ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 22
ชายหนุ่มผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์นั่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปสบตากับหญิงสาวข้างกาย ได้แต่แอบชำเลืองมองนางด้วยอาการคล้ายเด็กนักเรียนที่ทำผิดแล้วถูกครูจับได้ พอเห็นประกายวาวๆ จากดวงตาคู่สวยที่จ้องเป๋งตอบมา เขาก็ยิ้มแหย รีบดึงสายตากลับไปหาต้นเหตุที่ทำให้ ‘ความลับแตก’ แทบไม่ทัน
ใบหน้าคร้ามเข้มของนายทหารหนุ่มดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ยิ่งเพ่งมองนานเข้าเอลก็ยิ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน เสียเวลาทบทวนอีกเพียงชั่วครู่เขาก็นึกออก
“เจ้าคือราฟ”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารเจ้าของชื่อยิ้มกว้าง ค้อมศีรษะลงตอบรับด้วยความยินดี หากคนเอ่ยทักไม่ได้ยินดีไปด้วยเลยสักนิด
“แล้ว... เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วน
“ตามหาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหาข้า” เอลทวนคำอย่างแปลกใจ “มันเรื่องอะไรกัน”
“ท่านคาร์ลทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยือนลัสเตอร์สโตน เลยสั่งให้กระหม่อมกับลูกน้องตามมาอารักขาพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบแบบชัดถ้อยชัดคำของราฟทำให้ราชาหนุ่มนึกเดาเรื่องทั้งหมดได้ในทันที สีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจึงกลายเป็นบูดสนิท เขารู้ดีว่าผู้อยู่เบื้องหลังที่ปรึกษาสูงวัยอย่างคาร์ลจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกันนาร์ เจ้าบ้านั่นคงจะนึกกังวลอะไรขึ้นมาก็เลยปากโป้งจนเสียเรื่อง ...มันน่าอัดให้น่วมชะมัด!
เมื่อฐานะแท้จริงของเอลถูกเปิดเผย สถานภาพของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโจรขโมยม้า เขาก็ได้รับการปรนนิบัติดูแลจากคนรอบข้างอย่างดีชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เจ้าของบ้านพักผู้ซึ่งกลัวว่าตนจะถูกลงโทษฐานประทุษร้ายราชาแห่งกรีนแลนด์ ลงทุนจัดเตรียมห้องพักพร้อมอาหารเลิศรสเพื่อเอาใจชายหนุ่มโดยไม่คิดราคา นอกเหนือไปจากการตามหมอฝีมือดีมารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ทำให้เมลิอานาร์พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แม้ทุกคนจะแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเอลแนะนำว่านางคือนักบวช แต่พวกเขาก็ให้ความเคารพหญิงสาวเป็นอย่างดี และยินยอมตามใจเมื่อนางปฏิเสธที่จะรับการรักษาจากท่านหมอ
รุ่งเช้า เมลิอานาร์รีบลุกขึ้นเก็บข้าวของเพื่อลงไปยังลานดินข้างคอกม้าเป็นคนแรก หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม นางก็แข็งแรงพอที่จะใช้เวทมนตร์จัดการกับบาดแผลตรงสีข้างจนเกือบจะหายเป็นปกติ หญิงสาวเดินเล่นฆ่าเวลาไปพลางระหว่างรอคนอื่น รู้สึกอุ่นใจขึ้นมากที่ได้กลับมาสวมชุดนักบวชสีเทาเงินสะอาดสะอ้านอีกครั้ง
อากาศยามเช้าเย็นสดชื่น ท้องฟ้ากว้างเบื้องบนเป็นสีน้ำเงินจัด แต้มด้วยปุยเมฆขาวลอยฟ่องราวกับกลีบดอกไม้ กลิ่นหญ้าหอมกรุ่นปะปนมากับสายลมผสมด้วยกลิ่นควันไฟจางๆ และกลิ่นขนมปังอบใหม่จากเตา เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บดังอยู่บนยอดไม้เหนือศีรษะ นานๆ จึงจะมีเสียงม้าร้องแว่วมาให้ได้ยินสักครั้ง
เด็กรับใช้สองคนเดินหอบฟ่อนหญ้าและถังใส่น้ำหายลับเข้าไปในโรงเรือนยาว เมลิอานาร์มองตามหลังพวกเขา แล้วตัดสินใจก้าวตามเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยของเจ้าโอนิกซ์เสียเลย
ภายในโรงม้าซอยแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ทั้งสองฝั่ง กั้นกลางด้วยทางเดินกว้างประมาณแปดศอก ทอดยาวจากประตูด้านหน้าขนานแนวคอกจนทะลุประตูหลัง เจ้าม้าดำตัวที่หญิงสาวกำลังมองหา ถูกผูกไว้ไม่ไกลจากทางเข้านัก มัน ‘ดูดี’ ขึ้นเป็นกองจนนางต้องแอบอมยิ้ม เดิมทีรูปร่างของเจ้าโอนิกซ์ก็สวยงามสมส่วนอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่ในฐานะ ‘ม้าขององค์ราชา’ ขนสีดำสนิทก็ยิ่งเป็นมันปลาบน่าดูกว่าม้าตัวอื่น เท่านั้นยังไม่พอ ในรางใส่อาหารของมันยังมีทั้งแอปเปิ้ลและแครอทกองไว้จนพูนสูง แตกต่างจากหญ้าแห้งธรรมดาของม้าตัวที่ผูกอยู่ติดกันอย่างเห็นได้ชัด
“หน็อย ศักดินาจริงนะเจ้า”
เมลิอานาร์ใช้นิ้วชี้จิ้มจมูกของเจ้าม้าที่ยื่นออกมาเหนือแผงกั้นอย่างหมั่นไส้ ทำให้เสียงหัวเราะหึๆ ของใครบางคนดังขึ้นทางเบื้องหลัง หญิงสาวหันขวับไปมองตาขุ่น ปากอ้าเตรียมโวยเพราะจำเสียงคุ้นหูนั้นได้แม่น หากพอเห็นอีกฝ่ายถนัดตา ริมฝีปากที่เผยอขึ้นน้อยๆ ก็ต้องหุบลง
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า สวมเสื้อคลุมเดินทางตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้ม ปักเส้นทองเป็นลวดลายตามชายและขอบแขนอย่างหรูหรา ที่เห็นอยู่ภายใต้รอยแหวกของเสื้อตัวยาว คือเชิ้ตผ้าไหมเนื้อนิ่มสีขาวเป็นเงาวาว เข้ากันดีกับกางเกงเนื้อหนาสีน้ำตาลไหม้ สอดส่วนปลายซ่อนอยู่ในรองเท้าบู้ทหนังนุ่มสีดำขัดจนมันวับ หนวดเครารกเรื้อบนใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงรอยเขียวจางๆ เหนือริมฝีปากสีสดที่แย้มเยื้อนอย่างอารมณ์ดี รับกับดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายระยับและเส้นผมสีทองยาวระบ่า
รูปลักษณ์อันโอ่อ่าชวนมองของเอลเหมือนจะตอกย้ำว่าเขาคือ ‘ราชาเอลเบอเรธ’ ไม่ใช่ ‘เอล’ เพื่อนร่วมทางนิสัยกวนประสาทที่หญิงสาวเคยรู้จัก เมลิอานาร์ค้อมกายลงถวายคำนับราชาหนุ่มพอเป็นพิธี ก่อนตวัดสายตาผ่านร่างสูงๆ ของเขาไปจับจ้องอยู่ที่ผนังว่างเปล่าอีกฝั่ง
ปฏิกิริยาเย็นชาของหญิงสาวทำให้รอยยิ้มกระจ่างตาหายวับไปจากใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระอาทิตย์ถูกเมฆบัง คิ้วเข้มหนาเหนือดวงตาคมกริบขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านโกรธข้าหรือ” ชายหนุ่มถาม “โกรธข้าเรื่องอะไร”
นั่นสิ...
เมลิอานาร์ขบริมฝีปากล่างอย่างขัดใจ ...นางโกรธเขาเรื่องอะไรกันแน่ โกรธที่เอลปิดบังความจริงเอาไว้ หรือว่าโกรธเพราะเขาคือราชาแห่งกรีนแลนด์ที่นางไม่เคยนึกนิยมชมชอบ หญิงสาวก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้
ถ้าเป็นด้วยสาเหตุประการแรก นางย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเขา เพราะตนเองก็มีเรื่องปิดบังชายหนุ่มอยู่เช่นกัน แต่ถ้าเป็นเพราะสาเหตุหลัง นางยิ่งไม่สมควรจะโกรธเข้าไปใหญ่ ก็ใครบ้างเล่าที่เลือกเกิดได้
“ข้า เอ๊ย กระหม่อมไม่ได้โกรธ” เมลิอานาร์บังคับตัวเองให้ตอบออกไปอย่างที่ควรตอบ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายสวนคำกลับมาทันควัน
“ไม่โกรธอะไรกัน ท่านโกรธอยู่เห็นๆ”
เอลเบอเรธพยายามขยับกายให้เข้าไปอยู่ในสายตาของหญิงสาว แต่อีกฝ่ายก็ยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นจนได้ ประโยคถัดไปของชายหนุ่มจึงเข้มข้นขึ้นตามแรงอารมณ์
“ถ้าไม่โกรธ ก็หันมามองหน้าข้าสิ ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะไม่ใช่ผนังว่างเปล่าพวกนั้น”
ได้ผล ดวงตาวาวๆ ตวัดกลับมาจ้องหน้าเขาทันที
“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมโกรธ พอพระทัยหรือยัง”
“พอใจที่ท่านโกรธข้าน่ะหรือ ไม่เลย ข้าอยากให้ท่านรู้เอาไว้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกท่าน แล้วข้าก็ไม่สบายใจด้วยที่ไม่อาจบอกความจริงกับท่านได้ แต่มันจำเป็น ตัวท่านเองก็ไม่เคยถามสักคำว่าข้าเป็นใครนี่นะ อยู่ๆ จะให้ข้าบอกท่านว่าข้าคือราชาแห่งกรีนแลนด์ มันก็คงจะดูพิลึก”
...แล้วไอ้การแต่งตัวเป็นสาวใช้ประจำวิหารตั้งแต่แรกนี่ ไม่ ‘พิลึก’ เลยงั้นสินะ...
