กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 33


33...


ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวันของอาลั้งช่างซ้ำซากจำเจและขมขื่น คลอดลูกก็ไม่ได้รักษาตัวอยู่เดือนเหมือนคนอื่นๆ เขา พอวันรุ่งขึ้นก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานตามปกติ โดยมีเสียงอาเฮียงด่าทอตามหลัง
“จะอยู่เดือนเหรอ เชอะ...ขี้เกียจสันหลังยาวสิไม่ว่า แค่คลอดลูกเหรอเป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป ดูอย่างไก่สิ ออกไข่แล้วก็วิ่งปร๋อ ไม่เห็นมันต้องอยู่เดือนอะไรเลย ลื้อน่ะอย่าดัดจริตให้มากไปหน่อยเลย”
อาลั้งได้แต่อดทน อดใจ และก็อดปาก เพราะวันนี้เธอมีลูกน้อยเกิดขึ้นมาอีกคน อาลั้งเอามือกำแหวนหยกในอกเสื้อ รำพึงว่า
‘คุณชายป้อ อาลั้งคงไม่มีวาสนาได้พบกับคุณชายอีกแล้ว แต่อาลั้งจะรักษาแหวนหยกนี้ไว้ตลอดชีวิต และจะระลึกถึงคุณชายตลอดชีวิต’
“อุแว้...”
ลูกร้อง อาลั้งละมือจากงานครัว เพื่อให้นมลูก ขณะให้นมลูกอยู่ ข้าวที่หุงก็เดือด
“ข้าวเดือดแล้ว ลื้อไม่เห็นเหรอ”
อาเฮียงตะโกนลั่นๆ ทั้งที่ตนเองนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร
“อาโก้วช่วยไปดูทีสิ อั๊วกำลังให้นมลูกอยู่”
อาลั้งเอ่ยขอร้อง แต่อาเฮียงกลับว่า
“ก็วางเด็กลงสิ ลื้อจะให้ข้าวไหม้เหรอ?”
“อาโก้วอยู่ว่างๆ ก็น่าจะช่วยอั๊วหน่อย” อาลั้งเอ่ยอย่างอ่อนใจ
“อั๊วไม่ช่วย มีอะไรมั้ย?” ว่าแล้วอาเฮียงก็โบกพัดให้ตนเอง ปล่อยให้หม้อข้าวเดือดล้น อาลั้งทนไม่ได้ ก็จำใจวางลูกลง เพื่อไปดูข้าว
พอถูกวางลง เด็กก็ร้องไห้จ้า
อาเฮียงก็ด่าเด็ก
“เด็กผี ร้องไห้อยู่ได้”
อาลั้งได้ยินก็โกรธจัด ไม่ให้เธออยู่เดือนรักษาตัว เธอก็อดทน แต่เด็กยังอายุไม่ถึงเดือน คนโบราณเขาห้ามด่าว่า ยิ่งพูดถึงผีถึงสางด้วยแล้ว ยิ่งถือว่าอัปมงคลมากที่สุด
“อาโก้ว ทำไมลื้อปากเสียยังงี้”
อาลั้งจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ลื้อกล้าด่าอั๊วเหรอ?”
อาเฮียงเต้นเป็นเจ้าเข้า แล้วรี่เข้ามาจะตบอาลั้ง
อาลั้งเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงหลบแล้วตบกลับ
เผียะ...โดนหน้าอาเฮียงอย่างแรง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาฮวดเดินเข้าบ้านมา เขาเห็นอาลั้งตบอาเฮียง ก็วิ่งเข้ามาขวางกลาง แล้วว่าคนเป็นภรรยา
“อาลั้ง ลื้อกล้าตบตีอาเจ้อั๊วทีเดียวเหรอ?”
“อาตี๋ อาเจ้เจ็บไปหมดแล้ว”
อาเฮียงออดอ้อน
ทำให้อาลั้งเหมือนน้ำท่วมปาก
“ลื้อต้องตบอีสั่งสอนคืนให้อาเจ้นะ”
“ฟังอั๊วก่อน...”
อาลั้งกำลังจะอธิบาย ก็ถูกอาฮวดตบหน้าฉาด จนหน้าทั้งเจ็บทั้งชาไปซีกหนึ่ง
