นางบำเรอตีทะเบียน By อัญจรี น้ำจันทร์
คำโปรยหน้า

บุพเพฤาชะตา ที่นำพามาพบเจอ

หน้าที่เมียบำเรอ เขาให้เธอจำขึ้นใจ

ฉากหน้าแสนโสภา ภรรยานิตินัย

ฉากหลังนั่งร้องไห้...นางบำเรอตีทะเบียน



คำโปรยหลัง

เมื่อความรักที่มีไม่ได้รับความเห็นชอบจากมารดาที่รัก

วาโย จึงต้องหาใครสักคนมาแก้แค้นผู้เป็นมารดาให้สมกับที่ท่านกีดกันเขาและสาวคนรักออกจากกัน

ละอองดาว คือผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น เพราะหล่อนไม่ใช่ไฮโซ ไม่ใช่ลูกผู้ลาภมากดี

หล่อนเป็นเพียงแค่ โสเภณี ที่เขาบังเอิญถูกชะตา

วาโยไม่รอช้าจดทะเบียนตีตรากับหล่อนเพื่อประชดมารดาในทันที

โดยหารู้ไม่ว่าแม่โสเภณีที่เขาซื้อมาหล่อนยังไร้ ราคี!



สามปีให้หลังเมื่อสัญญานางบำเรอสิ้นสุดลง ละอองดาวดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะสัญญาที่ไร้รัก

แต่ทว่าสามีผู้หลงใหลในเรือนร่างคุณภรรยา กลับไม่ยอมหย่าให้!



เวลาต่อมา

เมื่อสตรีที่วาโยรักนักรักหนากำลังจะดับดิ้นสิ้นลมหายใจ เขาจึงอยากจะได้ใบหย่าไปให้สาวเจ้าชื่นชม

แต่ทว่า ตอนที่เธออยากหย่าเขาไม่ยอมหย่าให้ ตอนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้มันไป เช่นกัน!

ความเจ็บปวดใดๆ ที่สามีเคยทำไว้กับภรรยา นาทีนี้ก็เตรียมตัวรับความเจ็บปวดเช่นนั้นกลับไป สองเท่าตัว!




ชื่อเดิม โสเภณีตีทะเบียน -> คมทันฑ์สิเน่หา -> มาจบที่ นางบำเรอตีทะเบียน ค่า
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามมิให้ผู้ใดทำซ้ำหรือดัดแปลงแก้ไข ใครอุบอิบเอาของเขาขอให้แฟนทิ้งแฟนมีหญิงใหม่ สาธุ ^/\^

เตรียมใจตั้งแต่เนิ่นๆ นิยายอัพถึงบทที่ 15 นะคะ อาจจะแถมให้ถึง 16 ถ้าคนอ่านช่วยกระหน่ำไลค์ แต่เรื่องอัพจบคงไม่อัพจบค่าเพราะนิยายเรื่องนี้อัพมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ยังให้กำลังใจกันด้วยดี ป,ล ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยจร้า นักเขียนตัวน้อยยังด้อยประสพการณ์ ^/\^
Tags: ตีพิมพ์สำนักพิมพ์ธราธร

