื่อเห็นอาการขืนตัวเอาไว้สุดแรงเกิดของอีกฝ่าย นับแต่เหตุการณ์เมื่อเช้าเป็นต้นมา เอลก็มั่นใจว่าเมลจะไม่มีวันยอมเอนร่างพิงแผงอกของเขาอย่างเด็ดขาด แม้ว่ามันจะทำให้นางรู้สึกเจ็บแผลน้อยกว่าที่เป็นอยู่ก็ตาม แล้วยิ่งรู้ เขาก็ยิ่งอดใจไม่แกล้งอีกฝ่ายไม่ได้ จึงจงใจโน้มกายลงกระซิบถามที่ข้างหูหญิงสาว ใกล้เสียจนปลายจมูกโด่งคมเฉียดแก้มนวลไปหวุดหวิด
“ท่านว่าเราควรค้างคืนที่หมู่บ้านก่อน หรือเดินทางกลับลินเด็นเสียคืนนี้เลย”
ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคนถูกถามสะดุ้งเฮือก หันขวับมาทำตาเขียวเข้าใส่เขาทันที
“เจ้าถามห่างๆ ก็ได้ หูข้าไม่ได้หนวก”
เอลกลั้นยิ้ม ตอบเสียงเรียบเรื่อย ไม่ทุกข์ร้อน
“ก็ถามห่างๆ แล้วท่านได้ยินที่ไหนกันล่ะ ข้าถามตั้งหลายหนจนเสียงจะแหบอยู่แล้ว”
ดวงตาสีน้ำเงินงามมีแววไม่แน่ใจปรากฏขึ้นเลือนลาง ก่อนคำตอบห้วนสั้นจะตามมา
“ค้างคืนที่หมู่บ้าน”
“นั่นสินะ ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ”
เมลิอานาร์อยากจะย้อนอีกฝ่ายว่า ถ้าเขาเองก็คิดเช่นนั้นแล้วมาถามนางหาอะไร หากคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่ม จึงเพียงแต่สะบัดหน้ากลับไปนั่งคอแข็ง จ้องเป๋งไปยังจุดสว่างสุดปลายถนนตามเดิม
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้าน เอลก็บังคับม้าให้มุ่งตรงไปยังจัตุรัสอันเป็นศูนย์กลางของย่านร้านค้า พร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างครึ้มใจ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของงานเทศกาล บรรยากาศรอบลานน้ำพุจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ ทั่วทั้งบริเวณตกแต่งอย่างสวยงามด้วยตะเกียงแก้วที่ร้อยต่อกันเป็นสายยาว สลับกับธงทิวหลากสีและพวงดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เสียงดนตรีในจังหวะเร้าใจดังแว่วมากับสายลม สอดแทรกด้วยเสียงกังวานใสของกระพรวนข้อเท้าที่เหล่านักระบำในชุดวาบหวามสวมใส่ ขณะร่ายลีลาอ่อนช้อยอยู่หน้ากองไฟศักดิ์สิทธิ์กึ่งกลางลาน
เอลรั้งบังเหียนจนเจ้าโอนิกซ์หยุดเดิน ตวัดร่างลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว แล้วก่อนที่เมลจะทันตั้งตัว ชายหนุ่มก็รวบเอวเล็กบาง ยกร่างของหญิงสาวให้ลอยจากอานม้าลงมายืนเคียงข้างเขาอย่างง่ายดาย
“เอล... เจ้า!!”
คนถูกอุ้มแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอุทานอย่างตกใจ จ้องมองอีกฝ่ายตาเขียวปัด หากชายหนุ่มกลับยิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียบเป็นเงาไม่สะทกสะท้าน แสงจากคบไฟที่ปักอยู่รายทางสว่างพอจะทำให้หญิงสาวเห็นประกายวิบวับในดวงตาสีน้ำทะเลคู่สวยได้ชัดเจน
“ทำไม ข้าทำอะไรผิด”เอลย้อนถามพลางจูงเจ้าโอนิกซ์ก้าวนำไปตามถนนศิลา
เขาคว้ามือคนข้างกายมากุมกระชับไว้ในอุ้งมือใหญ่หน้าตาเฉย พออีกฝ่ายพยายามจะดึงมือออก ชายหนุ่มก็หันไปทำเสียงดุเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก
“คนแน่นนะท่านเมล เกิดพลัดหลงกันขึ้นมาจะว่ายังไง ข้าขี้เกียจจะต้องตามหาท่านทั้งคืน เดินไปด้วยกันแบบนี้แหละดีแล้ว”
“ดีตรงไหน ข้าว่ามันดูพิลึกจะตาย” หญิงสาวแย้งเสียงขุ่น
“พิลึกยังไง”
“ก็มีผู้ชายที่ไหนเขาเดินจูงมือกันบ้างเล่า เจ้าไม่กลัวถูกชาวบ้านนินทาว่าเป็นพวกวิปริตหรือไง”
เอลหัวเราะเบาๆ หากแทนที่จะปล่อยมืออีกฝ่าย เขากลับกระชับอุ้งมือของตนแน่นขึ้นอีก
“ไม่กลัว... มืดแถมคนเยอะออกอย่างนี้ใครจะมัวมาสังเกตคนอื่นกัน ที่สำคัญท่านก็สวมกระโปรงอยู่ด้วย อย่าคิดมากเลยน่า รีบเดินเข้าเถอะ ข้าทั้งเหนื่อยทั้งหิวจนแทบจะกินม้าได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”
เมลหน้าคว่ำ บ่นงึมงำอยู่ในลำคอ หากชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เขาลากข้อมือนางพาเดินหลบหลีกชาวบ้านที่นั่งชมระบำอย่างเพลิดเพลิน ตรงไปยังอาคารสีขาวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่อีกฟากของลานน้ำพุจนได้
หลังจากสั่นกระดิ่งที่แขวนอยู่กับแผ่นป้ายทองเหลืองสองสามครั้ง เด็กรับใช้ท่าทางง่วงงุนจึงเยี่ยมหน้าออกมามอง ชายหนุ่มส่งเจ้าโอนิกซ์ให้เขาก่อนจะก้าวผ่านประตูที่เปิดกว้างอยู่เข้าไปภายใน
“ข้าต้องการห้องพักสองห้อง แล้วก็ให้ใครตามหมอมาด้วย” เขาร้องสั่งเจ้าของสถานที่ด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจตามความเคยชิน
ชายเจ้าของบ้านพักรีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับแขกผู้มาใหม่ หากต้องชะงักงันไปเมื่อเห็นสารรูปของอีกฝ่ายถนัดตา เขาเขม้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเบนสายตาเคลือบแคลงไปยังร่างระหงของหญิงสาวที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่เคียงข้างกัน แล้วตวัดสายตากลับมามองชายหนุ่มอีกรอบ
“พวกเจ้า... ไม่ใช่โจรขโมยม้าแน่นะ”
เอลแทบจะหัวเราะก๊ากออกมา ดีแต่กลั้นไว้เสียทัน
“ไม่ใช่หรอกครับ พวกข้าเป็นแค่คนเดินทางธรรมดาๆ เท่านั้น”
“แต่พวกเจ้าดู...” ชายกลางคนละคำพูดสุดท้ายเอาไว้ มองสำรวจอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ เหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเชื่อพวกเขาดีหรือไม่
สายตาของผู้สูงวัยกว่าทำให้เมลิอานาร์อดที่จะก้มลงพิจารณาสารรูปของตนขึ้นมาบ้างไม่ได้ หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วต้องถอนใจอีกเฮือกเมื่อเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่ร่างสูงของคนข้างกาย เสื้อเชิ้ตไร้แขนสกปรกมอมแมมด้วยคราบเลือดและฝุ่นดินของเอล ไม่ได้ดูดีไปกว่าชุดสาวใช้ขาดวิ่นเว้าแหว่งที่นางสวมอยู่เลยสักนิด ยิ่งผนวกเข้ากับหนวดเครารกเรื้อบนใบหน้าของเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนโจรขโมยม้าจริงเสียด้วย มิน่าเล่า เจ้าของบ้านพักถึงเข้าใจผิด เมลิอานาร์นึกสมเพชตัวเองและเห็นใจอีกฝ่ายไปพร้อมกัน
