สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๓

“เพชร...โอเคไหม” อิงอรุณถามทั้งที่ตั้งสมาธิขับรถอยู่ โดยไม่ละสายตาจากท้องถนนเบื้องหน้า

แพรวเพชรกัดริมฝีปาก ขณะไหล่บางไหวแรงจากการพยายามกลืนกลั้นความรู้สึกหลากหลายที่เอ่อขึ้นอย่างยากเย็น แต่...ไม่สำเร็จ “ไม่เลยอิง เราไม่โอเค ไม่โอเคเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปได้ยังไง พี่เผ่า...ยังไม่ตาย”

คำถามเดียวที่ดังซ้ำๆอยู่ในใจ เป็นคำถามที่เธอไม่รู้ว่าจะหาคำตอบใดให้ตนเองได้

ตลอดหลายปีที่ต้องทำใจยอมรับว่าผู้ชายที่เธอรักที่สุดจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงความทรงจำเลือนราง แม้จะแสร้งทำเป็นว่าลืมทุกเรื่องราวระหว่างกันไปแล้ว ทำใจกับการสูญเสียนั้นได้แล้ว แต่ลึกที่สุดในใจแพรวเพชรถามตัวเองเรื่อยมา อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของเขา เฝ้าสงสัยว่าเขาอยู่ ‘บนนั้น’ สุขสบายดีหรือเปล่า ชีวิตที่ไม่มีเธอเป็นอย่างไรบ้าง เขาต้องการให้เธอทำอะไรให้หรือไม่

ทุกครั้งที่เข้าวัด ไม่ว่าจะทำบุญทำทานร่วมงานกุศลใดๆ ชื่อเขาอยู่ในลำดับแรกที่เธอตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้เสมอ เฝ้าร้องขอให้เขาอโหสิกรรมให้เธอ หญิงสาวแอบหวังอยู่ลึกๆว่าคงจะมีสักวันที่เขาให้อภัย และยอมให้เธอได้พบเจอบ้าง แม้จะเป็นแค่ในความฝัน จะในสภาพของดวงจิต ดวงวิญญาณ หรืออะไรก็ได้

แพรวเพชรสวดภาวนาทุกค่ำคืน อยากให้ตัวเองมีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไปพบเขาอีกสักครั้ง เธอจะขอโทษในสิ่งที่เคยกระทำผิด เธอจะรักเขาให้มากกว่าที่เคยรัก จะทำทุกอย่างเพื่อยื้อคนรักให้อยู่กับเธอได้นานขึ้น แม้อีกแค่วินาทีเดียวก็ยังดี

แต่หญิงสาวก็ได้แค่คิดฝันลมๆแล้งๆ รู้ดีว่าเป็นแค่ฝันกลางวันที่ไม่มีวันเป็นจริง ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังต้องกอดเก็บความระลึกถึงทั้งหมดไว้กับตนเองเพียงลำพัง จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอยังนึกถึงเขาอยู่ไม่รู้วาย
มิคาดว่าวันหนึ่งเธอจะได้พบกับเขาอีกครั้ง...อย่างมีชีวิต! ด้วยสถานการณ์อันน่ารังเกียจที่สุด นั่นคือการได้เห็นเขาเคียงข้างผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงที่เป็นปัจจุบันและกำลังจะมีชีวิตร่วมกันในอนาคต ต่างกับเธอ...ผู้หญิงในอดีต!

“เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เมื่อกี้เราเจอพี่เผ่าจริงๆ” คำพูดนั้นดังขึ้นลอยๆก่อนเธอจะทันห้ามตัวเองเสียอีก

แพรวเพชรเหลือบประเมินเพื่อนรักด้วยหางตา เห็นฝ่ายนั้นถอนหายใจยาว หญิงสาวจึงเปลี่ยนมาซุกตัวกับเบาะ หลับตาลง พยายามกลืนน้ำตาให้ไหลกลับเข้าไปในใจ

“เช็ดน้ำตาเถอะ เพชรคงไม่อยากให้หนูกานตกใจที่เห็นเพชรร้องไห้หรอกใช่ไหม” อิงอรุณโน้มน้าว

แพรวเพชรหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนหย่อนไว้บนตักมาซับน้ำตาอย่างว่าง่าย “พี่เผ่าเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ได้เจอกันใกล้ๆ บางทีเราอาจจำเขาไม่ได้เลยด้วยมั้ง”

“ก็จริง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจอเขาพร้อมกับเพชร อิงก็อาจจะแค่คลับคล้ายคลับคลา ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“ดูเหมือน...ชีวิตเขากำลังไปได้ดีเลยนะอิง” เธอเปรยคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า

“จะดีหรือไม่ดีก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเพชร เรื่องของเพชรกับเขามันจบไปแล้ว” อิงอรุณปรามเสียงเรียบ

มือที่ถือผ้าเช็ดหน้ากำแน่น เล็บซึ่งเจียนแต่งอย่างประณีตจิกลงในเนื้อ คล้ายว่าการกระทำเช่นนั้นจะช่วยเจือความอาดูรให้จางลงได้ จริงหรือ...เรื่องของเธอจบลงหมดแล้วจริงหรือ

