กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 29


29…


เมื่ออยู่กันตามลำพังสองคน ซาเสี่ยเนี้ยก็เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “อาลั้ง…ลื้อเข้ามาใกล้ๆ อั๊วหน่อย”

“ค่ะ…ซาเสี่ยเนี้ย” อาลั้งรับคำเสียงอ่อนหวาน แล้วขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าซาเสี่ยเนี้ยที่หญิงสาวทั้งเคารพทั้งรัก
ซาเสี่ยเนี้ยมองดูอาลั้งอย่างพินิจพิจารณา แล้วต้องยอมรับในใจว่า…หญิงสาวแรกรุ่นตรงหน้าสวยงามมาก ผิวพรรณละเอียดเนียนเรียบดูละมุน นัยน์ตาดำขลับแม้ดวงตาจะไม่โตมากนักแต่ก็ได้รูปสวย จมูกโด่งกำลังงาม ริมฝีปากจิ้มลิ้มแดงเรื่อตามธรรมชาติโดยไม่ต้องแต่งแต้ม นี่น่าเสียดายที่หญิงสาวแต่งกายมอซอ หญิงได้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างคุณหนู คงจะสวยงามกว่านี้อีกมาก…ซาเสี่ยเนี้ยคิดแล้วรีบขับไล่ความคิดนี้ออกไปจากศีรษะ เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน คือเกลี้ยกล่อมให้อาลั้งยอมแต่งงานออกจากบ้านไป
“อาลั้ง…” เสียงซาเสี่ยเนี้ยนุ่มนวล “ลื้อมีคนที่ลื้อชอบพออยู่หรือเปล่า?”
อาลั้งไม่ได้ตอบในทันที แต่ใช้มือทาบที่อกเสื้อตรงที่ห้อยแหวนหยกของคุณชายป้ออยู่ข้างใน แล้วก้มหน้าด้วยความเอียงอายจนแก้มแดง
กิริยาอาการของอาลั้ง ซาเสี่ยเนี้ยเข้าใจ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ถามซ้ำอีกว่า “ว่ายังไง บอกซาเสี่ยเนี้ยได้ไหม?”
“คือ…หนู…คือ…” อาลั้งพูดไม่ออก เพราะความอายมีมากจนไม่สามารถพูดความในใจออกไปจากปากได้
“อาป้อใช่มั้ย?” ซาเสี่ยเนี้ยตัดสินใจจี้ตรงจุด
อาลั้งเองแทบจะไม่เชื่อหูที่อีกฝ่ายกล่าวตรงๆ ได้แต่พยักหน้ารับเล็กน้อย
“เอ้อ…” ซาเสี่ยเนี้ยถอนหายใจยาวอย่างหนักอก “ที่จริงอั๊วไม่อยากพูดเรื่องอาป้อกับลื้อเท่าไหร่”
น้ำเสียงของซาเสี่ยเนี้ยชวนให้อาลั้งคิดไปในทางที่ร้ายมากกว่าดี หญิงสาวถามเบาๆ ว่า “ทำไมหรือคะ?”
“เพราะว่าอาป้อนั้นได้เขียนจดหมายมาถึงอั๊ว ขออนุญาตหมั้นกับเม่งจู ญาติผู้น้องที่สนิทสนมกันที่มาเลเซีย”
คำพูดของซาเสี่ยเนี้ยเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจของหญิงสาว…อาลั้งหน้าซีดเผือด พึมพำแต่คำว่า “เป็นไปไม่ได้ๆๆ…” ในขณะที่มือขวากำแหวนในอกเสื้อเอาไว้แน่น
“อั๊วก็เพิ่งได้รับจดหมายเหมือนกัน” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงเบา
แต่สำหรับอาลั้งนั้นเสียงดังกึกก้องอยู่ข้างหู หญิงสาวอยากขอดูจดหมาย แต่ก็ได้คิดว่าถึงขอดูไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตนเองอ่านหนังสือไม่ออก
และซาเสี่ยเนี้ยก็รู้จุดอ่อนนี้ของอาลั้ง จึงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากซอง และอ่านออกเสียงว่า
“เรียนคุณแม่ที่รักและเคารพ...ผมเขียนจดหมายมาครั้งนี้ก็เพื่อขออนุญาตคุณแม่และคุณพ่อ ขอหมั้นหมายกับน้องเม่งจู น้องเม่งจูจะไม่ทำให้ผมเสียเกียรติหรือเสียหน้าเวลาเข้าสังคมหรือไปพบผู้ใหญ่อย่างแน่นอน เพราะเธอมีความรู้ทัดเทียมกับผม แถมยังสวยมากด้วย ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด...”
