กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 28


28..

เย็นวันนั้น...ยี่เสี่ยเนี้ยก็เรียกอาลั้งไปพบที่ห้องโถงพักผ่อน เด็กสาวมาตามคำสั่งที่ถ่ายทอดโดยอาไล้ พอมาเห็นยี่เสี่ยเนี้ยนั่งอยู่ที่ชุดเก้าอี้ฝังมุก ก็คุกเข่าอยู่ในระยะพอเหมาะ พลางเอ่ยเรียกเจ้านาย
“ยี่เสี่ยเนี้ย...”
ยี่เสี่ยเนี้ยวางถ้วยน้ำชาในมือลง เอ่ยว่า
“ลื้อมาก็ดีแล้วล่ะอาลั้ง อั๊วมีเรื่องจะบอกลื้อ”
“อะไรหรือคะ?” อาลั้งถาม
“อั๊วจะให้ลื้อแต่งงานกับยี่กู๋”
คำตอบเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางกระหม่อม...อาลั้งอึ้งไปเป็นครู่ ก่อนจะระล่ำระลักตอบว่า ”ไม่ค่ะ...หนูไม่แต่งงาน”
“ทำไม...น้องชายอั๊วน่ารังเกียจตรงไหน?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามเสียงโกรธๆ ที่นางยอมทำตามคำขอของยี่กู๋ ก็เพราะเขาบอกว่า...แม้อาลั้งจะแต่งงานกับเขา ก็ยังคงทำงานให้กับยี่เสี่ยเนี้ยเหมือนเดิม ถ้ามีลูกออกมา ก็ได้ใช้แรงงานเพิ่มโดยไม่ต้องซื้อหา
“ยี่กู๋มีเมียแล้ว” อาลั้งตอบ
“อั๊วไม่ได้ให้ลื้อไปเป็นเมียหลวง แต่อั๊วให้ลื้อไปเป็นเมียน้อยอีต่างหาก” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ หนูไม่เป็นเมียน้อยใครทั้งนั้น” อาลั้งโต้เสียงดังผิดวิสัยอ่อนโยนของเธอ
“ลื้อกล้าขึ้นเสียงอั๊วเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยอย่างโกรธๆ แล้วเลยส่งเสียงเรียก “อาไล้ๆ มานี่หน่อย”
อาไล้แอบฟังเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล ก็รีบโผล่มาเสนอหน้า “ค่า...มาแล้วค่ะ”
“ลื้อไปเอาหวายมา ตีจนกว่ามันจะยอม” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่ง
“ค่ะ อั๊วจะไปจัดการตามคำสั่งเดี๋ยวนี้” อาไล้รับคำอย่างดีใจ ที่จะได้เฆี่ยนตีหญิงสาวแรกรุ่นที่สวยงามราวดอกไม้แรกแย้ม แล้วนางก็รีบกลับเข้าไปในครัว อึดใจต่อมาก็กลับมาพร้อมหวายเส้นเท่านิ้วชี้ยาวสองฟุตเศษ ปากก็ร้องบอกเจ้านายว่า “ยี่เสี่ยเนี้ย หวายมาแล้วค่ะ”
“อั๊วถามลื้ออีกทีอาลั้ง ลื้อจะยอมแต่งงานหรือเปล่า?”