ตอน: บทที่ 2 เจ้าของสายลม 100%

ทุกคนมาถึงเรือนหลังน้อยในเวลาต่อมา และภาพของละอองดาวในชุดนอนค่อนข้างบางนอนสลบแน่นิ่งอยู่บนพื้นกระเบื้องในห้องน้ำ ก็ทำให้นางวิภาแทบลมจับ กุมภัณฑ์รีบเข้าไปช้อนร่างพี่สะใภ้คนงามออกมาหวังว่าจะช่วยพาร่างไร้สติขึ้นมานอนบนเตียง แต่แล้วเสียงทรงอำนาจของผู้มาใหม่ซึ่งไม่รู้ว่าตามมาตั้งแต่ตอนไหน ก็ร้องสั่งเสียงดังจนเขาไม่กล้าขยับเขยื้อนเรือนกาย
“นั่นนายจะทำอะไรนายยักษ์!”
วาโยตวาดกุมภัณฑ์เสียงกร้าว เขาแทบกระโจนเข้าใส่ร่างสูงใหญ่ของน้องชายด้วยว่าสองแขนและสองมือของกุมภัณฑ์นั้น รองรับร่างบอบบางของผู้เป็นภรรยา
“ส่งเธอมาให้ฉันซะถ้านายยังอยากแก่ตาย” เสียงห้วนผ่อนลงมาระดับกระซิบ เพราะไม่อยากให้มารดาได้ยิน
น้องชายแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อเห็นพี่ชายโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พี่ชายที่ใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์อยู่เป็นนิจจะล่วงรู้บ้างไหมหนอ ว่าเวลาโมโหหึงนั้นหน้าตาท่าทางตัวเองเป็นเช่นไร
กุมภัณฑ์รีบส่งร่างพี่สะใภ้ให้พี่ชาย วาโยรับร่างนั้นไปวางบนเตียงอย่างเบามือก่อนจะเรียกนกเอี้ยงให้โทรตามหมอ
“เป็นไข้จริงๆ ใช่ไหมตาโย?” นางวิภาถามอย่างร้อนใจ คิ้วเรียวสวยด้วยเครื่องแต่งแต้มขมวดเข้ากันอย่างเป็นกังวล
“คงอย่างนั้นกระมังครับ คุณแม่กลับขึ้นตึกเถอะเดี๋ยวติดไข้จะแย่เสียเปล่าๆ” วาโยบอกเพราะนึกห่วงมารดาจริงๆ แต่มารดานั้นเล่ากลับคิดว่าบุตรชายเช่นเขาประชดประชันอยู่ร่ำไป เห็นได้จากคำตอบรับของนางนี่ไงเล่า
“ไม่ต้องมาไล่หรอกน่า ฉันก็ห่วงลูกสะใภ้เป็นเหมือนกันนะ เห็นกระเตงกันไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้วทำไมไม่ดูแลกันให้ดีฮึตาโย ยังไงซะก็เป็นผัวเมียกันแล้ว ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ” นางวิภาเคืองแทนลูกสะใภ้ แม้ว่าจะไม่ยินดีในพื้นเพทางสังคมของละอองดาว แต่ในฐานะที่เป็นเพศแม่เหมือนกัน นางทนเห็นบุตรชายผิดต่อละอองดาวมามากพอแล้ว
“คุณแม่ครับ ผมจะไม่คุยเรื่องนี้กับคุณแม่อีก ถ้ามีคนต้องผิดในเรื่องนี้ก็คงต้องเป็นคุณแม่ เพราะถ้าคุณแม่ไม่บังคับให้ผมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก ผมคงไม่ดึงละอองดาวมาเกี่ยวด้วยแน่ๆ”
“ตาโย!” นางวิภาร้องขานชื่อบุตรชายอย่างสุดจะทน กุมภัณฑ์เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ขณะที่นางเจรียงควานหายาดมยาหม่องมาจ่อจมูกให้เจ้านาย
“เอ่อ...ผมว่าพี่สะใภ้ควรได้พักผ่อนนะครับ เราออกไปรอฟังอาการที่บนตึกดีกว่านะครับคุณแม่ ถ้าลุงหมอมาเราก็จะเกะกะลุงหมอเปล่าๆ ไปเร็วครับป้าเจรียงช่วยพาคุณแม่ไปที” ชายหนุ่มรุนหลังมารดาที่ยังส่งสายตาขุ่นขวางให้พี่ชาย เขาอยากจะหายตัวจากสถานการณ์ตรงหน้านี้จริงๆ ทำไมถึงไม่มีใครยอมลงให้กันสักทีก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หรือว่าที่มันไม่จบก็เพราะพี่สาวที่ชื่อวีนุตตราคนนั้น หากไม่มีหล่อนสักคนครอบครัวเขาคงมีความสุขมากกว่านี้แน่ๆ
กุมภัณฑ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความคิดเมื่อครู่ทำเอาเขาเริ่มรังเกียจตัวเอง นั่นเพราะหากไม่มีวีนุตตราคนนั้น มันก็เท่ากับว่าเขากำลังแช่งให้เจ้าหล่อน สิ้นลมหายใจ

