ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 11 (ตรงใจ... 1)
บทที่ 11
(ตรงใจ 1)
บ้านทรงไทยล้านนาประยุกต์ยกพื้นสูง ขนาด 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน กาแลหรือไม้ที่มีลักษณะไขว้กันประดับอยู่ตรงยอดจั่วหลังคาบ้าน แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ พร้อมๆ กับแป้นน้ำย้อยที่แกะสลัก ฉลุ เป็นลวดลายงดงามตรงชายคาบ้าน
ตัวบ้านประกอบด้วยเรือน 2 หลัง ปลูกคู่ขนานกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเรือนแฝด เรือนประธาน แต่ละหลังมีความยาว 5 ห้อง บันไดเรือนอยู่ด้านซ้ายมือ ตัวเติ๋นหรือเนื้อที่กึ่งเปิดโล่ง มีขนาดกว้างขวางเป็นเนื้อที่ใช้งานได้แบบอเนกประสงค์เป็นพื้นที่เชื่อมหน่วยต่างๆ เข้าด้วยกัน
ห้องนอนฝาด้านทึบจะอยู่ชิดเติ๋น ประตูทางเข้าจะเปิดที่ผนังด้านโถงทางเดินที่ใช้ติดต่อกันทั้งบ้าน เนื้อที่ห้องนอนออกเป็นสองส่วนซีกหนึ่งใช้เป็นที่นอน อีกซีกใช้วางของ มีเรือนครัวหลังเล็กกว่าเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
ดลินาที่สวมเสื้อไหมพรมตัวหนาสีฟ้าสวยออกมาเดินท้าลมหนาวในยามเช้าที่อากาศเย็นจัด เดินสำรวจโดยรอบตัวเรือนกาแลด้วยความสนใจและชื่นชมความสวยงานของศิลปะล้านนา ดอกไม้เมืองหนาวปลูกตกแต่งไว้อย่างน่ารัก เข้ากับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
มุมหนึ่งของบริเวณบ้านมีม้านั่งยาวตั้งหันหน้าออกไปทางทิศตะวันออก เบื้องหน้าเป็นทิวเขาที่เรียงตัวสวยโดยธรรมชาติสรรสร้าง เมฆหมอกที่ลงต่ำดั่งปุ๋ยนุ่นลอยผ่านเทือกเขานางนอน สีขาวสลับเขียวสวยงาม น้ำค้างยามเช้าจับตัวเป็นเม็ดกลมบนใบไม้ยามต้องแสงอาทิตย์ดูระยิบระยับจับใจ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่แรงมากนักเหมาะแก่การมานั่งอาบแดดรับความอบอุ่นยิ่งนัก
“ลมแรงแบบนี้น่าจะหาเสื้อคลุมอีกสักตัวนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายได้”
เสียงทุ่มนุ่มเอ่ยทักดังมากจากด้านหลังพร้อมกับผ้าผืนหนาคลุมไหล่ให้หญิงสาว ดลินาหันกลับไปมองเจ้าของเสียงก่อนจะยิ้มหวานให้เป็นของขวัญยามเช้า
“ข้าวชอบค่ะ อากาศเย็นสดชื่นแบบนี้ไม่เคยเจอ”
“ยิ่งเคยเจออากาศเย็นแบบนี้เป็นครั้งยิ่งต้องสวมเสื้อหนาๆ ครับ”
“แดดออกแล้ว ไม่หนาวแล้วค่ะ”
“ดื้อ!”
ศิวกรเดินมานั่งลงด้านข้างของหญิงสาวก่อนจะใช้นิ้วคีบจมูกของเจ้าหล่อนเบาๆ อย่างหยอกล้อ ส่วนคนที่โดนหาว่าดื้อทำหน้ายู่
“ตื่นนานแล้วหรือครับ”
“นานแล้วค่ะ... ตื่นมาทักทายพระอาทิตย์ สวยมากเลยค่ะ”
“แล้วทักทายกันว่าอย่างไรกันบ้างครับ”
“ไม่ได้บอกค่ะ กลัวพระอาทิตย์ตกใจ”
น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจเล็กน้อย ก็เขาถามเธอเหมือนกำลังคุยอยู่กับเด็กเล็กไม่มีผิด ศิวกรหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจปฏิกิริยาแสนงอนของหญิงสาว ใบหน้านวลรูปหัวใจแม้จะดูซีดเซียวไปบ้างเพราะโดนลมหนาว แต่แก้มใสเป็นสีเลือดฝาดอมชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มใสชุ่มชื่น... ศิวกรเห็นแล้วอยากจะดึงร่างบางเข้ามากอดแล้วทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหว”
“อะไรคะ! อดใจไม่ไหวอะไรพูดให้มันดีๆนะ”
ดลินาพูดเสียงแข็งแต่ใบหน้ากลับร้อนซู่ขึ้นมา กระเทิบตัวไปนั่งชิดริมม้านั่งห่างเขาอีก 1 ช่วงตัว อย่างระแวง ถ้าขืนเขาทำอย่างที่บอกจริงๆ ไม่อยากนึกเลยว่าเรื่องราวจะไปในทิศทางไหน... อาจถึงขั้นสมยอม (เฮ้ย!!!!)