หญิงสาวเม้มปากที่มุมปากมีเลือดออก...เสียงเด็กร้องไห้...เสียงหม้อข้าวเดือด...ความเจ็บปวด...ความเจ็บใจ...ทุกอย่างสุมประดังเข้ามา
เธอจึงวิ่ง...วิ่ง...วิ่ง...ไปอย่างไม่สนใจทิศทาง จนสะดุดรากไม้ล้มลง...หญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่...เธอยิ่งคิดก็ยิ่งชอกช้ำ ชีวิตข้างหน้าของเธอนั้นช่างมืดมน อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
คิดถึงตรงนี้...อาลั้งก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอมองหาเถาวัลย์ที่เส้นใหญ่พอสมควร แล้วปีนขึ้นไปผูกคอกับกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงมา
เถาวัลย์กระตุกและรัดคอเธอจนเจ็บ หูก็อื้อ ตาก็ลาย...อาลั้งคิดว่าอีกไม่นานเธอก็จะสบายแล้ว หลุดพ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่กัดกร่อนชีวิตที่แสนขื่นขม
แต่...เอี๊ยด...เปาะ!
กิ่งไม้ที่อาลั้งจะแขวนคอตายหักลงมา พาให้ร่างอ้อนแอ้นหล่นลงที่พื้น แม้ไม่สูงนัก ก็เจ็บหยอกเอาเรื่อง
พอดีสุขเก็บผักผ่านมาแถวนั้น หล่อนเห็นก็วิ่งเข้ามาดู ก่อนจะร้องว่า
“อาลั้ง นี่เอ็งทำอะไร?”
ถามแล้วมองรูปการณ์ก็คาดเดาได้
“เอ็งจะแขวนคอตายเหรอ?”
อาลั้งไอค็อกไอแค็กยังตอบไม่ออก ได้แต่พยักหน้า
“ตายแล้ว...เอ็งทำไมคิดสั้นยังงี้”
สุขวางกระจาดผักลง มาช่วยแก้เถาวัลย์ที่คออาลั้งออก
อาลั้งร้องไห้โฮ “อั๊วอยากตาย...”
“ไหนเกิดอะไรขึ้น เอ็งเล่าให้ข้าฟังซิ”
สุขลูบแขนอาลั้งอย่างปลอบโยน...อาลั้งก็ร้องไห้ไป เล่าเรื่องที่เกิดกับตนไป...สุขฟังแล้ว เอ่ยอย่างโมโหว่า
“ไอ้อีสองคนนั่นใจร้ายใจดำกับเอ็งเหลือเกิน เป็นคนไทยคลอดลูกก็ต้องอยู่ไฟให้แข็งแรงเสียก่อน นี่อะไรใช้งานยังกะวัวกะควาย แล้วยังจะตบตีอีก”
“อั๊วว่าอั๊วคงต้องตายที่เมืองสยามแน่ๆ”
อาลั้งเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่ก่อนเธอยังคิดที่จะกลับไปบ้านที่เมืองจีน ถึงจะไม่ได้พบพ่อแม่แล้ว เธอยังคิดถึงพี่ชายทั้งสองคนอยู่
สุขเอ่ยอย่างคิดได้ว่า
“ไม่ใช่เมืองสยาม ต้องเรียกว่าเมืองไทย เพราะเมืองสยามได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองไทยแล้ว”
“เมืองไทยหรือ!”
อาลั้งพึมพำอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะทุกข์ของเธอมีมากจนเหมือนภูเขาเลากา
“แล้วนี่โชคดีที่กิ่งไม้นี้ปลวกกินจนเปราะ ถึงหักลงมา เอ็งถึงไม่ตาย”
สุขเอ่ยเมื่อเห็นสาเหตุที่ทำให้กิ่งไม้นั้นหัก
“ทำไมอั๊วไม่ตายให้รู้แล้วรู้รอด...มีชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์”
อาลั้งคร่ำครวญ