“พวกเจ้ามีเงินติดตัวมาด้วยหรือเปล่า” เสียงชายเจ้าของบ้านพักถามขึ้นห้วนๆ
เอลเอื้อมมือไปที่เอวแทนคำตอบ อันที่จริงถุงเงินของเขาควรจะอยู่ตรงนั้น ทว่ามันกลับไม่อยู่ ชายหนุ่มใช้มือตบตามลำตัววุ่นวายอีกพักเพื่อจะพบว่าถุงเงินเจ้ากรรมได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว มันคงจะหล่นอยู่ในป่า หรือไม่ก็ตกลงไปในแม่น้ำตอนที่เขาพยายามหนีการตามล่าของเจ้าชายดิเร็กซ์นั่นเอง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆ
“เอ่อ... สงสัยว่าถุงเงินของข้าจะหล่นหายเสียแล้ว”
“ถ้างั้นก็เสียใจด้วยพ่อหนุ่ม ไม่มีเงินก็ไม่มีที่พัก” ชายกลางคนตอบอย่างไร้เยื่อใย พลางชี้นิ้วไปที่ประตู “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ ท่านลุง”
เอลขยับตามเพื่อจะรั้งตัวเจ้าของบ้านพักเอาไว้ ทว่าผู้สูงวัยกว่ากลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะถลันเข้าทำร้าย จึงร้องโวยวายขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น เพียงพริบตาเดียว ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนก็พุ่งปราดเข้าล้อมชายหนุ่มไว้ทุกด้าน คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อ้าปากทักท้วงหรืออธิบายเรื่องราวแม้สักคำ
เอลหลบหมัดแรกไปได้หวุดหวิด หมัดที่สองก็ลอยตามติดมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว คราวนี้ชายหนุ่มหลบไม่พ้นจึงถูกชกเข้าที่ช่องท้องอย่างจังจนตัวงอ หากพออีกฝ่ายสะอึกร่างเข้ามาหมายจะซ้ำ เขาก็แข็งใจเหวี่ยงกำปั้นสวนออกไป ทำให้ฝ่ายนั้นถึงกับผงะ หงายหลังลงไปนอนนับดาวอยู่กับพื้นเพราะคาดไม่ถึง
เสียงแขกขวัญอ่อนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องโถงหวีดร้องอย่างตระหนก เกือบทุกคนลุกเลี่ยงจากโต๊ะถอยกรูดไปยืนออสังเกตการณ์อยู่หลังร้าน ยกเว้นชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งจิบเหล้าหวานอยู่ตรงมุมห้องแต่เพียงผู้เดียว
เอลหันไปมองหญิงสาวข้างกายด้วยความเป็นห่วง อาการบาดเจ็บของเมลยังไม่หายดี เขาไม่ต้องการให้นางพลอยถูกลูกหลงไปด้วย หากพอขยับจะกันหญิงสาวออกจากวงล้อม ชายอีกสองคนก็ตรงรี่เข้ามาจับแขนเขาล็อกไพล่หลัง เปิดช่องให้เพื่อนที่ยืนกำหมัดคอยอยู่ เหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาได้ถนัดถนี่ ทว่าเอลยังไวพอที่จะเบี่ยงศีรษะหลบเสียทัน กำปั้นของฝ่ายนั้นจึงพลาดไปกระทบถูกหัวไหล่ของเขาแทน ชายหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะถอยกลับไปตั้งหลัก รีบยกเท้าที่ยังเป็นอิสระยันเข้าที่ลิ้นปี่ของหมอนั่นเต็มรัก ส่งผลให้เจ้าของร่างกระเด็นหวือไปกระแทกโต๊ะด้านหลัง จุกจนแทบลุกไม่ขึ้น
เมื่อฝ่ายตรงข้ามสิ้นฤทธิ์ไปอีกคน เอลก็พยายามดิ้นรนสลัดร่างให้หลุดจากการเกาะกุมของเจ้าสองคนที่เหลือ จึงไม่ทันสังเกตเห็นผู้ที่ย่องเงียบกริบเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเก้าอี้ไม้ในมือ โชคดีที่เมลิอานาร์หันมาเห็นเข้าเสียก่อน นางรีบถลันเข้ากระชากร่างของชายผู้นั้นออกห่างพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ทันที ทว่าบาดแผลที่สีข้างคงจะทำให้เจ้าตัวเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วดังเคย กว่าจะล้มอีกฝ่ายลงได้สำเร็จ เอลก็ถูกกระหน่ำตีเสียหลายยกจนร่างกายสูงใหญ่ทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น ศีรษะและแผ่นหลังเจ็บร้าวรุนแรงจนสติสัมปชัญญะแทบจะวูบดับ ภาพที่เห็นตรงหน้าบิดเบี้ยวพร่าเลือน ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงของเหลวเหนียวหนืดที่ค่อยๆ ไหลซึมลงมาตามท้ายทอยพร้อมกับกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“หยุด! พอได้แล้ว”
เสียงตวาดห้วนสั้นที่ดังขัดจังหวะขึ้น ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มหยุดชะงักลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มเจ้าของเสียงก้าวเดินฉับๆ ข้ามห้องตรงมาด้วยสีหน้าดุดัน เขาเป็นชายร่างใหญ่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผายแบบทหารแม้จะอยู่ในชุดเสื้อกางเกงเรียบๆ เช่นเดียวกับชาวบ้าน ชายผู้นั้นก้มลงช่วยพยุงเอลให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกวาดสายตาคมกริบผ่านใบหน้าของชายฉกรรจ์แต่ละคนจนไปหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างเจ้าของบ้านพักอย่างเอาเรื่อง
“ช่วงงานเทศกาลห้ามทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด ท่านลืมกฎข้อนี้ไปแล้วหรือ”
คนถูกจ้องฝืนยิ้มทั้งที่ใบหน้าซีดเผือด เขาไม่ทันเห็นว่านายทหารหนุ่มนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย จึงปล่อยให้ลูกน้องเล่นงานชายแปลกหน้าเสียเต็มรัก พอรู้ว่าตนทำพลาดไปเสียแล้วก็ได้แต่แก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่ลืมหรอกขอรับท่านรองแม่ทัพ แต่เจ้าโจรขโมยม้ามันทำร้ายข้าก่อน ข้าก็เลยต้องป้องกันตัว”
“ข้าไม่ใช่โจรขโมยม้า” เอลคำรามรอดไรฟัน “แล้วก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายใครด้วย”
“เอาเถอะ เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านรองแม่ทัพ’ ตัดบท ก่อนหันไปออกคำสั่งกับเจ้าของบ้านพัก
“ท่านรีบให้ใครไปตามหมอมาดูอาการของชายผู้นี้ก่อนดีกว่า”
“ข..ขอรับ”
เมื่อเหตุการณ์ทำท่าว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี รองแม่ทัพหนุ่มก็ละความสนใจจากเจ้าของบ้านพัก หันมามองสตรีในชุดสาวใช้ซึ่งกำลังพยุงชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายไปนั่งพักที่เก้าอี้แถวนั้น
