รากเหง้า
หมู่บ้านเล็กๆ บรรยากาศชายทุ่ง กลิ่นไอความเป็นบ้านนาคละคลุ้ง
บ้านหลังเล็ก ที่อยู่กัน 7 คน พ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น
การเป็นอยู่ก็พื้นๆ ไม่ได้พิเศษอะไรเพราะค่อนข้างจน แต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของครอบครัวน้อยๆ ครอบครัวนี้ เกิดขึ้นเมื่อพ่อผุ้เป็นเสาหลักของครอบครัวป่วย
ลูกๆ จึงต้องช่วยกันทำงาน และต้องลดพาระครอบครัวด้วยการแต่งงานเพื่อลดการแออัดภายในบ้าน และนั่นคือที่มาและเรื่องราวความสุข ความทุกข์ ความสำหวัง ความผิดหวัง ในชีวิต ติดตามได้ใน นิยายเรื่องยาว รากเหง้า ในนามปากกา อ. อกาลิโก
Tags: http://my.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=908025

ตอน: ดอกเบี้ย

ภรรยาคุณบุญสม ยกน้ำมาให้บนโต้ะกับข้าวพร้อมพูดว่า

"วันนี้ เพิ่งจะไปรับเงินเดือนมาให้ พร้อมกับยื่นเงินจำนวน 500 บาท

มาให้พี่จ๊ะ" คุณครุบุญสมหันมาบอกกับภรรยาตนว่า

"เงินห้าร้อยน่ะ อยากเอามาทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็กๆ เพราะว่า

เด็กแต่ละคนบางคนห่อข้าวกับไข่ต้มคนละฟอง บางคนห่อข้าวกับ ปลาทู

มาโรงเรียนทุกวัน อย่างเช่นเด็กหญิงบัว และเด็กชายบารมี คุณคิดเห็นว่า

อย่างไรหล่ะ" ผู้เป็นภรรยาก็เห็นดีด้วยเข่นกัน


นับแต่นั้นมา เด็กๆ จึงได้ทานอาหารกลางวันฝีมือ ภรรยาคุณครุ

บุญสม ทุกวัน ซึ่งเป็นอาหารผัดบ้าง ต้มบ้าง ซึ่งแตกต่างจากอาหารที่เคย

ทานอยุ่ที่บ้าน เด็กๆ เอร็ดอร่อยกับการได้ทานอาหารฝีมือภรรยาคุณครู

มากเพราะว่าอร่อยและพวกเขาไม่ค่อยได้ทาน เพราะที่บ้านยากจนไม่มี

เงินซื้อหมูหรืออาหารทะเล จึงทำให้เด็กบางคน ที่ไม่อยากมาโรงเรียน

กลับใจว่าไม่อยากอยู่บ้านเพราะว่าอาหารที่บ้านนั่นไม่อร่อยเหมือนอาหาร

ที่ภรรยาของคุณครูทำเลี้ยง ซึ้งเป้าหมายหลักของการมาโรงเรียนคือมา

กินอาหารกลางวัน และบางวันยังมีขนมและของหวานพ่วง แถมมาให้ได้

ทานอิ่มท้องกันด้วย ทำให้บรรยากาศในโรงเรียนครึ้นเครงกันเป็นอันมาก

เด็กพุงโตกันไปตามๆ กันเพราะว่าเกรงว่าวันอื่นๆ คุณครูจะไม่ทำเลี้ยง

จึงทำให้เด็กๆ มีน้ำหนักตัวเพิ่มกันทุกคน ร่างกายก็แข็งแรงมากขึ้น ไม่

ผอมเปรี้ยเหมือนกับตอนที่มาโรงเรียนใหม่ๆ


คณะพยาบาลตำบลในชุดขาว เครื่องแบบพยาบาลทำการตรวจร่าง

กายเด็กๆ ประจำปีที่โรงเรียนถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจว่า

"เด็กๆ มีน้ำหนักตัวเพิ่มกันทุกคน และแข็งแรงมากด้วยค่ะ"

นางพยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้นกับคุณครูบุญสม หลักจากตรวจร่างกาย

เด็กคนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับแจกดินสอและยางลบให้กับ

เด็กๆ ทุกคนที่ตรวจร่างกายเสร็จเพราะว่าเด็กบางคนนั้นกลัวหมอและ

พยาบาล เพราะว่าเคยได้รับการบอกกล่าวว่าเจอคุณหมอก็มักจะเจอ

เข็มฉีดยา เด็กบางคนถึงกับขยาดไม่อยากป่วยกันเลยทีเดียว เพราะว่า

พ่อและแม่บางคน เมื่อลูกของตัวเองเกเรเกตุง ก็มักจะขู่ลูกตัวเองว่า ถ้า

เกเรมากๆ จะให้หมอมาฉีดยา เพราะในสังคมบ้านนานั้นไม่มีใครอยาก

จะไปสุงสิงหรืออยากจะไปข้องแวะกับคุณหมอเลย เพราะว่าไม่อยากให้

คุณหมอนั้นฉีดยา นึกถึงเข็มฉีดยาขึ้นมาทีไรไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วน