เมลิอานาร์นึกค่อนในใจ รู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายจนอดตวัดวัดหางตาค้อนไม่ได้ โดยหารู้ไม่ว่ากิริยาเช่นนั้นทำให้หัวใจคนมองเต้นผิดจังหวะไปอย่างไรบ้าง
“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าผิด” น้ำเสียงของเอลเบอเรธดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย เขาเว้นจังหวะเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อ
“แต่ท่านเองก็มีเรื่องปิดบังข้าอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มจบประโยคด้วยการจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินงามของอีกฝ่าย คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย ทำให้คนฟังถึงกับหน้าถอดสี
“ระ...เรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีอะไรปิดบังพระองค์สักหน่อย”
“แน่ใจหรือท่านเมล ลองคิดดูให้ดีๆ สิ หรือต้องให้ข้าพูดออกมาตรงๆ ว่าที่จริงแล้วท่านไม่ได้เป็น...”
“เรื่องนั้น กระหม่อมอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ” เมลิอานาร์ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจนจบประโยค แต่รีบตอบสวนออกไปทันที นางรู้ดีว่าโทษของการหลอกลวงเบื้องสูงนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน ต่อให้นางไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องที่ตนเองเป็นผู้หญิง แต่การปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดโดยไม่พยายามจะแก้ไขความเข้าใจของเขาให้ถูกต้องก็ยังต้องถือว่ามีความผิดอยู่นั่นเอง
ราชาหนุ่มจ้องมองอาการร้อนรนของหญิงสาวด้วยแววตาทอยิ้ม เขายกมือห้ามพลางขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมเฉย ซ่อนความขบขันเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงจริงจังอย่างแนบเนียน
“ไม่ต้องอธิบายหรอกท่านเมล ข้าเข้าใจ ตอนนั้นท่านอยู่ต่อหน้ากันน์นี่นะ ท่านก็คงจะพูดความจริงลำบาก”
“เอ๊ะ..” คนฟังชักงง “ทรงหมายถึงตอนไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ตอนที่กันน์พาท่านไปพบข้าเป็นครั้งแรกที่ห้อง แล้วยังตอนที่อยู่ในวิหารด้วยกันอีกไงล่ะ เขาบอกว่าท่านเป็นนักบวช ท่านเองก็ไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ทั้งที่ความจริงแล้วท่านเคยบอกข้าว่าท่านไม่ใช่นักบวช”
หญิงสาวอ้าปากค้าง
“ทำไม ข้าพูดอะไรผิดหรือท่านเมล”
“ไม่... ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนึกว่า...”
“นึกว่าอะไร” ราชาหนุ่มกลั้นยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นอาการลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกของอีกฝ่าย
“นึกว่า... เอ่อ นึกว่าฝ่าบาททรงลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่คิดจะเอาผิดท่านเพราะถือว่าเราต่างก็โกหกกันคนละครั้ง แต่จำไว้นะท่านเมล ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
เมลิอานาร์ฝืนรับคำด้วยรอยยิ้มแห้งแล้ง แม้จะโล่งอกที่ความลับสำคัญยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ต่อจากนี้นางคงต้องเพิ่มความระวังตัวเป็นสองเท่า ไม่สิ สามเท่าเลยดีกว่า และควรจะอยู่ให้ห่างจากราชาหนุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
เอลเบอเรธพยักยิ้มอย่างพอใจ
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปกันเถอะท่านเมล ทุกคนรออยู่”
อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบรับ ก็ถูกคนตัวโตถือวิสาสะคว้าข้อมือลากให้เดินออกไปสู่ลานดินด้านนอกพร้อมกันเสียแล้ว
จริงดังที่เอลว่า นายทหารหนุ่มและลูกน้องทั้งสี่ยืนรอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียงที่หน้าคอกม้า แต่นอกจากพวกเขา ยังมีชายแปลกหน้าอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย ท่าทางของชายผู้นั้นดูเหนื่อยอ่อนอิดโรยราวกับเพิ่งผ่านการอดนอนมาหมาดๆ ในมือข้างหนึ่งยังคงกำสายบังเหียนของเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวเล็กประเปรียวที่ดูอ่อนแรงไม่แพ้เจ้าของเอาไว้แน่น
พอเห็นผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามารวมกลุ่ม ราฟก็ค้อมกายถวายคำนับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลูกน้องของเขารีบกระทำตามผู้เป็นนาย พลางขยับกายให้อยู่ในท่าสำรวมยิ่งขึ้น
“มีอะไรหรือราฟ”
เอลเบอเรธสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบมาพากลจากบรรยากาศรอบกาย เขากวาดสายตามองนายหทารแต่ละคน จนมาหยุดอยู่ที่ชายแปลกหน้าในเครื่องแต่งกายรัดกุมหากมอมไปด้วยฝุ่นแบบคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“แล้วหมอนี่เป็นใคร”
ชายแปลกหน้าจ้องมองเจ้าของคำถามด้วยอาการตาเหลือกค้างราวกับเห็นผี เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง หากทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ ราฟจึงตัดปัญหาด้วยการกราบทูลเสียเอง
“เขาชื่อวิลพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนส่งข่าวจากลินเด็น เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสักครู่”
“คนส่งข่าว” องค์ราชาเลิกพระขนงอย่างแปลกพระทัย
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ลินเด็นอย่างนั้นหรือ ใครเป็นคนส่งเขามา”
“ท่านคาร์ลพ่ะย่ะค่ะ วิลบอกว่าเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏ”
“อะไรนะ!”
เสียงอุทานไม่ค่อยนักหลุดออกมาจากพระโอษฐ์ ดวงพักตร์คมคายมีร่องรอยตกพระทัยฉายชัด
ราฟถ่ายทอดเรื่องราวจากม้าเร็วให้ราชาแห่งกรีนแลนด์ฟังโดยละเอียด ก่อนสรุปว่า
“พระนางแอนน์ทรงร้องขอให้เปิดประชุมสภาผู้ครองแคว้นเพื่อพิพากษาโทษเจ้าชายกันนาร์แล้วพ่ะย่ะค่ะ การประชุมจะมีขึ้นที่จัตุรัสเมืองก่อนงานเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นน่ะสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงๆ เล้ย...” ราชาหนุ่มส่งเสียงครางในพระศออย่างหงุดหงิด “เอาละราฟ ไปเตรียมม้าได้แล้ว เราต้องรีบออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้”
ราฟค้อมศรีษะรับพระบัญชา
เพียงอึดใจเดียว ม้าทั้งหกตัวก็เตรียมพร้อมอยู่บนลานดินหน้าคอก เมลิอานาร์กวาดตามองเทียบจำนวนม้ากับจำนวนคน แล้วรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่คนอื่นจะทันได้มีโอกาสอ้าปาก
“ม้าขาดไปตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าตามไปทีหลังก็ได้ พวกท่านรีบพาฝ่าบาทเสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”
หากเอลเบอเรธไม่ยอมหลงกลอีกฝ่ายง่ายๆ เขาปรายตามองหญิงสาวอย่างรู้เท่าทัน เรื่องอะไรจะยอมให้เมลเดินทางกลับลินเด็นตามลำพัง ทำอย่างนั้นนางก็สบายไปน่ะสิ ในเมื่อเมลกล้าหลอกลวงเขามาตั้งนานสองนาน นางก็ต้องได้รับการ ‘เอาคืน’ ให้สาสมเสียก่อนถึงจะถูก เพราะฉะนั้น..
“ไม่ได้” ชายหนุ่มตอบเสียงหนักด้วยมาดของราชาแห่งกรีนแลนด์ “ท่านยังมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ ต้องกลับไปพร้อมพวกเรา”
เขาเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของหญิงสาว ก่อนพูดต่อหน้าตาเฉย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านนั่งไปบนหลังเจ้าโอนิกซ์กับข้า เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นม้าของท่าน ถือเสียว่าข้าขออาศัยไปด้วยคน ท่านคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ”
“ปะ...”
ปฏิเสธสิ! เมลิอานาร์อยากจะปฏิเสธใจแทบขาด หากไม่อาจทำได้ เพราะทันทีที่เอลเบอเรธพูดจบ นายทหารทุกคนก็พร้อมใจกันเดินเรียงแถวไปขึ้นม้าของตนราวกับนัด ซ้ำยังก้มลงมองนางที่ยังยืนเฉยอยู่ที่เดิมเหมือนจะถามว่า ‘มัวชักช้าอะไรอยู่ท่าน ทำไมไม่ขึ้นม้าสักที’ จนหญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินหน้ามุ่ยตรงไปหาเจ้าโอนิกซ์ที่ราชาหนุ่มทรงถือบังเหียนคอยอยู่แล้ว
“ท่านหนีข้าไม่พ้นหรอกท่านเมล อย่าพยายามเสียให้ยาก” เอลเบอเรธกระซิบแค่พอให้อีกฝ่ายได้ยิน พลางผายมือไปทางเจ้าม้าหนุ่มด้วยท่าทีล้อเลียน
“เชิญ”
เมลิอานาร์จำใจสอดเท้าเข้าไปในโกลน โหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างกระแทกกระทั้น พอนางทรงตัวเรียบร้อย ประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็โหนพระองค์ตามขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นเจ้าโอนิกซ์ก็ถูกกระตุ้นให้ควบทะยานไปสู่ถนนใหญ่สุดฝีเท้า มีม้าของราฟและลูกน้องพุ่งตามมาติดๆ
เพียงพริบตาเดียวขบวนม้าทั้งหกตัวก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบอยู่ในแสงแดดยามเช้า...