“เจ้ามาด้วยกันกับเขาหรือแม่หญิง”
เมลิอานาร์พยักหน้ารับแทนคำตอบ
“เจ้าคงเป็นภรรยาของเขากระมัง”
“ไม่ใช่” เสียงปฏิเสธดังสวนขึ้นทันควันจนเจ้าของคำถามรีบก้มศีรษะขอโทษอีกฝ่ายแทบไม่ทัน เขายิ้มเจื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอ่อ... อีกสักครู่ท่านหมอก็คงจะมาถึง ข้าว่า...” เสียงของนายทหารหนุ่มขาดหายไปกลางคัน เมื่อสังเกตเห็นท่ายืนงอตัวแปลกๆ ของหญิงสาว “นั่น... เจ้าบาดเจ็บอยู่นี่”
เมลิอานาร์ฝืนยิ้ม “แผลเก่าน่ะท่าน ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
หากคนบาดเจ็บอีกคนรีบตวัดสายตาสำรวจร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกายทันที พอเห็นคราบโลหิตซึมเป็นวงอยู่บนเสื้อของหญิงสาว เสียงห้วนห้าวก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาด้วยความโมโหแกมเป็นห่วง
“บ้าจริง ปากแผลของท่านเปิดนี่นา ไหนให้ข้าดูซิ”
เอลคว้าข้อมือคนในชุดสาวใช้ดึงให้เข้ามาใกล้ตัวยิ่งขึ้น หากฝ่ายนั้นก็พยายามขืนร่างไว้เต็มที่
“ไม่ต้องหรอกน่า ข้าเคยบอกแล้วไงว่าแผลแค่นี้ข้าจัดการเองได้ เจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะเอล” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วเปลี่ยนเป็นบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ
“ถูกอัดซะน่วม นี่ถ้าหากเจ้าชายกันนาร์รู้เข้า มีหวังข้าถูกสั่งแขวนคอแหงๆ”
พระนามของเจ้าชายกันนาร์ที่หลุดออกจากปากของผู้พูด แม้จะเบาแสนเบา หากนายทหารหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้ ซ้ำพอได้ยินแล้วเขาก็เกิดสะดุดใจจนต้องหันกลับมาจ้องหน้า ‘โจรขโมยม้า’ ซ้ำอีกรอบ คราวนี้เจ้าตัวถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฝ่าบาท!”
สิ้นเสียงอุทาน คนที่มียศเป็นถึงรองแม่ทัพก็ถลันกายเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า ‘โจรขโมยม้า’ ด้วยอาการเคารพสูงสุด ทำให้คนทั้งห้องหันมาจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองเป็นตาเดียว
เมลิอานาร์ผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จ้องหน้าเอลสลับกับนายทหารหนุ่มด้วยความงุนงง นางเพิ่งสังเกตว่านอกจากอาการนิ่งขึงด้วยความตกใจแล้ว เอลไม่มีทีท่าจะปฏิเสธคำเรียกขานของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทันใดนั้นข้อความที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ฝากมากับเจ้ามังกรจิ๋วก็เหมือนจะดังขึ้นในหัว
...รีบพาฝ่าบาทกลับลินเด็นด่วน...
เมลิอานาร์เบิกตากว้างมองชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมทางพร้อมกับอ้าปากค้าง ...อย่าบอกนะว่า ฝ่าบาทที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเอ่ยถึงก็คือเอลนี่เอง!
ภาพพร่ามัวภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า คือแผงอกเปลือยเปล่าของบุรุษเพศซึ่งดูเหมือนจริงเกินกว่าจะเป็นภาพฝัน พอไล่สายตาขึ้นไปตามช่วงไหล่กว้าง ก็พบเข้ากับแนวคางเขียวครึ้มไปด้วยหนวดเครา ริมฝีปากสีสดประดับรอยยิ้มยั่วเย้า และดวงตาพราวระยับสีน้ำเงินอมเขียวที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“รู้สึกตัวแล้วหรือ”
เสียงห้าวคุ้นหูถามกลั้วหัวเราะ วงแขนแข็งแรงที่พาดอยู่หลวมๆ เหนือสะโพกของนางคลายออกเล็กน้อย
...นี่มันอะไรกัน!
เมลิอานาร์แทบจะหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง รีบผลักร่างของอีกฝ่ายให้พ้นไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือ พร้อมกับดีดตัวออกห่างอย่างไม่คิดชีวิต
“ระวัง”
เอลยื่นแขนตามออกมารั้งร่างบางเข้าชิดอก ด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะกลิ้งลงไปบนกองเถ้าถ่านคุแดงด้านหลัง หากเจ้าของร่างกลับดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”
“ใจเย็นๆ สิ ท่านเมล ข้าจะปล่อยก็ได้ แต่ท่านต้องไม่ทำแบบเมื่อกี้อีก ตกลงมั้ย”
“ไม่มีทาง”
“ถ้างั้นก็อยู่อย่างนี้ละ ไม่ต้องไปไหน”
คำตอบที่สวนกลับมายิ่งทำให้คนฟังพยายามออกแรงดิ้นรนหนักขึ้น
“เอล เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออมยิ้มอย่างขบขัน พอคลายวงแขนออก อีกฝ่ายก็กระถดตัวหนีทันที ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เสียงที่เอ่ยถามหากมีสีคงเขียวจัดทีเดียว
“เล่นบ้าอะไรของเจ้า”
“ใครว่าข้าเล่น”
เอลลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ปากยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าแขนข้างที่ใช้สอดรองศีรษะคนตรงหน้ามาทั้งคืนจะชาดิกจนแทบหมดความรู้สึกไปแล้วก็ตาม
“ข้าอุตสาห์ช่วยชีวิตท่านเอาไว้ นอกจากไม่ขอบคุณกันสักคำยังกลับมากล่าวหาข้าเสียอีก เมื่อคืนท่านจับไข้หนักแค่ไหนรู้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ข้าช่วยให้ความอบอุ่นด้วยการกอดท่านเอาไว้ละก็ ป่านนี้คงยังไม่ได้สติละมั้ง”
คำ ‘กอด’ ของผู้พูดเน้นเสียงหนักอย่างจงใจ ทำให้ใบหน้าซีดเซียวของคนฟังซับสีโลหิตขึ้นทันที เมลิอานาร์ขบริมฝีปากแน่น พยายามที่จะไม่ตอบโต้คำพูดของอีกฝ่าย หญิงสาวคว้าเสื้อเชิ้ตตัวบางที่คลุมอยู่เหนือร่างต่างผ้าห่มปาใส่เจ้าของ สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเลยลุกเลี่ยงไปที่ริมลำธารเพื่อถือโอกาสดื่มน้ำและล้างหน้าล้างตาเสียเลย
แม้อาการไข้จะสร่างลงแล้ว ทว่าความรู้สึกปวดตุบๆ ที่ศีรษะยังคงหลงเหลืออยู่ บาดแผลจากคมหอกของเจ้าชายดิเร็กซ์เจ็บระบมจนหญิงสาวต้องใช้มือกุมสีข้าง เดินตัวงอเป็นกุ้งไปตลอดทาง สัมผัสของผืนผ้าที่ทบซ้อนอยู่ใต้ชุดสาวใช้พุ่งปราดกระทบปลายนิ้ว กระตุ้นเตือนให้นางระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นในสมอง
ใครกันที่เป็นคนทำแผล...