ขนลุกไปตามๆ กัน จึงเป็นสาเหตุให้สามารถนำมาเป็นข้ออ้างในการขู่ลูก

หลานของตนได้ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโต ต่างพากันกลัวและขยาดคุณ

หมอและพยาบาลกันเลยทีเดียวเชียว

ผู้ปกครองของเด็กๆ ทุกคนนั้นต่างเต็มใจให้ลูกๆ ของตัวเองมา

โรงเรียนมากขึ้นเพราะว่าไม่ต้องให้กับข้าวกับเด็กๆ มาโรงเรียนให้เพียง

แค่ห่อข้าวเหนียวอย่างเดียวเพราะว่ากับข้าวที่โรงเรียนมีเลี้ยงอยู่แล้ว

ทำให้ประหยัดมากขึ้น และแม่บ้านไม่ต้องวุ่นวายในกายเตรียมอาหารใน

ตอนเช้า บางคนก็เดินมาส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเอง บางคนก็ให้ลูกๆ

เดินไปกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำในวัย

เด็กที่ไม่เลือนลาง เมื่อนึกถึงครั้งใดก็ให้เหมือนกับว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นมาไม่

นานนี้เอง

พ่อแก้วนำข้าวที่ได้จากการเก็บเกี่ยวไปรอขายให้กับเจ้าของโรงสีข้าว

พร้อมกับใช้หนี้ที่ไปยืมข้าวมากินก่อน

"ข้าวเรายืมเขามาแค่ 20 ถัง เก็บเกี่ยวข้าวครั้งนี้ได้ 110 กระสอบพอ

ดิบพอดี จะได้ข้าว 100 ถัง เจ้าของโรงสีข้าวเขาคิดดอกเบี้ยรวมกับต้นที่

ยืมมาเป็นข้าว 50 ถังเราเหลือเงินไม่เท่าไหร่เลยน่ะแม่"

ข้าวที่เหลือเอาไว้กินในฤดูนี้มีอีกแค่ 30 ถังซึ่งก็อาจจะพอถึงฤดูเก็บ

เกี่ยวใหม่ พร้อมทั้งกับปรึกษาผู้เป็นแม่บ้านของตน

"แม่ถ้าเรายังทำนาเช่าอยู่น่ะเราจะไม่พอกินเอาน่ะ ลูกเราก็โตขึ้นทุก

วันๆ พ่อว่าจะไปค้าขายของป่า เพราะว่าไอ่ทิตบุญจันทร์ มันไปค้ามันได้

กำไรดีเหลือเกิน เอาเงินไปจ่ายค่าเช่านาแล้วเราก็เหลือเงินไม่เย่อะเลย

น่ะแม่ฉันว่าจะลองทำอย่างไอ่ทิดบุญจันทร์มันดูบ้างแม่มาลีจะว่าอย่างไร"

แม่มาลี ไม่ออกความคิดเห็นเพราะว่าได้ข่าวมาว่าทิตจันทร์ไปค้าของป่าที

หนึ่งๆ ต้องไปถึง 10 วันถึงจะกลับมาบ้าน เพราะความเป็นห่วงสามีจึง

ไม่ได้ว่าอะไร
"เงินเราจะเหลือเท่าไหร่หล่ะพ่อ" ถามขึ้นด้วยความกังวลใจที่

แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน

"เหลือไม่มากหรอก " เป็นประโยคเดียวเท่านั้นที่หลุดออกมาจากปากผู้

เป็นสามี สองสามี ภรรยานั่งปรึ่กษากันสองคน

เป็นเวลาเดียวกันกับที่สามสาวใบเถาเดินถือจอบเสียบกลับมาจากไร่

พอดี เมื่อเห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ พวกเธอก็รู้ทันทีว่าผู้เป็นพ่อนั้นขายข้าวได้

เงินมาแล้วแน่นอน จึงพากันรีบเดินเข้ามาหาเพื่อที่จะนวดให้พ่อกับแม่

"พ่อจ๋า แม่จ๋า พ่อกับแม่ขายข้าวแล้วใช่ไหมจ๊ะ"

พ่อแก้วกับแม่มาลี รู้ว่าลูกสาวทั่งสามคนต้องมาอ้อนอะไร แน่ๆ จึง

ถามขึ้นด้วยความรักลูกและอยากจะปฏิเสธซ่ะเหลือเกิน

"มาอย่างเนี้ยะ จะอ้อนเอาอะไรอีกหล่ะ" ทั้งสามสาวจึงบอกความ

ต้องการของตนเองทั้งหมดทั้งสิ้น

"แป้งทาหน้า น้ำอบ สบู่ ลิปมัน น้ำมันมะกอกใส่ผมหมดและรายกา

ร อื่นๆ อีกยาวเป็นหางว่าว"

