กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 30


30…


ตอนสาย...เมื่ออาลั้งทำงานเสร็จ ยี่เสี่ยเนี้ยก็เรียกไปพบ อาลั้งไปพบเจ้านายในห้องโถงพักผ่อนที่นางจะนั่งจิบน้ำชาอยู่เป็นประจำ หญิงสาวแรกรุ่นนั่งคุกเข่าอยู่ห่างออกไปพอสมควร พอนั่งลงเรียบร้อยก็เรียกขาน “ยี่เสี่ยเนี้ย”
“อืมม์...” นางรับคำ แล้วก็สังเกตเห็น “ลื้อร้องไห้เหรอ?”
อาลั้งไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“อั๊วถามลื้อทำไมลื้อไม่ตอบ” เสียงถามห้วนอย่างไม่พอใจ
อาลั้งยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก ถ้าแผ่นดินตรงนั้นแทรกหนีลงไปได้ คงแทรกหนีไปในวินาทีนั้น
แต่กิริยาที่เอาแต่นิ่งเงียบเพราะความกลัวจนลานของอาลั้งนั้น ในสายตาของยี่เสี่ยเนี้ยมันกลายเป็นดื้อแพ่งไป
ทำให้นางโกรธจัด ฉวยได้ไม้แท่งสี่เหลี่ยมที่ทับกระดาษเขียนหนังสือไม่ให้ปลิวได้ ก็ลุกพรวดมาเคาะหัวหญิงสาวเต็มแรง...โป๊ก!
หญิงสาวเจ็บแปลบหน้ามืดเห็นดาวระยิบระยับ อึงอลเจ็บร้าวไปทั้งศีรษะ เธอแทบหมดสติเพราะความเจ็บ แต่อนุสติของเธอยังบอกกับตนเองว่า...ดี ตีให้ตายไปในทันทีเลยยิ่งดี จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้!
แต่โชคชะตาไม่ให้เธอตาย เธอเพียงหน้ามืดวูบไปเพราะความเจ็บ แล้วก็ได้สติ
“ทำไมอั๊วถามลื้อถึงไม่ตอบ” เสียงโกรธเกรี้ยวของยี่เสี่ยเนี้ยดังอยู่ข้างหู นางเงื้อมแท่งไม้ทับกระดาษเตรียมจะฟาดโครมลงบนศีรษะของหญิงสาวอีก
แต่ก่อนที่จะฟาดโครมลงไป ก็มีมือหนึ่งมายึดข้อมือของนางไว้ พร้อมกับเสียงร้องห้ามของซาเสี่ยเนี้ย “อย่าค่ะยี่อึ้ม”
“ห้ามอั๊วไว้ทำไมซาซิ่ม?” เสียงยี่เสี่ยเนี้ยยังโกรธเกรี้ยว
“เดี๋ยวอีก็ตายกันพอดี” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ย พลางใช้อีกมือดึงแท่งไม้ไปจากมือของยี่เสี่ยเนี้ย “มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่าค่ะ”
“อั๊วก็พูดดีๆ กับอีแล้ว แต่อีไม่ยอมพูดตอบอั๊วสักคำ มันน่าโมโหมั้ย?”
“ค่ะๆๆ...” ซาเสี่ยเนี้ยรับคำคล้อยตาม เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเดือดดาลมากไปกว่านี้ พลางจูงมืออีกฝ่ายให้ไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะฝังมุก
“อาลั้งอีเป็นเด็กโง่ ทำอะไรคิดอะไรช้า ยี่อึ้มต้องให้เวลาอีคิดนานๆ อีถึงจะตอบได้” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยแก้ตัวให้อาลั้ง
“ตั้งแต่ซื้ออีมานี่ อั๊วมีแต่เรื่องให้กลุ้มใจ มีแต่ลื้อเท่านั้นที่เห็นอีเป็นเด็กน่ารัก อั๊วเห็นอีแล้วอดเกลียดไม่ได้” ยี่เสี่ยเนี้ยพูดพลางเอามือลูบอกตัวเองที่สะท้อนด้วยความโมโหพลาง
“ยี่อึ้มมีอะไรจะถามอี บอกอั๊วมาก็ได้ อั๊วจะถามอีให้เอง ยี่อึ้มจะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจเหนื่อยกายไง” ซาเสี่ยเนี้ยเกลี้ยกล่อม
“อั๊วเห็นอีตาแดงๆ ถามอีว่าร้องไห้ทำไม...อีทำเป็นดื้อด้านไม่ตอบอั๊วสักคำ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ยกึ่งเล่าให้ซาเสี่ยเนี้ยฟังกึ่งว่าอาลั้งอีกครั้ง