นับตั้งแต่ส่งข่าวไปกับวาย เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ตั้งตารอให้ราชาเอลเบอเรธเสด็จกลับมาด้วยพระทัยจดจ่อ เพราะนั่นหมายถึงทางรอดเดียวของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ หากรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีวี่แววหรือแม้แต่ข่าวคราวของราชาหนุ่มแว่วมาให้ได้ยิน จนกระทั่งวันประชุมสภาผู้ครองแคว้นมาถึงในที่สุด
ที่ลานกว้างกลางจัตุรัสเมืองเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนจนแทบจะมองไม่เห็นบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ซึ่งนั่งหน้าเคร่งอยู่บนยกพื้นลาดด้วยพรมกำมะหยี่เนื้อนุ่ม พวกเขาล้วนแต่มีท่าทางกังวลใจด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะเมื่อเหลียวไปมองยังบัลลังก์ไม้ดำแกะสลักหุ้มทอง ซึ่งตามปกติต้องเป็นที่ประทับของประมุขแห่งกรีนแลนด์ หากบัดนี้กลับว่างเปล่า
เจ้าหญิงลูเซียซึ่งได้รับพะเสาวนีย์จากพระนางแอนน์ให้เสด็จมาเป็นประธานในการประชุมแทนพระองค์ ประทับนิ่งไม่ไหวติงดุจตุ๊กตาขี้ผึ้งอยู่ข้างบัลลังก์ทอง ฉลองพระองค์ผ้าไหมสีเขียวเข้มเกือบดำขับเน้นพระฉวีที่ขาวผ่องอยู่แล้วให้ดูเผือดซีดยิ่งขึ้น พระเกศายาวสลวยสีน้ำตาลไหม้ถูกรวบถักเป็นเปียพันทบอยู่หลังท้ายทอย มีเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ กลัดเอาไว้กันรุ่ยเพียงชิ้นเดียว ดวงพักตร์งามอ่อนหวานเรียบเฉย ดวงเนตรที่แลกวาดไปรอบกายแข็งกระด้างไร้ชีวิต
“เบิกตัวนักโทษ”
สิ้นเสียงขานเรียก ชายหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีคล้ำกระดำกระด่างก็ถูกผู้คุมสองนายพาขึ้นมายืนอยู่บน ยกพื้นกลางที่ประชุม เขาดูซูบลงเล็กน้อย เนื้อตัวสกปรกไปด้วยคราบไคลจากการไม่ได้สัมผัสน้ำมาเป็นเวลาหลายวัน ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้รกเรื้อไปด้วยหนวดเครา เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงจับเป็นก้อนแข็งด้วยฝุ่นละอองแทบไม่เหลือเค้าหนุ่มสำอางให้เห็น ที่ข้อมือและข้อเท้ามีโซ่เส้นเขื่องพันธนาการไว้แน่นหนา
เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษหนุ่ม ต่างก็ร้องอุทานอื้ออึงจนแทบจะกลบเสียงประกาศเปิดการประชุมเสียสิ้น หลายคนยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเหตุใดเจ้าชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสหายรักขององค์ราชาจึงตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ จะมีก็แต่พวกที่ทราบข่าวซุบซิบเรื่องกบฏและการหายตัวไปอย่างลึกลับของราชาเอลเบอเรธเท่านั้นที่เริ่มต้นส่งเสียงด่าทอสาปแช่งอย่างไม่พอใจ บางรายถึงกับแสดงความโกรธแค้นออกมาด้วยการขว้างปาก้อนหินไปยังร่างซูบเซียวตรงหน้าอย่างไร้ความปราณี
“นี่ หยุดนะ พวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
เจ้าของร่างเล็กบางในเครื่องแต่งกายธรรมดาไม่ผิดอะไรกับเด็กรับใช้ตะโกนโหวกเหวก พยายามจะแหวกฝูงคนเข้าไปยับยั้งชายฉกรรจ์ที่กำลังขว้างหินใส่นักโทษอย่างสนุกมือให้ได้ ยังดีที่เด็กหนุ่มตัวสูงข้างกายมีสติพอจะรั้งร่างบางพลางตะครุบปากที่ยังโวยวายไว้เสียทัน
“เจ้านั่นแหละหยุด” เขากระซิบดุ ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบถลึงมองอีกฝ่ายจนแทบปะทุออกมานอกเบ้า “อยากถูกจับได้หรือไงกัน”
“แต่พวกนั้นกำลังทำร้ายพี่ข้านะ เจ้าจะให้ข้ายืนดูอยู่เฉยๆ งั้นหรือ” เสียงใสเถียงอู้อี้เพราะมือของเด็กหนุ่มยังคงทาบอยู่บนใบหน้า
“ใช่”
ดวงตาสีม่วงสวยขุ่นขึ้นทันควัน หากเจ้าของคำตอบกลับทำเป็นมองไม่เห็น พูดด้วยเสียงเข้มงวดต่อไปว่า
“ถ้าไม่อยากถูกทหารจับได้ เจ้าก็ต้องอดทนดูอยู่เฉยๆ”
“แล้วถ้าข้าไม่...”
“งั้นกลับ”
ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล เพราะเจ้าของร่างบางหยุดดิ้นรนขัดขืนในทันที เด็กหนุ่มจึงค่อยคลายมือออกเพื่อปล่อยนางให้เป็นอิสระ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่หันไปแลบพระชิวหาใส่อีกฝ่าย ยิ่งเห็นหน้าตาท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเด็กหนุ่ม พระองค์ก็ยิ่งหงุดหงิดพระทัยจนต้องหาทางระบายออกด้วยการสะบัดพระพักตร์หนีไปทางอื่น ดวงเนตรขุ่นเขียวจึงปะทะเข้ากับชายผู้หนึ่งโดยบังเอิญ พระองค์คงจะไม่สนใจเขาเลย ถ้าไม่สะกิดพระทัยว่าชายแปลกหน้าผู้นั้นก็กำลังจ้องมองกลับมาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเป้าหมายของสายตาทั้งคู่จะอยู่ที่ ‘เด็กเลี้ยงม้าปากเสีย’ ก็ตาม
“ซิส”
เจ้าหญิงหันไปกระตุกแขนเสื้อคนข้างกาย ลืมอารมณ์ขุ่นมัวไปชั่วครู่เพราะความสงสัยมีมากกว่า
“เจ้ารู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า”
ซิสเหลียวมองไปยังทิศทางที่เด็กสาวชี้บอกพร้อมกับอ้าปากเตรียมปฏิเสธ แต่พอเห็นเจ้าของร่างกำยำที่ยืนอยู่ติดกับชายหนุ่มหน้าอ่อนรูปร่างผอมบางถนัดตา เขาก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก รีบคว้าข้อมือคนตั้งคำถามฉุดให้เดินหนีไปอีกด้านทันที
“เจ้ารู้จักเขาหรือ” เจ้าหญิงในคราบเด็กรับใช้หนุ่มน้อยเอ่ยซักอย่างเอะใจ
“เปล่า”
“ถ้าไม่รู้จัก แล้วทำไมต้องหนีด้วยเล่า”
“ข้าไม่ได้หนี”
เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่สองเท้ายังก้าวเดินไม่หยุด ท่าทางฟ้องอยู่เต็มเปี่ยมว่าเขากำลังพูดปด เจ้าหญิงกาอิยาห์รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงแกล้งชะงักพระบาทเสียดื้อๆ แถมยังสลัดพระกรจนหลุดจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่ม ทำให้ซิสต้องชะลอฝีเท้า หันมามองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำไมไม่เดินต่อ”
“อ้าว...” เจ้าหญิงทรงลากพระสุรเสียง “ก็เจ้าว่าไม่ได้หนี แล้วจะต้องเดินทำไมให้เมื่อยเล่า อยู่ตรงนี้ก็มองเห็นการพิพากษาเหมือนกัน”
ซิสทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างขัดใจ
“ก็ขยับไปตรงนั้นอีกหน่อยจะเป็นไรไป”
“ไม่เอา ตรงนั้นคนแน่นจะตาย ถ้าอยากขยับเจ้าก็ขยับไปคนเดียวสิ ข้าไม่อยากนี่”
ถ้าทำได้ เขาคงทำไปแล้วละ...
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ครั้นจะทิ้งอีกฝ่ายเอาไว้ก็ไม่กล้า แต่จะให้หยุดยืนอยู่ข้างๆ นาง เขาก็กลัวจะถูกคนของบิดาเห็นเข้าเสียก่อน จึงได้แต่เหลียวหน้าเหลียวหลังพะวักพะวงอยู่อย่างนั้น ยิ่งได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตนดังกระชั้นเข้ามา ซิสก็ยิ่งกระสับกระส่ายหนักขึ้นจนแทบจะยืนไม่ติดที่
เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นอาการร้อนรนของเด็กหนุ่มก็ทรงพระสรวลอย่างกลั้นไม่อยู่ ครั้นอีกฝ่ายตวัดสายตาผ่านหน้าพระองค์ไปราวกับจะค้อน เสียงหัวเราะสดใสก็ยิ่งดังกังวานราวกับระฆังเงิน
“ตกลงว่าเจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้ใช่มั้ย งั้นข้าไปละ” เด็กหนุ่มหมุนกายหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วทำท่าจะเดินผละไปจริงๆ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ดูออกว่าซิสกำลังโกรธ อันที่จริงไม่เห็นจะมีอะไรน่าโกรธสักนิด พระองค์แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เขานั่นแหละแปลก ท่าทางบอกว่ารู้จักสองคนนั่นชัดๆ ทำไมต้องปิดบังกันด้วยก็ไม่รู้ อ๊ะ หรือว่า...
“เจ้าเคยมีเรื่องกับพวกเขามาก่อนสินะ”
“ใครบอกเจ้า”
ซิสถามโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงต้องเป็นฝ่ายเร่งฝีพระบาทก้าวให้ทันอีกฝ่ายเสียเอง
“ไม่เห็นต้องมีใครบอกนี่ แค่ดูเอาก็รู้แล้ว เจ้าคงเคยขโมยของของพวกเขาละสิ หรือว่ากินแล้วไม่จ่าย ไม่สิ บางทีเจ้าอาจจะเคยเดินเหยียบเท้าพวกเขาที่ตลาดแล้วไม่ขอโทษ หรือไม่ก็...”