เมลิอานาร์หันขวับไปมองคนที่ยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ที่เดิม มันน่าโมโหตรงที่พิษไข้ทำให้นางจำอะไรไม่ได้เลยนี่แหละ พออ้าปากจะถาม ก็เห็นฝ่ายนั้นเลิกคิ้วจ้องมองกลับมาด้วยสายตายิ้มๆ เลยจำต้องหุบปาก เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจตามเดิม
ถ้าเอลเป็นคนทำแผล เขาก็น่าจะรู้แล้วว่านางไม่ใช่ผู้ชาย แต่คำพูดและการวางตัวของชายหนุ่มยังคงกวนประสาทอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่มีวี่แววของความผิดปกติใดๆ ปรากฏให้เห็นสักนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้า บางทีนางอาจจะระแวงมากเกินไป คนที่ทำแผลคงไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวนางเองนั่นแหละ
หญิงสาวยักไหล่ พยายามสลัดความคิดกังวลไร้สาระออกจากหัวสมอง นางใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการกับธุระส่วนตัว พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินเลี่ยงไปที่พุ่มไม้อีกด้าน เปิดโอกาสให้เอลได้จัดการกับธุระของเขาในระหว่างที่นางลงมือเปลี่ยนสมุนไพรพอกแผล เมื่อย้อนกลับมาที่หาดหินอีกครั้ง ปรากฏว่าชายหนุ่มนั่งรออยู่แล้ว พร้อมด้วยอาหารมื้อแรกของวัน
เมลิอานาร์อดทนกินปลาย่างสุกๆ ดิบๆ ฝีมือเอลเข้าไปได้เพียงสองสามคำก็ต้องวาง รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาจนต้องวิ่งไปอาเจียนลงสายน้ำจนหมดไส้หมดพุง
เอลรีบลุกตามไปลูบหลังให้อีกฝ่าย สีหน้าของชายหนุ่มแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยเด่นชัดจนเกือบจะดูเคร่งเครียด ไม่เหลือรอยยิ้มยั่วเย้าให้เห็นอย่างเคย
“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าเมล หน้าท่านซีดจนจะเขียวอยู่แล้ว”
หญิงสาวเจ้าของชื่อโบกมือแทนการปฏิเสธ
“ข้าก็แค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น เจ้าอย่าห่วงเลย กลับไปจัดการกับอาหารเช้าของเจ้าก่อนที่มันจะเย็นชืดเถอะ”
“ไม่ละ ข้าคิดว่าข้าอิ่มดีกว่า”
เอลเหวี่ยงปลาย่างที่ถือติดมือมาด้วยลงในสายน้ำอย่างไม่ใยดี เขารั้งรออยู่จนกระทั่งเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนร่วมทางค่อยดีขึ้นบ้างแล้ว จึงย้อนกลับไปกลบเกลื่อนร่องรอยของกองไฟพักแรม ก่อนจะหันมาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเตรียมตัวออกเดินทางต่อ
ชายหนุ่มลอบชำเลืองสังเกตอาการของหญิงสาวด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางยังต้องเอามือกุมท้องเดินตัวงอ ก็อดที่จะปราดเข้าไปช่วยพยุงไม่ได้
“จะทำอะไรน่ะ” เมลิอานาร์เอ่ยถามเสียงเข้มด้วยท่าทางระแวงเต็มที่
“ทำอะไร ก็จะช่วยพยุงท่านน่ะสิ”
“ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้”
ท่าปฏิเสธชนิดหัวชนฝาของหญิงสาวทำให้คน ‘หวังดี’ ต้องกลั้นยิ้ม หากแทนที่จะถอยห่าง เขากลับยิ่งขยับเข้าใกล้ ซ้ำยังถือวิสาสะเอื้อมมือไปโอบรอบเอวเล็กบางเสียเลย
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่าท่านเมล ท่านยังมีไข้ ตอนที่ข้าเจ็บไหล่ท่านก็เคยช่วยพยุงนี่นา ตอนนี้ท่านเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บแล้วจะให้ข้ายืนดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน”
เสียงตอบใสซื่อ ใบหน้าก็ซื่อ ลูกกะตาสีน้ำทะเลแสนสวยปราศจากรอยยิบๆ อย่างเคย ทำให้คนจะได้รับความช่วยเหลือต้องมองแล้วมองอีกอย่างไม่แน่ใจ ครั้นจะสะบัดตัวหนี ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายสงสัย หญิงสาวจึงจำต้องยอมรับความช่วยเหลือจากเขาอย่างเสียไม่ได้ในที่สุด
เมื่อออกเดินลัดเลาะไปตามช่องว่างแคบๆ ระหว่างดงไม้ได้ครู่ใหญ่ ทั้งสองก็ล่วงเข้าสู่ถนนดินสายเดิมที่เคยควบม้าผ่านไปเมื่อสามวันก่อน สภาพของป่าที่เริ่มคุ้นตาบอกให้รู้ว่ากรีนแลนด์อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว เมลิอานาร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากยังไม่ทันจะได้ก้าวเดินต่อก็ถูกเอลรั้งร่างให้ถอยกลับเข้ามาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ เขาพยักเพยิดไปบนถนนดินแคบๆ ตรงหน้าที่บัดนี้มีร่างของชายแปลกหน้าสองคนและม้าสีนิลตัวหนึ่งปรากฎอยู่
หญิงสาวแทบจะอ้าปากค้าง เพราะจำรอยแต้มเรียวเล็กกลางหน้าผากและเครื่องอานราคาแพงบนหลังม้าได้ทันที ม้าตัวนี้เป็นตัวเดียวกับอาชาทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์ที่นางใช้หลอกล่อทหารทาเนียร์เมื่อคืน ไม่ผิดแน่
“เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่แถวนี้หรือ เกรย์”
ชายซึ่งทำหน้าที่จูงม้าพูดขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก เขาดูมีอาวุโสกว่าผู้ที่เดินเยื้องไปทางเบื้องหลังเล็กน้อย รูปร่างกำยำล่ำสัน อกผายไหล่ผึ่งจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้เจอเจ้าโอนิกซ์เข้าอย่างไม่คาดฝันที่นี่ ลองหาดูก่อนเถอะน่า เขาอาจจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ก็ได้”
ฝ่ายที่ตอบเป็นชายหนุ่มหน้าอ่อน รูปร่างกล้องแกล้งผอมบางต่างจากชายคนแรกโดยสิ้นเชิง
ยังไม่ทันที่ชายทั้งสองจะก้าวพ้นไปจากบริเวณนั้น วัตถุประหลาดสีแดงเพลิงก็พุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ทะลุผ่านพุ่มไม้หายลับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ครู่ต่อมาก็มีเสียงร้อง ‘เฮ้ย’ ดังขึ้น ตามติดด้วยเสียง ‘โครม’ สนั่นหวั่นไหว
ชายแปลกหน้าทั้งคู่เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วความตื่นเต้นระคนยินดีก็ฉายชัดออกมาทางดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน พวกเขาพร้อมใจกันหันขวับไปทางทิศที่มาของเสียง ต่างฝ่ายต่างก็พุ่งพรวดผ่านเข้าไปยังอีกฟากของดงไม้โดยไม่ได้นัดหมาย
“ซี..ซ่าร์....”