วาโยนั่งรอคุณหมอประจำบ้านมาตรวจอาการภรรยา เขานั่งรออยู่หลายสิบนาทีจึงได้เห็นสาวใช้เดินนำหน้าคุณหมอสูงวัยขึ้นมาบนเรือน
คุณหมอรีบเข้าไปตรวจอาการคนไข้ทันที และหลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้รู้ว่าเจ้าหล่อนป่วยเป็นอะไร
“ไข้หวัดใหญ่หรือครับ” เขาทวนคำตอบอีกครั้ง
“ครับคุณโย ลุงฉีดยาให้แล้ว ถ้าคืนนี้อาการไม่ทุเลารีบพาไปโรงพยาบาลเลยนะครับ”
วาโยพยักหน้าให้กับลุงหมอ ท่านเป็นคุณหมอให้กับตระกูลจตุรศิลป์มานับตั้งแต่เขาจำความได้
ชายหนุ่มสอบถามอาการภรรยาชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปส่งลุงหมอที่ตึกใหญ่เพราะท่านคงอยากสนทนากับคุณวิภามารดาเขาต่อแน่ๆ
วาโยวกกลับมายังเรือนหอหรือเรือนไม้หอมอีกครั้ง ที่นี่ยังคงงดงามด้วยพรรณไม้ที่ละอองดาวสรรหามาปลูก บางต้นเขาจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนมันสูงเท่าเข่าเขาเท่านั้น แต่วันนี้มันสูงเลยศีรษะเขาเสียแล้ว สองขาแข็งแรงค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนอนช้าๆ ในขณะที่สมองก็เฝ้าไถ่ถามหัวใจว่าละอองดาวนั้นสำคัญต่อเขา...ใช่หรือไม่?
ความเป็นจริงอีกข้อที่เพิ่งสำนึกได้ก็คือว่าเขาได้ละทิ้งให้ละอองดาวอยู่ที่นี่เพียงลำพังมานานเพียงไร ทุกครั้งที่เขาต้องการหล่อนก็จะเรียกหล่อนขึ้นไปหาบนตึก ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เคยอิดออด มันเป็นอย่างนี้มาตลอดสามปี ละอองดาวเป็นเหมือนไม้แขวนเสื้อยามที่เขาต้องพาหล่อนออกร่วมงานสังสรรค์ของวงสังคม หล่อนเป็นได้ทุกอย่างตั้งแต่ภริยาผู้สวยสง่ายามออกงานสังคม หรือแม้กระทั่งโสเภณีข้างถนนยามที่เขาโรมรันหล่อนอยู่บนเตียง
ร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายเข้าไปนั่งชิดร่างบอบบาง ละอองดาวนอนแบ็บอยู่บนเตียง ใบหน้านั้นซีดเซียวไร้สีเลือด กระนั้นก็ไม่มีความเจ็บไข้ใดๆ จะพรากความงดงามบนรูปหน้านี้ออกไปได้ หล่อนหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ พิษไข้คงทำให้หล่อนหลับไปถึงช่วงบ่าย เขามีบางเรื่องอยากคุยกับละอองดาวเหลือเกิน บางเรื่องนั้นสำคัญทีเดียว ไม่สิมันสำคัญมากๆ ด้วย เพราะมันหมายถึงการลงนามสู่อิสรภาพที่หล่อนร้องขอ และเขาก็หวังว่าหล่อนจะไม่บิดเบือนความจริงที่หล่อนเคยเอ่ยมันออกมาเอง หวังว่าหล่อนจะไม่เปลี่ยนใจแล้วยอมเซ็น ใบหย่า ให้เขาแต่โดยดี