ก็ถ้ามันจบแล้ว ไฉนหัวใจเธอยังแปลบปลาบเช่นนี้ ยังยินดีที่ได้พบเขาอีกครั้ง ยังเจ็บปวดเพียงรู้ว่าหัวใจเขาอาจไม่เหลือเธออยู่อีกแล้ว และบางที...มันคล้ายมีรอยริษยานวลนรีปะปน ยามเห็นเขายืนเคียงข้าง ทอดน้ำเสียงอ่อนหวานเจรจากับสตรีผู้นั้น

แพรวเพชรหลับตาลงด้วยอาการปวดร้าว บอกตัวเองให้จดจำถ้อยคำเดิมๆซ้ำๆที่เคยเป็นปราการปกป้องหัวใจตนเองตลอดเวลาเกือบสี่ปีที่ผ่านมา

เกลียดเขาสิแพรวเพชร เธอต้องเกลียดเขา

เกลียดผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ใช้ความรักเป็นเครื่องมือทำร้ายเธอ

เกลียดผู้ชายใจร้ายฆ่าได้กระทั่งลูกตัวเอง!
.
.
.
.
.
นวลนรีเอียงคอด้วยความฉงน เมื่อเหลียวมาทางคนข้างตัว และเห็นเขายืนนิ่งๆมองออกไปนอกร้านด้วยอาการเหม่อลอย “พี่เผ่าเป็นอะไรคะ ทำไมหน้าซีดจัง กินอะไรมาหรือยังคะเนี่ย”

“สงสัยคงเพราะยังไม่ได้กินข้าวกลางวันมามั้ง ก็เลยโหยๆเพลียๆนิดหน่อย” ชายหนุ่มลูบหน้าแรงๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ หาข้ออ้างที่ดูดีที่สุดมาอธิบาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมิใช่แค่หน้าซีด แต่มันเผือดขาวจนแทบไม่มีสีเลือดเลยก็ว่าได้

“งั้น...อย่าเพิ่งไปเลยค่ะ กินอะไรก่อนดีกว่า เดี๋ยวนวลสั่งเด็กผัดมะกะโรนีให้” คนพูดคว้าแขนเขาไปนั่งยังโต๊ะขนาดสองที่นั่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในร้านอันค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัวมากกว่า จากนั้นคว้าถุงกระดาษในมือเขาไปถือไว้แทน “อันนี้เอาไปแช่ตู้เย็นไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะกลับแล้วค่อยไปเอา ต๊าย! ทำไมกำหูหิ้วถุงซะเละขนาดนี้ล่ะ เหงื่อออกจนมือเปียกเลย แอร์ร้อนหรือคะ”

“เปล่าน่ะ พี่คงหิวข้าวจนจะเป็นลมมั้ง” เผ่าภาคินสะบัดศีรษะแรงๆ พยายามจดจ่อสมาธิอยู่ตรงหน้าให้ได้

นวลนรีส่ายหน้ายิ้มๆด้วยความเอ็นดู แล้วหมุนตัวเดินหายเข้าไปในครัวสักครู่ เมื่อกลับมาสมทบกับเขาอีกครั้ง ในมือเธอมีแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีเขียวอ่อนกับจานเล็กๆใส่คุกกี้หลายชิ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่มอย่างเอาใจ “ระหว่างรอมะกะโรนี ทานคุกกี้รองท้องหน่อยสิคะ เมื่อเช้านวลลองอบใส่ธัญพืชสูตรโลว์แฟต ไม่รู้ว่าหวานน้อยไปหรือเปล่า”

แม่ช้อยนางรำจำเป็นเห็นท่าทางคะยั้นคะยอเอาใจของหญิงสาวจึงหายใจเข้าลึก ไล่ตะกอนเรื่องราวเก่าๆให้ปลิวไปในอากาศ ปรับกิริยาให้เป็นปกติ ก่อนหยิบคุกกี้ขึ้นมากัดคำโต เคี้ยวกร้วมๆอย่างตั้งใจ

“ถ้ากินไปด้วย มองหน้านวลไปด้วย ก็หวานกำลังดีเลยละ” ในที่สุดเผ่าภาคินก็เรียกตัวตนเดิมกลับคืนมาได้ครบถ้วน

นวลนรีทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอ “พี่เผ่าไม่ต้องมาปากหวานเลย”

“ล้อเล่นหน่อยนึงไม่ได้เลยหรือ” คนปลูกสวนอ้อยยิ้มนิดๆก่อนเอ่ยต่ออย่างจริงจัง “หวานน้อยไปหน่อยอย่างที่นวลห่วงนั่นแหละ แล้วก็...พี่ว่าถั่วทั้งหลายที่นวลใส่ลงไปนี่กรอบดี พี่ชอบ”

เชฟเบเกอรี่พยักหน้าด้วยความภูมิใจ “พี่เผ่านี่ช่างสังเกตจัง นวลอบถั่วก่อนน่ะค่ะ น้ำมันจะได้ออกมาจากถั่ว เคี้ยวแล้วรู้สึกว่ามันๆ เนื้อไม่เหนียว เคี้ยวง่ายด้วย เหมาะสำหรับคนทุกวัย ถ้ายังไงเดี๋ยวนวลฝากไปให้คุณป้าด้วยดีกว่า ท่านต้องคุมน้ำตาล สูตรหวานน้อยอย่างนี้ท่านน่าจะปลื้ม”

“ฝากขนมไปน่ะ แม่เขาก็ปลื้มระดับธรรมดา ถ้าอยากให้ปลื้มเป็นพิเศษ ต้องรับปากไปเป็นลูกสะใภ้ท่านเร็วๆสิ รับรองว่า...”

