กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 31


31...


“ไม่ได้หรอกค่าคุณหนู สาบานวันนี้อีก็ไม่ช่วยไปตลอดชาติน่ะสิคะ” อาไล้เอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ทำไมล่ะ?” คุณหนูโน้ยกระชากเสียงอย่างขัดใจ
“เพราะคนโบราณถือกันว่า ไม่ว่าถูกว่าผิด ห้ามคนที่จะเป็นเจ้าสาวจุดธูปสาบานสาปแช่งตนเองก่อนแต่งงานภายในระยะเวลาสามวันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นชีวิตคู่จะอับปาง ซวยไปตลอดชีวิต” อาไล้เอ่ยเสียงเบาแค่กระซิบ เพราะเกรงคนอื่นมาได้ยินเข้า
“จริงเหรอ?” คุณหนูโน้ยเอ่ยด้วยดวงตามุ่งร้าย
“จริงแท้แน่นอน” อาไล้รับรอง

ซาเสี่ยเนี้ยสอนอาลั้งตัดเย็บเสื้อกางเกงจากผ้าที่ซาเสี่ยเนี้ยซื้อให้ด้วยมือทีละเข็มๆ เย็บผ้าไปเธอก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาไป เพราะทุกฝีเข็มยิ่งย้ำเตือนว่าเธอจะต้องขาดจากคุณชายป้อแน่นอนแล้ว
อาลั้งเผลอตัวกำแหวนในอกเสื้อบ่อยๆ จนซาเสี่ยเนี้ยผิดสังเกต จึงถามว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าอาลั้ง”
“เปล่าค่ะ”
อาลั้งฝืนยิ้มส่ายหน้า แต่น้ำตากลับหยดลงมา
“มีอะไร พูดกับซาเสี่ยเนี้ยตรงๆ ก็ได้”
ซาเสี่ยเนี้ยโอบไหล่บอบบางของหญิงสาวอย่างปลอบโยน
อาลั้งยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เพราะเหมือนทำนบแตก น้ำตาที่ทะลักออกมาจึงกลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว
ซาเสี่ยเนี้ยลูบหลังไหล่หญิงสาวเบาๆ รู้สึกสงสารจับใจ แต่จะให้นางยอมรับคนรับใช้มาเป็นศรีสะใภ้นั้นนางก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
“อย่าร้องไห้...อาลั้ง ใกล้จะเป็นเจ้าสาวแล้ว เดี๋ยวตาจะช้ำไม่สวย”
“หนูไม่อยากแต่งงาน” อาลั้งสะอึกสะอื้น
“เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ วันมะรืนนี้ก็ถึงวันแต่งงานแล้ว ลื้อจะแต่งไปสบาย แล้วจะร้องไห้ทำไมกัน” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยปลอบ “ลื้อยังโชคดีกว่าผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่ไม่มีโอกาสจะแต่งงาน”
ซาเสี่ยเนี้ยยังกล่าวไม่จบประโยคดี เสียงคุณหนูโน้ยก็กรี๊ดลั่น
“ซาซิ่มว่าอั๊วไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ๆ” ซาเสี่ยเนี้ยโบกมือปฏิเสธ
“แต่อีว่าอั๊ว” คุณหนูโน้ยชี้หน้าอาลั้ง
“เปล่าค่ะคุณหนู” อาลั้งก็ส่ายหน้า
“เปล่าอะไร มีคนได้ยินว่าลื้อว่าอั๊วแต่งไม่ออก”
“อั๊วไม่ได้พูดจริงๆ” อาลั้งยังคงปฏิเสธ
“งั้นลื้อกล้าสาบานไหมล่ะ!” เสียงอาไล้แทรกขึ้นมา แล้วนางก็เข้ามายืนยิ้มเยาะ
“อาไล้” ซาเสี่ยเนี้ยเรียกเสียงปรามๆ
อาไล้จึงหลบไปอยู่ข้างหลังคุณหนูโน้ย
พอดียี่เสี่ยเนี้ยเดินเข้ามาในครัวเพราะได้ยินเสียงกรี๊ดของลูกสาว นางมาถึงก็ถาม “มีเรื่องอะไรกัน?”