ภาพผู้ชายตัวโตที่นอนหงายหลังอยู่กับพื้น มีสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนมังกรหากตัวเล็กเท่าลูกสุนัขเกาะอยู่บนแผ่นอก ทำให้เสียงเรียกชื่อเด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นจากริมฝีปากค่อยๆ ถูกกลืนกลับไปในลำคอ ผู้มาใหม่ทั้งสองได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ตะลึงมองภาพตรงหน้าอยู่กับที่
“เมล รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน... เมล รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว....”
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด จนสตรีในชุดสาวใช้สกปรกมอมแมมที่ยืนตัวงออยู่แถวนั้น ต้องปราดเข้าไปตะครุบปากของมันเอาไว้ นางเหลือบตามองชายแปลกหน้าสองคนที่โผล่พรวดผ่านดงไม้เข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน พูดออกตัวว่า
“สัตว์เลี้ยงของข้าเองแหละ มันเอ่อ...ออกจะหนวกหูไปสักหน่อย”
“สัตว์เลี้ยง!”
ชายหนุ่มหน้าอ่อน ชี้นิ้วไปที่เจ้าสัตว์ประหลาดพูดได้ด้วยท่าทางตื่นตระหนก “นะ นั่นมันมังกรชัดๆ”
“ใครว่า เจ้านี่เป็น...อ่า...ลูกผสมระหว่างกิ้งก่ากับนกแก้วต่างหาก”
“จะตัวอะไรก็ช่างเถอะ” เสียงห้วนห้าวของบุรุษร่างยักษ์ที่นอนแผ่อยู่กับพื้นดังแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบเอา ‘สัตว์เลี้ยง’ ของท่านออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าของ ‘สัตว์เลี้ยง’ ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย นางคว้าร่างกลมป้อมของเจ้าตัวพูดมากมาโอบไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ยอมปล่อยมือจากปากของมัน
ชายผู้ออกคำสั่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัวด้วยท่าทางฉุนเฉียว ก่อนตวัดสายตาคมปลาบทรงอำนาจจ้องมองผู้มาใหม่อย่างเพ่งเล็ง
“พวกท่านเป็นใคร ดูจากการแต่งกายแล้ว คงไม่ใช่ชาวบ้านแถบนี้”
“พวกเราเป็น ...เอ่อ...เป็นพ่อค้าน่ะพี่ชาย เพิ่งเดินทางมาจากวูดแลนด์ ข้าชื่ออเล็กซ์ ส่วนนี่คือเกรย์ เราสองคนกำลังตามหาเจ้าของม้าตัวนี้ พอดีได้ยินเสียงคนร้องดังแว่วๆ อยู่หลังพุ่มไม้ นึกว่าเป็นเขาก็เลยพรวดพราดเข้ามาดู ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้พวกท่านตกใจ”
“เจ้าของม้า” เอลทวนคำพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนที่จะฟังอีกฝ่ายพูดจนจนประโยคด้วยซ้ำ “เจ้าชายดิเร็กซ์น่ะหรือ”
อเล็กซ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ท่าทางงุนงงจนเห็นได้ชัด
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเจ้า เอ่อ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง สูงประมาณนี้” เขาทำมือประกอบ “รูปร่างผอมๆ ผมสีแดง ตาสีน้ำตาล พวกท่านเห็นเขาผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่เลย”
“เดี๋ยวก่อน...”
ชายหนุ่มทั้งสามพร้อมใจกันหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทักท้วงเป็นตาเดียว หากคนถูกมองไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อไปด้วยเสียงเนิบช้าอย่างใช้ความคิด
“ข้าคิดว่าเคยเห็นเด็กหนุ่มลักษณะอย่างที่ท่านว่าอยู่คนหนึ่ง”
“จริงหรือ”
เมลิอานาร์พยักหน้ารับ แล้วรีบขยายความต่อ “แต่เขาไม่ได้อยู่แถวนี้”
ดวงตาของชาววูดแลนด์ทั้งคู่เปล่งประกายวาบขึ้นอย่างมีความหวัง “แล้วเขาอยู่ที่ไหนกันแม่หญิง เจ้าเคยเห็นเขาที่ไหน”
“กรีนแลนด์”
คำตอบของนางทำให้คนฟังนิ่งงันไปทันที ใบหน้าที่สดใสอยู่เมื่อครู่ก่อนเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด หากเพียงครู่เดียวชาววูดแลนด์ทั้งคู่ก็ปรับสีหน้าได้เป็นปกติ
“เจ้าเห็นเขานานหรือยัง ข้าเพิ่งพบม้าของเขาเมื่อคืนนี้เอง” อเล็กซ์เอ่ยซัก
“ก็หลายวันมาแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่...” หญิงสาวทำท่าจะบอกชื่อสถานที่แห่งหนึ่งออกไป หากแล้วกลับเปลี่ยนใจ หุบปากนิ่งเสียเฉยๆ จนคนฟังต้องร้องเร่ง
“ที่ไหนหรือแม่หญิง กรุณาบอกพวกข้าด้วยเถอะ”
“บอกพวกท่านไป แล้วข้าจะได้อะไรไม่ทราบ”
“เจ้าต้องการอะไรล่ะ” เกรย์ย้อนถามทันควัน
“ม้าตัวที่ท่านจูงมาเป็นไง”
ชายหนุ่มชาววูดแลนด์มองสบตากันด้วยท่าทางลำบากใจ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ
“ก็ได้ เจ้าโอนิกซ์เป็นของแม่หญิง ...ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเขาอยู่ที่ไหน”
เมลิอานาร์รับสายบังเหียนจากอีกฝ่าย จูงม้าให้มายืนอยู่ข้างกายเรียบร้อยจึงบอกที่อยู่ของซิสให้ชาววูดแลนด์ทั้งสองรู้ หลังจากซักถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกสองสามประโยค พวกเขาก็รีบร้อนขอตัวแยกจากไป