ซาเสี่ยเนี้ยจึงมองหน้าหญิงสาวที่ยังคงก้มงุด จึงว่า “อาลั้งเงยหน้าขึ้นซิ”
เสียงนุ่มนวลของซาเสี่ยเนี้ยทำให้อาลั้งไม่กล้าขัดคำสั่ง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาทั้งคู่บวมช้ำ ปลายจมูกแดงระเรื่อ
“ลื้อร้องไห้เรื่องอะไร?” ซาเสี่ยเนี้ยถามเสียงอ่อนโยน
“หนูคิดถึงแม่ค่ะ”
อาลั้งตอบ แล้วสะอึกสะอื้นเบาๆ นึกด่าแม่ตนเองในใจ...แม่ชั่ว แม่เลว ขายหนูทำไม!
โดยคาดคิดไม่ถึงว่า...การด่าในใจด้วยความโมโหครั้งนี้ จะส่งผลทำให้ตนต้องชดใช้อย่างเจ็บปวดยิ่งนัก!!
ซาเสี่ยเนี้ยพยักหน้าน้อยๆ “ลื้อโตเป็นสาวแล้วนะ จะมามัวแต่คิดถึงแม่ไม่ได้ ต้องคิดถึงอนาคตข้างหน้าถึงจะถูก”
“อนาคตข้างหน้าหรือคะ?” อาลั้งถามกลับ
“ใช่...” ซาเสี่ยเนี้ยตอบสั้นๆ ก่อนจะบอกว่า “ลื้อกลับเข้าครัวไปทำงานต่อก่อนเถอะ ผู้ใหญ่มีเรื่องจะพูดคุยกัน”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ แล้วออกมาจากห้องโถงแห่งนั้น เอามือกุมหัวเพราะยังไม่หายปวด พอลูบคลำดูก็พบรอยปูดเป็นลูกกลม และความเปียกชื้นเล็กน้อย จึงเอามือที่ลูบรอยปูดมาดู ก็มีเลือดติดอยู่ที่นิ้วมือ แม้ไม่มากมายนักแต่ก็พอหมาดๆ
พออาลั้งออกไปพ้นสายตา ซาเสี่ยเนี้ยก็ถามคู่สะใภ้ว่า “ยี่อึ้มเรียกอาลั้งมา จะถามเรื่องอะไรหรือ?” “เมื่อวานแม่สื่อมาที่บ้าน” ยี่เสี่ยเนี้ยยกน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “อีให้เรียกอาลั้งออกมาดูตัว พอเห็นอาลั้ง อีก็แนะนำว่าน่าจะขายให้โรงน้ำชา”
“โรงน้ำชา...” ซาเสี่ยเนี้ยทวนคำ
“ใช่แล้ว...แรกๆ อั๊วก็ไม่เห็นด้วย” ยี่เสี่ยเนี้ยหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่แม่สื่อก็พูดน่าคิด”
“อีพูดว่าอะไรหรือ?” ซาเสี่ยเนี้ยถามอย่างสนใจ
“อีว่า...ผู้หญิงสาวๆ หลายคนสมัครใจเป็นผู้หญิงโรงน้ำชา เพราะได้กินดีๆ แต่งตัวสวยๆ ไม่ต้องทำงานบ้านงานเรือน” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“ยี่อึ้มก็เลยจะเรียกอาลั้งมาถามว่าจะสมัครใจไปอยู่โรงน้ำชาไหม...ใช่มั้ย?” ซาเสี่ยเนี้ยถาม
“อืมม์...” ยี่เสี่ยเนี้ยรับคำในลำคอ ก่อนจะเอ่ยอย่างโมโหไม่หาย “แต่อีก็ทำให้อั๊วโกรธจนพูดกันไม่รู้เรื่องเสียก่อน”
“ยี่อึ้มเป็นคนว่องไว” แถมใจร้อนอีกต่างหาก...อันนี้ ซาเสี่ยเนี้ยเพียงคิดในใจไม่พูดออกมาจากปาก ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ส่วนอาลั้งเป็นคนเชื่องช้า” และกลัวยี่เสี่ยเนี้ยจนขึ้นสมอง...นี่ ซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่เอ่ยออกมา เอ่ยเพียงว่า “เลยทำให้ยี่อึ้มต้องหงุดหงิดใจบ่อยๆ” และผลก็คือ อาลั้งต้องเจ็บตัว...ตรงนี้ ซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่พูดออกมาโจ้งๆ แต่ปรับเป็นว่า “เอาอย่างนี้มั้ยคะ อั๊วจะเรียกอาลั้งไปพูดให้ก่อน แล้วยี่อึ้มค่อยถามอี อีก็คงมีคำตอบให้ ไม่ทำให้ยี่อึ้มหงุดหงิดอีก”
“ก็ดีเหมือนกัน” ยี่เสี่ยเนี้ยเห็นด้วย