สายๆ ของวันเดียวกัน
กุมภัณฑ์ จตุรศิลป์ ลุกจากเตียงที่เขานอนพักเอาแรงตั้งแต่เมื่อเช้า อาการเมาค้างเริ่มทุเลาแต่ยังมีสมองบางส่วนที่ยังปวดตุบๆ เขาก้าวลงจากเตียง บิดขี้เกียจเล็กน้อย แต่กระนั้นกระดูกก็ส่งเสียงลั่นกรอบแกรบ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างคราบสกปรก เหงื่อไคลและคราบความใคร่ของอิสตรีออกไปให้หมดสิ้น เมื่อคืนเขาดื่มหนักไปหน่อยจนไม่สามารถขับรถมาถึงบ้านได้ ต้องอาศัยห้องของสาวๆ ในสต็อกหลับนอนชั่วคืน กระนั้นพอตื่นเขาก็รีบบึ่งรถกลับบ้านทันที เพราะบ่ายวันนี้ เขามีประชุมสำคัญจะหลบเลี่ยงไม่ได้
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พากายกำยำแต่งองค์ทรงเครื่องจนเรียบร้อย ก่อนจะลงมาจากชั้นบน เขากำลังจะออกไปบริษัท มันยังไม่ถึงเวลาเขารู้ดี แค่อยากมั่นใจว่าวันนี้ตัวเองจะไม่พลาดการประชุม
ภายในห้องรับแขก
“ไม่ไปแล้วค่ะป้าเจรียง หนูเกลียดจริงๆ เลย ไอ้พวกเจ้านายหัวงู แม่ไม่แจ้งตำรวจจับก็บุญแล้ว!” น้ำคำที่พ่นออกมาเพื่อระบายความในใจนั้น เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเดาว่างานนี้แม่กวางน้อยคนงามหล่อนคงจะตกงานอีกแล้ว
“โธ่ ป้าว่านะ ใครได้หนูกวางเป็นเลขาก็อดเจ้าชู้ใส่ไม่ได้หรอกจ้า” เสียงมารดาที่รักเอ่ยเย้าสาวคราวลูก ครานี้เขาได้ยินเสียงเจ้าหล่อนหัวเราะร่าอย่างพออกพอใจ
“คุยอะไรกันอยู่หรือครับ น่าสนุกจัง” เขาก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อร่วมวงสนทนา เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วมารดาเขายังนั่งสนทนากับลุงหมอหน้าดำคร่ำเครียดจนเขาต้องขอปลีกตัวขึ้นห้อง แต่ดูเวลานี้สิ จานเรดาร์ คงบานน้อยกว่าใบหน้าคุณวิภาคนงามกระมัง
“อ้าว คุณยักษ์ตื่นแล้วหรือคะ เอากาแฟไหมคะป้าไปชงให้เดี๋ยวเดียว” นางเจรียงบอกแล้วตั้งท่าจะลุกจากเก้าอี้ แต่หลานสาวกลับห้ามไว้ด้วยการยื้อแขนเหี่ยวๆ ด้วยว่าหล่อนไม่ต้องการให้ญาติผู้ใหญ่ของตนต้องลำบาก
“เดี๋ยวหนูชงเองค่ะ ป้านั่งเฉยๆ บ้างก็ได้ เดี๋ยวได้กระดูกเคลื่อนพอดีเพราะคอยแต่จะรับใช้เด็กไม่รู้จักโตคนนี้” หญิงสาวแขวะอริทันทีที่พบหน้า หล่อนค้อนฟ้าค้อนลมไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่กล้าค้อนใส่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน
“ยัยกวาง” นางเจรียงเอ็ดหลานสาวเสียงดังเล็กน้อย แม้ว่าหลานสาวจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่อย่างไรเสียเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทำให้เจ้าหล่อนได้ร่ำเรียนจนจบปริญญามันก็ของเจ้านายของนางทั้งนั้น สิมันตรา ไม่ควรเสียมารยาท เพราะอย่างไรเราก็ทาสในเรือนเบี้ยดีๆ นี่เอง
“หนูขอโทษค่ะคุณท่าน” สิมันตรายกมือไหว้คุณวิภา แต่นางส่ายศีรษะบอกว่าไม่เป็นไร
“ช่างเถอะจ้ะ ถ้าฉันเป็นกวาง ฉันก็อยากลากป้าแก่ของฉันออกไปให้พ้นๆ เจ้าเด็กโข่งของฉันเหมือนกัน ไม่รู้จักโตจริงๆ นั่นล่ะ สงสัยต้องหาเมียให้สักคนจะได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง หึๆ”
หญิงสูงวัยกล่าวไปโดยไม่คิดจริงจัง แต่มันกระทบหัวใจบางๆ ของสิมันตราเข้าโครมเบ้อเร่อ หญิงสาวหน้าเจื่อนเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากกุมภัณฑ์คนเดียว และเมื่อหล่อนขอตัวไปชงกาแฟให้เขา ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า ก้าวขาตามไปทันที!