อาลั้งมองหวายในมืออาไล้ตรงหน้าอย่างหวั่นหวาด แต่ก็ยังแข็งใจปฏิเสธว่า “ไม่ค่ะ ยี่เสี่ยเนี้ย”
“งั้นอาไล้ตีอี”
พอได้รับอนุญาต อาไล้ก็หวดหวายในมือเสียงดังควับๆ บนหลังหลังไหล่อาลั้งอย่างไม่ปรานีปราศัย
อาลั้งเจ็บปวดเจียนขาดใจ อยากส่งเสียงร้องไห้ดังๆ แต่พยายามเม้มปากเอาไว้ เอามือแตะที่อกเสื้อ ซึ่งข้างในห้อยแหวนหยกของคุณชายไว้ อาไล้ก็ไร้ความปรานี ตีจนอาลั้งล้มสลบกับพื้นยังจะตีต่อ จนยี่เสี่ยเนี้ยต้องห้ามว่า “พอแล้วอาไล้ ลื้อจะตีอีให้ตายหรือไง”
อาไล้จึงยอมหยุดมือ
พอดีซาเสี่ยเนี้ยเดินมาจากข้างนอก สภาพที่เห็น ทำให้นางต้องถามคู่สะใภ้ว่า “มีเรื่องอะไรกันหรือ...ยี่อึ้ม”
“อั๊วจะให้อาลั้งแต่งเป็นเมียน้อยน้องชายอั๊ว แต่อีไม่ยอม อั๊วเลยให้อาไล้เอาหวายเฆี่ยนอี” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ซาเสี่ยเนี้ยนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวถัดจากยี่เสี่ยเนี้ย พลางสั่ง “อาไล้ ลื้อตีอีจนสลบ ยังไม่รีบหายาดมมาให้อีดมให้ฟื้น แล้วพาไปทายาใส่แผลให้อีดีๆ อีก เกิดอีตายขึ้นมา ลื้อจะต้องถูกตำรวจจับ ถูกขังคุก หรือไม่ก็ประหารชีวิต”
“ประหารชีวิตทีเดียวเหรอ?” อาไล้ตาเหลือก ก่อนจะรีบโยนความผิด “ยี่เสี่ยเนี้ยสั่งให้อั๊วทำ ไว้ชีวิตอั๊วเถอะ”
“คนสั่งไม่ได้ทำ คำทำก็คือลื้อ เห็นกันชัดๆ ลื้อคิดว่าตำรวจจะจับใคร?” ซาเสี่ยเนี้ยขู่
“ซี้เลี้ยวอ่า...” อาไล้ร้องหน้าซีดเป็นไก่ต้ม คนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่ ส่วนใหญ่จะกลัวตำรวจ อาไล้ก็เช่นเดียวกัน
“ยังไม่ซี้ แต่ถ้าลื้อยังชักช้าไม่ไปเอายาดมมา เกิดอีซี้ ลื้อก็ต้องซี้ด้วย” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเป็นจริงเป็นจังฃ
“ค่ะๆๆ...อั๊วไปเอายาดมเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วอาไล้ก็เผ่นพรวดไปหายาดม เอามาให้อาลั้งดม จนอาลั้งฟื้น
ซาเสี่ยเนี้ยก็สั่งอาไล้ว่า “พาอาลั้งไปพักผ่อน แล้วทายาให้ด้วย เข้าใจมั้ย?”
“ค่ะๆๆ...” อาไล้รับคำ แล้วพยุงอาลั้งออกไปจากห้องโถงนั้น
พอคนรับใช้ทั้งสองไปแล้ว... ยี่เสี่ยเนี้ยก็ถามซาเสี่ยเนี้ยว่า “ที่ลื้อพูดมาจริงเหรอ?”
ซาเสี่ยเนี้ยทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ย้อนถามกลับว่า “ยี่อึ้มถามว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริงล่ะคะ”
“ก็เรื่องที่ว่าถ้าอาลั้งตาย อาไล้จะต้องถูกประหารชีวิต...”