ก๊อกๆๆ...อาลั้งมาเคาะประตูห้องนอนของซาเสี่ยเนี้ย
“ใคร” เสียงซาเสี่ยเนี้ยถามมาจากในห้อง
“หนู...อาลั้งเองค่ะ” อาลั้งตอบเสียงนอบน้อม
“เข้ามาสิ...ประตูไม่ได้ใส่กลอน”
อาลั้งผลักประตูไม้เปิดออก ก้าวเข้าไปในห้องที่หอมกรุ่นด้วยกำยานบูชาพระ...เสียงซาเสี่ยเนี้ยสั่งกำกับมาว่า “เข้ามาแล้วก็ปิดประตูใส่กลอนด้วยนะ”
“ค่ะ” หญิงสาวทำตามคำสั่ง ก่อนจะเดินเลี่ยงฉากไม้ฉลุลวดลายสวยงามที่ตั้งไว้บังตา ไม่ให้คนภายนอกมองจากประตูก็เห็นห้องทั้งหมด เข้าไปด้านใน ก็เห็น...ซาเสี่ยเนี้ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“เข้ามานั่งใกล้ๆ อั๊วนี่” ซาเสี่ยเนี้ยสั่ง
อาลั้งก็ทำตามอย่างว่าง่าย เดินเข้าไปนั่งคุกเข่าที่เกือบจะแทบเท้าของนาง
“เมื่อตอนสาย...เกิดอะไรขึ้น” เสียงถามนุ่มนวล จนอาลั้งไม่หวาดผวา
“ยี่เสี่ยเนี้ยเรียกหนูไปพบค่ะ”
“แล้วยังไงต่อ?” ซาเสี่ยเนี้ยถามอย่างคนใจเย็น
“ยี่เสี่ยเนี้ยถามว่าหนูร้องไห้ทำไม?” อาลั้งเล่าตามความจริง
“แล้วทำไมลื้อไม่ตอบ”
“หนูกลัวค่ะ”
“กลัวอะไร...ไหนบอกซาเสี่ยเนี้ยมาสิ” กระแสเสียงที่สนทนาด้วยอ่อนโยนจนอาลั้งไว้วางใจ
“เรื่องมันเกิดตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ” อาลั้งพูดแล้วต้องหยุดคิด เพราะเป็นเด็กไม่ช่างพูด และไม่มีความมั่นใจ จึงไม่สามารถพูดอะไรยาวๆ โดยไม่หยุดคิดปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้
เมื่อได้คนฟังที่ใจเย็นอย่างซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นคนใจร้อนอย่างยี่เสี่ยเนี้ย...ปัญหาก็เกิดทันที แถมจากเรื่องเล็กก็จะลามเป็นเรื่องใหญ่โต สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่อาลั้งจะถูกเฆี่ยนตีอย่างไม่ปรานีปราศัยโดยฝีมืออาไล้
“แม่สื่อที่มา จะให้ยี่เสี่ยเนี้ยขายหนูให้กับโรงน้ำชา...หนูไม่อยากถูกขายให้โรงน้ำชา ก็เลยร้องไห้ทั้งคืน ตาก็เลยบวมค่ะ”
“แล้วทำไมไม่ตอบยี่เสี่ยเนี้ยไปตามนี้ล่ะ?”
“แค่พบยี่เสี่ยเนี้ย หนูก็กลัวจนคิดอะไรไม่ออกแล้วค่ะ”
ซาเสี่ยเนี้ยมองอาลั้งอย่างเวทนาก่อนจะถามว่า
“ลื้อไม่อยากแต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีๆ ไม่ต้องทำงานหนักเหรอ?”
อาลั้งไม่ได้ตอบทันที แต่นิ่งคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตอบว่า “ถ้าต้องเป็นผู้หญิงโรงน้ำชา...หนูก็ไม่เอาค่ะ”
“ลื้อตอบได้ดีมากอาลั้ง...อั๊วจะบอกกับยี่เสี่ยเนี้ยแทนลื้อเอง”
“ขอบคุณค่ะซาเสี่ยเนี้ย”