“พอเถอะค่ะ...ซาเสี่ยเนี้ยขา” เสียงอาลั้งเหมือนจะขาดใจ สะอึกสะอื้นร้องไห้
ซาเสี่ยเนี้ยหยุดอ่านจดหมายซึ่งมีข้อความไม่ตรงกันแม้แต่น้อย
ในจดหมายที่คุณชายป้อเขียนมาจริงๆ มีแค่ว่า...ที่คุณแม่อยากเห็นรูปผมถ่ายคู่กับน้องเม่งจู ผมส่งมาให้แล้วนะครับ แล้วทำไมอาลั้งไม่ยอมพูดอะไรฝากมาถึงผมบ้างเลย คุณแม่ช่วยบอกอาลั้งนะครับว่าผมคิดถึงมาก ผมอยากได้รูปของอาลั้งมาดูต่างหน้าบ้าง คุณแม่ช่วยพาอาลั้งไปถ่ายรูปให้ผมหน่อยนะครับ ขอบคุณครับคุณแม่ ผมดูหนังสือหนักทุกๆ วัน เพื่อจะได้เรียนจบเร็วๆ แล้วได้กลับมากราบเท้าคุณแม่ คุณพ่อ และพบอาลั้ง...จากลูกป้อ
ซาเสี่ยเนี้ยเห็นอาลั้งร้องไห้น่าสงสารก็แทบจะใจอ่อน แต่ก็นึกเตือนตนเอง...จะปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอยู่แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อตัดบัวแล้วจะต้องไม่ให้เหลือใย...จึงหยิบรูปถ่ายจากในซองจดหมาย ซึ่งเป็นรูปคุณชายป้อถ่ายคู่กับเม่งจู ส่งให้อาลั้ง “นี่จ้ะ รูปถ่ายที่ทั้งสองไปถ่ายมาให้อั๊วดู”
อาลั้งยื่นมือซ้ายมารับรูปใบนั้นไปดูด้วยมืออันสั่นระริก ก่อนจะส่งคืนให้ซาเสี่ยเนี้ย...รูปชายหญิงที่ยิ้มให้กล้องช่างเหมาะสมกันมาก จนอาลั้งอยากฉีกมันเป็นชิ้นๆ ถ้าทำได้ แต่ในความจริง อาลั้งทำได้เพียงแค่ส่งคืน ก่อนจะเอ่ยว่า
“ซาเสี่ยเนี้ย...หนูขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ”
“ไปเถอะจ๊ะ” ซาเสี่ยเนี้ยออกปากอนุญาต
อาลั้งจึงลุกแล้วถอยหลังออกมาก่อน จะหันหลังเดินจากไป
ซาเสี่ยเนี้ยมองตามเงาหลังหญิงสาวแล้วได้แต่ถอนหายใจ พึมพำว่า “ขอโทษนะอาลั้ง ถ้าลื้อเป็นอั๊ว ลื้อก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน คนเป็นแม่ทุกคนต้องการให้ลูกได้คู่ครองที่เหมาะสม ลื้อเป็นเด็กดีก็จริง แต่ไม่ว่าฐานะ หน้าตาทางสังคม หรือความรู้ ลื้อไม่เหมาะสมกับลูกชายอั๊วเลยแม้แต่น้อย สักอย่างเดียว”

อาลั้งนั่งกอดเข่าพิงผนังห้องที่สีกระดำกระด่าง นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่ออกเสียง เพราะเกรงจะรบกวนอาไล้ที่นอนอยู่ห้องเดียวกัน เครื่องนอนของอาลั้งก็มีเพียงเสื่อเก่าๆ กับหมอนสี่เหลี่ยมใบเล็กฟีบๆ เก่ามอมแมม
หญิงสาวคิดถึงรูปถ่ายที่เห็น...เขากับหล่อน ช่างเหมาะสมกันราวนางฟ้ากับเทวดา ผิดกับตนที่เหมือนห่อด้วยผ้าขี้ริ้ว
หญิงสาวร้องไห้อยู่ทั้งคืน ร้องจนตาบวมแดง และไม่มีน้ำตาจะไหลอีก มือที่กำแหวนยังนึกถึงวันที่เขามอบให้...
เขาเปลี่ยนไป
แต่เธอจะไม่เปลี่ยน
ถึงต้องแต่งงานกับใครก็ตาม เธอจะรักษาแหวนนี้ไว้จนวันตาย!