เมื่อลับร่างคนทั้งสอง เอลที่ทำท่าคันปากยิบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็อดที่จะหันมาคาดคั้นเอากับคนข้างกายไม่ได้
“นี่ท่านรู้จักเด็กคนนั้นจริงๆ หรือว่าแกล้งหลอกเอาม้าเขามากันแน่ หือ ท่านเมล”
“เจ้าก็ลองเดาดูสิ” คนถูกถามอมยิ้ม ทิ้งคำตอบกำกวมไว้แค่นั้น แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับภูติรับใช้ในอ้อมแขนต่อ พอนางวางมันลงกับพื้น เจ้าสัตว์ตัวน้อยก็เริ่มต้นส่งเสียงหนวกหูด้วยประโยค ‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบพาฝ่าบาทกลับมาด่วน’ ซ้ำไปซ้ำมาอีกหน
“หุบปากน่าวาย ข้ารู้แล้ว”
เมลิอานาร์ดุมันเบาๆ ด้วยสีหน้าขมวดยุ่ง ข้อความที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงส่งมากับวายคราวนี้ฟังสับสนพิกล โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ใครกันคือ ‘ฝ่าบาท’ ที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงต้องการให้นาง ‘พากลับลินเด็นด่วน’
ในเมื่อไม่สามารถรู้คำตอบ หญิงสาวจึงตัดความรำคาญด้วยการวาดมือผ่านร่างเจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อย พร้อมกับท่องคาถาสั้นๆ เพื่อเปลี่ยนให้มันกลับไปอยู่ในรูปของต่างหูพลอยแดงตามเดิมแล้วสวมติดหูไว้ ก่อนออกเดินทางต่อโดยไม่ได้นึกถึงเจ้าภูติรับใช้ตัวน้อยอีกเลย
ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาลงนานแล้ว แสงแดดอ่อนลำสุดท้ายทิ้งประกายสีทองอยู่บนริ้วเมฆทางทิศตะวันตก ก่อนจะจางหายเมื่อรัตติกาลคลี่ปีกสีดำสนิทห่มคลุมแผ่นฟ้า พระจันทร์ยังไม่ขึ้น ผืนกำมะหยี่มืดมิดเบื้องบนจึงมีเพียงดาวดวงน้อยแต้มประดับอยู่สองสามดวง
เอลปล่อยให้เจ้าม้าดำย่างเหยาะไปตามถนนแทนการควบตะบึงเช่นปกติ เพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงบาดแผลของคนที่นั่งตัวงอซ้อนอยู่ข้างหน้า เวลานี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก เพราะไม่มีทหารทาเนียร์คอยไล่ตามดังเช่นวันวาน ชายหนุ่มจึงมีโอกาสสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมทางได้ตามสบาย
เขานึกขันเมื่อเห็นอาการขืนตัวเอาไว้สุดแรงเกิดของอีกฝ่าย นับแต่เหตุการณ์เมื่อเช้าเป็นต้นมา เอลก็มั่นใจว่าเมลจะไม่มีวันยอมเอนร่างพิงแผงอกของเขาอย่างเด็ดขาด แม้ว่ามันจะทำให้นางรู้สึกเจ็บแผลน้อยกว่าที่เป็นอยู่ก็ตาม แล้วยิ่งรู้ เขาก็ยิ่งอดใจไม่แกล้งอีกฝ่ายไม่ได้ จึงจงใจโน้มกายลงกระซิบถามที่ข้างหูหญิงสาว ใกล้เสียจนปลายจมูกโด่งคมเฉียดแก้มนวลไปหวุดหวิด
“ท่านว่าเราควรค้างคืนที่หมู่บ้านก่อน หรือเดินทางกลับลินเด็นเสียคืนนี้เลย”
ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคนถูกถามสะดุ้งเฮือก หันขวับมาทำตาเขียวเข้าใส่เขาทันที
“เจ้าถามห่างๆ ก็ได้ หูข้าไม่ได้หนวก”
เอลกลั้นยิ้ม ตอบเสียงเรียบเรื่อย ไม่ทุกข์ร้อน
“ก็ถามห่างๆ แล้วท่านได้ยินที่ไหนกันล่ะ ข้าถามตั้งหลายหนจนเสียงจะแหบอยู่แล้ว”
ดวงตาสีน้ำเงินงามมีแววไม่แน่ใจปรากฏขึ้นเลือนลาง ก่อนคำตอบห้วนสั้นจะตามมา
“ค้างคืนที่หมู่บ้าน”
“นั่นสินะ ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ”
เมลิอานาร์อยากจะย้อนอีกฝ่ายว่า ถ้าเขาเองก็คิดเช่นนั้นแล้วมาถามนางหาอะไร หากคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่ม จึงเพียงแต่สะบัดหน้ากลับไปนั่งคอแข็ง จ้องเป๋งไปยังจุดสว่างสุดปลายถนนตามเดิม
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้าน เอลก็บังคับม้าให้มุ่งตรงไปยังจัตุรัสอันเป็นศูนย์กลางของย่านร้านค้า พร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างครึ้มใจ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของงานเทศกาล บรรยากาศรอบลานน้ำพุจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ ทั่วทั้งบริเวณตกแต่งอย่างสวยงามด้วยตะเกียงแก้วที่ร้อยต่อกันเป็นสายยาว สลับกับธงทิวหลากสีและพวงดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เสียงดนตรีในจังหวะเร้าใจดังแว่วมากับสายลม สอดแทรกด้วยเสียงกังวานใสของกระพรวนข้อเท้าที่เหล่านักระบำในชุดวาบหวามสวมใส่ ขณะร่ายลีลาอ่อนช้อยอยู่หน้ากองไฟศักดิ์สิทธิ์กึ่งกลางลาน
เอลรั้งบังเหียนจนเจ้าโอนิกซ์หยุดเดิน ตวัดร่างลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว แล้วก่อนที่เมลจะทันตั้งตัว ชายหนุ่มก็รวบเอวเล็กบาง ยกร่างของหญิงสาวให้ลอยจากอานม้าลงมายืนเคียงข้างเขาอย่างง่ายดาย
“เอล... เจ้า!!”