พอแม่สื่อมาฟังข่าว...รู้ว่าอาลั้งปฏิเสธเด็ดขาด ก็จุปากอย่างขัดใจ “ยี่เสี่ยเนี้ยเป็นเจ้านายอี ทำไมต้องถามอีด้วย จับอีขายไปเลยก็หมดเรื่อง”
“อั๊วเป็นคนไหว้พระไหว้เจ้า อั๊วไม่ทำอะไรเป็นบาปมากยังงั้นหรอก” ยี่เสี่ยเนี้ยโต้เสียงขุ่น
แม่สื่อเกรงลาภใหญ่คว้าไม่ได้ ลาภเล็กจะพลอยหลุดมือไปด้วย ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มประจบ “เรื่องนั้นก็ให้แล้วๆ กันไป...เรามาคุยเรื่องใหม่กันดีกว่า”
“เรื่องใหม่...” ยี่เสี่ยเนี้ยตามแทบไม่ทัน
“ใช่แล้ว...มีอาเสี่ยคนหนึ่งมาจากต่างจังหวัด อีต้องการแต่งเมีย เมียหลวงซะด้วย” แม่สื่อกีอึ้มคุยฟุ้ง
“อียังไม่มีเมียเหรอ?” ยี่เสี่ยเนี้ยถาม
“เคยมี แต่เมียอีไม่สบายตายไปเมื่อเร็วๆ นี้” กีอึ้มสาธยาย “ถ้าได้แต่งกับคนนี้นะสบายทั้งชาติ”
ซาเสี่ยเนี้ยที่นั่งอยู่ด้วยจึงแทรกขึ้นว่า “เขาชื่ออะไร?”
“เสี่ยฮวด”
“มีอาชีพอะไร?”
“เป็นเจ้าของที่ดินมากมายให้เขาเช่าทำสวนทำไร่”
“ญาติของเขาล่ะ?” ซาเสี่ยเนี้ยซักต่อ
“พ่อแม่เขาตายหมดแล้ว ลูกที่เกิดจากเมียที่ตายไปก็ไม่มี เขามีพี่สาวที่เป็นม่ายเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น”
“เขาอายุเท่าไหร่ หน้าตาเป็นยังไง?”
“แหม...ซาเสี่ยเนี้ยซักซะยังกับจะแต่งลูกสาวยังงั้นแหละ” กีอึ้มว่าประชด
ซาเสี่ยเนี้ยก็ไม่โกรธ เพียงยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “แต่งหลานสาวก็เหมือนแต่งลูกสาวนั้นแหละต้องถามให้ละเอียด”
กีอึ้มทำตาลอยมองเพดาน “หลานสาวจริงรื้อ...ดูแล้วเหมือนขี้ข้ามากกว่า”
ซาเสี่ยเนี้ยยังคุมอารมณ์อยู่ แต่ยี่เสี่ยเนี้ยนั้นฉุน บอกเสียงดังๆ ว่า “จะหลานสาวหรือขี้ข้า มันก็เรื่องของอั๊ว ถ้าพอใจอั๊วก็ให้แต่ง ถ้าไม่พอใจอั๊วก็ไม่ให้แต่ง”
กีอึ้มรีบยิ้มประจบ ตอบว่า “ใช่แล้วค่ะ อยู่ที่ยี่เสี่ยเนี้ยตัดสินใจคนเดียวเท่านั้น”
ความหมายของคำพูดคือ ซาเสี่ยเนี้ยไม่มีสิทธิ์จะตกลงหรือไม่ตกลง...ซาเสี่ยเนี้ยจึงขอตัวขึ้นข้างบน ตัดสินใจไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก
เมื่อไม่มีซาเสี่ยเนี้ยอยู่คอยซักไซ้ไล่เลียง ยี่เสี่ยเนี้ยก็ถูกแม่สื่อเกลี้ยกล่อมโดยง่ายดาย...การแต่งงานระหว่างเสี่ยฮวดกับอาลั้งจึงเป็นอันตกลงกันอย่างมั่นเหมาะ
โดยที่อาลั้งไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวแม้แต่รูปถ่าย ทั้งไม่รู้อายุอานามว่าเขาอายุเท่าไหร่กันแน่
แต่งานแต่งงานถูกกำหนดแน่ว่า...อีกหนึ่งเดือน
และเงื่อนไขของงานแต่งคือ...แต่งเสร็จจะพาเจ้าสาวไปต่างจังหวัดเลยทันที และจะไม่มีการไปมาหาสู่กัน เพราะระยะทางไกล
เงื่อนไขเหล่านี้ หากเป็นหญิงสาวคนอื่นคงหวาดกลัว แต่อาลั้งกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะชีวิตของเธอไม่ใช่ของเธอมาแต่ไหนแต่ไร แต่อยู่ในอุ้งมือของคนอื่นมาโดยตลอด
แม้แต่ความรู้สึกในใจ...ความทั้งหมดของหัวใจที่เธอมีให้คุณชายป้อ เขาก็ไม่เห็นค่าของมัน...หญิงสาวคิดในใจ พลางเอามือกำแหวนในอกเสื้อ
แหวนหยกขาวนี้จะถูกห้อยอยู่ใกล้ๆ กับหัวใจของเธอตลอดไป
แม้นร่างกายต้องตกเป็นของคนอื่น
แต่ความรักของเธอ หัวใจของเธอจะเป็นของคุณชายป้อคนเดียวตลอดไป