นวลนรีส่ายหน้าทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดจนจบ “นวลไม่อยากให้คุณป้าปลื้มด้วยเหตุผลผิดๆแบบนั้นค่ะ”

“โธ่ นวล! จะต้องให้พี่ทำยังไงถึงจะยอมรับปาก เอางี้...วันนี้เราไปดินเนอร์กันก็ได้” ขนาดพูดจากรุ้มกริ่มขนาดนั้น สีหน้าเขายังแทบจะเรียบเฉยไม่เปลี่ยนเลย

หญิงสาวนึกย้อนไปถึงคำประชดที่เธอบอกเขาไปแล้วก็หัวเราะ “ง่ายอย่างนั้นเชียวหรือคะ บอกนวลได้ไหมคะ ทำไมจู่ๆพี่เผ่าถึงมาเร่งรัดเอาอย่างนี้ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ทั้งแม่ของนวลและแม่ของพี่ต่างก็อยากเห็นเราลงเอยกัน แค่นี้เป็นเหตุผลที่มากพอแล้วนะจ๊ะ”

นวลนรีผิดหวังที่ไม่ได้ยินคำว่า ‘รัก’ ในประโยคใดๆของเขาเลย หญิงสาวเอนพิงพนัก ยกมือขึ้นกอดอก
“พี่เผ่าตัดสินใจจะเอาชีวิตไปผูกกับคนอีกคนหนึ่งเพียงเพื่อความพอใจของแม่อย่างนั้นเหรอคะ”

“นวล...เอามือลงเลย” เขาสั่งหน้าบูด

“ทำไมคะ” หญิงสาวเหวอ ไม่เข้าใจเหตุผลของคำสั่งนั้น

“ก็ไอ้ท่าทางแบบนี้เขาว่ากันว่าเป็นกิริยาที่แสดงถึงการต่อต้าน ไม่เห็นด้วยน่ะสิ เป็นกลไกโดยอัตโนมัติที่จิตใจแสดงให้รู้ว่าไม่เชื่อสิ่งที่กำลังจะได้ยิน”

คนฟังหัวเราะร่วน แต่ก็ยอมลดมือลงอย่างว่าง่าย “อะไรกันคะ ถึงขนาดต้องมาวิเคราะห์ท่าทางนวลตามหลักจิตวิทยากันเลยเหรอเนี่ย พี่เผ่านี่ชักจะน่ากลัวใหญ่แล้วนะคะ”

เผ่าภาคินชะงัก ความปกติสุขที่เพิ่งก่อตัวขึ้นอย่างง่อนแง่นเต็มทีเลือนลบโดยไม่รู้ตัว เมื่อคำบางคำตกกระทบถึงหัวใจ เสียงแจ้วที่ใครบางคนคอยจ้ำจี้จ้ำไชในวันวานคล้ายยังก้องอยู่ข้างหู

‘ทางจิตวิทยาแล้ว บางครั้งภาษากายบอกได้ดีกว่าคำพูดอีกนะคะ อย่างมือเนี่ย การจับตามส่วนต่างๆของร่างกายก็ตีความแตกต่างกันไป เช่นถ้าเอามือจับผม ม้วนผมเล่น ขยี้ผม หรือเกาศีรษะ อาจแปลว่าคนคนนั้นกำลังเขินอาย ประหม่า ต้องการความสนใจจากอีกฝ่าย หรือต้องการสร้างระยะห่างกับคู่สนทนาอยู่ก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และสายตาของคนแสดงกิริยานี้มองอยู่ที่ไหน

‘ถ้าเลื่อนมือลงมาแตะแถวๆจมูกหรือริมฝีปาก อาจจะแปลว่าเจ้าตัวกำลังโกหก หรือมีบางสิ่งที่ต้องปกปิด ถ้ากอดอกสื่อถึงอาการต่อต้านหรือไม่ไว้วางใจ ประสานกันแถวๆหน้าท้องคือปิดกั้นตัวเอง ผายออกสองข้างห่างตัวแปลว่าเปิดกว้างพร้อมรับฟัง ถ้าเท้าเอวหมายถึงไม่พอใจ แต่ถ้าทำท่าเหมือนหยิบเศษผงออกจากตัว ไม่ว่าจะบริเวณไหนก็ตาม อันนี้คล้ายๆกับแก้เขินแก้เก้อประมาณนั้น เป็นไงคะ พอจำได้บ้างไหม’ บรรยายจบคุณครูจำเป็นก็ทำสีหน้าลุ้นๆรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ

นับจากการเข้ากลุ่มติวรวมกับเพื่อนๆในครั้งนั้น ผลการเรียนของเขากระเตื้องขึ้นในระดับที่น่าพอใจ และนั่นทำให้บทสนทนาของเผ่าภาคินกับเด็กไทยคนใหม่เริ่มทวีความถี่มากขึ้น จากการติวสัปดาห์ละหน เผ่าภาคินย้ายมานั่งหน้าห้อง บนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆมิสสิริณธรณ์แทน! ความห่างเหินเริ่มกลายเป็นคำศัพท์ในพจนานุกรมที่ไม่เคยถูกเปิดใช้ เมื่อความชิดใกล้เข้ามาแทนที่

เขาไม่เคยถามถึงไอ้หนุ่มที่คอยตามรับตามส่ง และรู้ดีว่าแพรวเพชรก็ไม่อยากพูดถึงเช่นกัน จากที่เคยโดดเดี่ยวจากเพื่อนร่วมชาติ เขาเริ่มเงี่ยหูสนใจฟังสิ่งที่คนไทยในซิดนีย์ซุบซิบกันมากขึ้น จนได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้น...นราธิป ไม่มีความหมายอะไรกับหญิงสาวเลย แม้บุพการีสองฝ่ายจะหมั้นหมายทั้งคู่ไว้ด้วยกัน แต่พันธนาการเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อแพรวเพชรมิได้รู้สึกรู้สากับชายหนุ่มสักนิด!

นานวันเข้าแพรวเพชรก็ยอมปริปากเล่าให้ฟังว่า มารดาของเธอและนราธิปเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อต่างฝ่ายต่างมีทายาทจึงหมายจะดองกันเอาไว้ แม้ฐานะทางครอบครัวแพรวเพชรจะด้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างเทียบกันไม่ติด แต่...เมื่อผู้ใหญ่ปักใจเช่นนั้น ใครจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้

แพรวเพชรกลายเป็นซินเดอเรลลาทั้งที่ไม่เต็มใจ จากชนชั้นกลางเธอต้องก้าวเข้าสู่สังคมใหม่โดยมีนราธิปคอยประกบเป็นเงาตามตัว และเพื่อ ‘ชุบตัว’ ให้หญิงสาวมีคุณสมบัติเทียมเทียบ ‘สามี’ มารดาของนราธิปจึงให้ทั้งคู่แต่งงานกันก่อนศึกษาต่อ แต่เพราะแพรวเพชรอิดออดขอผัดผ่อนให้เรียนจบก่อน ทั้งสองจึงถูกจับหมั้นกันไว้อย่างเป็นทางการก่อนเดินทางมาออสเตรเลียพร้อมกัน ผู้ใหญ่สองฝ่ายไม่กลัวสักนิดว่าลูกหลานจะชิงสุกก่อนห่าม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ความตั้งใจที่คาดไว้ในชั้นแรกก็ถือว่าสำเร็จสมใจเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ

หลังจากจบเทอมนั้นเผ่าภาคินยังลอบนัดพบกับแพรวเพชรสม่ำเสมอ โดยใช้หอสมุดเป็นสถานที่พบปะ ส่วนหญิงสาวก็อ้างว่าต้องทำรายงานและขอให้นราธิปไปรอรับที่นั่น

จากคนล่องลอย เรื่อยเปื่อย เผ่าภาคินกลับเริ่มมองหาอนาคต ปริญญาที่เคยไร้ความหมายกลับกลายเป็นเป้าหมายลึกๆในใจ เขาสนใจเรียน วิชาที่สอบตกแล้วตกอีกก็ได้แพรวเพชรมาช่วยติว บากหน้าเข้าเรียนวิชาคอมพิวเตอร์กับเด็กรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าสี่ห้าปี มุทำโปรเจ็กต์ส่งงานไม่เคยขาด

แพรวเพชรมิใช่แค่ลมใต้ปีกที่ผลักดันให้เขาอยากถีบตัวเองให้สูงขึ้น ดียิ่งขึ้น ควรค่ากับเธอมากขึ้นเท่านั้น
หากจะเปรียบ...แพรวเพชรเป็นเหมือนดวงตะวันที่สาดแสงขับไล่ความมืดมนออกจากหัวใจหม่นมัวของเขา เป็นสิ่งดีงามที่สุดเท่าที่ชีวิตผู้ชายธรรมดาสักคนจะมีโอกาสได้สัมผัส เธอมีน้ำใจ สวยงาม อ่อนหวาน น่ารัก เรียกได้ว่าเพียบพร้อมไปทุกอย่าง

แม้จะรู้ว่าตนต้อยต่ำ เทียบไม่ได้เลยกับว่าที่ดอกเตอร์ทายาทธุรกิจหมื่นล้าน...คู่หมั้นผู้สมบูรณ์แบบของหญิงสาว เขาแตกต่างทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สมบัติ แต่เขาไม่เคยดูถูกตัวเอง เผ่าภาคินเชื่อมั่น...ว่าสักวันเขาจะต้องดีพอที่จะได้ยืนเคียงข้างแพรวเพชรแน่นอน ขอเพียงแค่...เขาต้องเริ่มต้นเท่านั้นเอง

และวันที่เขาตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อในความสัมพันธ์ครั้งนั้นก็คือ...