คนถูกอุ้มแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอุทานอย่างตกใจ จ้องมองอีกฝ่ายตาเขียวปัด หากชายหนุ่มกลับยิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียบเป็นเงาไม่สะทกสะท้าน แสงจากคบไฟที่ปักอยู่รายทางสว่างพอจะทำให้หญิงสาวเห็นประกายวิบวับในดวงตาสีน้ำทะเลคู่สวยได้ชัดเจน
“ทำไม ข้าทำอะไรผิด”เอลย้อนถามพลางจูงเจ้าโอนิกซ์ก้าวนำไปตามถนนศิลา
เขาคว้ามือคนข้างกายมากุมกระชับไว้ในอุ้งมือใหญ่หน้าตาเฉย พออีกฝ่ายพยายามจะดึงมือออก ชายหนุ่มก็หันไปทำเสียงดุเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก
“คนแน่นนะท่านเมล เกิดพลัดหลงกันขึ้นมาจะว่ายังไง ข้าขี้เกียจจะต้องตามหาท่านทั้งคืน เดินไปด้วยกันแบบนี้แหละดีแล้ว”
“ดีตรงไหน ข้าว่ามันดูพิลึกจะตาย” หญิงสาวแย้งเสียงขุ่น
“พิลึกยังไง”
“ก็มีผู้ชายที่ไหนเขาเดินจูงมือกันบ้างเล่า เจ้าไม่กลัวถูกชาวบ้านนินทาว่าเป็นพวกวิปริตหรือไง”
เอลหัวเราะเบาๆ หากแทนที่จะปล่อยมืออีกฝ่าย เขากลับกระชับอุ้งมือของตนแน่นขึ้นอีก
“ไม่กลัว... มืดแถมคนเยอะออกอย่างนี้ใครจะมัวมาสังเกตคนอื่นกัน ที่สำคัญท่านก็สวมกระโปรงอยู่ด้วย อย่าคิดมากเลยน่า รีบเดินเข้าเถอะ ข้าทั้งเหนื่อยทั้งหิวจนแทบจะกินม้าได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”
เมลหน้าคว่ำ บ่นงึมงำอยู่ในลำคอ หากชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เขาลากข้อมือนางพาเดินหลบหลีกชาวบ้านที่นั่งชมระบำอย่างเพลิดเพลิน ตรงไปยังอาคารสีขาวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่อีกฟากของลานน้ำพุจนได้
หลังจากสั่นกระดิ่งที่แขวนอยู่กับแผ่นป้ายทองเหลืองสองสามครั้ง เด็กรับใช้ท่าทางง่วงงุนจึงเยี่ยมหน้าออกมามอง ชายหนุ่มส่งเจ้าโอนิกซ์ให้เขาก่อนจะก้าวผ่านประตูที่เปิดกว้างอยู่เข้าไปภายใน
“ข้าต้องการห้องพักสองห้อง แล้วก็ให้ใครตามหมอมาด้วย” เขาร้องสั่งเจ้าของสถานที่ด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจตามความเคยชิน
ชายเจ้าของบ้านพักรีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับแขกผู้มาใหม่ หากต้องชะงักงันไปเมื่อเห็นสารรูปของอีกฝ่ายถนัดตา เขาเขม้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเบนสายตาเคลือบแคลงไปยังร่างระหงของหญิงสาวที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่เคียงข้างกัน แล้วตวัดสายตากลับมามองชายหนุ่มอีกรอบ
“พวกเจ้า... ไม่ใช่โจรขโมยม้าแน่นะ”
เอลแทบจะหัวเราะก๊ากออกมา ดีแต่กลั้นไว้เสียทัน
“ไม่ใช่หรอกครับ พวกข้าเป็นแค่คนเดินทางธรรมดาๆ เท่านั้น”
“แต่พวกเจ้าดู...” ชายกลางคนละคำพูดสุดท้ายเอาไว้ มองสำรวจอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ เหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเชื่อพวกเขาดีหรือไม่
สายตาของผู้สูงวัยกว่าทำให้เมลิอานาร์อดที่จะก้มลงพิจารณาสารรูปของตนขึ้นมาบ้างไม่ได้ หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วต้องถอนใจอีกเฮือกเมื่อเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่ร่างสูงของคนข้างกาย เสื้อเชิ้ตไร้แขนสกปรกมอมแมมด้วยคราบเลือดและฝุ่นดินของเอล ไม่ได้ดูดีไปกว่าชุดสาวใช้ขาดวิ่นเว้าแหว่งที่นางสวมอยู่เลยสักนิด ยิ่งผนวกเข้ากับหนวดเครารกเรื้อบนใบหน้าของเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนโจรขโมยม้าจริงเสียด้วย มิน่าเล่า เจ้าของบ้านพักถึงเข้าใจผิด เมลิอานาร์นึกสมเพชตัวเองและเห็นใจอีกฝ่ายไปพร้อมกัน
“พวกเจ้ามีเงินติดตัวมาด้วยหรือเปล่า” เสียงชายเจ้าของบ้านพักถามขึ้นห้วนๆ
เอลเอื้อมมือไปที่เอวแทนคำตอบ อันที่จริงถุงเงินของเขาควรจะอยู่ตรงนั้น ทว่ามันกลับไม่อยู่ ชายหนุ่มใช้มือตบตามลำตัววุ่นวายอีกพักเพื่อจะพบว่าถุงเงินเจ้ากรรมได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว มันคงจะหล่นอยู่ในป่า หรือไม่ก็ตกลงไปในแม่น้ำตอนที่เขาพยายามหนีการตามล่าของเจ้าชายดิเร็กซ์นั่นเอง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆ
“เอ่อ... สงสัยว่าถุงเงินของข้าจะหล่นหายเสียแล้ว”
“ถ้างั้นก็เสียใจด้วยพ่อหนุ่ม ไม่มีเงินก็ไม่มีที่พัก” ชายกลางคนตอบอย่างไร้เยื่อใย พลางชี้นิ้วไปที่ประตู “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ ท่านลุง”
เอลขยับตามเพื่อจะรั้งตัวเจ้าของบ้านพักเอาไว้ ทว่าผู้สูงวัยกว่ากลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะถลันเข้าทำร้าย จึงร้องโวยวายขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น เพียงพริบตาเดียว ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนก็พุ่งปราดเข้าล้อมชายหนุ่มไว้ทุกด้าน คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อ้าปากทักท้วงหรืออธิบายเรื่องราวแม้สักคำ
เอลหลบหมัดแรกไปได้หวุดหวิด หมัดที่สองก็ลอยตามติดมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว คราวนี้ชายหนุ่มหลบไม่พ้นจึงถูกชกเข้าที่ช่องท้องอย่างจังจนตัวงอ หากพออีกฝ่ายสะอึกร่างเข้ามาหมายจะซ้ำ เขาก็แข็งใจเหวี่ยงกำปั้นสวนออกไป ทำให้ฝ่ายนั้นถึงกับผงะ หงายหลังลงไปนอนนับดาวอยู่กับพื้นเพราะคาดไม่ถึง
เสียงแขกขวัญอ่อนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องโถงหวีดร้องอย่างตระหนก เกือบทุกคนลุกเลี่ยงจากโต๊ะถอยกรูดไปยืนออสังเกตการณ์อยู่หลังร้าน ยกเว้นชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งจิบเหล้าหวานอยู่ตรงมุมห้องแต่เพียงผู้เดียว
เอลหันไปมองหญิงสาวข้างกายด้วยความเป็นห่วง อาการบาดเจ็บของเมลยังไม่หายดี เขาไม่ต้องการให้นางพลอยถูกลูกหลงไปด้วย หากพอขยับจะกันหญิงสาวออกจากวงล้อม ชายอีกสองคนก็ตรงรี่เข้ามาจับแขนเขาล็อกไพล่หลัง เปิดช่องให้เพื่อนที่ยืนกำหมัดคอยอยู่ เหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาได้ถนัดถนี่ ทว่าเอลยังไวพอที่จะเบี่ยงศีรษะหลบเสียทัน กำปั้นของฝ่ายนั้นจึงพลาดไปกระทบถูกหัวไหล่ของเขาแทน ชายหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะถอยกลับไปตั้งหลัก รีบยกเท้าที่ยังเป็นอิสระยันเข้าที่ลิ้นปี่ของหมอนั่นเต็มรัก ส่งผลให้เจ้าของร่างกระเด็นหวือไปกระแทกโต๊ะด้านหลัง จุกจนแทบลุกไม่ขึ้น