ซาเสี่ยเนี้ยตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของอาลั้งแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ เมื่อยี่เสี่ยเนี้ยมาขอให้นางช่วยเป็นธุระจัดหาเสื้อผ้าใหม่สักสี่ห้าชุดให้แก่อาลั้ง และชุดเจ้าสาวด้วย นางก็รับปาก และออกความเห็นว่า
“ยี่อึ้มต้องให้อาลั้งหยุดทำงานในครัวแล้ว เพราะอีจะต้องตัดเย็บเสื้อผ้าเตรียมตัวแต่งงาน”
“อืมม์...” ยี่เสี่ยเนี้ยพยักหน้า
แล้วเมื่อคำสั่งของยี่เสี่ยเนี้ยบอกให้ทุกคนในครัวรู้...อาไล้ ก็ร้อง “ไอ้หยา...แล้วงานเยอะแยะใครจะทำ?”
“ก็ลื้อกับอาโน้ยไง สองคนแบ่งกันทำ” ยี่เสี่ยเนี้ยเอ่ย
“ไม่ไหวหรอกแม่” คุณหนูโน้ยโวยวาย “แค่ไปซักผ้าที่แม่น้ำอย่างเดียว อั๊วก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
“จริงของลื้อ...ลื้อไปซักผ้าทีครึ่งค่อนวัน เอายังงี้ อั๊วยอมเสียค่าน้ำประปาเพิ่ม อาโน้ยลื้อซักเสื้อผ้าที่บ้าน และล้างจาน งานนอกนั้นให้อาไล้ทำ”
พอคำสั่งออกมา เสียงอุทานสองเสียงก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน “หา...!”
“ไม่ต้องหา...ทำตามที่อั๊วสั่ง” ว่าแล้ว...ยี่เสี่ยเนี้ยก็เดินออกจากครัวไป
คุณหนูโน้ยกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “แม่นะแม่ เห็นขี้ข้าดีกว่าลูก”
อาไล้ที่คิดไม่ดีกับอาลั้งมาตลอดก็ถือโอกาสใส่ไฟ “อาลั้ง อีว่าอีน่ะแต่งออก แต่คุณหนูน่ะแต่งไม่ออก ไม่มีใครเอา”
“อีว่ายังงั้นจริงๆ หรืออาไล้” เสียงคุณหนูปี๊ดแตก
“อั๊วได้ยินกับหู จะหลอกคุณหนูทำไม?” อาไล้ทำหน้าตาขึงขัง
“อั๊วจะไปตบอี” คุณหนูโน้ยเต้นผาง
“อย่าเพิ่งคุณหนู” อาไล้ห้าม “อั๊วมีวิธีที่ดีกว่าตบ”
“วิธีอะไร?”
“ให้มันจุดธูปสาบานสาปแช่งตัวเอง ก่อนวันแต่งสักสามวัน” อาไล้กระหยิ่มยิ้มย่อง
“ทำไมต้องรอด้วย ก็ให้มันสาบานซะวันนี้เลย” คุณหนูโน้ยใจร้อน




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2556, 11:50:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2556, 11:50:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1407





<< ตอนที่ 29   ตอนที่ 31 >>
saralun 20 ก.พ. 2556, 12:43:29 น.
กำลังสนุกเลย....อยากรู้จังว่าคนที่อาลั้งแต่งงานด้วยเป็นคนยังไง ^^


ree 21 ก.พ. 2556, 02:13:04 น.
แอบเชียร์ให้หนีอ่ะ


แพม 16 มี.ค. 2556, 03:52:43 น.
คนทำดำไม่เคยได้ดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account