“แล้วเอ็งคิดว่าตายแล้วจะสบายเหรอ?” สุขย้อนถาม
“ก็คงจะดีกว่านี้” อาลั้งเอ่ย
“จะแย่กว่านี้สิไม่ว่า” สุขกล่าวจริงจัง
“ทำไมถึงว่าจะแย่กว่านี้?” อาลั้งถาม
“เพราะคนที่ฆ่าตัวตายจะต้องตกนรก” สุขตอบ แล้วต้องอึ้งเมื่อเจอกับคำถามที่ว่า
“นรกคืออะไร?”
“นี่เอ็งไม่รู้จักนรกหรือ?” สุขถามอย่างแปลกใจ
อาลั้งส่ายหน้า “อั๊วต้องทำงาน ที่บางกอกก็ทำงาน ที่นี่ก็ทำงาน ไม่มีใครเล่าเรื่องนรกให้อั๊วฟัง”
สุขพยักหน้า มองอีกฝ่ายอย่างสงสารจับใจ ก่อนจะเริ่มต้นเล่า
“เมื่อคนเราตายไป ถ้าทำดีก็จะไปสวรรค์ที่อยู่บนฟ้าโน่น...” อาลั้งเงยหน้ามองตามมือที่สุขชี้ ก่อนจะหันกลับมาฟังสุขเล่าต่อ “เป็นเทวดาเป็นนางฟ้า มีวิมานอยู่ มีอาหารทิพย์กิน สุขสบาย ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องอดอยาก แต่งตัวสวยๆ มีสวนดอกไม้หอมๆ...แต่ถ้าทำชั่วก็ต้องตกนรก นรกเป็นที่ที่ทุกข์ทรมานมาก ทรมานกว่าที่เอ็งได้รับในโลกมนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า มีแต่เปลวไฟเผาไหม้ร้อนแรง มีหอกแหลมคมคอยทิ่มแทง อดอยากหิวโหย คอแห้งเป็นผงไม่มีน้ำสักหยดให้กิน”
“แต่อั๊วไม่ได้ทำชั่วทำไมต้องตกนรกด้วย?” อาลั้งสงสัย
“การฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก บาปก็คือความชั่ว” สุขพยายามอธิบายให้อาลั้งเข้าใจ “ถ้าเอ็งอดทนมีชีวิตอยู่แล้วทำแต่ความดี พอแก่ตายไป ก็จะได้ขึ้นสวรรค์...ที่คนเราเกิดมาทุกข์ยากนั้น เพราะเป็นกรรมเก่าที่คนเคยทำชั่วเอาไว้เมื่อชาติที่แล้วๆ มา ต้องมาชดใช้ในชาตินี้ เอ็งก็อย่าคิดมาก ก้มหน้าใช้กรรมให้หมด แล้วเอ็งก็จะมีความสุขเอง”
พอเห็นอาลั้งค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงได้ สุขก็บอกว่า
“เอ็งกลับบ้านเถอะ”
อาลั้งหน้าซีด
“กลัวเจ็กฮวดตีเหรอ?”
อาลั้งพยักหน้าน้อยๆ
“งั้นข้าไปส่งเอ็ง แล้วจะอยู่เป็นเพื่อนสักพัก”
สุขเอ่ยพลางพยุงอาลั้งให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปส่ง ระหว่างทางสุขก็พลั้งปากว่า “ได้ข่าวว่าหลวงกำลังจะออกกฎหมายไม่ให้ผัวตีเมีย”
“จริงเหรอ?” อาลั้งถาม
“จริง...นี่ถ้าแต่ก่อนมีกฎหมายนี้นะ เจ็กฮวดมีหวังติดคุกไปแล้ว เพราะมันตีเมียตายไปคน ก่อนจะแต่งเอ็งมา”
“หา...” อาลั้งอุทาน เนื้อตัวสั่น
สุขสังเกตเห็น ก็รีบเปลี่ยนเรื่องว่า “ลูกเอ็งโตไวไหม?”
“เมียคนก่อนของเฮียฮวดเป็นยังไง?” อาลั้งยังติดใจ
“เอ่อ...ข้าว่า...เอ็งอย่ารู้เลย”
สุขเงียบซะ แล้วรีบเดิน จนถึงบ้านอาฮวด
เมื่อเห็นมีคนมาส่ง อาฮวดกับอาเฮียงก็ทำเป็นเหมือนกับไม่มีอะไร...อาลั้งรีบให้นมลูกที่ร้องไห้เป็นช่วงๆ เพราะร้องจนเหนื่อย