‘ที่เพชรอธิบายมาเมื่อกี้ ทั้งเยอะแล้วก็ยากมากเลย ขออีกทีได้ไหม’ นักเรียนทำตาใสย้อนถามเมื่อสบโอกาส

‘อะไรนะคะ เพชรสรุปให้พี่เผ่าฟังตั้งยาวเหยียด พี่จำไม่ได้สักข้อเลยเหรอ’ พวงแก้มอิ่มเต็มนั้นพองออกนิดๆ ทำท่ากระเง้ากระงอดน่ารักนัก

‘จำได้ครับ แต่ไม่หมด’ เขาทวนเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เพิ่งผ่านหูให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนลงท้ายด้วยการบอก...

‘แต่บางอย่างก็จำไม่ได้ ไหนขออีกรอบซิว่าท่าทางแบบนี้แปลว่าอะไร’ เขาเอื้อมไปจับปอยผมสีดำขลับนุ่มลื่นที่เคลียอยู่ข้างแก้มหญิงสาวมาม้วนเล่น สบตาเธอนิ่งๆ ‘แบบนี้แปลว่าอะไรนะเพชร อธิบายอีกทีได้ไหม’

ดวงหน้าขาวใสแปรเป็นสีก่ำง่ายดาย ทว่าดวงตาเรียวคู่นั้นกลับถลึงมองเขาอย่างเคืองๆ

‘พี่เผ่าแกล้งเพชรหรือคะ’

คำถามนั้นทำให้อยากหัวเราะให้เต็มเสียงนัก ทว่าเพราะอยู่ในห้องสมุด จึงทำได้เพียงกลั้นเสียงหัวเราะไว้สุดความสามารถ เขาสบตาแพรวเพชรเนิ่นนาน ย้อนถามอย่างมั่นใจว่า ‘เพชรเรียกแปลกจัง ที่บ้านพี่แบบนี้เขาไม่เรียกแกล้งนะ เขาเรียกจีบ!’

‘พี่เผ่า...’ น้ำเสียงหวานสดใสรำพึงแผ่วด้วยอาการไม่แน่ใจ ขณะมือเล็กๆนั้นเงอะงะปัดชายเสื้ออย่างไร้ความหมาย

ก็ ‘อาจารย์’ เพิ่งสอนวิธีอ่านภาษากายไปแหม็บๆเมื่อกี้ ใครจะลืมได้ลงว่าอาการนั้นแปลว่าเธอกำลังประหม่า และเผ่าภาคินก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป

‘พี่ชอบเพชร’ น้ำเสียงหนักแน่นย้ำชัดถึงทุกความรู้สึกในหัวใจ ‘ชอบมาก...และมั่นใจว่าในไม่ช้าความชอบนั้นจะต้องเปลี่ยนเป็นความรักแน่นอน’

‘พี่เผ่า...’ สงสัยเธอจะพูดเป็นแค่คำเดียว ดวงตาเรียวช้อนขึ้นสบมองเขาด้วยอาการตกตะลึง

เผ่าภาคินแตะปลายนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตนเอง แล้วเลื่อนไล้แผ่วเบาไปบนพวงแก้มร้อนฉ่าของหญิงสาวอย่างอ้อยอิ่งอาวรณ์ งึมงำแค่ ‘มัดจำไว้ก่อนนะ’

แพรวเพชรไม่ตอบ มือที่ยกขึ้นมาคว้ามือเขาไว้เย็นเฉียบ ขณะอีกมือเสจับผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าเสี้ยวหนึ่งไปทัดหู!

‘จำได้แล้ว เมื่อกี้เพชรบอกว่า ถ้าเสเอามือเล่นผมแปลว่ากำลังประหม่า’ เขาแต้มยิ้มกว้างบนใบหน้า มั่นใจ...ว่าคงไม่มีวันลืมความรู้สึกในวินาทีนั้นไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลือ

ใช่! ไม่ลืม ความทรงจำนั้นยังตราแน่นติดในใจ...จนวันนี้

เผ่าภาคินกวาดมือปัดของตรงหน้า ตามด้วยทุบลงบนโต๊ะอย่างลืมตัว!

เพล้ง!

“ว้าย!”