“จริงค่ะ” ซาเสี่ยเนี้ยรับคำหนักแน่น “ไม่เพียงอาไล้ โทษยังอาจจะลามมาถึงยี่อึ้มด้วย เพราะเป็นคนสั่งให้ทำ”
“แต่อาลั้งเป็นเพียงขี้ข้าที่อั๊วซื้อมาคนหนึ่งเท่านั้น” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยอย่างถือดีว่าตนเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของชีวิตของบ่าวไพร่
ซาเสี่ยเนี้ยถอนหายใจเบาๆ “แต่ที่นี่เป็นเมืองสยาม ที่นี่เลิกทาสมานานแล้ว ไม่มีขี้ข้า มีแต่นายจ้างกับลูกจ้าง และนายจ้างไม่มีสิทธิ์จะทุบตีทำร้ายลูกจ้าง อย่าว่าแต่ถึงตายเลย”
“เออะ...ที่นี่กฎหมายไม่ดีเลย เอาใจแต่พวกขี้ข้า” ยี่เสี่ยเนี้ยบ่น
ซาเสี่ยเนี้ยมองคู่สะใภ้ แล้วถามว่า “ยี่อึ้มจะให้อาลั้งแต่งเป็นเมียน้อยยี่กู๋จริงๆ เหรอคะ?”
“จริง...อาตี๋อั๊วชอบอาลั้ง”
“มันจะดีเหรอคะ?” ซาเสี่ยเนี้ยถามเปรยๆ
ทำให้ยี่เสี่ยเนี้ยต้องการความกระจ่างมากกว่านั้น “ซาซิ่มเห็นว่าไม่ดีตรงไหนเหรอ?”
“ยี่กู๋มีลูกตั้งห้าคน กำลังกินกำลังนอนทั้งนั้น ลำพังตัวยี่กู๋เองก็ไม่ได้ทำงานทำการเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่เลี้ยงนกแข่ง บางครั้งก็พนันได้ บางครั้งก็พนันแพ้” ซาเสี่ยเนี้ยเคยเห็นเจ้าหนี้ตามยี่กู๋มาเอาเงินกับยี่เสี่ยเนี้ย แต่นางไม่พูดออกมาให้โจ่งแจ้ง “ถ้าแต่งอาลั้ง เขาก็คงเลี้ยงไม่ไหว คงตกเป็นภาระของยี่อึ้มไปชั่วชีวิต ไหนจะยังมีลูกตามมาอีก”
“เรื่องนี้อั๊วก็หนักใจอยู่” สีหน้ายี่เสี่ยเนี้ยบ่งบอกว่าพูดจริง “แต่อาลั้งโตเป็นสาวแล้ว ไม่จัดการอะไรสักอย่าง เกิดอีหนีตามผู้ชายไปอีกคนเหมือนอย่างอาเฮี่ยะ อั๊วก็ยิ่งขาดทุน”
“ทำไมไม่บอกแม่สื่อให้หาผู้ชายดีๆ ให้อาลั้งสักคน บอกว่าอาลั้งเป็นหลานสาว จะได้ค่าสินสอดดีกว่าบอกว่าเป็นคนรับใช้นะคะ”
ซาเสี่ยเนี้ยบอกด้วยความหวังดี...
หวังดีต่ออาลั้ง...เด็กสาวจะได้แต่งงานแต่งการอย่างมีฐานะขึ้นมาหน่อย
และหวังดีต่อตนเอง...หากอาลั้งแต่งงานไปเป็นกิจลักษณะ พอลูกชายของตนกลับมา ก็จำต้องตัดใจไปเอง
ดีกว่าปล่อยให้อาลั้งเป็นเมียน้อยของยี่กู๋อยู่ในบ้าน ตำตาตำใจลูกชายของตน
ยี่เสี่ยเนี้ยมีทีท่าคล้อยตาม พยักหน้าเบาๆ “ก็ดีเหมือนกัน...แต่อั๊วจะตอบน้องชายอั๊วว่ายังไง”
“ก็บอกว่าอาลั้งไม่ยอม” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย “แล้วยี่อึ้มก็ต้องใจแข็งกับยี่กู๋บ้าง”
ยี่เสี่ยเนี้ยพยักหน้าเห็นชอบ...