บริเวณบาร์เครื่องดื่มซึ่งยื่นส่วนหน้าออกมาจากห้องครัวแบบฝรั่ง สิมันตรากำลังชงกาแฟให้เจ้านายของป้าเจรียงอย่างกระแทกกระทั้น น้ำตาลกับครีมเทียมหกเรี่ยราด เจ้าตัวต้องใช้มือปัดมันทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า
“โธ่เว้ย! อยากกินกาแฟทำไมไม่มาชงเองวะ!”
หญิงสาวสบถเสียงดัง สาวใช้ที่เดินวนไปเวียนมาบริเวณนั้นเยี่ยมหน้าเข้ามามองด้วยความสงสัยว่าสิมันตราเป็นอะไรหรือเปล่า ก่อนจะล่าถอยไปเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไร ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนรู้จักเธอดี โดยเฉพาะ...เขา
“ก็มีกวางป่าหน้ามนมาชงให้ แล้วฉันจะชงเองทำไมล่ะจ๊ะ ที่รัก” เสียงหวานที่ดังขึ้นเป็นประโยคที่ฟังคล้ายๆ เกี้ยวพาราสีทำให้สิมันตราต้องเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคือง
“คราวหน้าฉันจะใส่เกลือแทนน้ำตาล” หล่อนว่าแล้วกระแทกถ้วยกาแฟลงตรงหน้าเขา ชายหนุ่มยกขึ้นมาจิบอย่างไม่ยี่หระในกิริยากระแทกกระทั้นนั้น และคลี่ยิ้มพร่างพรายเมื่อได้รับรสชาติกาแฟที่ถูกใจ
“อืม...อร่อยจัง หวานพอดี๊ พอดี” เขายั่วยิ้มพริ้มเพรา สองตาเจ้าชู้โลมเลียมร่างอรชรตรงหน้าราวกับอยากกลืนกินหล่อน ทั้งยังวาววับประดุจสายตาของยักษ์ใหญ่ยามเพ่งมองเรือนร่างสมันสาวแถมเขี้ยวเสน่ห์ที่แพลมออกมาให้เห็นรำไรทั้งสองข้างยิ่งเสริมให้เขาหล่อเหลาขึ้นไปอีก
“อย่ามายอเสียให้ยาก ฉันไม่ใช่สาวๆ ของคุณนะคุณยักษ์ ยอยังไงก็ไม่ขึ้นหรอกย่ะ ถอยไปได้แล้วฉันจะออก” เธอสั่งให้เขาหลีกทาง แต่นายยักษ์ปักหลั่นไม่ยอมถอยแต่อย่างใด
“คุณยักษ์ อยากตายรึไง!?” เธอแหวลั่นเมื่อเขาวางถ้วยกาแฟไว้บนบาร์ แล้วเดินหน้าดันร่างเธอจนชิดติดฝาผนัง กักกันร่างเธอเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งซึ่งยกมาค้ำยันผนังเหนือศีรษะเธอ
“เธอนั่นแหละอยากตายหรือไงถึงได้มาว่าว่าฉันเป็นเด็กไม่รู้จักโต ปากอย่างนี้ไง ทำงานที่ไหนถึงโดนไล่ออก” เขาว่าโดยใช้เสียงเยาะหยันเล็กน้อย หน้าตาท่าทางห่างจากเมื่อสักครู่ลิบลับ
สิมันตราหน้าแดงก่ำ หล่อนโกรธที่ถูกประณาม แต่ที่โกรธกว่านั้นคือใบหน้าคมเข้มนั้นเลื่อนต่ำลงมาหายใจรดปลายจมูกเธอ...มันจะใกล้เกินไปแล้วนะนายยักษ์จอมหื่น
“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้บ้านแตกเลย”
สิมันตราขู่ฟ่อทั้งที่ไม่เห็นทางจะเป็นไปได้ และกุมภัณฑ์ก็ไม่ให้หล่อนทำจริงๆ เพราะเขาจับใบหน้าเนียนให้แหงนเงยขึ้นก่อนจะประทับจุมพิตอันหนักหน่วงและเรียกร้องบนริมฝีปากเต็มตึงของสิมันตราอย่างโหยหิว ดูดดึงอย่างต้องการลิ้มรสชาติที่ถวิลหามานาน