“พอเลย ไม่ต้องเดาแล้ว ไม่ใช่ที่เจ้าว่ามาทั้งหมดนั่นแหละ” เด็กหนุ่มตัดบทดื้อๆ
“งั้นมันเรื่องอะไรเล่า”
“เรื่องอะไรเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
คนเป็นเจ้าหญิงหน้าง้ำ หากเพียงพริบตาเดียวรอยแย้มสรวลเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์ นางยื่นมือออกไปรวบร่างของหนุ่มน้อยจากด้านหลัง กอดรัดไว้แน่นจนเจ้าของร่างเกือบจะเสียหลัก แล้วหันไปร้องตะโกนใส่กลุ่มคนที่เพิ่งเดินจากมา
“เจ้าข้าเอ๊ย... ซีซาร์ของพวกท่านอยู่ตรงนี้แล้ว ได้ยินหรือเปล่า รีบมาหาเขาเร็วๆ เข้า”
“ทำบ้าอะไรของเจ้า” ซิสเบือนหน้ากลับมาคำรามใส่เจ้าหญิงตัวแสบ แต่ไม่สามารถเอื้อมมือไปอุดปากนางได้อย่างใจคิด ทั้งยังไม่อาจสลัดร่างให้หลุดจาก ‘มือกาว’ ทั้งสองข้างของนางอีกด้วย
เจ้าหญิงกาอิยาห์จงใจแย้มสรวลใส่ตาเด็กหนุ่มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไง จะบอกหรือไม่บอก ถ้าไม่บอก ข้าจะตะโกนต่อละนะ เจ้าข้าเอ๊ย...”
“เฮ้ย! หยุดได้แล้ว”
เด็กสาวเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มหวาน หากยังไม่ยอมปล่อยมือ
“สองคนนั้นเป็นคนของพ่อข้าเอง” ซิสจำใจตอบ
“แล้วไง”
“ข้าหนีออกจากบ้าน ...พอใจหรือยัง”
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง เผลอคลายมือออกโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายจึงกระชากร่างออกจากอ้อมแขนของนาง แล้วก้าวเดินลิ่วๆ ห่างออกไปทันที
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบสาวพระบาทตามไปติดๆ พระองค์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซิสเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน ดูเหมือนคนพวกนั้นจะเรียกเขาว่า ‘ซีซาร์’ ซึ่งไม่น่าจะใช่ชื่อของเด็กเลี้ยงม้าเลยสักนิด ...ถ้าอย่างนั้นซิสเป็นใครกันแน่
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดจดจ่ออยู่กับเรื่องของผู้อื่น เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงไม่ทรงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่เกิดกับฝูงชนตรงหน้า ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ที่ดังกังวานมาแต่ไกลอีกด้วย กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ถูกผู้คนที่ถอยร่นเข้ามาใกล้เบียดจนพลัดหลงกับซิสเสียแล้ว
ท่ามกลางความแตกตื่นสับสนจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูกนั้น เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นเพียงกลุ่มคนที่ควบม้าผ่านหน้าไปราวพายุ ยังไม่ทันจะได้ทอดพระเนตรให้ชัดว่าพวกเขาเป็นใคร ม้าสีดำพ่วงพีตัวหน้าสุดก็เผ่นโผนขึ้นไปหยุดอยู่บนยกพื้นกลางที่ประชุม บุรุษบนหลังม้าตวัดร่างลงสู่พื้นอย่างอาจหาญ เขาปัดฮู้ดที่ปกคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นเส้นผมสีทองสุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ ล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นตาชาวกรีนแลนด์เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาท!”
“องค์ราชา!”
เสียงอุทานฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง เหล่าผู้ครองแคว้นและขุนนางที่นั่งอยู่บนยกพื้นเหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกงุนงงสงสัยว่าเหตุใดราชาเอลเบอเรธที่ทรง ‘ถูกลักพาตัว’ ไป จึงปรากฏพระองค์ขึ้นกลางที่ประชุมได้ราวปาฏิหาริย์ มิหนำซ้ำยังไม่มีพระอาการใดๆ บ่งบอกว่า ‘ทรงพระประชวรหนัก’ ดังเช่นข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วอีกด้วย มีเพียงผู้เดียวในที่นั้นที่มิได้แสดงท่าทีว่าประหลาดใจ ตรงกันข้าม เขากลับโล่งอกเสียด้วยซ้ำ เพราะในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวงเสียที
ดวงเนตรคมกริบสีน้ำทะเลของราชาหนุ่มปรายปราดไปยังสตรีที่นั่งตะลึงอยู่ข้างบัลลังก์ทอง ก่อนพระสุรเสียงทรงอำนาจจะดังก้อง
“ทหาร จับนางไว้”
สิ้นกระแสรับสั่ง นายทหารทั้งสี่ที่ยืนม้ารออยู่ด้านล่างก็กรูกันขึ้นไปบนยกพื้น กระชากร่างของเจ้าหญิงลูเซียลงจากพระเก้าอี้ ท่ามกลางสายตาพิศวงของชาวเมืองและผู้ครองแคว้นทั้งสาม
“หยุดนะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
เจ้าหญิงลูเซียกรีดพระสุรเสียงพลางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ดวงพักตร์นวลแอร่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เนตรสีมรกตไร้แววจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของราชาหนุ่มอย่างคั่งแค้น
“ข้าบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินหรือยังไง พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาจับข้า”
“นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงให้จับลูเซียทำไม นางทำอะไรผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ครองแคว้นอังมาร์ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของเจ้าหญิงลูเซียออกโรงปกป้องหลานสาวทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาก้าวออกมายืนขวางหน้าทหารเอาไว้ ดวงตาคมกล้าตวัดไปทางประมุขหนุ่มอย่างรอคอยคำตอบ
ราชาเอลเบอเรธแย้มพระสรวลเยือกเย็น
“นางร่วมมือกับเจ้าชายแห่งทาเนียร์ลอบวางยาพิษข้า อย่างนี้ ‘ผิด’ พอมั้ยครับ ท่านอา”
ชายกลางคนอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง เช่นเดียวกับประชาชนชาวกรีนแลนด์ทั้งหลายที่ได้ยินคำตอบนั้น
“ฝ่าบาทจะทรงกล่าวหาใครต้องมีหลักฐานนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่แค่หลักฐานหรอกครับท่านอา ข้ายังมีพยานยืนยันอีกด้วย ลองถามท่านคาร์ลหรือท่านหมอหลวงดูก็แล้วกันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร”
สายตาตื่นตะลึงของผู้ครองแคว้นอังมาร์เลื่อนไปจับจ้องยังใบหน้าผู้ที่ถูกเอ่ยอ้างทันที คำตอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจของฝ่ายนั้น ทำให้เขาแทบเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
“ลูเซีย... จริงหรือนี่”
ไม่มีคำปฏิเสธจากเจ้าหญิงลูเซีย นางยังคงดิ้นรนขัดขืนการจับกุมของเหล่าทหารราวกับหญิงวิกลจริต
“เอาเถอะครับท่านอา ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับนาง แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องคุมตัวไว้เพื่อสอบสวนก่อน”
ผู้ครองแคว้นอังมาร์คอตก จำต้องยอมหลีกทางให้ทหารแต่โดยดี
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ”
เจ้าหญิงลูเซียกรีดเสียงแหลมก้องอย่างคลุ้มคลั่ง ในที่สุดนางก็สะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของนายทหารทั้งสี่จนได้ ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวผู้เรียบร้อยเช่นนางไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนั้นมาจากไหน
เมื่อเป็นอิสระ เจ้าหญิงลูเซียก็โผนร่างเข้าหาราชาหนุ่มโดยไม่รอช้า เสียงทุ้มต่ำที่ดังก้องอยู่ในหัวร้องบอกให้นางฆ่าเขาซะ หญิงสาวไม่มีปัญญาจะขัดขืนน้ำเสียงที่มีมนต์ขลังนั้นได้ ...แต่นางไม่มีอาวุธ จะฆ่าเขาได้อย่างไร
ดาบของทหารไงล่ะ... เสียงนั้นบอก
แย่งดาบของทหารมา แล้วแทงเข้าไปที่อกของเอลเบอเรธ...
เจ้าหญิงลูเซียทำตามคำสั่งในหัวทันที นางหันไปคว้าดาบจากเอวของทหารที่ไม่ทันระวังตัว จ้วงแทงออกไปเบื้องหน้าสุดกำลัง
ภาพที่เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นต่อจากนั้นดูราวกับเป็นเรื่องโกหก...
โลหิตสีแดงเข้มอาบย้อมใบดาบจนชุ่มโชก ก่อนจะรวมตัวกันหยดต้องพื้นพรมทีละหยด ร่างสูงสง่าของราชาเอลเบอเรธทรุดฮวบลงสู่อ้อมแขนของเจ้าชายกันนาร์ที่ถลันเข้ามารองรับไว้ได้ทัน พวกทหารกลุ้มรุมกันเข้าจับตัวหญิงสาวผู้ถือดาบอย่างไร้ความปราณี หากนางก็ยังพยายามดิ้นรนขัดขืนจนกระทั่งเส้นผมยาวสลวยที่เกล้าพันไว้อย่างดีหลุดรุ่ย เครื่องประดับชิ้นสำคัญเลื่อนหล่นลงสู่พื้น และแล้วเจ้าหญิงลูเซียก็ล้มลงสิ้นสติไปอีกคน
------------------------------------------------------------------------------
ตอนสุดท้ายแล้วค่ะ หมดสต๊อกแค่นี้
ถ้าสามารถแต่งจนจบเรื่องได้เมื่อไหร่ จะทยอยนำมาลงให้อ่านต่อนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มาโดยตลอดค่ะ (ก้มหัวคารวะ)
ใบหน้าคร้ามเข้มของนายทหารหนุ่มดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ยิ่งเพ่งมองนานเข้าเอลก็ยิ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน เสียเวลาทบทวนอีกเพียงชั่วครู่เขาก็นึกออก
“เจ้าคือราฟ”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารเจ้าของชื่อยิ้มกว้าง ค้อมศีรษะลงตอบรับด้วยความยินดี หากคนเอ่ยทักไม่ได้ยินดีไปด้วยเลยสักนิด
“แล้ว... เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วน
“ตามหาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหาข้า” เอลทวนคำอย่างแปลกใจ “มันเรื่องอะไรกัน”
“ท่านคาร์ลทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยือนลัสเตอร์สโตน เลยสั่งให้กระหม่อมกับลูกน้องตามมาอารักขาพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบแบบชัดถ้อยชัดคำของราฟทำให้ราชาหนุ่มนึกเดาเรื่องทั้งหมดได้ในทันที สีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจึงกลายเป็นบูดสนิท เขารู้ดีว่าผู้อยู่เบื้องหลังที่ปรึกษาสูงวัยอย่างคาร์ลจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกันนาร์ เจ้าบ้านั่นคงจะนึกกังวลอะไรขึ้นมาก็เลยปากโป้งจนเสียเรื่อง ...มันน่าอัดให้น่วมชะมัด!