คุณหนูโน้ยรีบชิงฟ้อง “อาลั้งว่าอั๊วแต่งไม่ออก แต่อีแต่งออก”
“จริงเหรอเปล่า...อาลั้ง” ยี่เสี่ยเนี้ยถามเสียงไม่พอใจแจ่มชัด
“เปล่าค่ะ” อาลั้งปฏิเสธ
อาไล้รีบแทรก “ให้อีไปจุดธูปสาบานกลางแจ้งที่ดาดฟ้าเลยค่ะ ยี่เสี่ยเนี้ย”
“อย่าให้ถึงกับต้องจุดธูปสาบานเลย” ซาเสี่ยเนี้ยห้าม “อีกำลังจะเป็นเจ้าสาว มันไม่ดี ยี่อิ้มก็รู้”
“แต่มาว่าลูกอย่างนี้ แม่ยอมเหรอ?”
จะยังไงยี่เสี่ยเนี้ยก็เชื่อและรักลูกสาวมากกว่า “ถ้าอีไม่ผิดจริงก็ต้องสาบานได้สิ อยู่ๆ มาว่าอาโน้ยลูกสาวอั๊วอย่างนี้ อั๊วไม่ยอม”
ซาเสี่ยเนี้ยเห็นว่า...พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ก็เลยนิ่งเสีย แล้วเดินผละจากไป ส่วนอาลั้งก็ถูกบังคับให้จุดธูปสาบานสาปแช่งตนเอง โดยต้องกล่าวคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลางแจ้งบนดาดฟ้าต่อหน้ายี่เสี่ยเนี้ย คุณหนูโน้ย และอาไล้ว่า
“ถ้าอั๊วพูดว่า...คุณหนูโน้ยแต่งไม่ออก ขอให้อั๊วพบแต่ความโชคร้าย อย่าได้มีความสุขไปตลอดชีวิต”
หลังจากที่บังคับให้หญิงสาวสาบาน อาไล้ก็แอบหัวเราะในใจว่า ในคำสาบานนั้นไม่ว่าอาลั้งจะพูดมาก่อนหรือเปล่า แต่ตอนสาบานก็ได้พูดออกมาแล้ว จึงน่าจะต้องซวยไปตลอดชีวิต...

ในที่สุดวันแต่งงานก็มาถึง...เจ้าบ่าวในชุดสีแดงมาถึงที่ร้านซึ่งหยุดค้าขายหนึ่งวัน อาลั้งก็อยู่ในชุดสีแดงเรียบๆ เช่นกัน เพราะเป็นชุดเจ้าสาวที่ตนตัดเย็บมากับมือ
พอเห็นหน้าเจ้าบ่าว...อาลั้งแทบจะลมจับ เพราะเป็นผู้ชายที่อัปลักษณ์...จมูกโต ปากกว้าง ฟันห่าง ตาเล็ก คิ้วหร็อมแหร็ม แถมหัวเถิกไปเกือบถึงกระหม่อม รูปร่างค่อนข้างสูง ผิวกร้านแดดลม ไม่น่าจะเป็นอาเสี่ยเลย
ผิดกับเสี่ยฮวดที่มองอาลั้งอย่างพออกพอใจ
หลังพิธีแต่งงานที่จัดเรียบๆ...เสี่ยฮวดก็พาอาลั้งขึ้นรถไฟกลับบ้านนอกทันที
อาลั้งที่เพิ่งเคยขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรกในชีวิต น่าจะตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์สองข้างทางอย่างคนอื่นเขา แต่หญิงสาวกลับนั่งตัวลีบและเครียดหนัก เมื่อคิดขึ้นได้ว่า...ต่อจากนี้ไปตนต้องเป็นภรรยาของผู้ชายแปลกหน้าที่อัปลักษณ์คนนี้
“เอ่อ...” เสี่ยฮวดเริ่มต้นก่อน “ลื้อชื่ออาลั้งใช่ไหม”
อาลั้งนิ่งกลั้นใจอยู่นานกว่าจะตอบได้ว่า “ค่ะเสี่ย”