พอยี่เสี่ยเนี้ยบอกยี่กู๋ว่า อาลั้งปฏิเสธเขา เขาก็เอะอะโวยวาย
“อะไรอาเจ้...เรื่องแค่นี้สั่งอีไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ใช่แค่สั่ง อั๊วให้อาไล้ตีอีเกือบตาย อีก็ไม่ยอม” ยี่เสี่ยเนี้ยยกน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยกระเบื้องอย่างดีลงบนจานรอง
“เดี๋ยวก็เป็นเหมือนอาเฮี่ยะหนีตามผู้ชายไปอีกคนหรอก” ยี่กู๋ว่าพลางกระแทกนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามพี่สาว
“อั๊วป้องกันไว้แล้ว ซักผ้าอั๊วก็ให้อาโน้ยไปซัก ให้อีทำงานอยู่แต่ในครัว ไม่ให้อีออกนอกบ้าน แม้แต่ก้าวเดียว” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“แต่อั๊วชอบอีจริงๆ นะอาเจ้” ยี่กู๋อ้อนพี่สาว
“ก็อีไม่ยอม ลื้อจะให้อั๊วทำยังไง?” ยี่เสี่ยเนี้ยบอกปัด
“เรื่องนี้เล่นไม่ยาก” ยี่กูแสยะยิ้ม ความคิดชั่วร้ายแล่นพล่านอยู่ในสมอง
“ลื้อจะทำอะไรเหรอ” ยี่เสี่ยเนี้ยถามน้องชายที่ไม่เอาไหนของตน
“เมื่อพูดกันดีๆ ไม่ชอบ ก็ต้องใช้กำลังบังคับกันล่ะ!” ยี่กู๋เอ่ยความคิดของตนออกมา
“ลื้อจะปล้ำอีเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยเบิ่งตากว้าง
“ใช่...ขอเพียงอาเจ้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วสั่งให้ทุกคนในบ้านทำตามเท่านั้นก็พอ นอกนั้นอั๊วจัดการกับอีเอง”
“ไม่ได้หรอก” ยี่เสี่ยเนี้ยส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทำไมล่ะอาเจ้?” ยี่กู๋ถาม
“พี่เขยลื้อต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยถึงสามี และคิดว่าน้องชายสามีก็ต้องไม่เห็นด้วยอีกคน
“หรือพี่เขยจะเอาไว้เอง” ยี่กู๋ประชด
“ซี้ซั้วต่า” ยี่เสี่ยเนี้ยตวาดอย่างโกรธๆ “พี่เขยลื้อไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ว่าไม่ได้...อาลั้งอียิ่งโตยิ่งสวย...พี่เขยก็ยังไม่แก่เฒ่าเท่าไหร่ อาเจ้ลื้ออย่าไว้วางใจทีเดียว”
จุดไฟหวาดระแวงเอาไว้ในใจของพี่สาวแล้ว...ยี่กู๋ก็ผละจากไปอย่างไม่สมหวังดังที่วางแผนการเอาไว้... แต่ยี่เสี่ยเนี้ยนั้นไม่สบายใจต่อคำพูดของน้องชาย พยายามจับตาดูสามีทุกฝีก้าว ยิ่งโดยเฉพาะ เวลาอาลั้งนำอาหารมาตั้งโต๊ะให้แก่ยี่เสี่ย ซาเสี่ยกับยี่เสี่ยเนี้ย ซาเสี่ยเนี้ย มีบางครั้งที่ยี่เสี่ยจะมองอาลั้งอย่างผ่านๆ ไม่สนใจ แต่ยี่เสี่ยเนี้ยหวาดระแวง และเผลอพูด
“ลื้อมองอาลั้งตาไม่กะพริบเลยนะ”
“อาลั้งเหรอ?” ยี่เสี่ยจึงเริ่มสังเกต และเห็นว่า “อีโตเป็นสาวแล้วนี่”
ยี่เสี่ยเนี้ยรู้สึกหัวใจเต้นระทึก ก่อนจะกล่าวกับสามีว่า
“อั๊วกำลังจะให้แม่สื่อหาผู้ชายมาแต่งงานกับอี”