“ทำไมไปนั่งห่างอย่างนั้นล่ะครับ อากาศหนาวมานั่งใกล้กันดีกว่าครับอุ่นดี”
“ไม่ค่ะ”
ดลินาปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่มีทางยอมเชื่อเขาเด็ดขาด... ก็ดูสายตาเขาสิเห็นแล้วใจเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว เขามองมาจนไม่กล้าสู้สายตา ศิวกรมองแม่กระต่ายน้อยที่หนีไปนั่งอยู่สุดเก้าอี้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนดลินาเริ่มรู้สึกไม่พอขึ้นมาบ้างแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็เอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดี... เขาทำตัวอย่างกับพวกเพลย์บอยชั่วโมงบินสูงไม่มีผิด
“มองอะไรคะ”
“ผมมองอะไรหรือครับ”
“ก็... ก็คุณมองฉันทำไมล่ะ”
“ก็คุณน่ารักจนผมไม่อยากถอนสายตาไปไหน”
“เสี่ยว”
ดลินาแขวะเขา แต่ศิวกรไม่โกรธยิ่งชอบอกชอบใจที่ได้หยอกล้อกับหญิงสาว แต่เมื่อเห็นใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งเข้าไปทุกทีศิวกรจึงยอมถอยออกมา 2 ก้าวใหญ่ๆ
“ผมไม่แกล้งแล้ว ไม่ต้องไปนั่งเสียห่างขนาดนั้นก็ได้ครับ”
“ไม่เอา... ร้อน”
“ไม่ร้อนหรอกครับอุ่นกำลังดีต่างหาก”
ว่าแล้วศิวกรก็ปรี่เข้ามาประชิดข้างกายหญิงสาวโดยที่เจ้าหล่อนไม่ทันได้ตั้งตัว อารามว่าตกใจเธอจึงผะงักกายหงายหลัง ศิวกรคว้าเอวหญิงสาวไว้ได้ทันออกแรงดึงให้ร่างบางจนใบหน้าปะทะเข้ากับอกแกร่ง ดีที่เขาเคลื่อนไหวว่องไวไม่อย่างนั้นเธอคงหงายลงไปนอนเจ็บตัวที่พื้นเป็นแน่
“ไม่เป็นอะไรนะครับ”
น้ำเสียงตื่นตระหนกของศิวกรดังอยู่ข้างหู ดลินาพยักหน้าตอบอย่างเสียขวัญ เธอได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นรัวคงเป็นเพราะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปสักพักจิตใจเริ่มสงบก็มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็อิงซุกอยู่ที่อกกว้างของศิวกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วงแขนกว้างโอบไหล่เธอไว้อย่างทะนุถนอม
“คุณนี้จริงๆ เลยเชียว”
ถึงจะกล่าวโทษชายหนุ่มแต่ก็ยอมนั่งนิ่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างพออกพอใจ ศิวกรยืดอกยิ้มรับ หลังจากนั้นระหว่างคนทั้งสองไม่มีเสียงพูดคุยอะไรอีก นิ่งเงียบนั่งดูทัศนียภาพเบื้องหน้า แสงแดดยามเช้าคงไม่อุ่นเท่าไออุ่นของคนทั้งสอง
“ดูอะไรอยู่จ๊ะ”
เสียงใสของคุณหมอสาวเอ่ยทักจากด้านหลังทำให้คนที่ทำลับๆล่อๆ สะดุ้งด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าใครที่อยู่ข้างหลังก็อดที่จะโวยไม่ได้
“โธ่... พี่แยม ตกใจหมดเลย”
“ทำไรอยู่ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้”
“มาดูนี้สิคะ”
แล้วผกาวดีก็ฉุดแขนคุณหมอสาวให้มาดูภาพของคู่รักที่นั่งอิงแอบชมธรรมชาติผ่านทางราวระเบียงไม้ฉะลุลวดรายสวยงาม รจนาระบายยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“เป็นไปได้สวยเลย”
“บรรยากาศเป็นใจ อย่างนี้ไม่รู้ว่าผู้กองเขาจะเดินหน้าหรือเปล่า”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากรูปการหลายวันที่ผ่านมามีทีท่าจะเป็นไปได้”
“แล้วจะเอายังต่อคะพี่แยม”
“ฉากเราก็จัดให้แล้ว แต่เรื่องบทละครต้องๆ ให้เขาสองคนเป็นคนเขียนแล้วล่ะ”
“ช่วยได้แค่นี้หรือคะ”
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ เรื่องบางเรื่องเราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกครับ”
แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังสองสาว ผกาวดีหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างขอความเห็น