“ไม่ต้องเรียกเสี่ยหรอก เรียกเฮียดีกว่า อั๊วชื่อฮวด” เขาเอ่ยสีหน้ากรุ้มกริ่ม “เรียกเฮียฮวดแล้วกัน”
“ค่ะ...” อาลั้งพยายามทำใจ มือของหญิงสาวลอบแตะแหวนในอกเสื้อ “เฮียฮวด”
“ลื้ออายุเท่าไหร่?” เขาถามอาลั้ง
“สิบหกค่ะ” อาลั้งตอบเสียงเบาๆ
“อั๊วอายุสามสิบหก อายุมากกว่าลื้อยี่สิบปี” เขาบอก โดยอาลั้งไม่ต้องขอ
‘แก่พอๆ กับยี่เสี่ย’ อาลั้งคิดในใจ
“อั๊วดีใจมากที่ได้แต่งงานกับลื้อ แล้วลื้อเห็นอั๊วเป็นยังไง?” อาฮวดถาม
ถ้าให้อาลั้งพูดจากใจจริงก็คือ...ตาแก่น่าเกลียด
แต่อาลั้งไม่กล้าพูด จึงได้แต่อ้อมๆ แอ้มๆ ว่า
“อั๊วไม่ได้คิดอะไร”
เป็นคำตอบที่ไม่ถูกใจอาฮวดนัก เขาจึงควักยาฉุนออกมาอมที่มุมปาก ซึ่งทำให้เขาดูน่าเกลียดมากขึ้นเป็นสิบเท่า
“ลื้อพูดเป็นเด็กไปได้...ลื้อแต่งงานกับอั๊วแล้วจะไม่ได้คิดอะไรได้ยังไง”
“อั๊ว...” อาลั้งอึกๆ อักๆ “ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ ไม่กล้าคิดเองหรอก”
คำพูดนี้ทำให้อาฮวดพอใจเล็กน้อย
“ก็จริงหรอกนะ ลื้อยังอายุน้อย คงยังไม่รู้จักความรัก แต่ไม่เป็นไรไว้เฮียจะค่อยๆ สอนให้เอง” เขาเอ่ยแล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
แต่อาลั้งรู้สึกสยองขวัญอยากเป็นลมเสียให้รู้แล้วรู้รอด!

บ้านอาฮวดไม่เพียงแต่อยู่ต่างจังหวัด แต่อยู่นอกตัวเมืองออกไปอีก เป็นบ้านไม้สองชั้นเก่าๆ หลังเล็กๆ ไม่ได้กั้นห้องหับแต่อย่างไร คนที่รออาฮวดอยู่ที่บ้านคือพี่สาวของเขาชื่ออาเฮียง นางมีเค้าหน้าคล้ายคลึงกับน้องชาย ถ้าคนทั้งสองยืนอยู่คู่กัน ทุกคนจะดูออกทันทีว่าต้องเป็นพี่น้องกัน
พอเห็นหน้าพี่สาว อาฮวดก็ร้องอย่างยินดีว่า
“อาเจ้...อั๊วกลับมาแล้ว”
“อาตี๋...ลื้อกลับมาก็ดีแล้ว”
เสียงตอบของอาเฮียงแหลมปนแหบ ฟังขัดหูชอบกล
อาฮวดหันมาจับมืออาลั้ง ทำให้อาลั้งรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก เขาดึงให้อาลั้งเดินขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อแนะนำว่า
“คนนี้พี่สาวอั๊ว ลื้อเรียกอาโก้วสิ”
(โก้ว...คือคำเรียกพี่สาวหรือน้องสาวของสามี)
อาลั้งจำใจทำตามเรียกหาว่า “อาโก้ว”
นางพยักหน้ารับสีหน้ามึนตึง
“อีชื่ออาลั้ง” อาฮวดแนะนำต่อ
“ชื่ออาลั้งเหรอ?” อาเฮียงถามคนเป็นน้องสะใภ้แต่ในนามหมาดๆ
“ค่ะ” อาลั้งตอบเสียงเบา บิดมือตนเองให้หลุดจากการเกาะกุมของอาฮวดอย่างขยะแขยง
“ลื้อบ่นพึมพำอะไร ลื้อพูดกับอั๊วให้อั๊วได้ยินชัดๆ สิ” นางเอ่ยเสียงดัง