“อีแต่งงานไป แล้วใครจะทำงานบ้าน?” ยี่เสี่ยถาม ใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อไก่ตอนเข้าปากเคี้ยว ไม่ได้คิดอะไรกับเด็กสาวมากนัก นอกจากเป็นเด็กทำงานในบ้าน
“ไม่ต้องห่วง มีอาไล้ทำงานในบ้าน ส่วนอาโน้ยก็ไปซักผ้า” ยี่เสี่ยเนี้ยอธิบาย
“พูดถึงอาโน้ย ทำไมไม่ให้อาโน้ยแต่งก่อน อาโน้ยลูกของเรามีอายุมากกว่าอาลั้งตั้งหลายเดือน เราเป็นพ่อแม่ต้องวางแผนการอนาคตที่มั่นคงให้ลูก” ยี่เสี่ยพูดกับภรรยา
“ก็จริงค่ะ...แบบอาโน้ย เราต้องหาผู้ชายดีๆ มีสกุล มีการศึกษา มีฐานะทางบ้านที่เหมาะสม ถึงให้แต่งงานได้ ไม่ต้องใจร้อนหรอกค่ะ” ยี่เสี่ยเนี้ยพูดเสียงอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน เพราะเกรงสามีจะไม่อนุญาตให้อาลั้งมีเรือนออกไปจากบ้าน
“อีบอกว่า อีไม่ยอมเป็นเมียน้อย” ยี่เสี่ยเนี้ยเผลอหลุดปากออกไป
ยี่เสี่ยหันมามองหน้าภรรยาอย่างสะดุดใจ ถามว่า “เคยมีคนมาขออาลั้งไปเป็นเมียน้อยหรือ?”
“เอ่อ...คือ...” ยี่เสี่ยเนี้ยไม่กล้าโกหกสามี “น้องชายอั๊วเคยขออี”
“ยี่กู๋เหรอ...เลี้ยงตัวเองกับลูกเมียยังไม่รอด คิดจะมีเมียน้อยอีก ช่างไม่...” ยี่เสี่ยไม่พูดคำว่า...เจียมตัว...ออกจากปาก เปลี่ยนเป็นว่า “แล้วอาลั้งไม่ยอมเหรอ?”
“ค่ะ.. อีว่าอีไม่ชอบเป็นเมียน้อย อั๊วก็เลยให้แม่สื่อหาคู่ให้อี” ยี่เสี่ยเนี้ยตอบสามี
“ทำไมต้องรีบร้อนด้วย” ยี่เสี่ยเอ่ยไปพลางคีบผักไปพลาง
“จะไม่ให้รีบร้อนได้ยังไง อาเฮี่ยะก็หนีตามผู้ชายไปคนหนึ่งแล้ว ปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวอีก็หนีตามผู้ชายไปอีกคน ค่าตัวที่อั๊วซื้ออีมาก็สูญเปล่าน่ะสิ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“อีทำงานหนักให้เราตั้งหลายปี ค่าตงค่าตัวก็น่าจะใช้หมดไปแล้ว ลื้อควรจะถามอีว่าชอบพออยู่กับใคร แล้วจัดการแต่งงานให้อี ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องค่าตัวอะไรอีก” ยี่เสี่ยเอ่ยอย่างเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ซาเสี่ยเนี้ย ซึ่งนั่งกินข้าวอยู่ด้วย พอฟังประโยคนี้ของยี่เสี่ย นางก็อึดอัดใจ เพราะรู้ดีว่า อาลั้งชอบพออยู่กับอาป้อ ลูกชายของตน ซึ่งจะกลับมาบ้านปีหน้า นางจึงสนับสนุนให้ยี่เสี่ยเนี้ยรีบจัดการให้อาลั้งแต่งงานออกเรือนไปไวๆ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
แต่ในบ้าน...ไม่มีใครกล้าขัดคำพูดของยี่เสี่ย
ยี่เสี่ยเนี้ยจึงรับคำว่า “อั๊วจะถามอีดู ถ้าอีไม่มีคนที่ชอบพออยู่ อั๊วก็จะจัดการแต่งงานให้อีโดยเร็ว”
“ก็ตามใจลื้อ แต่จัดการอะไร ให้มันดูเหมาะดูสมก็แล้วกัน” ยี่เสี่ยเอ่ย
ประโยคนี้เท่ากับเป็นการอนุญาต หลังอาหารเย็น...ยี่เสี่ยเนี้ยจึงเรียกอาลั้งมาพบ ถามตรงๆ ว่า “ลื้อชอบผู้ชายคนไหนอยู่หรือเปล่า?”