“เจ็กฮวดกับซิ่มเฮียงมีอะไรกัน” คำพูดของสุขคำนี้ทำให้อาลั้งแอบย่องลงไปชั้นล่างในคืนวันหนึ่งที่ลูกนอนหลับแล้ว
แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้อาลั้งหูตาสว่าง ยอมเชื่อคำพูดของเพื่อน เพราะสองพี่น้องกำลังเริงสวาทกันอย่างเมามัน จนไม่รู้ตัวว่ามีคนมาแอบดูอยู่
อาลั้งรีบย่องกลับชั้นบนด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา...เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะรอดจากพี่น้องฆาตกรคู่นี้ได้อีกนานเท่าไหร่
วันรุ่งขึ้นเมื่อไปซักผ้า อาลั้งพบกับสุข
“พี่สุข...อั๊วมีเรื่องอยากถาม”
“มีอะไรรึ...เอ็ง” สุขซักผ้าไปพลางเอ่ยไปพลาง
“เรื่องเมียคนแรกของเฮียฮวด” อาลั้งเอ่ยอย่างชัดเจน “อีตายยังไง?”
สุขหยุดมือที่ซักผ้า หันมามองอาลั้ง
“เอ็งอยากรู้ไปทำไม?”
“เพราะอั๊วรู้แล้วว่าอีสองคนพี่น้องเป็นผัวเมียกัน” อาลั้งเอ่ย
“เอ็งรู้เมื่อไหร่?” สุขถาม
“เมื่อคืนนี้...อั๊วย่องลงไปแอบดู เห็นกับตาว่าพวกอีทำอะไรกัน”
“เอ็งอย่าให้มันรู้เชียวว่าเอ็งรู้”
“พี่สุข ยังไม่ได้ตอบอั๊วเลย” อาลั้งเซ้าซี้
“ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ความจริงหรอก...เจ็กฮวดว่าเมียมันเป็นลมตาย แต่สัปเหร่อว่าตามเนื้อตัวมีรอยถูกทุบตี แล้วก็มีคนเห็นว่าเจ็กฮวดเผาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด” สุขเล่า
“อั๊วว่า...อีต้องถูกสองคนพี่น้องฆ่าตายแน่ๆ”
“อย่าพูดไปเชียว” สุขเตือนด้วยความหวังดี