อยู่ต่อหน้าพี่สาว อาฮวดดูจะหงอเป็นพิเศษ
อาลั้งจำใจต้องรับคำใหม่ด้วยเสียงอันดัง “ค่ะ”
แต่อาเฮียงยังคงไม่พอใจ “อั๊วให้ลื้อพูดให้ชัดๆ ไม่ใช่ให้ลื้อตะคอกอั๊ว”
อาลั้งเริ่มเหลืออดเหลือทน จึงเถียง “อั๊วไม่ได้ตะคอก อั๊วพูดดีๆ”
เท่านั้น...อาเฮียงก็ฟูมฟาย
“อาตี๋...ลื้อดูเมียลื้อสิ เพิ่งเข้าบ้านมาก้าวแรก ก็จะข่มเหงอาเจ้”
อาลั้งงงงัน “อั๊วเปล่านะ”
“ยังจะเถียงอีก” อาเฮียงตะคอก ก่อนจะร้องไห้เสียงดังๆ ต่อ
อาฮวดรีบลูบหลังปลอบพี่สาวถามว่า
“อาเจ้...ลื้อจะให้อั๊วทำยังไงก็บอกมา”
“ลื้อต้องให้อีคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษอั๊วเดี๋ยวนี้” อาเฮียงชี้นิ้วมาที่อาลั้ง ด้วยลีลาเหมือนงิ้วออกโรง
อาลั้งคิดว่าเป็นคำขอที่เกินไป อาฮวดคงไม่บ้าพอที่จะทำตามอย่างไร้เหตุผล
แต่อาลั้งคิดผิด
อาฮวดหันมาออกคำสั่งอาลั้งว่า
“คุกเข่าโขกศีรษะขอโทษอาเจ้เดี๋ยวนี้!”
“แต่อั๊วไม่ได้ผิด” อาลั้งรวบรวมความกล้าเถียง
“หมายความว่า...ลื้อจะไม่ยอมทำตามคำสั่งของอาตี๋เหรอ?” คนที่เป็นพี่สาวสามีเอ่ยถามพลางถลึงจ้อง
“ก็อั๊วไม่ผิดนี่” อาลั้งเถียง
“อาตี๋ตบหน้าอีเดี๋ยวนี้” อาเฮียงสั่งน้องชาย
“อาเจ้...” อาฮวดกำลังจะพูดต่อว่า...ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อน
แต่อาเฮียงร้องกรี๊ดอย่างขัดใจ พลางยกมือทุบอกตัวเองเบาๆ “ลื้อไม่ทำตามคำสั่งของอั๊ว ลื้อจะให้อั๊วอกแตกตายหรือ”
อาฮวดเห็นเช่นนั้นก็มือไม้ลนลาน รีบจับมือไม่ให้พี่สาวทุบอก พลางรับปากว่า
“อั๊วทำๆ...”
แล้วหันมาตบหน้าอาลั้งอย่างแรง!
อาลั้งโดนตบจนมึนไปหมด ทั้งเจ็บร้อนที่แก้มซึ่งเป็นรอยแดงขึ้นทันทีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตกใจที่สามีที่เพิ่งจะรู้จักทำร้ายตน หญิงสาวยืนเอามือกุมแก้มพูดอะไรไม่ออก
“อั๊วตบหน้าสั่งสอนอีแล้ว อาเจ้ใจเย็นๆ นั่งลงก่อน อาฮวดกล่าวพลางประคองพาพี่สาวเข้าไปในบ้านชั้นล่าง ที่เป็นห้องโล่งๆ มีเตียงไม้ต่อเองตั้งอยู่ตรงมุมห้องตัวหนึ่ง อีกมุมเป็นโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมมีเก้าอี้ไม้ไม่มีพนักอยู่สองตัว เขาพาพี่สาวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนตัวเองนั่งลงอีกตัวหนึ่ง
อาลั้งยืนอยู่หน้าประตูบ้านอย่างลังเล จะก้าวเข้าไปในบ้านดีหรือไม่?