เมื่อฐานะแท้จริงของเอลถูกเปิดเผย สถานภาพของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโจรขโมยม้า เขาก็ได้รับการปรนนิบัติดูแลจากคนรอบข้างอย่างดีชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เจ้าของบ้านพักผู้ซึ่งกลัวว่าตนจะถูกลงโทษฐานประทุษร้ายราชาแห่งกรีนแลนด์ ลงทุนจัดเตรียมห้องพักพร้อมอาหารเลิศรสเพื่อเอาใจชายหนุ่มโดยไม่คิดราคา นอกเหนือไปจากการตามหมอฝีมือดีมารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ทำให้เมลิอานาร์พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แม้ทุกคนจะแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเอลแนะนำว่านางคือนักบวช แต่พวกเขาก็ให้ความเคารพหญิงสาวเป็นอย่างดี และยินยอมตามใจเมื่อนางปฏิเสธที่จะรับการรักษาจากท่านหมอ
รุ่งเช้า เมลิอานาร์รีบลุกขึ้นเก็บข้าวของเพื่อลงไปยังลานดินข้างคอกม้าเป็นคนแรก หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม นางก็แข็งแรงพอที่จะใช้เวทมนตร์จัดการกับบาดแผลตรงสีข้างจนเกือบจะหายเป็นปกติ หญิงสาวเดินเล่นฆ่าเวลาไปพลางระหว่างรอคนอื่น รู้สึกอุ่นใจขึ้นมากที่ได้กลับมาสวมชุดนักบวชสีเทาเงินสะอาดสะอ้านอีกครั้ง
อากาศยามเช้าเย็นสดชื่น ท้องฟ้ากว้างเบื้องบนเป็นสีน้ำเงินจัด แต้มด้วยปุยเมฆขาวลอยฟ่องราวกับกลีบดอกไม้ กลิ่นหญ้าหอมกรุ่นปะปนมากับสายลมผสมด้วยกลิ่นควันไฟจางๆ และกลิ่นขนมปังอบใหม่จากเตา เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บดังอยู่บนยอดไม้เหนือศีรษะ นานๆ จึงจะมีเสียงม้าร้องแว่วมาให้ได้ยินสักครั้ง
เด็กรับใช้สองคนเดินหอบฟ่อนหญ้าและถังใส่น้ำหายลับเข้าไปในโรงเรือนยาว เมลิอานาร์มองตามหลังพวกเขา แล้วตัดสินใจก้าวตามเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยของเจ้าโอนิกซ์เสียเลย
ภายในโรงม้าซอยแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ทั้งสองฝั่ง กั้นกลางด้วยทางเดินกว้างประมาณแปดศอก ทอดยาวจากประตูด้านหน้าขนานแนวคอกจนทะลุประตูหลัง เจ้าม้าดำตัวที่หญิงสาวกำลังมองหา ถูกผูกไว้ไม่ไกลจากทางเข้านัก มัน ‘ดูดี’ ขึ้นเป็นกองจนนางต้องแอบอมยิ้ม เดิมทีรูปร่างของเจ้าโอนิกซ์ก็สวยงามสมส่วนอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่ในฐานะ ‘ม้าขององค์ราชา’ ขนสีดำสนิทก็ยิ่งเป็นมันปลาบน่าดูกว่าม้าตัวอื่น เท่านั้นยังไม่พอ ในรางใส่อาหารของมันยังมีทั้งแอปเปิ้ลและแครอทกองไว้จนพูนสูง แตกต่างจากหญ้าแห้งธรรมดาของม้าตัวที่ผูกอยู่ติดกันอย่างเห็นได้ชัด
“หน็อย ศักดินาจริงนะเจ้า”
เมลิอานาร์ใช้นิ้วชี้จิ้มจมูกของเจ้าม้าที่ยื่นออกมาเหนือแผงกั้นอย่างหมั่นไส้ ทำให้เสียงหัวเราะหึๆ ของใครบางคนดังขึ้นทางเบื้องหลัง หญิงสาวหันขวับไปมองตาขุ่น ปากอ้าเตรียมโวยเพราะจำเสียงคุ้นหูนั้นได้แม่น หากพอเห็นอีกฝ่ายถนัดตา ริมฝีปากที่เผยอขึ้นน้อยๆ ก็ต้องหุบลง
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า สวมเสื้อคลุมเดินทางตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้ม ปักเส้นทองเป็นลวดลายตามชายและขอบแขนอย่างหรูหรา ที่เห็นอยู่ภายใต้รอยแหวกของเสื้อตัวยาว คือเชิ้ตผ้าไหมเนื้อนิ่มสีขาวเป็นเงาวาว เข้ากันดีกับกางเกงเนื้อหนาสีน้ำตาลไหม้ สอดส่วนปลายซ่อนอยู่ในรองเท้าบู้ทหนังนุ่มสีดำขัดจนมันวับ หนวดเครารกเรื้อบนใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงรอยเขียวจางๆ เหนือริมฝีปากสีสดที่แย้มเยื้อนอย่างอารมณ์ดี รับกับดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายระยับและเส้นผมสีทองยาวระบ่า
รูปลักษณ์อันโอ่อ่าชวนมองของเอลเหมือนจะตอกย้ำว่าเขาคือ ‘ราชาเอลเบอเรธ’ ไม่ใช่ ‘เอล’ เพื่อนร่วมทางนิสัยกวนประสาทที่หญิงสาวเคยรู้จัก เมลิอานาร์ค้อมกายลงถวายคำนับราชาหนุ่มพอเป็นพิธี ก่อนตวัดสายตาผ่านร่างสูงๆ ของเขาไปจับจ้องอยู่ที่ผนังว่างเปล่าอีกฝั่ง
ปฏิกิริยาเย็นชาของหญิงสาวทำให้รอยยิ้มกระจ่างตาหายวับไปจากใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระอาทิตย์ถูกเมฆบัง คิ้วเข้มหนาเหนือดวงตาคมกริบขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านโกรธข้าหรือ” ชายหนุ่มถาม “โกรธข้าเรื่องอะไร”
นั่นสิ...
เมลิอานาร์ขบริมฝีปากล่างอย่างขัดใจ ...นางโกรธเขาเรื่องอะไรกันแน่ โกรธที่เอลปิดบังความจริงเอาไว้ หรือว่าโกรธเพราะเขาคือราชาแห่งกรีนแลนด์ที่นางไม่เคยนึกนิยมชมชอบ หญิงสาวก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้
ถ้าเป็นด้วยสาเหตุประการแรก นางย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเขา เพราะตนเองก็มีเรื่องปิดบังชายหนุ่มอยู่เช่นกัน แต่ถ้าเป็นเพราะสาเหตุหลัง นางยิ่งไม่สมควรจะโกรธเข้าไปใหญ่ ก็ใครบ้างเล่าที่เลือกเกิดได้
“ข้า เอ๊ย กระหม่อมไม่ได้โกรธ” เมลิอานาร์บังคับตัวเองให้ตอบออกไปอย่างที่ควรตอบ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายสวนคำกลับมาทันควัน
“ไม่โกรธอะไรกัน ท่านโกรธอยู่เห็นๆ”
เอลเบอเรธพยายามขยับกายให้เข้าไปอยู่ในสายตาของหญิงสาว แต่อีกฝ่ายก็ยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นจนได้ ประโยคถัดไปของชายหนุ่มจึงเข้มข้นขึ้นตามแรงอารมณ์
“ถ้าไม่โกรธ ก็หันมามองหน้าข้าสิ ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะไม่ใช่ผนังว่างเปล่าพวกนั้น”
ได้ผล ดวงตาวาวๆ ตวัดกลับมาจ้องหน้าเขาทันที
“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมโกรธ พอพระทัยหรือยัง”
“พอใจที่ท่านโกรธข้าน่ะหรือ ไม่เลย ข้าอยากให้ท่านรู้เอาไว้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกท่าน แล้วข้าก็ไม่สบายใจด้วยที่ไม่อาจบอกความจริงกับท่านได้ แต่มันจำเป็น ตัวท่านเองก็ไม่เคยถามสักคำว่าข้าเป็นใครนี่นะ อยู่ๆ จะให้ข้าบอกท่านว่าข้าคือราชาแห่งกรีนแลนด์ มันก็คงจะดูพิลึก”
...แล้วไอ้การแต่งตัวเป็นสาวใช้ประจำวิหารตั้งแต่แรกนี่ ไม่ ‘พิลึก’ เลยงั้นสินะ...