“แต่อยากจะช่วยมากกว่านี้หนิคะ”
“เชื่อพี่เถอะครับแค่นี้ก็พอแล้ว หลังจากนี้ปล่อยให้หัวใจเป็นตัวนำทางเถอะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ผกาวดีพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซึมได้ไม่นานก็กลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิน
“เอาล่ะสบายใจไปเรื่อง คราวนี้ก็เป็นเรื่องของปากท้องบ้างล่ะที่จะต้องเป็นกังวล เช้านี้จะทานอะไรกันดีคะ”
“อากาศหนาวแบบนี้ต้องทานของร้อนๆ สิครับถึงจะดี”
“คงไม่พ้นข้าวต้มสินะคะ”
“เห็นว่าคงไม่พ้นอย่างที่น้องต้อมว่าหรอกครับ”
แล้วผกาวดีก็ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่วนทนงศักดิ์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจ ส่วนคุณหมอสาวมองสองคนที่ดูเหมือนจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างขำขัน สองคนนี้ถ้าบอกใครว่าเป็นพี่น้องกันสงสัยใครต่อใครก็คงเชื่อ... นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด
ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปสนิทสนมกันมาตอนไหน ดูแล้วเหมือนคู่พี่ชายน้องสาวแท้ๆ กันเสียจริง อาจจะเป็นเพราะการที่คนทั้งคู่เป็นคนอัธยาศัยดีตอนแรกรจนาคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปคงมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาช่วยให้สิ่งเหล่านี้ถูกเติมเต็มก็เป็นได้
รจนาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังมองทนงศักดิ์อย่างไม่ละสายตา รจนากระแอมหนึ่งครั้งไม่รู้เพื่อแก้เก้อหรือเพื่อเป็นการเรียกความสนใจจากคนทั้งสอง
“ถ้าเบื่อข้าวต้มกัน... จะทานไข่กระทะกันดี เมื่อคืนพี่ลองสำรวจอุปกรณ์ทำครัวดูเห็นมีกระทะใบเล็กอยู่หลายใบพอจะทำไข้กระทะได้”
“จริงหรอคะ... ไชโย! ได้ทานอาหารฝีมือพี่แยมแล้ว... ว่าแต่ท้องไม่เสียนะคะไม่อย่างนั้นเที่ยวไม่สนุก”
“ยายต้อม... ถ้ากลัวท้องเสียงก็ไม่ต้องกิน”
“เง้อ! อย่าเพิ่งงอนสิคะ ต้อมล้อเล่น พี่แยมใจดี๊ใจดี”
ผกาวดีรีบมาประจบพี่สาวคนสวยทันที รจนาใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ขมับของน้องสาวแสนซนคนนี้อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้นไปเตรียมอุปกรณ์ในครัวให้เรียบร้อยนะคะคุณน้อง ไม่อย่างนั้นได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนไข่กระทะ”
“ได้ค่า”
รับคำอย่างมีชีวิตชีวาก่อนจะทำตัวเป็นเด็กดีเดินตรงไปที่ห้องครัวเพื่อไปเตรียมอุปกรณ์ให้รจนา เพราะกลัวอดที่จะได้ลิ้มลองฝีมือของคุณหมอสาวคนนี้
“มั่นใจหรือเปล่าครับอาหารมื้อนี้”
“อย่ามาดูถูกกัน อาหารง่ายๆ แบบนี้หลับตาทำยังทำได้เลย”
“บร๊ะ! ขี้โม้กับเขาก็เป็นเหมือนกันแหะ”
ทนงศักดิ์ตบหน้าขาตัวเองดังฉาด แสดงอาการประหลาดใจได้อย่างน่าตบ คุณหมอสาวในชุดเสื้อกันหนาวแขนยาวสีครีมกางเกงผ้าตัวหนาสีน้ำเงินเข้ม ผมที่ดัดเป็นลอนสวยที่หญิงสาวรวบขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนักดูน่ารักไปอีกแบบ
“คุณ... ทำไมชอบมาหาเรื่องฉันนักนะ ถามหน่อยเถอะฉันไปทำอะไรให้คุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อก่อนไม่ได้ทำ แต่เพิ่งมาทำเมื่อเร็วๆ นี้เองครับ”
“อะไร... ฉันไปทำอะไรให้”
“ก็คุณมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่ ตอนที่มีฉันแฟนคนแรก”