เขาทำร้ายเธอ...เมื่อมีครั้งแรก ก็ย่อมมีครั้งต่อๆ ไป
โดยเฉพาะอาเฮียงที่เป็นพี่สาวของเขา ดูจากสีหน้าและแววตา บ่งบอกว่าเกลียดชังเธออย่างไม่มีสาเหตุ จึงหาเรื่องให้อาฮวดตบหน้าเธอ ซึ่งเป็นการแสดงอำนาจให้เห็นว่า...นางมีอำนาจเหนือน้องชาย และเธอยิ่งด้อยลงไปกว่าอาฮวดอีกขั้น
“อาลั้ง...เข้ามาสิ” เสียงอาฮวดตะโกนมาจากในบ้าน
อาลั้งยังคงลังเล
“อั๊วออกไปช่วยอีหิ้วกระเป๋านะอาเจ้”
กระเป๋าที่อาฮวดว่าเป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของใช้ของอาลั้ง สานจากเส้นหวาย มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีฝาปิดและสามารถคล้องกุญแจได้ ด้านบนมีหูหิ้วทำจากหวายสานละเอียด เพื่อให้หิ้วง่ายไม่บาดมือ
“ไม่ต้อง...” อาเฮียงเอ่ยกับน้องชาย “ให้อีหิ้วของอีเอง ลื้อเป็นผัวอีนะ ไม่ใช่คนรับใช้ของอี”
“อาลั้ง...เข้ามาเร็วๆ” อาฮวดส่งเสียงอีกที
อาลั้งถอนหายใจ...โลกที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ไม่มีที่ให้เธอยืนหยัดเลย นอกจากขุมนรกตรงหน้า
หญิงสาวหิ้วกระเป๋าเดินเข้าบ้านด้วยขอบตาแดงๆ
และทันทีที่เธอเข้าบ้าน อาเฮียงก็สั่งเสียงเข้มงวด
“คุกเข่าลง”
“อั๊ว...” อาลั้งจะถามว่า...ตนทำผิดอะไรอีก
แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ...เสียงอาฮวดก็สำทับว่า
“ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก”
อาลั้งจึงจำใจต้องคุกเข่าลงตรงหน้าคนทั้งสองที่นั่งเคียงคู่กัน โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
“โขกศีรษะขอโทษอาเจ้เดี๋ยวนี้”
อาฮวดสั่งเสียงเข้ม
อาลั้งรู้ว่า...ขัดขืนคนทั้งสองไป รังแต่เจ็บตัวเปล่า...จึงโขกศีรษะ พลางกล่าวว่า
“ขอโทษค่ะ”
อาเฮียงยิ้มเยาะ พลางเอ่ยว่า
“ว่าง่ายๆ แบบนี้แต่แรกก็ไม่ต้องถูกตบแล้ว”
“จำเอาไว้อาลั้ง อาเจ้ก็เปรียบเหมือนแม่ ลื้อต้องให้ความเคารพนับถือ ต้องรับใช้ปรนนิบัติให้ดี...เข้าใจไหม?” อาฮวดกล่าว
อาลั้งที่ถูกคนทำร้ายมาแต่เล็กจนโต ได้แต่รับคำว่า
“ค่ะ”
“ลื้อพูดรู้เรื่องอย่างนี้ก็ดีแล้ว” อาเฮียงเอ่ย “เอาทองที่อั๊วให้ยืมไปคืนมา”
“ทอง...ทองอะไร?” อาลั้งงงหนัก เธอไปยืมทองของนางมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...อยู่ๆ ถึงได้มาทวงกันอย่างนี้!





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2556, 11:20:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2556, 11:20:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1170





<< ตอนที่ 30   ตอนที่ 32 >>
ree 26 ก.พ. 2556, 14:52:57 น.
ออกจากมือมารนึงก็ย้ายไปอยู่ในมือมารคู่ใหม่อีกเหรอ ทำไมชีวิตถึงเศร้าอย่างงี้นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account