เมลิอานาร์นึกค่อนในใจ รู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายจนอดตวัดวัดหางตาค้อนไม่ได้ โดยหารู้ไม่ว่ากิริยาเช่นนั้นทำให้หัวใจคนมองเต้นผิดจังหวะไปอย่างไรบ้าง
“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าผิด” น้ำเสียงของเอลเบอเรธดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย เขาเว้นจังหวะเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อ
“แต่ท่านเองก็มีเรื่องปิดบังข้าอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มจบประโยคด้วยการจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินงามของอีกฝ่าย คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย ทำให้คนฟังถึงกับหน้าถอดสี
“ระ...เรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีอะไรปิดบังพระองค์สักหน่อย”
“แน่ใจหรือท่านเมล ลองคิดดูให้ดีๆ สิ หรือต้องให้ข้าพูดออกมาตรงๆ ว่าที่จริงแล้วท่านไม่ได้เป็น...”
“เรื่องนั้น กระหม่อมอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ” เมลิอานาร์ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจนจบประโยค แต่รีบตอบสวนออกไปทันที นางรู้ดีว่าโทษของการหลอกลวงเบื้องสูงนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน ต่อให้นางไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องที่ตนเองเป็นผู้หญิง แต่การปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดโดยไม่พยายามจะแก้ไขความเข้าใจของเขาให้ถูกต้องก็ยังต้องถือว่ามีความผิดอยู่นั่นเอง
ราชาหนุ่มจ้องมองอาการร้อนรนของหญิงสาวด้วยแววตาทอยิ้ม เขายกมือห้ามพลางขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมเฉย ซ่อนความขบขันเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงจริงจังอย่างแนบเนียน
“ไม่ต้องอธิบายหรอกท่านเมล ข้าเข้าใจ ตอนนั้นท่านอยู่ต่อหน้ากันน์นี่นะ ท่านก็คงจะพูดความจริงลำบาก”
“เอ๊ะ..” คนฟังชักงง “ทรงหมายถึงตอนไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ตอนที่กันน์พาท่านไปพบข้าเป็นครั้งแรกที่ห้อง แล้วยังตอนที่อยู่ในวิหารด้วยกันอีกไงล่ะ เขาบอกว่าท่านเป็นนักบวช ท่านเองก็ไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ทั้งที่ความจริงแล้วท่านเคยบอกข้าว่าท่านไม่ใช่นักบวช”
หญิงสาวอ้าปากค้าง
“ทำไม ข้าพูดอะไรผิดหรือท่านเมล”
“ไม่... ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนึกว่า...”
“นึกว่าอะไร” ราชาหนุ่มกลั้นยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นอาการลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกของอีกฝ่าย
“นึกว่า... เอ่อ นึกว่าฝ่าบาททรงลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่คิดจะเอาผิดท่านเพราะถือว่าเราต่างก็โกหกกันคนละครั้ง แต่จำไว้นะท่านเมล ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
เมลิอานาร์ฝืนรับคำด้วยรอยยิ้มแห้งแล้ง แม้จะโล่งอกที่ความลับสำคัญยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ต่อจากนี้นางคงต้องเพิ่มความระวังตัวเป็นสองเท่า ไม่สิ สามเท่าเลยดีกว่า และควรจะอยู่ให้ห่างจากราชาหนุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
เอลเบอเรธพยักยิ้มอย่างพอใจ
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปกันเถอะท่านเมล ทุกคนรออยู่”
อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบรับ ก็ถูกคนตัวโตถือวิสาสะคว้าข้อมือลากให้เดินออกไปสู่ลานดินด้านนอกพร้อมกันเสียแล้ว
จริงดังที่เอลว่า นายทหารหนุ่มและลูกน้องทั้งสี่ยืนรอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียงที่หน้าคอกม้า แต่นอกจากพวกเขา ยังมีชายแปลกหน้าอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย ท่าทางของชายผู้นั้นดูเหนื่อยอ่อนอิดโรยราวกับเพิ่งผ่านการอดนอนมาหมาดๆ ในมือข้างหนึ่งยังคงกำสายบังเหียนของเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวเล็กประเปรียวที่ดูอ่อนแรงไม่แพ้เจ้าของเอาไว้แน่น
พอเห็นผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามารวมกลุ่ม ราฟก็ค้อมกายถวายคำนับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลูกน้องของเขารีบกระทำตามผู้เป็นนาย พลางขยับกายให้อยู่ในท่าสำรวมยิ่งขึ้น
“มีอะไรหรือราฟ”
เอลเบอเรธสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบมาพากลจากบรรยากาศรอบกาย เขากวาดสายตามองนายหทารแต่ละคน จนมาหยุดอยู่ที่ชายแปลกหน้าในเครื่องแต่งกายรัดกุมหากมอมไปด้วยฝุ่นแบบคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“แล้วหมอนี่เป็นใคร”
ชายแปลกหน้าจ้องมองเจ้าของคำถามด้วยอาการตาเหลือกค้างราวกับเห็นผี เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง หากทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ ราฟจึงตัดปัญหาด้วยการกราบทูลเสียเอง
“เขาชื่อวิลพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนส่งข่าวจากลินเด็น เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสักครู่”
“คนส่งข่าว” องค์ราชาเลิกพระขนงอย่างแปลกพระทัย
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ลินเด็นอย่างนั้นหรือ ใครเป็นคนส่งเขามา”
“ท่านคาร์ลพ่ะย่ะค่ะ วิลบอกว่าเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏ”
“อะไรนะ!”
เสียงอุทานไม่ค่อยนักหลุดออกมาจากพระโอษฐ์ ดวงพักตร์คมคายมีร่องรอยตกพระทัยฉายชัด
ราฟถ่ายทอดเรื่องราวจากม้าเร็วให้ราชาแห่งกรีนแลนด์ฟังโดยละเอียด ก่อนสรุปว่า
“พระนางแอนน์ทรงร้องขอให้เปิดประชุมสภาผู้ครองแคว้นเพื่อพิพากษาโทษเจ้าชายกันนาร์แล้วพ่ะย่ะค่ะ การประชุมจะมีขึ้นที่จัตุรัสเมืองก่อนงานเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นน่ะสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงๆ เล้ย...” ราชาหนุ่มส่งเสียงครางในพระศออย่างหงุดหงิด “เอาละราฟ ไปเตรียมม้าได้แล้ว เราต้องรีบออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้”
ราฟค้อมศรีษะรับพระบัญชา
เพียงอึดใจเดียว ม้าทั้งหกตัวก็เตรียมพร้อมอยู่บนลานดินหน้าคอก เมลิอานาร์กวาดตามองเทียบจำนวนม้ากับจำนวนคน แล้วรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่คนอื่นจะทันได้มีโอกาสอ้าปาก
“ม้าขาดไปตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าตามไปทีหลังก็ได้ พวกท่านรีบพาฝ่าบาทเสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”
หากเอลเบอเรธไม่ยอมหลงกลอีกฝ่ายง่ายๆ เขาปรายตามองหญิงสาวอย่างรู้เท่าทัน เรื่องอะไรจะยอมให้เมลเดินทางกลับลินเด็นตามลำพัง ทำอย่างนั้นนางก็สบายไปน่ะสิ ในเมื่อเมลกล้าหลอกลวงเขามาตั้งนานสองนาน นางก็ต้องได้รับการ ‘เอาคืน’ ให้สาสมเสียก่อนถึงจะถูก เพราะฉะนั้น..
“ไม่ได้” ชายหนุ่มตอบเสียงหนักด้วยมาดของราชาแห่งกรีนแลนด์ “ท่านยังมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ ต้องกลับไปพร้อมพวกเรา”
เขาเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของหญิงสาว ก่อนพูดต่อหน้าตาเฉย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านนั่งไปบนหลังเจ้าโอนิกซ์กับข้า เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นม้าของท่าน ถือเสียว่าข้าขออาศัยไปด้วยคน ท่านคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ”
“ปะ...”
ปฏิเสธสิ! เมลิอานาร์อยากจะปฏิเสธใจแทบขาด หากไม่อาจทำได้ เพราะทันทีที่เอลเบอเรธพูดจบ นายทหารทุกคนก็พร้อมใจกันเดินเรียงแถวไปขึ้นม้าของตนราวกับนัด ซ้ำยังก้มลงมองนางที่ยังยืนเฉยอยู่ที่เดิมเหมือนจะถามว่า ‘มัวชักช้าอะไรอยู่ท่าน ทำไมไม่ขึ้นม้าสักที’ จนหญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินหน้ามุ่ยตรงไปหาเจ้าโอนิกซ์ที่ราชาหนุ่มทรงถือบังเหียนคอยอยู่แล้ว
“ท่านหนีข้าไม่พ้นหรอกท่านเมล อย่าพยายามเสียให้ยาก” เอลเบอเรธกระซิบแค่พอให้อีกฝ่ายได้ยิน พลางผายมือไปทางเจ้าม้าหนุ่มด้วยท่าทีล้อเลียน
“เชิญ”
เมลิอานาร์จำใจสอดเท้าเข้าไปในโกลน โหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างกระแทกกระทั้น พอนางทรงตัวเรียบร้อย ประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็โหนพระองค์ตามขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นเจ้าโอนิกซ์ก็ถูกกระตุ้นให้ควบทะยานไปสู่ถนนใหญ่สุดฝีเท้า มีม้าของราฟและลูกน้องพุ่งตามมาติดๆ
เพียงพริบตาเดียวขบวนม้าทั้งหกตัวก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบอยู่ในแสงแดดยามเช้า...