แล้วทนงศักดิ์ก็คัดเลือกประโยคเด็ดมาจากเนื้อเพลงมาใช้แทนคำพูด รจนาได้ยินอย่างนั้นก็หูแดงแก้มแดด รู้สึกเขินมือไม้ก็ยุ่งไปหมดไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดี อ้าปากแล้วก็หุบ หุบแล้วก็อ้าใหม่เป็นอย่างนั้นอยู่สองสามรอบ เธอไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาใช่กับคนตรงหน้าดี
“เป็นอะไรครับ หาเสียงตัวเองไม่เจอหรอ”
“คุณ! คุณมันไม่ได้เรื่อง”
รจนาพูดอย่างฉุนเฉียว หลายอารมณ์ตีกันปนเปไปหมด เธอไม่รู้ว่าจะแสดงอาการโมโห หรือเขินอายดี นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาพูดทำนองนี้กับเธอ แต่ทำไมพอทนงศักดิ์พูดเข้ารจนาไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี
“ไม่พูดด้วยแล้ว”
แล้วก็สบัดหน้าเดินตามร่างของผกาวดีที่หายไปทางครัวทิ้งให้ทนงศักดิ์มองตามหลังบอบบางนั้นด้วยแววตาเอ็นดู
มื้อเช้าวันนี้รจนาเป็นผู้ลงมือทำ ไข่กระทะและขนมปังเวียดนามที่ใช้วัตถุดิบง่ายๆ ที่หาได้ในตู้เย็นมาทำ แต่รสชาตินั้นไม่ธรรมดาเหมือนวัตถุดิบ ผกาวดีแทบไม่เชื่อเลยว่าพี่สาวคนนี้ของเธอฝีมือการทำอาหารไม่แพ้ดลินาเลยแม้แต่น้อย
“โอ้โห! พี่แยมฝีมือท่านไม่ธรรมดาจริง ดูถูกไม่ได้แล้ว”
“ต้อมอย่าไปดูถูกยายแยมเขานะ รายนี้แอบไปซุ้มเรียนทำอาหารมา”
เมื่อเห็นช่องดลินาก็รีบเอาความลับของเพื่อนมาขายทันที รจนาร้องโวยเมื่อความลับได้รั่วไหลเสียแล้ว
“ถึงกับเข้าคอร์สทำอาหาร อู้หู! ชักน่าสนใจจะไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวหรอคะ”
แค่ก... แค่ก... แค่ก... รจนาที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ถึงกับสำลัก เดือดร้อนทนงศักดิ์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รีบส่งกระดาษทิชชูแผ่นใหญ่ไปให้หญิงสาวจัดการตัวเอง ดลินามองทนงศักดิ์ที่ดูอาการสำลักอาหารของเพื่อนสาวคนนี้ด้วยความสนใจ ตอนนี้เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่าสองคนนี้ต้องแอบมีใจให้แก่กันอย่างแน่นอน
ดลินาหัวเราะชอบใจรจนาเลยมอบค้อนวงใหญ่ให้เป็นการตอบแทนแม่ตัวดี ส่วนผกาวดีที่ดูอยู่วงนอกยังไม่คิดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของคนทั้งสองจึงไม่ได้แสดงอาการกระดี้กระด๊ามากเท่าที่ควร
“ไอ้ข้าว! ไอเพื่อนบ้าเอาฉันมาขาย”
“เขาเรียกเล่าสู่กันฟัง”
“มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”
“ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน ต้อมยังอยากไปเรียนบ้างเลย”
“แต่ว่าผู้หญิงนี่เรื่องเสน่ห์ปลายจวักสำคัญเหมือนกันนะครับ ไหนจะเรื่องเย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือน ถ้าได้ครบนะครับ... หลงตายเลย”
พูดจบก็หันไปทำแววตาวิบวับกระพริบตาใส่ดลินาที่นั่งอยู่ใกล้ เลยโดนฝ่ามือพิฆาตตีเพี๊ยะไปที่แขนกำยำนั้นไม่มีออมแรงโทษฐานทำให้เธอต้องหน้าแดง
“โอ้ย! อิจฉาอ่ะ เห็นแล้วอยากมีแฟนบ้าง”
“เรียนให้จบก่อน แล้วค่อยมีแฟน”
“โหยพี่แยมโบราณ... นี้มันยุคไหนแล้วคะเดี๋ยวนี้เด็กประถมเขาก็มีแฟนกันแล้วนะ”
“แก่แดด... เรียนให้จบก่อนพอได้ออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง รับรองมีให้เลือกอีกเยอะ”
“มัวแต่เลือกก็อยู่บนคานพอดี”
“อย่างน้องต้อมไม่ได้อยู่บนคานหรอกครับเชื่อพี่ น่ารักแบบนี้หัวกระไดบ้านไม่แห้งแน่ครับ”
“อ๊าย! พี่ศักดิ์พูดถูกใจ ไว้มีแฟนเมื่อไหร่จะพามาให้แสกนนะคะ”
“มาเลยครับ... เดี๋ยวพี่กับไอ้ศิลาจะให้คะแนนตามความถูกโฉลกเองครับ”
เสียงหัวเราะเฮฮาบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ยังดำเนินไปพักใหญ่ เพราะดูเหมือนว่าทั้งห้าคนต่างหาเรื่องราวมากมายมาพูดคุยกันได้อย่างไม่มีเบื่อ
(ตรงใจ 1)
บ้านทรงไทยล้านนาประยุกต์ยกพื้นสูง ขนาด 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน กาแลหรือไม้ที่มีลักษณะไขว้กันประดับอยู่ตรงยอดจั่วหลังคาบ้าน แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ พร้อมๆ กับแป้นน้ำย้อยที่แกะสลัก ฉลุ เป็นลวดลายงดงามตรงชายคาบ้าน
ตัวบ้านประกอบด้วยเรือน 2 หลัง ปลูกคู่ขนานกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเรือนแฝด เรือนประธาน แต่ละหลังมีความยาว 5 ห้อง บันไดเรือนอยู่ด้านซ้ายมือ ตัวเติ๋นหรือเนื้อที่กึ่งเปิดโล่ง มีขนาดกว้างขวางเป็นเนื้อที่ใช้งานได้แบบอเนกประสงค์เป็นพื้นที่เชื่อมหน่วยต่างๆ เข้าด้วยกัน
ห้องนอนฝาด้านทึบจะอยู่ชิดเติ๋น ประตูทางเข้าจะเปิดที่ผนังด้านโถงทางเดินที่ใช้ติดต่อกันทั้งบ้าน เนื้อที่ห้องนอนออกเป็นสองส่วนซีกหนึ่งใช้เป็นที่นอน อีกซีกใช้วางของ มีเรือนครัวหลังเล็กกว่าเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
ดลินาที่สวมเสื้อไหมพรมตัวหนาสีฟ้าสวยออกมาเดินท้าลมหนาวในยามเช้าที่อากาศเย็นจัด เดินสำรวจโดยรอบตัวเรือนกาแลด้วยความสนใจและชื่นชมความสวยงานของศิลปะล้านนา ดอกไม้เมืองหนาวปลูกตกแต่งไว้อย่างน่ารัก เข้ากับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
มุมหนึ่งของบริเวณบ้านมีม้านั่งยาวตั้งหันหน้าออกไปทางทิศตะวันออก เบื้องหน้าเป็นทิวเขาที่เรียงตัวสวยโดยธรรมชาติสรรสร้าง เมฆหมอกที่ลงต่ำดั่งปุ๋ยนุ่นลอยผ่านเทือกเขานางนอน สีขาวสลับเขียวสวยงาม น้ำค้างยามเช้าจับตัวเป็นเม็ดกลมบนใบไม้ยามต้องแสงอาทิตย์ดูระยิบระยับจับใจ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่แรงมากนักเหมาะแก่การมานั่งอาบแดดรับความอบอุ่นยิ่งนัก
“ลมแรงแบบนี้น่าจะหาเสื้อคลุมอีกสักตัวนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายได้”
เสียงทุ่มนุ่มเอ่ยทักดังมากจากด้านหลังพร้อมกับผ้าผืนหนาคลุมไหล่ให้หญิงสาว ดลินาหันกลับไปมองเจ้าของเสียงก่อนจะยิ้มหวานให้เป็นของขวัญยามเช้า
“ข้าวชอบค่ะ อากาศเย็นสดชื่นแบบนี้ไม่เคยเจอ”
“ยิ่งเคยเจออากาศเย็นแบบนี้เป็นครั้งยิ่งต้องสวมเสื้อหนาๆ ครับ”
“แดดออกแล้ว ไม่หนาวแล้วค่ะ”
“ดื้อ!”
ศิวกรเดินมานั่งลงด้านข้างของหญิงสาวก่อนจะใช้นิ้วคีบจมูกของเจ้าหล่อนเบาๆ อย่างหยอกล้อ ส่วนคนที่โดนหาว่าดื้อทำหน้ายู่
“ตื่นนานแล้วหรือครับ”
“นานแล้วค่ะ... ตื่นมาทักทายพระอาทิตย์ สวยมากเลยค่ะ”
“แล้วทักทายกันว่าอย่างไรกันบ้างครับ”
“ไม่ได้บอกค่ะ กลัวพระอาทิตย์ตกใจ”
น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจเล็กน้อย ก็เขาถามเธอเหมือนกำลังคุยอยู่กับเด็กเล็กไม่มีผิด ศิวกรหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจปฏิกิริยาแสนงอนของหญิงสาว ใบหน้านวลรูปหัวใจแม้จะดูซีดเซียวไปบ้างเพราะโดนลมหนาว แต่แก้มใสเป็นสีเลือดฝาดอมชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มใสชุ่มชื่น... ศิวกรเห็นแล้วอยากจะดึงร่างบางเข้ามากอดแล้วทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหว”
“อะไรคะ! อดใจไม่ไหวอะไรพูดให้มันดีๆนะ”
ดลินาพูดเสียงแข็งแต่ใบหน้ากลับร้อนซู่ขึ้นมา กระเทิบตัวไปนั่งชิดริมม้านั่งห่างเขาอีก 1 ช่วงตัว อย่างระแวง ถ้าขืนเขาทำอย่างที่บอกจริงๆ ไม่อยากนึกเลยว่าเรื่องราวจะไปในทิศทางไหน... อาจถึงขั้นสมยอม (เฮ้ย!!!!)