“อื้อ...อืม...” เริ่มแรกนั้นสิมันตราดิ้นเร่าด้วยความตกใจ ทว่าพอผ่านไปชั่วนาที รสจุมพิตหอมหวานที่ไม่เคยพานพบก็ทำให้ร่างหล่อนอ่อนระทดระทวย และชั่วนาทีอีกเช่นกันที่รสชาติอันน่าพิศวงถูกกลบทับด้วยสามัญสำนึกส่วนดีจนเธอต้องหลั่งน้ำตาด้วยความละอาย
ชายหนุ่มถอนจูบเมื่อรับรู้รสเค็มปร่าของหยาดน้ำตาเม็ดใส
“ฉัน...ฉันขอโทษนะกวาง เธออย่าร้องไห้สิ เธอน่าจะตบหน้าฉันด้วย เอาเลยสิ ฉันพร้อมแล้ว”
เขายืนนิ่งให้หล่อนบันดาลโทสะลงซีกแก้ม แต่ว่ามันไม่เกิดขึ้น สิมันตราทำเพียงสะอื้นน้อยๆ อยู่อย่างนั้น
“ฉันอยากตบนาย แต่ว่านาย...นายทำให้ฉันไม่มีแรง” หล่อนว่าขณะที่น้ำตาร่วงพรู
“งั้นก็อย่าร้องไห้สิ เธอโกรธฉันก็ตบตีฉันเถอะ อย่าร้องไห้เลย ฉันไม่ชินเวลาที่เธอร้องไห้” หัวใจกุมภันฑ์ปานจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง เขารู้ว่าสิ่งใดคือต้นเหตุที่ทำให้หล่อนต้องร้องไห้ ก็เขานี่ไงล่ะเป็นทั้งต้นทั้งตอของเหตุเลยล่ะแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงหักห้ามใจไม่ได้ เขารู้สึกผิดบาปเหลือเกิน
“มานี่มา ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันเสียหน่อย แต่ก่อนอื่น เธอต้องเช็ดน้ำตาเสียก่อน” เขาสั่งทว่าสิมันตรายังเฉย มิหนำซ้ำคางมนๆ นั้นเชิดขึ้นน้อยๆ แสดงออกถึงความรั้นของเจ้าตัว
“ถ้าไม่เช็ดเอง ฉันจะใช้ปากฉันเช็ดให้เธอเดี๋ยวนี้” เขาขู่ด้วยเสียงอันเซ็กซี่เหลือเกินในสมองของสิมันตรา หล่อนรีบปาดน้ำตาเมื่อสำนึกได้ว่าไม่ควรให้เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของนายยักษ์มาแตะต้องร่างกายอีก
กุมภัณฑ์จับจูงร่างสมันน้อยออกมาจากบาร์เครื่องดื่ม เขาเข้าไปขออนุญาตป้าเจรียงพาหล่อนไปคุยเรื่องงานกันในห้องทำงาน ซึ่งสิมันตราอิดออดไม่อยากไปแต่คุณนายวิภากลับเห็นดีเห็นงามด้วยว่าเห็นบางอย่างผิดปกติในตัวบุตรชาย
หากนางวิภาเดาไม่ผิด สีลิปสติกที่เปรอะเปื้อนบางๆ บนริมฝีปากกุมภัณฑ์ มันเป็นสีเดียวกันกับสีลิปสติกบนริมฝีปากของสิมันตราเป็นแน่แท้ และถ้าหากเป็นเรื่องจริงนางก็ขอเชียร์แม่กวางนี่ล่ะให้มาเป็นสะใภ้คนเล็ก มันดีกว่าให้บุตรชายคนรองไปคว้าสาวๆ ที่ควงกันชั่วข้ามคืนมาตบแต่งเป็นไหนๆ
คิดพลางมองตามหลังทั้งสองไปพลาง ในลำคอก็ปล่อยเสียงหัวเราะหึๆ อย่างเจ้าเล่ห์ออกมาจนนางเจรียงอดไม่ไหวถามไถ่ด้วยใคร่รู้
“ขันอะไรคะคุณ” ผู้ที่สูงวัยกว่าเอ่ยถาม
“ปะ...เปล่านี่ แค่...คิดอะไรเพลินๆ” นางว่าแล้วหันไปหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านด้วยมาดคุณนาย โดยมีรอยยิ้มพิมพ์ใจติดอยู่ที่สองมุมปากถึงแม้ว่าข่าวที่อ่านจะเป็นข่าวโจรชั่วบุกขึ้นบ้านท่านนายพลก็ตาม