นับตั้งแต่ส่งข่าวไปกับวาย เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ตั้งตารอให้ราชาเอลเบอเรธเสด็จกลับมาด้วยพระทัยจดจ่อ เพราะนั่นหมายถึงทางรอดเดียวของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ หากรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีวี่แววหรือแม้แต่ข่าวคราวของราชาหนุ่มแว่วมาให้ได้ยิน จนกระทั่งวันประชุมสภาผู้ครองแคว้นมาถึงในที่สุด
ที่ลานกว้างกลางจัตุรัสเมืองเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนจนแทบจะมองไม่เห็นบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ซึ่งนั่งหน้าเคร่งอยู่บนยกพื้นลาดด้วยพรมกำมะหยี่เนื้อนุ่ม พวกเขาล้วนแต่มีท่าทางกังวลใจด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะเมื่อเหลียวไปมองยังบัลลังก์ไม้ดำแกะสลักหุ้มทอง ซึ่งตามปกติต้องเป็นที่ประทับของประมุขแห่งกรีนแลนด์ หากบัดนี้กลับว่างเปล่า
เจ้าหญิงลูเซียซึ่งได้รับพะเสาวนีย์จากพระนางแอนน์ให้เสด็จมาเป็นประธานในการประชุมแทนพระองค์ ประทับนิ่งไม่ไหวติงดุจตุ๊กตาขี้ผึ้งอยู่ข้างบัลลังก์ทอง ฉลองพระองค์ผ้าไหมสีเขียวเข้มเกือบดำขับเน้นพระฉวีที่ขาวผ่องอยู่แล้วให้ดูเผือดซีดยิ่งขึ้น พระเกศายาวสลวยสีน้ำตาลไหม้ถูกรวบถักเป็นเปียพันทบอยู่หลังท้ายทอย มีเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ กลัดเอาไว้กันรุ่ยเพียงชิ้นเดียว ดวงพักตร์งามอ่อนหวานเรียบเฉย ดวงเนตรที่แลกวาดไปรอบกายแข็งกระด้างไร้ชีวิต
“เบิกตัวนักโทษ”
สิ้นเสียงขานเรียก ชายหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีคล้ำกระดำกระด่างก็ถูกผู้คุมสองนายพาขึ้นมายืนอยู่บน ยกพื้นกลางที่ประชุม เขาดูซูบลงเล็กน้อย เนื้อตัวสกปรกไปด้วยคราบไคลจากการไม่ได้สัมผัสน้ำมาเป็นเวลาหลายวัน ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้รกเรื้อไปด้วยหนวดเครา เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงจับเป็นก้อนแข็งด้วยฝุ่นละอองแทบไม่เหลือเค้าหนุ่มสำอางให้เห็น ที่ข้อมือและข้อเท้ามีโซ่เส้นเขื่องพันธนาการไว้แน่นหนา
เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษหนุ่ม ต่างก็ร้องอุทานอื้ออึงจนแทบจะกลบเสียงประกาศเปิดการประชุมเสียสิ้น หลายคนยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเหตุใดเจ้าชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสหายรักขององค์ราชาจึงตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ จะมีก็แต่พวกที่ทราบข่าวซุบซิบเรื่องกบฏและการหายตัวไปอย่างลึกลับของราชาเอลเบอเรธเท่านั้นที่เริ่มต้นส่งเสียงด่าทอสาปแช่งอย่างไม่พอใจ บางรายถึงกับแสดงความโกรธแค้นออกมาด้วยการขว้างปาก้อนหินไปยังร่างซูบเซียวตรงหน้าอย่างไร้ความปราณี
“นี่ หยุดนะ พวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
เจ้าของร่างเล็กบางในเครื่องแต่งกายธรรมดาไม่ผิดอะไรกับเด็กรับใช้ตะโกนโหวกเหวก พยายามจะแหวกฝูงคนเข้าไปยับยั้งชายฉกรรจ์ที่กำลังขว้างหินใส่นักโทษอย่างสนุกมือให้ได้ ยังดีที่เด็กหนุ่มตัวสูงข้างกายมีสติพอจะรั้งร่างบางพลางตะครุบปากที่ยังโวยวายไว้เสียทัน
“เจ้านั่นแหละหยุด” เขากระซิบดุ ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบถลึงมองอีกฝ่ายจนแทบปะทุออกมานอกเบ้า “อยากถูกจับได้หรือไงกัน”
“แต่พวกนั้นกำลังทำร้ายพี่ข้านะ เจ้าจะให้ข้ายืนดูอยู่เฉยๆ งั้นหรือ” เสียงใสเถียงอู้อี้เพราะมือของเด็กหนุ่มยังคงทาบอยู่บนใบหน้า
“ใช่”
ดวงตาสีม่วงสวยขุ่นขึ้นทันควัน หากเจ้าของคำตอบกลับทำเป็นมองไม่เห็น พูดด้วยเสียงเข้มงวดต่อไปว่า
“ถ้าไม่อยากถูกทหารจับได้ เจ้าก็ต้องอดทนดูอยู่เฉยๆ”
“แล้วถ้าข้าไม่...”
“งั้นกลับ”
ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล เพราะเจ้าของร่างบางหยุดดิ้นรนขัดขืนในทันที เด็กหนุ่มจึงค่อยคลายมือออกเพื่อปล่อยนางให้เป็นอิสระ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่หันไปแลบพระชิวหาใส่อีกฝ่าย ยิ่งเห็นหน้าตาท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเด็กหนุ่ม พระองค์ก็ยิ่งหงุดหงิดพระทัยจนต้องหาทางระบายออกด้วยการสะบัดพระพักตร์หนีไปทางอื่น ดวงเนตรขุ่นเขียวจึงปะทะเข้ากับชายผู้หนึ่งโดยบังเอิญ พระองค์คงจะไม่สนใจเขาเลย ถ้าไม่สะกิดพระทัยว่าชายแปลกหน้าผู้นั้นก็กำลังจ้องมองกลับมาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเป้าหมายของสายตาทั้งคู่จะอยู่ที่ ‘เด็กเลี้ยงม้าปากเสีย’ ก็ตาม
“ซิส”
เจ้าหญิงหันไปกระตุกแขนเสื้อคนข้างกาย ลืมอารมณ์ขุ่นมัวไปชั่วครู่เพราะความสงสัยมีมากกว่า
“เจ้ารู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า”
ซิสเหลียวมองไปยังทิศทางที่เด็กสาวชี้บอกพร้อมกับอ้าปากเตรียมปฏิเสธ แต่พอเห็นเจ้าของร่างกำยำที่ยืนอยู่ติดกับชายหนุ่มหน้าอ่อนรูปร่างผอมบางถนัดตา เขาก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก รีบคว้าข้อมือคนตั้งคำถามฉุดให้เดินหนีไปอีกด้านทันที
“เจ้ารู้จักเขาหรือ” เจ้าหญิงในคราบเด็กรับใช้หนุ่มน้อยเอ่ยซักอย่างเอะใจ
“เปล่า”
“ถ้าไม่รู้จัก แล้วทำไมต้องหนีด้วยเล่า”
“ข้าไม่ได้หนี”
เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่สองเท้ายังก้าวเดินไม่หยุด ท่าทางฟ้องอยู่เต็มเปี่ยมว่าเขากำลังพูดปด เจ้าหญิงกาอิยาห์รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงแกล้งชะงักพระบาทเสียดื้อๆ แถมยังสลัดพระกรจนหลุดจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่ม ทำให้ซิสต้องชะลอฝีเท้า หันมามองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำไมไม่เดินต่อ”
“อ้าว...” เจ้าหญิงทรงลากพระสุรเสียง “ก็เจ้าว่าไม่ได้หนี แล้วจะต้องเดินทำไมให้เมื่อยเล่า อยู่ตรงนี้ก็มองเห็นการพิพากษาเหมือนกัน”
ซิสทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างขัดใจ
“ก็ขยับไปตรงนั้นอีกหน่อยจะเป็นไรไป”
“ไม่เอา ตรงนั้นคนแน่นจะตาย ถ้าอยากขยับเจ้าก็ขยับไปคนเดียวสิ ข้าไม่อยากนี่”
ถ้าทำได้ เขาคงทำไปแล้วละ...
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ครั้นจะทิ้งอีกฝ่ายเอาไว้ก็ไม่กล้า แต่จะให้หยุดยืนอยู่ข้างๆ นาง เขาก็กลัวจะถูกคนของบิดาเห็นเข้าเสียก่อน จึงได้แต่เหลียวหน้าเหลียวหลังพะวักพะวงอยู่อย่างนั้น ยิ่งได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตนดังกระชั้นเข้ามา ซิสก็ยิ่งกระสับกระส่ายหนักขึ้นจนแทบจะยืนไม่ติดที่
เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นอาการร้อนรนของเด็กหนุ่มก็ทรงพระสรวลอย่างกลั้นไม่อยู่ ครั้นอีกฝ่ายตวัดสายตาผ่านหน้าพระองค์ไปราวกับจะค้อน เสียงหัวเราะสดใสก็ยิ่งดังกังวานราวกับระฆังเงิน
“ตกลงว่าเจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้ใช่มั้ย งั้นข้าไปละ” เด็กหนุ่มหมุนกายหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วทำท่าจะเดินผละไปจริงๆ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ดูออกว่าซิสกำลังโกรธ อันที่จริงไม่เห็นจะมีอะไรน่าโกรธสักนิด พระองค์แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เขานั่นแหละแปลก ท่าทางบอกว่ารู้จักสองคนนั่นชัดๆ ทำไมต้องปิดบังกันด้วยก็ไม่รู้ อ๊ะ หรือว่า...
“เจ้าเคยมีเรื่องกับพวกเขามาก่อนสินะ”
“ใครบอกเจ้า”
ซิสถามโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงต้องเป็นฝ่ายเร่งฝีพระบาทก้าวให้ทันอีกฝ่ายเสียเอง
“ไม่เห็นต้องมีใครบอกนี่ แค่ดูเอาก็รู้แล้ว เจ้าคงเคยขโมยของของพวกเขาละสิ หรือว่ากินแล้วไม่จ่าย ไม่สิ บางทีเจ้าอาจจะเคยเดินเหยียบเท้าพวกเขาที่ตลาดแล้วไม่ขอโทษ หรือไม่ก็...”