วันรุ่งขึ้น...แม่สื่อวัยสี่สิบมาพบยี่เสี่ยเนี้ยที่ห้องโถงพักผ่อน นางถือพัดใบลานโบกพัดให้กับตนเองตลอดเวลา ดวงตาเล็กๆ ของนางคมราวกับเหยี่ยว ในสมองของนางกำลังคำนวณฐานะของคนที่นางจะมาเป็นแม่สื่อให้...ร้านค้าใหญ่โตน่าจะทำเงินให้นางมากโข
กีคือชื่อของแม่สื่อ แต่ใครๆ ก็เรียกนางว่า...กีอึ้ม
“กีอึ้ม...อั๊วต้องการแต่งหลานสาว” ยี่เสี่ยเนี้ยไม่เสียเวลาอารัมภบท นางพูดโพล่งก็เข้าเรื่องเลย
“หลานสาว?” กีอึ้มใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองดูคู่สนทนา “อั๊วไม่เคยได้ยินว่ายี่เสี่ยเนี้ยมีหลานสาว เคยได้ยินแต่ว่ามีลูกสาวลูกชาย แล้วก็หลานชายอีกคนเท่านั้นมิใช่หรือ?”
“อั๊วมีหลานสาวอยู่ในบ้านอีกคน ชื่อว่าอาลั้ง” ยี่เสี่ยเนี้ยพูดเสียงหงุดหงิด
“เรียกมาให้อั๊วดูตัวหน่อยจะได้ไหม?” แม่สื่อมืออาชีพเอ่ย
“ได้” ยี่เสี่ยเนี้ยตอบห้วนๆ ก่อนจะหันไปส่งเสียง “อาลั้ง ลื้ออยู่ในครัวหรือเปล่า?”
“อยู่ค่ะ” เสียงอาลั้งตอบมาจากในครัว เพราะกำลังล้างถ้วยชามรามไหอยู่
“ลื้อออกมานี่หน่อย” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่งเสียงดังฟังชัด
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ แล้วรีบใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดมือให้แห้ง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องโถงพักผ่อนของเจ้านาย ยืนสงบที่ใกล้ประตูด้านใน
“คนนี้ไง” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
กีอึ้มลุกจากเก้าอี้เดินมาดูอาลั้งเสียจนใกล้ แถมเดินวนดูรอบด้านทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง เรียกว่าพินิจพิเคราะห์ดูทุกกระเบียดนิ้ว ก่อนจะกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมใหม่ พลางกล่าวว่า
“อั๊วดูพอแล้ว”
“แค่นี้เองเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม
“อืมม์...แค่นี้ก็พอถมเถ” กีอึ้มตอบ
“งั้นลื้อกลับไปทำงานต่อได้” ยี่เสี่ยเนี้ยสั่งอาลั้ง
อาลั้งแม้จะงุนงงไม่น้อย ที่อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงกลางคนมามองตนเอาอย่างชนิดแทบจะมองให้ทะลุตัวไปเลย แล้วเจ้านายก็สั่งให้ไปทำงานต่อ แต่ด้วยความเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย จึงไม่ซักไซ้อะไร รับคำ แล้วก็กลับเข้าครัวไปทำงานต่อ
พอนั่งลงที่เก้าอี้เล็กๆ ล้างจานชามต่อเท่านั้น อาไล้ที่ตามไปแอบดูที่ห้องโถง แล้วยังไม่รู้เรื่องราวสักเท่าไหร่ ก็มากระแซะถาม
“อีเป็นใคร?”
“อีไหน?” อาลั้งย้อนถามกลับ เพราะอยู่ๆ อาไล้ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
“ก็คนที่มองลื้อซะลูกกะตาแทบจะติดหน้าลื้อไง?”