พร้อมกับเสียงนั้นคืออาการปวดแปลบที่แล่นจี๊ดตรงสันมือ ชายหนุ่มกะพริบตาปริบมองมือตนเองอย่างงงๆ เมื่อเห็นโลหิตแดงฉานหยาดลงมาตามท่อนแขนเป็นทาง ผ้าปูโต๊ะสีครีมพิมพ์ลายขนมปังบัดนี้เปื้อนน้ำใบเตยเป็นวงกว้าง ขณะหยดเลือดกระเซ็นลงเป็นหย่อมๆ บ้างปนเจืออยู่กับคราบน้ำ เศษแก้วบางชิ้นยังคงค้างอยู่บนโต๊ะ ขณะส่วนที่เหลือตกลงบนพื้น

เบื้องหน้าเขา นวลนรียกมือทาบอกด้วยความตกใจ ท่าทางละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้สติก็รีบวิ่งไปเปิดตู้เหนือเคาน์เตอร์ฝั่งชิดผนัง ฉวยผ้าขาวบางติดมือไว้ จากนั้นกดกริ่งรัวเร็ว ระหว่างรอพนักงานออกจากครัว หญิงสาวคว้ามือเผ่าภาคินมาพันผ้าแล้วมัดไว้แน่นพอสมควร

เด็กในร้านวิ่งหน้าตื่นมารอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

“พี่จะพาคุณเผ่าไปโรงพยาบาล เธอทำความสะอาดเศษแก้วพวกนี้แล้วออกมาอยู่เฝ้าหน้าร้านชั่วคราวก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับมา”เจ้าของร้านหยิบกระเป๋าสตางค์ หันมาทางชายหนุ่ม “ไปกันเถอะค่ะพี่เผ่า”

“ใส่ยาแล้วพันแผลไว้ก็พอน่านวล ไม่ต้องลำบากหรอก”

“แผลลึกขนาดนี้ ไปโรงพยาบาลหน่อยเถอะค่ะ เผื่อจะต้องเย็บ” เธออ้อนวอนจนเกือบจะเป็นการขอร้อง

กิริยาห่วงใยและเอื้ออาทรจากหญิงสาวเป็นคล้ายชิ้นส่วนที่ขาดหายไปจากชีวิตเขาแสนนาน นาน...เท่ากับระยะเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นหันหลังไปสู่อ้อมกอดของผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผู้ชายที่มีดีกว่าเขาแค่ข้อเดียว...เงิน และผู้หญิงสารเลวคนนั้นก็ ‘กำจัด’ เขาจากเส้นทางของเธอง่ายดาย ไม่มีอาการลังเลสักนิด

หลังผ่านพ้นมรสุมใหญ่ เอาชีวิตรอดจากบาดแผลทั้งทางกายและทางใจในวันนั้น เขากอบเก็บทุกความแค้น ความเกลียดชัง ความต่ำต้อยด้อยค่า ความเจ็บปวด และความหดหู่แสนทรมาน เปลี่ยนแปรเป็นพลัง เผ่าภาคินทุ่มเททำงานหัวไม่วางหางไม่เว้น สร้างเนื้อสร้างตัวทั้งหมายจะลบคำสบประมาท และถ้ามีโอกาสก็ตั้งใจว่าจะกลับมาเย้ยหยันทุกคนที่เคยปรามาสดูถูกเขาไว้ กลับมา...ทวงคืนทุกสิ่งที่เขาสูญเสียและ ‘เกือบ’ จะสูญเสียไป!

ปีเศษหลังจากนั้นเผ่าภาคินมาประชุมธุรกิจที่เมืองไทย ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าแพรวเพชรกลับบ้านแล้ว มิใช่ตัวเปล่า แต่หอบลูกสาววัยแรกเกิดจากออสเตรเลียกลับมาจัดงานแต่งงานกันเอิกเกริกออกนอกหน้าด้วย!
ชายหนุ่มเติมเชื้อแห่งความเจ็บช้ำลงในใจ ยิ่งสุมรุมเพลิงแค้นให้ลุกโหมแผดเผาเร่าร้อนจนยากจะดับได้ง่ายๆ และเขารู้ดีว่าหากพบชายหญิงคู่นั้น เขาคงไม่รอช้าที่จะฆ่าเสียให้ตายตกไปตามกัน

กระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าวัดไทยที่ซิดนีย์ ธรรมโอสถในวันนั้นค่อยๆประพรมลงในเนื้อหัวใจจนความเจ็บปวดค่อยทุเลาลง และเริ่มกลายเป็นเพียงภาพอดีตแสนไกลไปทีละน้อย กาลเวลานำพาความยับยั้งชั่งใจเข้ามาแทนความเกลียดชัง เขาจึงได้รู้ว่าตนเองเหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งไล่คว้าเงาที่จับต้องไม่ได้ ทุกอย่างสายเกินกว่าเขาจะกลับไปแก้ไขได้แล้ว และถ้อยคำที่ทำให้ได้สติก็เห็นจะเป็นคำสอนของพระคุณเจ้าที่บอกว่า

‘โยมจะเก็บเรื่องเก่ามาเร่าร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทำไมกัน บางทีฝ่ายนั้นเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ลืมเรื่องทุกอย่างไปหมดแล้วด้วยซ้ำ เจ็บไปก็ทุกข์ไปอยู่คนเดียว ชีวิตไม่มีความสุขเลยสักขณะหายใจ วางเสียเถิด...ไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่โยมแม่บ้าง เห็นลูกเป็นทุกข์อย่างนี้ แม่ที่ไหนจะมีความสุข’