“ทำไมไปนั่งห่างอย่างนั้นล่ะครับ อากาศหนาวมานั่งใกล้กันดีกว่าครับอุ่นดี”
“ไม่ค่ะ”
ดลินาปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่มีทางยอมเชื่อเขาเด็ดขาด... ก็ดูสายตาเขาสิเห็นแล้วใจเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว เขามองมาจนไม่กล้าสู้สายตา ศิวกรมองแม่กระต่ายน้อยที่หนีไปนั่งอยู่สุดเก้าอี้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนดลินาเริ่มรู้สึกไม่พอขึ้นมาบ้างแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็เอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดี... เขาทำตัวอย่างกับพวกเพลย์บอยชั่วโมงบินสูงไม่มีผิด
“มองอะไรคะ”
“ผมมองอะไรหรือครับ”
“ก็... ก็คุณมองฉันทำไมล่ะ”
“ก็คุณน่ารักจนผมไม่อยากถอนสายตาไปไหน”
“เสี่ยว”
ดลินาแขวะเขา แต่ศิวกรไม่โกรธยิ่งชอบอกชอบใจที่ได้หยอกล้อกับหญิงสาว แต่เมื่อเห็นใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งเข้าไปทุกทีศิวกรจึงยอมถอยออกมา 2 ก้าวใหญ่ๆ
“ผมไม่แกล้งแล้ว ไม่ต้องไปนั่งเสียห่างขนาดนั้นก็ได้ครับ”
“ไม่เอา... ร้อน”
“ไม่ร้อนหรอกครับอุ่นกำลังดีต่างหาก”
ว่าแล้วศิวกรก็ปรี่เข้ามาประชิดข้างกายหญิงสาวโดยที่เจ้าหล่อนไม่ทันได้ตั้งตัว อารามว่าตกใจเธอจึงผะงักกายหงายหลัง ศิวกรคว้าเอวหญิงสาวไว้ได้ทันออกแรงดึงให้ร่างบางจนใบหน้าปะทะเข้ากับอกแกร่ง ดีที่เขาเคลื่อนไหวว่องไวไม่อย่างนั้นเธอคงหงายลงไปนอนเจ็บตัวที่พื้นเป็นแน่
“ไม่เป็นอะไรนะครับ”
น้ำเสียงตื่นตระหนกของศิวกรดังอยู่ข้างหู ดลินาพยักหน้าตอบอย่างเสียขวัญ เธอได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นรัวคงเป็นเพราะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปสักพักจิตใจเริ่มสงบก็มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็อิงซุกอยู่ที่อกกว้างของศิวกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วงแขนกว้างโอบไหล่เธอไว้อย่างทะนุถนอม
“คุณนี้จริงๆ เลยเชียว”
ถึงจะกล่าวโทษชายหนุ่มแต่ก็ยอมนั่งนิ่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างพออกพอใจ ศิวกรยืดอกยิ้มรับ หลังจากนั้นระหว่างคนทั้งสองไม่มีเสียงพูดคุยอะไรอีก นิ่งเงียบนั่งดูทัศนียภาพเบื้องหน้า แสงแดดยามเช้าคงไม่อุ่นเท่าไออุ่นของคนทั้งสอง
“ดูอะไรอยู่จ๊ะ”
เสียงใสของคุณหมอสาวเอ่ยทักจากด้านหลังทำให้คนที่ทำลับๆล่อๆ สะดุ้งด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าใครที่อยู่ข้างหลังก็อดที่จะโวยไม่ได้
“โธ่... พี่แยม ตกใจหมดเลย”
“ทำไรอยู่ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้”
“มาดูนี้สิคะ”
แล้วผกาวดีก็ฉุดแขนคุณหมอสาวให้มาดูภาพของคู่รักที่นั่งอิงแอบชมธรรมชาติผ่านทางราวระเบียงไม้ฉะลุลวดรายสวยงาม รจนาระบายยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“เป็นไปได้สวยเลย”
“บรรยากาศเป็นใจ อย่างนี้ไม่รู้ว่าผู้กองเขาจะเดินหน้าหรือเปล่า”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากรูปการหลายวันที่ผ่านมามีทีท่าจะเป็นไปได้”
“แล้วจะเอายังต่อคะพี่แยม”
“ฉากเราก็จัดให้แล้ว แต่เรื่องบทละครต้องๆ ให้เขาสองคนเป็นคนเขียนแล้วล่ะ”
“ช่วยได้แค่นี้หรือคะ”
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ เรื่องบางเรื่องเราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกครับ”
แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังสองสาว ผกาวดีหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างขอความเห็น
“แต่อยากจะช่วยมากกว่านี้หนิคะ”