“ไม่รู้” อาลั้งตอบตามตรง
“ลื้อตอบซี้ซั้วนี่หว่า ถ้าลื้อไม่รู้จักอี ยี่เสี่ยเนี้ยจะเรียกลื้อออกไปพบอีทำไม?” อาไล้พูดอย่างไม่ชอบใจ
“ก็อั๊วไม่รู้จริงๆ...ถ้าป้าไล้อยากรู้ไปถามยี่เสี่ยเนี้ยเองก็แล้วกัน” อาลั้งเอ่ยอย่างตัดรำคาญ
แต่อาไล้กลับเห็นเป็นช่องทาง
“เออ...อั๊วไปแอบฟังต่อดีกว่า”
แล้วไปยืนแอบมองแอบฟังที่ริมประตูทางเข้าห้องโถง
ในห้องโถง...กีอึ้มโบกพัดในมือพลางหัวเราะ “รูปร่างหน้าตาสวยดี ใช้ได้ๆ แต่จะให้เชื่อว่าเป็นคุณหนูหลานสาวเจ้าของร้านค้าใหญ่โตน่ะเชื่อยาก”
“ทำไม?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามสั้นๆ ห้วนๆ ตามนิสัย
“ก็ดูเสื้อผ้าที่ใส่สิ ผ้าขี้ริ้วชัดๆ”
“อีเป็นหลานห่างๆ พ่อแม่ตายหมด อั๊วก็เลยเอามาเลี้ยง ก็ให้ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในครัวเท่านั้น” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยตามที่ซาเสี่ยเนี้ยแนะนำไว้
“ห่างน่ะห่างมากแค่ไหน?” กีอึ้มถามอย่างมีนัย
“สำคัญด้วยเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถามกลับ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ก่อน
“สำคัญสิ...ถ้าห่างมาก จนไม่สนใจว่าแต่งไปแล้วไปอยู่ไกลๆ แล้วอาจจะไม่ไปมาหาสู่กันอีก แบบนี้ก็แต่งง่ายหน่อย แล้วถ้ายิ่งห่างมากจนไม่สนใจว่าจะมีอาชีพอะไร อย่างงั้นก็จะยิ่งได้เงินดี”
พอได้ยินว่า...ได้เงินดี...ยี่เสี่ยเนี้ยก็สนใจขึ้นมาทันที
“เงินดียังไงเหรอ?”
“สวยๆ ยังงี้ ถ้ายอมขายให้โรงน้ำชา รับรองเรียกค่าตัวได้เยอะทีเดียว” กีอึ้มกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ขายให้โรงน้ำชาเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยทวนคำ สีหน้าครุ่นคิด
“โอ๊ย...ไม่ต้องคิดมากน่า เดี๋ยวนี้ผู้หญิงสาวๆ อยากทำงานสบายๆ ได้แต่งตัวสวยๆ ได้กินดีอยู่ดี สมัครใจทำงานในโรงน้ำชาเองมีเยอะแยะ” กีอึ้มเกลี้ยกล่อม
แต่ยีเสี่ยเนี้ยยังไม่ตัดสินใจในทันที เพราะคำว่า...โรงน้ำชา...มีความหมายในทางลบสำหรับผู้หญิงแม่บ้านแม่เรือนอย่างนาง นางจึดผัดผ่อนว่า
“ไว้ให้อั๊วคิดดูก่อน”
“คิดเร็วๆ ล่ะยี่เสี่ยเนี้ย...เงินจะได้มาเร็วๆ” กีอึ้มทิ้งท้ายก่อนจะกลับ

“ฮะๆๆ...” อยู่ๆ อาไล้ก็หัวเราะงอหาย หลังจากแอบฟังการสนทนาเสร็จ
“อาไล้ ลื้อหัวเราะอะไร?” คุณหนูโน้ยที่ไปซักผ้ากลับมาถึง ถามด้วยเสียงไม่พอใจนัก เพราะคิดว่าอีกฝ่ายหัวเราะตน เพราะตนเข้ามาในครัวพอดี
คำถามนี้อาลั้งก็อยากจะถาม แต่ไม่กล้า เพราะกลัวอาไล้จะหาเรื่องตนอีก
“หัวเราะคนกำลังจะมีวาสนาได้นั่งกินนอนกินเป็นคุณนายน่ะสิคะคุณหนู” อาไล้ตอบ คุณหนูโน้ยที่กระแทกนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ไม่มีพนัก ถามว่า
“ใครกัน?”
“จะมีใครซะอีก นอกจากอาลั้งคนสวยของพวกเรา” อาไล้เอ่ยไปหัวเราะไป
“อั๊ว...” อาลั้งงงหนัก “อั๊วไปเกี่ยวอะไรด้วย?”