“พอเลย ไม่ต้องเดาแล้ว ไม่ใช่ที่เจ้าว่ามาทั้งหมดนั่นแหละ” เด็กหนุ่มตัดบทดื้อๆ
“งั้นมันเรื่องอะไรเล่า”
“เรื่องอะไรเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
คนเป็นเจ้าหญิงหน้าง้ำ หากเพียงพริบตาเดียวรอยแย้มสรวลเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์ นางยื่นมือออกไปรวบร่างของหนุ่มน้อยจากด้านหลัง กอดรัดไว้แน่นจนเจ้าของร่างเกือบจะเสียหลัก แล้วหันไปร้องตะโกนใส่กลุ่มคนที่เพิ่งเดินจากมา
“เจ้าข้าเอ๊ย... ซีซาร์ของพวกท่านอยู่ตรงนี้แล้ว ได้ยินหรือเปล่า รีบมาหาเขาเร็วๆ เข้า”
“ทำบ้าอะไรของเจ้า” ซิสเบือนหน้ากลับมาคำรามใส่เจ้าหญิงตัวแสบ แต่ไม่สามารถเอื้อมมือไปอุดปากนางได้อย่างใจคิด ทั้งยังไม่อาจสลัดร่างให้หลุดจาก ‘มือกาว’ ทั้งสองข้างของนางอีกด้วย
เจ้าหญิงกาอิยาห์จงใจแย้มสรวลใส่ตาเด็กหนุ่มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไง จะบอกหรือไม่บอก ถ้าไม่บอก ข้าจะตะโกนต่อละนะ เจ้าข้าเอ๊ย...”
“เฮ้ย! หยุดได้แล้ว”
เด็กสาวเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มหวาน หากยังไม่ยอมปล่อยมือ
“สองคนนั้นเป็นคนของพ่อข้าเอง” ซิสจำใจตอบ
“แล้วไง”
“ข้าหนีออกจากบ้าน ...พอใจหรือยัง”
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง เผลอคลายมือออกโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายจึงกระชากร่างออกจากอ้อมแขนของนาง แล้วก้าวเดินลิ่วๆ ห่างออกไปทันที
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบสาวพระบาทตามไปติดๆ พระองค์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซิสเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน ดูเหมือนคนพวกนั้นจะเรียกเขาว่า ‘ซีซาร์’ ซึ่งไม่น่าจะใช่ชื่อของเด็กเลี้ยงม้าเลยสักนิด ...ถ้าอย่างนั้นซิสเป็นใครกันแน่
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดจดจ่ออยู่กับเรื่องของผู้อื่น เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงไม่ทรงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่เกิดกับฝูงชนตรงหน้า ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ที่ดังกังวานมาแต่ไกลอีกด้วย กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ถูกผู้คนที่ถอยร่นเข้ามาใกล้เบียดจนพลัดหลงกับซิสเสียแล้ว
ท่ามกลางความแตกตื่นสับสนจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูกนั้น เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นเพียงกลุ่มคนที่ควบม้าผ่านหน้าไปราวพายุ ยังไม่ทันจะได้ทอดพระเนตรให้ชัดว่าพวกเขาเป็นใคร ม้าสีดำพ่วงพีตัวหน้าสุดก็เผ่นโผนขึ้นไปหยุดอยู่บนยกพื้นกลางที่ประชุม บุรุษบนหลังม้าตวัดร่างลงสู่พื้นอย่างอาจหาญ เขาปัดฮู้ดที่ปกคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นเส้นผมสีทองสุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ ล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นตาชาวกรีนแลนด์เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาท!”
“องค์ราชา!”
เสียงอุทานฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง เหล่าผู้ครองแคว้นและขุนนางที่นั่งอยู่บนยกพื้นเหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกงุนงงสงสัยว่าเหตุใดราชาเอลเบอเรธที่ทรง ‘ถูกลักพาตัว’ ไป จึงปรากฏพระองค์ขึ้นกลางที่ประชุมได้ราวปาฏิหาริย์ มิหนำซ้ำยังไม่มีพระอาการใดๆ บ่งบอกว่า ‘ทรงพระประชวรหนัก’ ดังเช่นข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วอีกด้วย มีเพียงผู้เดียวในที่นั้นที่มิได้แสดงท่าทีว่าประหลาดใจ ตรงกันข้าม เขากลับโล่งอกเสียด้วยซ้ำ เพราะในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวงเสียที
ดวงเนตรคมกริบสีน้ำทะเลของราชาหนุ่มปรายปราดไปยังสตรีที่นั่งตะลึงอยู่ข้างบัลลังก์ทอง ก่อนพระสุรเสียงทรงอำนาจจะดังก้อง
“ทหาร จับนางไว้”
สิ้นกระแสรับสั่ง นายทหารทั้งสี่ที่ยืนม้ารออยู่ด้านล่างก็กรูกันขึ้นไปบนยกพื้น กระชากร่างของเจ้าหญิงลูเซียลงจากพระเก้าอี้ ท่ามกลางสายตาพิศวงของชาวเมืองและผู้ครองแคว้นทั้งสาม
“หยุดนะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
เจ้าหญิงลูเซียกรีดพระสุรเสียงพลางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ดวงพักตร์นวลแอร่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เนตรสีมรกตไร้แววจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของราชาหนุ่มอย่างคั่งแค้น
“ข้าบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินหรือยังไง พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาจับข้า”
“นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงให้จับลูเซียทำไม นางทำอะไรผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ครองแคว้นอังมาร์ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของเจ้าหญิงลูเซียออกโรงปกป้องหลานสาวทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาก้าวออกมายืนขวางหน้าทหารเอาไว้ ดวงตาคมกล้าตวัดไปทางประมุขหนุ่มอย่างรอคอยคำตอบ
ราชาเอลเบอเรธแย้มพระสรวลเยือกเย็น
“นางร่วมมือกับเจ้าชายแห่งทาเนียร์ลอบวางยาพิษข้า อย่างนี้ ‘ผิด’ พอมั้ยครับ ท่านอา”
ชายกลางคนอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง เช่นเดียวกับประชาชนชาวกรีนแลนด์ทั้งหลายที่ได้ยินคำตอบนั้น
“ฝ่าบาทจะทรงกล่าวหาใครต้องมีหลักฐานนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่แค่หลักฐานหรอกครับท่านอา ข้ายังมีพยานยืนยันอีกด้วย ลองถามท่านคาร์ลหรือท่านหมอหลวงดูก็แล้วกันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร”
สายตาตื่นตะลึงของผู้ครองแคว้นอังมาร์เลื่อนไปจับจ้องยังใบหน้าผู้ที่ถูกเอ่ยอ้างทันที คำตอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจของฝ่ายนั้น ทำให้เขาแทบเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
“ลูเซีย... จริงหรือนี่”
ไม่มีคำปฏิเสธจากเจ้าหญิงลูเซีย นางยังคงดิ้นรนขัดขืนการจับกุมของเหล่าทหารราวกับหญิงวิกลจริต
“เอาเถอะครับท่านอา ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับนาง แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องคุมตัวไว้เพื่อสอบสวนก่อน”
ผู้ครองแคว้นอังมาร์คอตก จำต้องยอมหลีกทางให้ทหารแต่โดยดี
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ”
เจ้าหญิงลูเซียกรีดเสียงแหลมก้องอย่างคลุ้มคลั่ง ในที่สุดนางก็สะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของนายทหารทั้งสี่จนได้ ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวผู้เรียบร้อยเช่นนางไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนั้นมาจากไหน
เมื่อเป็นอิสระ เจ้าหญิงลูเซียก็โผนร่างเข้าหาราชาหนุ่มโดยไม่รอช้า เสียงทุ้มต่ำที่ดังก้องอยู่ในหัวร้องบอกให้นางฆ่าเขาซะ หญิงสาวไม่มีปัญญาจะขัดขืนน้ำเสียงที่มีมนต์ขลังนั้นได้ ...แต่นางไม่มีอาวุธ จะฆ่าเขาได้อย่างไร
ดาบของทหารไงล่ะ... เสียงนั้นบอก
แย่งดาบของทหารมา แล้วแทงเข้าไปที่อกของเอลเบอเรธ...
เจ้าหญิงลูเซียทำตามคำสั่งในหัวทันที นางหันไปคว้าดาบจากเอวของทหารที่ไม่ทันระวังตัว จ้วงแทงออกไปเบื้องหน้าสุดกำลัง
ภาพที่เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นต่อจากนั้นดูราวกับเป็นเรื่องโกหก...
โลหิตสีแดงเข้มอาบย้อมใบดาบจนชุ่มโชก ก่อนจะรวมตัวกันหยดต้องพื้นพรมทีละหยด ร่างสูงสง่าของราชาเอลเบอเรธทรุดฮวบลงสู่อ้อมแขนของเจ้าชายกันนาร์ที่ถลันเข้ามารองรับไว้ได้ทัน พวกทหารกลุ้มรุมกันเข้าจับตัวหญิงสาวผู้ถือดาบอย่างไร้ความปราณี หากนางก็ยังพยายามดิ้นรนขัดขืนจนกระทั่งเส้นผมยาวสลวยที่เกล้าพันไว้อย่างดีหลุดรุ่ย เครื่องประดับชิ้นสำคัญเลื่อนหล่นลงสู่พื้น และแล้วเจ้าหญิงลูเซียก็ล้มลงสิ้นสติไปอีกคน
------------------------------------------------------------------------------
ตอนสุดท้ายแล้วค่ะ หมดสต๊อกแค่นี้
ถ้าสามารถแต่งจนจบเรื่องได้เมื่อไหร่ จะทยอยนำมาลงให้อ่านต่อนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มาโดยตลอดค่ะ (ก้มหัวคารวะ)
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2556, 09:52:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2556, 09:33:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 1848
<< ตอนที่ 21 | ตอนที่ 23 >> |
ชลวารี 22 ก.พ. 2556, 16:03:44 น.
กำลังสนุกเลยค่ะ อยากอ่านต่อที่สุดเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
แล้วมาต่อเร็วนะคะ
จะรอตอนต่อไปค่ะ
กำลังสนุกเลยค่ะ อยากอ่านต่อที่สุดเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
แล้วมาต่อเร็วนะคะ
จะรอตอนต่อไปค่ะ
goldensun 22 ก.พ. 2556, 20:09:42 น.
รับปากแล้วว่ามาต่อจนจบ มาเข้าชื่อรออ่านด้วยคนค่ะ กำลังสนุกเลย
รับปากแล้วว่ามาต่อจนจบ มาเข้าชื่อรออ่านด้วยคนค่ะ กำลังสนุกเลย