“เชื่อพี่เถอะครับแค่นี้ก็พอแล้ว หลังจากนี้ปล่อยให้หัวใจเป็นตัวนำทางเถอะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ผกาวดีพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซึมได้ไม่นานก็กลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิน
“เอาล่ะสบายใจไปเรื่อง คราวนี้ก็เป็นเรื่องของปากท้องบ้างล่ะที่จะต้องเป็นกังวล เช้านี้จะทานอะไรกันดีคะ”
“อากาศหนาวแบบนี้ต้องทานของร้อนๆ สิครับถึงจะดี”
“คงไม่พ้นข้าวต้มสินะคะ”
“เห็นว่าคงไม่พ้นอย่างที่น้องต้อมว่าหรอกครับ”
แล้วผกาวดีก็ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่วนทนงศักดิ์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจ ส่วนคุณหมอสาวมองสองคนที่ดูเหมือนจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างขำขัน สองคนนี้ถ้าบอกใครว่าเป็นพี่น้องกันสงสัยใครต่อใครก็คงเชื่อ... นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด
ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปสนิทสนมกันมาตอนไหน ดูแล้วเหมือนคู่พี่ชายน้องสาวแท้ๆ กันเสียจริง อาจจะเป็นเพราะการที่คนทั้งคู่เป็นคนอัธยาศัยดีตอนแรกรจนาคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปคงมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาช่วยให้สิ่งเหล่านี้ถูกเติมเต็มก็เป็นได้
รจนาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังมองทนงศักดิ์อย่างไม่ละสายตา รจนากระแอมหนึ่งครั้งไม่รู้เพื่อแก้เก้อหรือเพื่อเป็นการเรียกความสนใจจากคนทั้งสอง
“ถ้าเบื่อข้าวต้มกัน... จะทานไข่กระทะกันดี เมื่อคืนพี่ลองสำรวจอุปกรณ์ทำครัวดูเห็นมีกระทะใบเล็กอยู่หลายใบพอจะทำไข้กระทะได้”
“จริงหรอคะ... ไชโย! ได้ทานอาหารฝีมือพี่แยมแล้ว... ว่าแต่ท้องไม่เสียนะคะไม่อย่างนั้นเที่ยวไม่สนุก”
“ยายต้อม... ถ้ากลัวท้องเสียงก็ไม่ต้องกิน”
“เง้อ! อย่าเพิ่งงอนสิคะ ต้อมล้อเล่น พี่แยมใจดี๊ใจดี”
ผกาวดีรีบมาประจบพี่สาวคนสวยทันที รจนาใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ขมับของน้องสาวแสนซนคนนี้อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้นไปเตรียมอุปกรณ์ในครัวให้เรียบร้อยนะคะคุณน้อง ไม่อย่างนั้นได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนไข่กระทะ”
“ได้ค่า”
รับคำอย่างมีชีวิตชีวาก่อนจะทำตัวเป็นเด็กดีเดินตรงไปที่ห้องครัวเพื่อไปเตรียมอุปกรณ์ให้รจนา เพราะกลัวอดที่จะได้ลิ้มลองฝีมือของคุณหมอสาวคนนี้
“มั่นใจหรือเปล่าครับอาหารมื้อนี้”
“อย่ามาดูถูกกัน อาหารง่ายๆ แบบนี้หลับตาทำยังทำได้เลย”
“บร๊ะ! ขี้โม้กับเขาก็เป็นเหมือนกันแหะ”
ทนงศักดิ์ตบหน้าขาตัวเองดังฉาด แสดงอาการประหลาดใจได้อย่างน่าตบ คุณหมอสาวในชุดเสื้อกันหนาวแขนยาวสีครีมกางเกงผ้าตัวหนาสีน้ำเงินเข้ม ผมที่ดัดเป็นลอนสวยที่หญิงสาวรวบขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนักดูน่ารักไปอีกแบบ
“คุณ... ทำไมชอบมาหาเรื่องฉันนักนะ ถามหน่อยเถอะฉันไปทำอะไรให้คุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อก่อนไม่ได้ทำ แต่เพิ่งมาทำเมื่อเร็วๆ นี้เองครับ”
“อะไร... ฉันไปทำอะไรให้”
“ก็คุณมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่ ตอนที่มีฉันแฟนคนแรก”
แล้วทนงศักดิ์ก็คัดเลือกประโยคเด็ดมาจากเนื้อเพลงมาใช้แทนคำพูด รจนาได้ยินอย่างนั้นก็หูแดงแก้มแดด รู้สึกเขินมือไม้ก็ยุ่งไปหมดไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดี อ้าปากแล้วก็หุบ หุบแล้วก็อ้าใหม่เป็นอย่างนั้นอยู่สองสามรอบ เธอไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาใช่กับคนตรงหน้าดี