การต้องเห็นมารดาทุกข์ทรมานกับโรคซึมเศร้าทั้งยังทรุดหนักลงเรื่อยๆ เตือนให้เขายุติความเร่าร้อนในจิตใจลงในที่สุด วันที่ตัดสินใจเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอีกครั้ง ชายหนุ่มเชื่อว่าตัวเองลืมทุกเรื่องราวในอดีตได้หมดแล้ว เขาแต่งตั้งคนสนิทให้ดูแลกิจการบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ออสเตรเลีย แล้วย้ายกลับมาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทสาขาใหม่ในประเทศไทยจนเข้าที่เข้าทาง

หลายเดือนที่ใช้ชีวิตตามปกติ เผ่าภาคินเริ่มต้นคบหากับนวลนรีซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ เธออ่อนหวาน อ่อนโยน เป็นผู้หญิงแบบที่ทำให้คนอยู่ใกล้รักได้ไม่ยากเลย ยิ่งใกล้ชิดนวลนรี ความรู้สึกดิ้นรนอยากเป็นอยากมีเพื่อเทถมปมด้อยในหัวใจก็ค่อยๆลดน้อยลง ในที่สุดเมื่อมารดาเร่งรัดบ่นว่าอยากอุ้มหลานเต็มที ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่าพร้อมจะลงหลักปักฐานกับสตรีที่เพียบพร้อมแล้วเช่นกัน เพียงแต่เขายังไม่สบโอกาสดีๆที่จะเอ่ยปากขอนวลนรีแต่งงานให้เป็นเรื่องราวเท่านั้นเอง

แต่แล้วจดหมายข่าวสั้นๆที่บังเอิญอ่านพบว่าไฮโซสาวและเพื่อนสนิทตัดสินใจเปิดบริษัทจับคู่ก็เปลี่ยนโฉมหน้าทุกอย่างไปอีกครั้ง เขาแค่อยากไปเห็นหน้าผู้หญิงใจร้ายเห็นแก่เงินเป็นครั้งสุดท้าย เห็น...เพื่อให้มั่นใจว่าไม่รู้สึกรู้สากับแผลเก่าๆเหล่านั้นแล้ว มิคาด...หัวใจกลับดื้อดึง ไม่อาจบังคับได้ดังใจ เพราะเพียงแวบเดียวที่เห็น เผ่าภาคินจึงรู้ว่ารักยังอยู่ตรงนั้น ยังอยู่ที่เดิม ไม่เคยจืดจางร้างราหรือลดน้อยถอยลงเลยสักนิด บางทีอาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ

เผ่าภาคินตัดใจหันหลังกลับมา ไม่อยากสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้ เขาซมซานกลับมาหานวลนรี ใช้ความอ่อนหวานของเธอเป็นน้ำทิพย์รดประโลมหัวใจที่เร่าร้อน อ่อนแอ และพ่ายแพ้!

แต่แล้วพระพรหมกลับรังแกกันอย่างเหลือเชื่อ เมื่อท่านหมุนวนเส้นทางของแพรวเพชรให้มาบรรจบกับเขา คล้ายวงเวียนที่ไม่ว่าจะเดินเร็วหรือช้าแค่ไหน สุดท้ายก็วนกลับมายังจุดเริ่มต้นเสมอ

หรือบางทีมันอาจเหมือนวงล้อแห่งกรรมอย่างที่พระคุณเจ้าเรียกว่ากงเกวียนกำเกวียนก็เป็นได้ ใครทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับสิ่งนั้นเป็นการตอบแทน!
.
.
.
.
.
ห้องพักกว้างขวางแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยตู้โชว์กระจกสีเข้มเปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำ ขณะส่วนอื่นๆปิดไฟเกือบหมด มีเพียงแสงสีจากจอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ที่ฝังติดผนังด้านหนึ่ง บนโซฟาหนังสีครีมตัวใหญ่วางหมอนสีขี้ม้าไว้เป็นระยะ บัดนี้มีใครบางคนนั่งอยู่บนนั้น แขนทั้งสองเท้าอยู่ที่เข่า มือข้างหนึ่งพันด้วยผ้ากอซสีขาวรัดกุม ขณะอีกข้างถือโทรศัพท์ สายตาคมกร้าวเพ่งมองโทรศัพท์มือถือเนิ่นนาน

ในที่สุดเผ่าภาคินก็กดเลือกรูปถ่ายหนึ่งขึ้นมา แล้วภาพสตรีรูปร่างแบบบางสูงเพรียวในชุดเดรสลูกไม้สีชมพูกลีบกุหลาบโอบอุ้มแจกันดอกลิลี่ไว้ โดยมีผู้ชายอีกคนเอื้อมตัวมาแตะริมฝีปากกับพวงแก้มนวลอย่างฉาบฉวยบนหน้าจอ ก็สร้างความขมปร่า ปวดร้าว เจ็บลึก เช่นเดียวกับร่องรอยที่กรีดบาดแผลไว้ในหัวใจได้ดังคาด