เมื่อฝ่ายตรงข้ามสิ้นฤทธิ์ไปอีกคน เอลก็พยายามดิ้นรนสลัดร่างให้หลุดจากการเกาะกุมของเจ้าสองคนที่เหลือ จึงไม่ทันสังเกตเห็นผู้ที่ย่องเงียบกริบเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเก้าอี้ไม้ในมือ โชคดีที่เมลิอานาร์หันมาเห็นเข้าเสียก่อน นางรีบถลันเข้ากระชากร่างของชายผู้นั้นออกห่างพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ทันที ทว่าบาดแผลที่สีข้างคงจะทำให้เจ้าตัวเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วดังเคย กว่าจะล้มอีกฝ่ายลงได้สำเร็จ เอลก็ถูกกระหน่ำตีเสียหลายยกจนร่างกายสูงใหญ่ทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น ศีรษะและแผ่นหลังเจ็บร้าวรุนแรงจนสติสัมปชัญญะแทบจะวูบดับ ภาพที่เห็นตรงหน้าบิดเบี้ยวพร่าเลือน ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงของเหลวเหนียวหนืดที่ค่อยๆ ไหลซึมลงมาตามท้ายทอยพร้อมกับกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“หยุด! พอได้แล้ว”
เสียงตวาดห้วนสั้นที่ดังขัดจังหวะขึ้น ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มหยุดชะงักลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มเจ้าของเสียงก้าวเดินฉับๆ ข้ามห้องตรงมาด้วยสีหน้าดุดัน เขาเป็นชายร่างใหญ่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผายแบบทหารแม้จะอยู่ในชุดเสื้อกางเกงเรียบๆ เช่นเดียวกับชาวบ้าน ชายผู้นั้นก้มลงช่วยพยุงเอลให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกวาดสายตาคมกริบผ่านใบหน้าของชายฉกรรจ์แต่ละคนจนไปหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างเจ้าของบ้านพักอย่างเอาเรื่อง
“ช่วงงานเทศกาลห้ามทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด ท่านลืมกฎข้อนี้ไปแล้วหรือ”
คนถูกจ้องฝืนยิ้มทั้งที่ใบหน้าซีดเผือด เขาไม่ทันเห็นว่านายทหารหนุ่มนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย จึงปล่อยให้ลูกน้องเล่นงานชายแปลกหน้าเสียเต็มรัก พอรู้ว่าตนทำพลาดไปเสียแล้วก็ได้แต่แก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่ลืมหรอกขอรับท่านรองแม่ทัพ แต่เจ้าโจรขโมยม้ามันทำร้ายข้าก่อน ข้าก็เลยต้องป้องกันตัว”
“ข้าไม่ใช่โจรขโมยม้า” เอลคำรามรอดไรฟัน “แล้วก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายใครด้วย”
“เอาเถอะ เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านรองแม่ทัพ’ ตัดบท ก่อนหันไปออกคำสั่งกับเจ้าของบ้านพัก
“ท่านรีบให้ใครไปตามหมอมาดูอาการของชายผู้นี้ก่อนดีกว่า”
“ข..ขอรับ”
เมื่อเหตุการณ์ทำท่าว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี รองแม่ทัพหนุ่มก็ละความสนใจจากเจ้าของบ้านพัก หันมามองสตรีในชุดสาวใช้ซึ่งกำลังพยุงชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายไปนั่งพักที่เก้าอี้แถวนั้น
“เจ้ามาด้วยกันกับเขาหรือแม่หญิง”
เมลิอานาร์พยักหน้ารับแทนคำตอบ
“เจ้าคงเป็นภรรยาของเขากระมัง”
“ไม่ใช่” เสียงปฏิเสธดังสวนขึ้นทันควันจนเจ้าของคำถามรีบก้มศีรษะขอโทษอีกฝ่ายแทบไม่ทัน เขายิ้มเจื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอ่อ... อีกสักครู่ท่านหมอก็คงจะมาถึง ข้าว่า...” เสียงของนายทหารหนุ่มขาดหายไปกลางคัน เมื่อสังเกตเห็นท่ายืนงอตัวแปลกๆ ของหญิงสาว “นั่น... เจ้าบาดเจ็บอยู่นี่”
เมลิอานาร์ฝืนยิ้ม “แผลเก่าน่ะท่าน ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
หากคนบาดเจ็บอีกคนรีบตวัดสายตาสำรวจร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกายทันที พอเห็นคราบโลหิตซึมเป็นวงอยู่บนเสื้อของหญิงสาว เสียงห้วนห้าวก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาด้วยความโมโหแกมเป็นห่วง
“บ้าจริง ปากแผลของท่านเปิดนี่นา ไหนให้ข้าดูซิ”
เอลคว้าข้อมือคนในชุดสาวใช้ดึงให้เข้ามาใกล้ตัวยิ่งขึ้น หากฝ่ายนั้นก็พยายามขืนร่างไว้เต็มที่
“ไม่ต้องหรอกน่า ข้าเคยบอกแล้วไงว่าแผลแค่นี้ข้าจัดการเองได้ เจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะเอล” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วเปลี่ยนเป็นบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ
“ถูกอัดซะน่วม นี่ถ้าหากเจ้าชายกันนาร์รู้เข้า มีหวังข้าถูกสั่งแขวนคอแหงๆ”
พระนามของเจ้าชายกันนาร์ที่หลุดออกจากปากของผู้พูด แม้จะเบาแสนเบา หากนายทหารหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้ ซ้ำพอได้ยินแล้วเขาก็เกิดสะดุดใจจนต้องหันกลับมาจ้องหน้า ‘โจรขโมยม้า’ ซ้ำอีกรอบ คราวนี้เจ้าตัวถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฝ่าบาท!”
สิ้นเสียงอุทาน คนที่มียศเป็นถึงรองแม่ทัพก็ถลันกายเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า ‘โจรขโมยม้า’ ด้วยอาการเคารพสูงสุด ทำให้คนทั้งห้องหันมาจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองเป็นตาเดียว
เมลิอานาร์ผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จ้องหน้าเอลสลับกับนายทหารหนุ่มด้วยความงุนงง นางเพิ่งสังเกตว่านอกจากอาการนิ่งขึงด้วยความตกใจแล้ว เอลไม่มีทีท่าจะปฏิเสธคำเรียกขานของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทันใดนั้นข้อความที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ฝากมากับเจ้ามังกรจิ๋วก็เหมือนจะดังขึ้นในหัว
...รีบพาฝ่าบาทกลับลินเด็นด่วน...
เมลิอานาร์เบิกตากว้างมองชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมทางพร้อมกับอ้าปากค้าง ...อย่าบอกนะว่า ฝ่าบาทที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเอ่ยถึงก็คือเอลนี่เอง!
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.พ. 2556, 08:43:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.พ. 2556, 08:47:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1689
<< ตอนที่ 20 | ตอนที่ 22 >> |