ผู้เป็นพ่อกับแม่นั้นได้แต่มองหน้ากัน แล้วทำท่ากังวลนิดหน่อย นิ่งกัน

ไปสักครุ่ ลูกสาวทั้งสามคนก็ไม่ลดล่ะ นวดให้พ่อกับแม่อยู่เป็นนาน สาม

สาวช่วยกันอ้อนวอนในที่สุดก็สำเร็จผล ผุ้เป็นพ่อยอมเปิดปากเสียที

"วันมะรึนพ่อกับแม่จะไปขายของที่ตลาดพวกเองจะไปด้วยไหมเล่า"

เท่านั้นแหล่ะ สามสาวหอมแก้มพ่อแก้ว กับแม่มาลี กันซ่ะหลายฟอด

แทนคำขอบคุณและความรักของผู้เป็นพ่อและแม่

"ไปๆ พวกเองพากันไปอาบน้ำได้แล้ว ตัวมีแต่เหงื่อไคลเล่อะเท่อะ

เปื้อนเสื้อผ้าแม่ไปหมดแล้วน่ะลูก พวกเองยังไม่ได้อาบน้ำกันไม่ใช่เหรอ"

ปากนั้นไล่ แต่มือของแม่นั้นลูบผมลูกสาวด้วยความรักเอ็นดู สามสาว

จึงพากันไปอาบน้ำอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อลูกไปกันหมดแล้ว สองสามี

ภรรยาต่างก็มองหน้ากัน

"พ่อใจดีเกินไปแล้วน่ะ เงินเราจะไม่พอใช้จ่ายน่ะพ่อ" พ่อแก้วคิ้ว

ขมวดผูกโบว์อยู่เป็นนาน นิ่งกันไปพักหนึ่งเพราะเป็นกังวลใจเหมือนกัน

แล้วจึงตอบภรรยาไปว่า

"ไม่เป็นไรหรอกแม่ลูกเราน่ะเป็นสาวแล้ว ก็ต้องมีบ้าง อย่าให้ลูกต้อง

มาลำบากเหมือนเราเลยแม่มัน อะไรที่ทำให้ลูกได้ก็ให้มันไปเถ่อะ อีก

หน่อยลูกเราก็ไม่ได้อยู่กับเราแล้วไม่รู้ว่าจะออกเรือนวันไหน เราจะได้อยู่

กับลูก เลี้ยงดูเขาได้อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ลูกสาวเราน่ะแต่งงานแล้วไม่รู้

ว่าจะได้สามีบ้านอยู่ใกล้อยู่ไกลก็ไม่รู้ ให้ได้ตอนนี้ ก็ให้ไปเถ่อะ"

แม่มาลีถึงกับร้องไห้เมื่อผู้เป็นสามีพูดจบ พ่อแก้วกางแขนออกมาโอบ

ไหล่ภรรยาด้วยความรักและสงสาร เพื่อเป็นการปลอบใจ บัวกับบารมี

นั้นพากันกลับมาจากโรงเรียนได้ครู่ใหญ่ๆ และยืนหลบอยู่เพื่อแอบฟัง

พ่อกับแม่คุยกัน อยู่ครู่หนึ่งก็รู้ปัญหาและสงสารพ่อกับแม่ของเธอเหลือ

เกิน สายตาดวงน้อยคู่นั้นเหม่อลอยครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่ในใจ ภาพของ

ผู้เป็นพ่อและแม่ที่ต้องทำงานหนัก ก้มๆ เงยๆ อยู่กลางทุ่งนา กลาง

แสงแดดที่ร้อนอบอ้าว ตั้งแต่ดำนา ปลูกข้าว บางครั้งแม่ของเธอก็บ่นว่า

ปวดเอวบ้างพ่อของเธอเคยขาเคล็ดบ้างเนื่องจากตัองแบกกระสอบใบ

ใหญ่ที่มีน้ำหนักมากบ่อยๆ พี่ๆ ของเธอที่มักจะบ่นเสมอๆ ว่าทำงานหนัก

ต้องตากแดด แต่งหน้าเท่าไหร่ก็ไม่สวย มือยังหยาบกร้าน แตกและไม่

นุ่มเหมือนฝ่ามือของสาวๆ ในตลาดที่ไม่ได้ทำนาอย่างตัวเองเลย เด็ก

น้อยนึกมโนภาพ สายตาดวงใสคู่นั้นก็พลอยเศร้าหมองบ่งบอกถึงความ

ทุกข์ใจของเด็กในวัยที่เกือบจะโตและสามารถรับรู้ถึงทุกปัญหาได้ไม่ยาก

มากนัก

"ทำไมน่ะครอบครัวของเราถึงต้องลำบากมากมายขนาดนี้"



อกาลิโก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.พ. 2556, 11:36:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.พ. 2556, 11:36:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 822





<< พยัญชนะ   งานฤดูหนาว50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account