“เป็นอะไรครับ หาเสียงตัวเองไม่เจอหรอ”
“คุณ! คุณมันไม่ได้เรื่อง”
รจนาพูดอย่างฉุนเฉียว หลายอารมณ์ตีกันปนเปไปหมด เธอไม่รู้ว่าจะแสดงอาการโมโห หรือเขินอายดี นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาพูดทำนองนี้กับเธอ แต่ทำไมพอทนงศักดิ์พูดเข้ารจนาไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี
“ไม่พูดด้วยแล้ว”
แล้วก็สบัดหน้าเดินตามร่างของผกาวดีที่หายไปทางครัวทิ้งให้ทนงศักดิ์มองตามหลังบอบบางนั้นด้วยแววตาเอ็นดู
มื้อเช้าวันนี้รจนาเป็นผู้ลงมือทำ ไข่กระทะและขนมปังเวียดนามที่ใช้วัตถุดิบง่ายๆ ที่หาได้ในตู้เย็นมาทำ แต่รสชาตินั้นไม่ธรรมดาเหมือนวัตถุดิบ ผกาวดีแทบไม่เชื่อเลยว่าพี่สาวคนนี้ของเธอฝีมือการทำอาหารไม่แพ้ดลินาเลยแม้แต่น้อย
“โอ้โห! พี่แยมฝีมือท่านไม่ธรรมดาจริง ดูถูกไม่ได้แล้ว”
“ต้อมอย่าไปดูถูกยายแยมเขานะ รายนี้แอบไปซุ้มเรียนทำอาหารมา”
เมื่อเห็นช่องดลินาก็รีบเอาความลับของเพื่อนมาขายทันที รจนาร้องโวยเมื่อความลับได้รั่วไหลเสียแล้ว
“ถึงกับเข้าคอร์สทำอาหาร อู้หู! ชักน่าสนใจจะไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวหรอคะ”
แค่ก... แค่ก... แค่ก... รจนาที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ถึงกับสำลัก เดือดร้อนทนงศักดิ์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รีบส่งกระดาษทิชชูแผ่นใหญ่ไปให้หญิงสาวจัดการตัวเอง ดลินามองทนงศักดิ์ที่ดูอาการสำลักอาหารของเพื่อนสาวคนนี้ด้วยความสนใจ ตอนนี้เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่าสองคนนี้ต้องแอบมีใจให้แก่กันอย่างแน่นอน
ดลินาหัวเราะชอบใจรจนาเลยมอบค้อนวงใหญ่ให้เป็นการตอบแทนแม่ตัวดี ส่วนผกาวดีที่ดูอยู่วงนอกยังไม่คิดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของคนทั้งสองจึงไม่ได้แสดงอาการกระดี้กระด๊ามากเท่าที่ควร
“ไอ้ข้าว! ไอเพื่อนบ้าเอาฉันมาขาย”
“เขาเรียกเล่าสู่กันฟัง”
“มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”
“ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน ต้อมยังอยากไปเรียนบ้างเลย”
“แต่ว่าผู้หญิงนี่เรื่องเสน่ห์ปลายจวักสำคัญเหมือนกันนะครับ ไหนจะเรื่องเย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือน ถ้าได้ครบนะครับ... หลงตายเลย”
พูดจบก็หันไปทำแววตาวิบวับกระพริบตาใส่ดลินาที่นั่งอยู่ใกล้ เลยโดนฝ่ามือพิฆาตตีเพี๊ยะไปที่แขนกำยำนั้นไม่มีออมแรงโทษฐานทำให้เธอต้องหน้าแดง
“โอ้ย! อิจฉาอ่ะ เห็นแล้วอยากมีแฟนบ้าง”
“เรียนให้จบก่อน แล้วค่อยมีแฟน”
“โหยพี่แยมโบราณ... นี้มันยุคไหนแล้วคะเดี๋ยวนี้เด็กประถมเขาก็มีแฟนกันแล้วนะ”
“แก่แดด... เรียนให้จบก่อนพอได้ออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง รับรองมีให้เลือกอีกเยอะ”
“มัวแต่เลือกก็อยู่บนคานพอดี”
“อย่างน้องต้อมไม่ได้อยู่บนคานหรอกครับเชื่อพี่ น่ารักแบบนี้หัวกระไดบ้านไม่แห้งแน่ครับ”
“อ๊าย! พี่ศักดิ์พูดถูกใจ ไว้มีแฟนเมื่อไหร่จะพามาให้แสกนนะคะ”
“มาเลยครับ... เดี๋ยวพี่กับไอ้ศิลาจะให้คะแนนตามความถูกโฉลกเองครับ”
เสียงหัวเราะเฮฮาบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ยังดำเนินไปพักใหญ่ เพราะดูเหมือนว่าทั้งห้าคนต่างหาเรื่องราวมากมายมาพูดคุยกันได้อย่างไม่มีเบื่อ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2556, 13:02:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2556, 13:02:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 1249
<< บทที่ 10 (ลุ้นรัก... 3) | บทที่ 11 (ตรงใจ... 2) >> |