กรามทั้งคู่ขบกันรุนแรง ขณะมือที่ถือโทรศัพท์อยู่กำแน่นจนเห็นรอยเส้นเลือดปูดโปน หากของในมือมิได้ทำจากวัสดุชั้นดี ก็อาจแหลกลาญกลายเป็นภัสมธุลีได้ไม่ยาก รอยชิงชังจุดวาบขึ้นในดวงตาคู่นั้นรวดเร็วราวเพลิงโหม ดวงตาคมวาววับหรี่นิดๆอย่างหมายมาด

“เมื่อเธอตีหน้าไร้เดียงสาฆ่าฉันอย่างเลือดเย็นได้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องปรานีเธอเหมือนกัน แพรวเพชร! ใครทำร้ายฉัน ฉันไม่ปล่อยให้มีความสุขได้ง่ายๆหรอก ฉันจะสอนให้ทุกคนได้รู้จักกับความเจ็บปวดมากกว่าที่ฉันเคยเจอ”

เผ่าภาคินมองมือที่พันผ้ากอซสีขาวไว้จนหนาเตอะด้วยอาการชั่งใจเนิ่นนาน ก่อนจะขยับนั่งตัวตรง ทอยโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้วใช้มือที่ว่างบีบรอยแผลแรงขึ้นทีละนิดจนหยาดโลหิตหยดซึมบนผ้าสีขาวเป็นดวงเล็กๆและขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ อาการเจ็บแปลบแผ่จากแผลนั้นแล่นไปถึงข้อศอก แต่ชายหนุ่มมิได้รามือลงสักนิด เขากัดริมฝีปากแน่น ข่มความเจ็บปวด ไม่ยอมให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา

“จำความเจ็บปวดนี้ไว้ไอ้เผ่า จำให้ขึ้นใจเลยว่าเจ็บกว่านี้แกก็รอดตายมาแล้ว บางที...นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตที่กำหนดให้แกได้กลับมาเอาคืนไอ้คนใจร้ายพวกนั้นก็ได้” น้ำเสียงกร้าวเหี้ยมเกรียมคั่งแค้นรุนแรง

ในที่สุดเผ่าภาคินก็ปล่อยมือ เหยียดริมฝีปากจนแทบเป็นเส้นตรง ดวงตาเพ่งมองรอยโลหิตแดงฉานบนผ้าพันแผลฉายประกายสะใจ รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงเลศนัยชัดเจน

เกือบสี่ปีก่อนเขาปล่อยเธอเดินจากไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้นง่ายๆ ยอมให้เธอเขี่ยเขาทิ้งราวกับเศษทิชชูเก่าๆที่ไร้ความหมาย แต่วันนี้เธอหลงเวียนวนกลับเข้ามาในชีวิตเขาเอง ช่วยไม่ได้หากเขาจะเริ่มคิดถึง...การชดใช้

และนี่ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จากวันนี้เป็นต้นไป แพรวเพชรยังจะได้เจอเรื่องน่าแปลกใจ เจ็บปวด และผิดหวังมากกว่าที่รู้สึกในวันนี้เป็นร้อยเท่าพันทวี

สัญญา!



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2556, 00:48:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2556, 00:48:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1917





<< ตอนที่ ๒   ตอนที่ ๔ >>
สิริณ 26 ก.พ. 2556, 00:53:19 น.
อ่านจบ อย่าลืมกดไล้ค์ เป็นกำลังใจให้คนเขียนคนละทีด้วยนะค้า :D


Auuuu 26 ก.พ. 2556, 01:04:59 น.
อยากรูปมในอดีตจังแฮะ
ป.ล. สอบถามเล็กน้อยค่า ว่าจะลงเรื่องนี้จนจบไหมคะ


พันธุ์แตงกวา 26 ก.พ. 2556, 05:30:23 น.
พี่เผ่าถูกใครทำร้ายกันแน่หนอ ทำไมถึงคิดว่าเพชรเป็นคนทำ สงสารเพชรจัง


ใบบัวน่ารัก 26 ก.พ. 2556, 06:41:02 น.
อาไรกันสับสน ใครแกล้ง


หมูอ้วน 26 ก.พ. 2556, 13:32:12 น.
ตามติดค่ะ ลูกของพี่เผ่าอ่ะป่าวเอ๋ย


nunoi 26 ก.พ. 2556, 14:44:25 น.
ใครนะ ที่ทำให้สองคนนี้ต้องขาดกัน


supayalak 26 ก.พ. 2556, 18:03:56 น.
ลุ้น ลุ้น ลุ้น ตอนต่อไปค้าาาาา


Pat 26 ก.พ. 2556, 20:36:38 น.
ลูกพี่เผ่าแน่เลย แต่ปมอะไรหนอทำให้คนรักกันเข้าใจกันผิดไปได้ขนาดนี้น้อ


heartlogue 27 ก.พ. 2556, 13:30:24 น.
ดูเหมือนว่าเข้าใจกันคนละอย่าง


ทราย 14 มี.ค. 2556, 18:44:04 น.
น้องกาน เป็นลูกพี่เผ่าหรือเปล่านะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account