อาลั้งกลับถึงบ้าน ตากผ้าได้ครึ่งๆ กลางๆ ลูกก็ร้องไห้กินนม...อาลั้งก็รีบวางงานในมือไปให้นมลูกก่อน ในชีวิตที่แสนลำเค็ญของอาลั้ง ก็มีแต่ลูกน้อยนี้ที่ทำให้เธอชุ่มฉ่ำใจด้วยความรักของแม่
หญิงสาวแม่ลูกอ่อนป้อนนมลูกไปก็เห่กล่อมตามประสา
แต่เสียงเห่กล่อมของเธอยังความรำคาญและอิจฉาริษยาให้แก่อาเฮียงอย่างหนัก “ลื้อเลิกส่งเสียงดังหนวกหูได้ไหม?”
“อั๊วจะกล่อมลูกเท่านั้น” อาลั้งอธิบาย
แต่อาเฮียงตรงเข้ามาตบหน้าผัวะ “อั๊วบอกให้เงียบก็เงียบสิ”
แรงตบทำให้อาลั้งล้มลงนั่งที่เตียง ลูกน้อยในอ้อมแขนกระเทือนจนตกใจร้องไห้จ้าขึ้นมาใหม่ อาเฮียงยังรี่เข้ามาด้วยทีท่าที่จะเข้ามาทำร้ายเธอซ้ำ อาลั้งป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ ก็ยกเท้ายันโครมเข้าให้ที่ลำตัวอาเฮียง ส่งผลให้นางล้มไปปะทะโต๊ะเก้าอี้ล้มตามไปด้วย
พอดีอาฮวดหาบผักกลับมา
“เกิดอะไรขึ้น?” อาฮวดถามเสียงดัง จ้องเขม็งที่อาลั้ง
“อาตี๋...อีจะฆ่าอาเจ้”
อาเฮียงชิงฟ้อง
“โกหก...ลื้อลงมือก่อน” อาลั้งเถียง
“อาตี๋...อาเจ้อยู่ไม่ได้แล้ว เมียลื้อรังแกอาเจ้ทุกวัน” อาเฮียงฟูมฟายร้องไห้ออดอ้อน
“อาเจ้ใจเย็นๆ น่า” อาฮวดปลอบโยนพี่สาว “เดี๋ยวอั๊วจัดการอีให้เอง”
อาเฮียงหันมายิ้มหยันให้แก่อาลั้ง
หญิงสาวโกรธจนเลือดขึ้นหน้าด่าว่า
“อีแก่ตอแหล”
ทันที...ฝ่ามือของอาฮวดก็ตบฉาดใส่ใบหน้าอาลั้ง จนเธอล้มกลิ้งบนเตียง และปล่อยลูกหลุดมือ อาฮวดยังตามด้วยหลังมืออีกฉาด ทำให้อาลั้งกลิ้งหล่นจากเตียง
“ลื้อจำเอาไว้ว่าอย่าด่าอาเจ้”
อาลั้งปากแตก แต่เธอเก็บกดมานานจึงระเบิดขึ้นมา เธอยันกายลุกขึ้นยืน ชี้หน้าอาเฮียงกับอาฮวดสลับกัน “อาเจ้ อาตี๋...เหรอ...พวกลื้อเป็นชู้กัน ทำไมอั๊วจะไม่รู้”
สีหน้าของอาฮวดกับอาเฮียงเดี๋ยวดำเดี๋ยวเขียว
แล้วอาฮวดก็ตวาดว่า
“ซี้ซั้วต่า”
ก่อนจะเดินอาดๆ เข้าใส่อาลั้ง
อาลั้งรู้อยู่ว่าจะต้องถูกตีแน่ๆ จึงหันหลังวิ่งหนี อาฮวดก็คว้าไม้คานวิ่งตาม อาลั้งวิ่งไปพลางก็ร้องขอความช่วยเหลือไปพลาง
“ช่วยด้วยๆๆ...”
แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วย เพราะเห็นว่าเป็นแค่เรื่องผัวเมียทะเลาะกันเท่านั้น
อาลั้งวิ่งหนีไปจนมุมที่ริมคลอง เพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็น แต่พออาฮวดตามมาถึง อาลั้งก็ตัดสินใจลุยลงไปในคลองจนระดับน้ำลึกถึงอก กระแสน้ำทำให้เธอแทบยืนไม่อยู่ ยิ่งใต้เท้าที่ยวบลึกลงไปทุกที
คนมุงดูอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครคิดจะช่วย...
หรือที่นี่คือสุสานของอาลั้ง!




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2556, 14:05:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2556, 14:05:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1435





<< ตอนที่ 32   ตอนที่ 34 >>
saralun 28 ก.พ. 2556, 16:18:09 น.
เมื่อไหร่อาลั้งจะมีความสุขสักที TT


pattisa 28 ก.พ. 2556, 18:31:09 น.
รันทดโคตรรรรรรร


หมีสีชมพู 28 ก.พ. 2556, 20:13:55 น.
ชีวิตนี้อาลั้งจะมีความสุขบ้างมั้ย


ree 1 มี.ค. 2556, 04:24:36 น.
ชีวิตอย่างงี้ ก็คงมีท้อใจอยากตายกันมั่งหรอก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account