ในห้องทำงานของกุมภัณฑ์ซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องทำงานของพี่ชาย
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม” กวางสาวถามอย่างประหม่า ขนาดตอนอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่มซึ่งไร้ประตูเขายังกล้ากอดจูบลูบคลำเธออย่างถือสิทธิ์ แล้วนี่ในห้องหับอันแสนมิดชิดเธอจะรอดเงื้อมมือนายยักษ์ตนนี้หรือ
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันแค่มีเรื่องงานจะคุยกับเธอ และไม่พิศวาสแม่กวางร่างเตี้ยอย่างเธอหรอก ไม่รู้ว่าบรรดาเจ้านายหื่นกามของเธอเห็นความสวยเซ็กซี่ของเธอตรงไหนถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจะปล้ำอยู่ร่ำไป” กุมภัณฑ์มองกวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของกวางสาวหน้าสวย
สิมันตราค้อนขวับเข้าให้ หล่อนรู้ดีว่าตนเองสะสวยเพียงไร บางครั้งความงดงามที่ได้มาโดยไม่ได้ร้องขอก็เป็นภัยให้เจ้าของได้ ขนาดสิมันตราป้องกันตัวเองในทุกๆ ทางที่ทำได้ในที่ทำงาน แต่ก็ถูกลวนลามจากเจ้านายหื่นกามอยู่ร่ำไป
“แน่ใจนะว่าฉันไม่สวย มีตารึเปล่ายะ” สิมันตราประชดน้อยๆ หล่อนทำหน้ายู่ ลดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่
กุมภัณฑ์เดินมานั่งหมิ่นๆ ที่ขอบโต๊ะพิจารณาคำพูดของสิมันตราแล้วก็เห็นว่าจริงทีเดียว หล่อนสวยมาก แต่จะให้เขาชื่นชมคงไม่มีทางเสียล่ะ
“สวยตรงไหนฮึ หน้าตาก็บ้านๆ ตารึก็โตเท่าไข่ห่าน แถมปากยังห้อยด้วย” เขาว่าพลางเชยคางมนขึ้นมาพิจารณา เอียงซ้ายเอียงขวาฝั่งล่ะสองสามวินาทีให้เห็นชัดๆ
หญิงสาวหน้างอทันใด เจ้านายกลายๆ ของเธอคนนี้ไม่เคยมองเห็นความงามของเธอเลยเฮ้อ! เอ...แล้วทำไมเธอต้องอยากให้เขาเห็นความงามของเธอด้วยเล่า
“ไม่สวยแล้วจูบทำไมยะ!?” คราวนี้กุมภัณฑ์ปั้นหน้าไม่ถูก เขาไม่น่าเผลอตัวไปกับแรงดึงดูดของแม่กวางน้อยเลยให้ตายสิ
“ก็...ขอโทษแล้วไง สงสัยฉันจะเมาขี้ตากระมัง”
สิมันตราตาเบิกโพลงเพราะคาดไม่ถึง เขากำลังประณามร่างกายเธออย่างร้ายกาจด้วยคำวิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริง
‘อ๊าย!!! นายยักษ์หน้าหล่อ นายพูดออกมาได้ไง ฉันเสียหายนะเนี่ย ฮึ่ม!’
“อะไร!? อย่าบอกนะว่าแอบให้พรฉันอยู่ ฉันรู้ทันหรอกน่า” นายยักษ์พูดจี้ใจดำ ทำเอาสมันน้อยค้อนขวับคอแทบเคล็ด เพราะไม่อาจทำได้แม้แต่ให้พรพ่อยักษ์ในใจ
“ชิ! อย่าให้ฉันสูงกว่านี้ อึ๋มกว่านี้ แล้วก็รวยกว่านี้ก็แล้วกัน เพราะคนแรกที่ฉันจะเชิดใส่ก็คือนาย!” หล่อนยืนขึ้นแล้วยื่นหน้าไปประจันกับชายหนุ่มใกล้ๆ ยังผลให้กุมภัณฑ์แลเห็นดวงตาราวแก้วเจียระไนของเจ้าหล่อนชัดเจน ในระยะห่างเพียงปากกาหนึ่งแท่งเท่านั้น