อาลั้งอึ้ง ยกมือทาบที่อกเสื้อ ซึ่งข้างในห้อยแหวนหยกของคุณชายป้อเอาไว้ แต่เด็กสาวไม่สามารถเอ่ยปากว่าอะไรได้ เพราะฐานะที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน จึงได้แต่ยืนนิ่งเงียบ
“ถ้าลื้อไม่ตอบ ก็แปลว่าไม่มี อั๊วจะให้ลื้อแต่งงานกับคนที่แม่สื่อหามาให้” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“หนูไม่แต่งค่ะ” อาลั้งโพล่งชัดขึ้น
“ทำไมถึงไม่แต่ง?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามเสียงดุๆ
“หนูจะอยู่รับใช้ยี่เสี่ยเนี้ยจนวันตายค่ะ” อาลั้งพูด...ถึงจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริง ที่น้อยครั้งนักที่อาลั้งจะใช้ แต่เพื่อถ่วงเวลารอคอยคุณชายป้อ อาลั้งยอมใช้คำพูดที่วิถีทาง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงานออกจากบ้านไป และไม่ตกเป็นของชายอื่นใด
“ลื้อไม่ต้องมาพูดดีให้อั๊วตายใจเลย อั๊วจะจัดการให้ลื้อแต่งงาน ลื้อก็ต้องแต่ง” ยี่เสี่ยเนี้ยยื่นคำขาด
“ไม่ค่ะ หนูไม่แต่ง เป็นตายยังไง หนูก็ไม่แต่ง” อาลั้งเอ่ยอย่างแน่วแน่
ทำให้ยี่เสี่ยเนี้ยโมโห ส่งเสียงดังว่า
“อาไล้ๆ”
“ขา...ยี่เสี่ยเนี้ย” อาไล้มาเร็วทันใจ
“ไปเอาหวายมาเฆี่ยนอี” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่ง
“ค่ะ...ไปเอาเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” อาไล้มีทีท่าขมีขมัน อยากตีอาลั้งเต็มแก่
อาลั้งเองพอได้ยินคำว่า...หวาย...เนื้อตัวก็สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
แต่ความกลัวเจ็บ ความกลัวตายนั้นมีน้อยกว่าความรักที่อาลั้งมีให้คุณชายป้อ หญิงสาวเอามือกำแหวนในอกเสื้อเอาไว้แน่น ตั้งใจจะกัดฟันทน
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เสียงซาเสี่ยเนี้ยก็ดังขัดขึ้น
“อาไล้ไม่ต้องไปเอาหวาย”
อาไล้อ้าปากค้างอย่างผิดหวัง
“ลื้อจะไปไหนก็ไป” ซาเสี่ยเนี้ยไล่อาไล้
อาไล้หันไปมองยี่เสี่ยเนี้ย
ยี่เสี่ยเนี้ยก็พยักหน้าให้นางออกไป อาไล้จึงเดินคอตกไปจากห้องโถงพักผ่อน
ซาเสี่ยเนี้ยเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะฝังมุก แล้วบอกกับคู่สะใภ้
“ยี่อึ้ม เรื่องนี้ปล่อยให้อั๊วจัดการเอง”
“ก็ได้” แล้วยี่เสี่ยเนี้ยก็ลุกเดินไปขึ้นบันไดกลับห้องนอน





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2556, 09:51:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2556, 09:51:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1553





<< ตอนที่ 27   ตอนที่ 29 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account