“ใช่...อีไปเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมอีถึงจะได้เป็นคุณนาย” คุณหนูโน้ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“ค่ะคุณหนู...อาลั้งจะได้เป็นคุณนาย แต่เป็นคุณนายโรงน้ำชานะคะ” แล้วอาไล้ก็หัวเราะงอหาย หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล ต้องยกมือขึ้นปาดเช็ด
“ป้าไล้เอาอะไรมาพูด” อาลั้งเอ่ยอย่างตกใจ หยุดมือจากการทำงาน
“เป็นเรื่องจริง...อั๊วได้ยินมากะสองหู ได้เห็นมากะสองตา ว่าผู้หญิงคนที่มาหายี่เสี่ยเนี้ย แนะนำให้ยี่เสี่ยเนี้ยขายลื้อให้โรงน้ำชา” อาไล้เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่นะ อั๊วไม่อยากเป็นผู้หญิงหยำฉา” อาลั้งส่ายหน้า น้ำตาร่วงเผาะ
คุณหนูโน้ยมองอาลั้งแล้วยิ้มหยัน ก่อนจะสั่งอาไล้ว่า “อาไล้ลื้อไปตากผ้าที อั๊วจะไปหาแม่”
ว่าแล้วคุณหนูโน้ยก็เดินตรงดิ่งไปยังห้องโถงพักผ่อน
“กลับมาแล้วเหรออาโน้ย?” ยี่เสี้ยเนี่ยถาม เมื่อเห็นลูกสาวคนโตเข้ามาในห้องโถง และตรงเข้านั่งลงที่ตรงกันข้ามด้วยสีหน้าแจ่มใส
“ค่ะแม่...อั๊วซักผ้าเหนื่อยๆ มา ได้ยินว่าแม่จะขายอาลั้งไปเป็นผู้หญิงหยำฉาเหรอคะ” คุณหนูโน้ยถามทันที
“ใครบอกลื้อ?” ยี่เสี่ยเนี้ยมองลูกสาวอย่างตำหนินิดๆ
“อาไล้”
“อีคงแอบฟังอั๊วคุยกับแขกล่ะสิท่า”
“แล้วจริงหรือเปล่าแม่ ที่แม่จะขายอาลั้งไปเป็นผู้หญิงหยำฉา?” คุณหนูโน้ยเซ้าซี้ถามมารดา
“เป็นสาวเป็นแส้อย่าพูดคำว่าผู้หญิงหยำฉาบ่อยๆ มันไม่ดี” คนเป็นแม่สั่งสอน
แต่คุณหนูโน้ยไม่สนใจจะฟัง ยังคงถามว่า
“แล้วที่อาไล้พูดน่ะจริงหรือเปล่า?”
“แม่ยังไม่ตัดสินใจ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยตามตรง “ต้องคิดดูให้ดีก่อน”
“ไม่ต้องคิดแล้วล่ะแม่ ขายอีไปเลย” คุณหนูโน้ยยุส่ง “ขายอีไปแล้วได้เงินมา แม่ซื้อจักรเย็บผ้าให้อั๊วนะ อั๊วอยากได้มานานแล้ว อั๊วจะได้เย็บเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ ให้สมกับเป็นคุณหนู”
คราวนี้...ทุกถ้อยกระทงความอาลั้งแอบฟังอยู่ คืนนั้นอาลั้งก็ต้องนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างเงียบๆ ตลอดคืนอีก
ทำไมชีวิตของตนจึงอาภัพอับโชคอย่างนี้...ถูกแม่แท้ๆ ของตนขายตนให้คนอื่น ตั้งแต่ตนอายุเพียงสองขวบครึ่ง แล้วก็ถูกขายต่อๆ กันมาเป็นทอดๆ ราวสัตว์ตัวหนึ่ง จนมาเป็นขี้ข้าของยี่เสี่ยเนี้ย แล้วนี่ยี่เสี่ยเนี้ยยังจะขายตนไปเป็นผู้หญิงในโรงน้ำชาอีก
ชีวิตในสถานที่เช่นนั้น คงไม่มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันเป็นผู้เป็นคนอย่างคนปกติธรรมดาอย่างแน่นอน
อาลั้งตัดสินใจเด็ดเดี่ยว...
เป็นตายร้ายดีอย่างไร เธอก็จะไม่ยอมเข้าไปอยู่ในโรงน้ำชาอย่างเด็ดขาด อย่างมากก็แค่ถูกเฆี่ยนตีจนตาย!
อาลั้งสะอื้นเบาๆ รำพันเสียงดังแค่กระซิบว่า
“แม่ขา...เราคงได้พบกันในไม่ช้านี้”




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2556, 11:22:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2556, 11:22:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1542





<< ตอนที่ 28   ตอนที่ 30 >>
saralun 18 ก.พ. 2556, 14:57:52 น.
สงสารอาลั้ง


ree 19 ก.พ. 2556, 07:19:34 น.
นึกว่าจะคิดหนีซะอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account