“เธอ...ดูใกล้ๆ แล้วก็...สวยเหมือนกันนะเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว ทำเอาสิมันตราหน้าเหวอรีบดึงกายร่างกลับไปยืนที่เดิม กระนั้นชายหนุ่มก็ไวพอที่จะกระหวัดเอาร่างอรชรเข้าสู่วงแขนอย่างง่ายดาย ก่อนจะฉกจุมพิตลงใบบนเรียวปากอิ่มตึงอีกหน ยอมรับกับตัวเองเลยว่าร่างกายทุกส่วนมันร้อนกว่าทุกครายามอยู่ใกล้ชิดกับแม่สมันร่างงามตรงหน้านี้
“ปล่อย! คุณยักษ์ ปล่อยฉันนะ!” สิมันตราร้องสั่งเมื่อยามที่พ่อยักษ์กุมภัณฑ์ปล่อยให้ริมฝีปากเธอเป็นอิสระ แต่มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพราะหลังจากนั้นเพียงเสี้ยวนาทีเขาก็บดเบียดจุมพิตลงมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มจูบเอาจูบเอาจนร่างหญิงสาวอ่อนระทวย
“อย่า! พอ...พอแล้ว คุณยักษ์ คุณ...กำลังจะทำกับฉันเหมือนเจ้านายหื่นกามพวกนั้นอีกแล้ว...”
สิมันตราน้ำตาคลอ กุมภัณฑ์ผละริมฝีปากที่ลากไล้ถึงซอกคอออกมาจ้องหน้าหล่อน กรามแกร่งบดเบียดกันดังกรอดๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่หล่อนเอื้อนเอ่ย เขาคาดว่าเจ้านายหื่นกามเหล่านั้นทำได้มากสุดก็แค่จับมือถือแขน แต่นี่หล่อนเพิ่งบอกว่าพวกมันทำอย่างที่เขากำลังทำอยู่นี้ มันน่าโมโหนัก แล้วทำถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ
“พูดมาเดี๋ยวนี้นะกวาง พวกเจ้านายเก่าเธอมันทำกับเธออย่างที่ฉันทำอยู่นี่จริงๆ รึ!? มันทำถึงขั้นไหน บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงชายหนุ่มเกรี้ยวกราดอย่างไม่อาจอดกลั้น สองตาเขาเริ่มแดงก่ำด้วยโทสะที่ถาโถม หญิงสาวอยากปลอบประโลมให้เขาคลายกังวล แต่เธอจะปลอบเขาทำไม ปลอบเขาในฐานะอะไรดี
“ปะ...เปล่า แค่...ได้จูบแรกฉันไปเท่านั้นเอง” เธอตอบเสียงสั่นพลางยกมือปาดน้ำตา
“กวาง!” เขาคำรามก้อง แม่กวางน้อยช่างเอ่ยวาจาเร่งเร้าโทสะได้ดีแท้ หล่อนไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขากำลังโกรธหล่อนด้วยเรื่องใดอยู่
“แล้วคุณยักษ์มาโกรธฉันทำไมเนี่ย พี่น้องก็ไม่ใช่ คนรักก็ไม่มีวันเป็น แล้วที่มาทำเป็นโกรธคราวนี้ หาเหตุผลได้หรือยังมิทราบ?” เธอจ้องหน้าเขานิ่งๆ อย่างต้องการคำตอบ หลายต่อหลายครั้งที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดีที่เธอขอป้าเจรียงออกไปอยู่หอพัก ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้กลายเป็นนางบำเรอของลูกชายเจ้าของบ้านไปแล้ว แต่กระนั้นทุกครั้งที่มาเยี่ยมป้าเจรียงแล้วเจอกับเขา โอกาสก็มักเข้าข้างให้เขารังแกเธออยู่ร่ำไป



Lilly
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2556, 11:39:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2556, 11:39:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 4416





<< บทที่ 2 เจ้าของสายลม 50%   บทที่ 3 สาวใช้ของนายยักษ์ 40% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account