กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 34


34...


อาลั้งใจสั่นระรัว เธอว่ายน้ำไม่เป็น ที่วิ่งหนีลงในคลอง เพราะกลัวถูกอาฮวดตีตาย แต่น้ำในคลองก็ไหลเชี่ยว แม้เธออยู่ในน้ำแค่ปริ่มอก ก็แทบถูกพัดพาลอยไป ถ้าเธอยืนไม่มั่น เธอคงต้องจบชีวิตในคลองสายนี้อย่างแน่นอน เพราะอาลั้งไม่รู้ว่าเธอจะสามารถยืนหยัดต้านกระแสน้ำได้นานเท่าไร
“ช่วยด้วย อั๊วว่ายน้ำไม่เป็น” อาลั้งตะโกนขอความช่วยเหลือ
แต่คนที่มุงดูอยู่ต่างอยู่เฉย บ้างก็หันไปพูดกันว่า
“เรื่องผัวเมียทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกันเอง”
อาเฮียงที่ตามอาฮวดมา บอกกับน้องชายว่า “ถ้าอีขึ้นมา ตีอีให้ตายเลย เข้าใจไหม”
“จะดีหรืออาเจ้?” อาฮวดยังลังเลเล็กน้อย
แต่อาเฮียงเสียงเข้ม “อีรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้...ถ้าลื้อไม่ตีอีให้ตาย อั๊วก็อยู่กับลื้ออีกไม่ได้”
“ได้...อั๊วจะตีอีให้ตาย” อาฮวดรับคำ
“ช่วยด้วย...” อาลั้งส่งเสียงร้องสุดกำลัง
พอดีสุขเดินผ่านมา ก็แหวกคนเข้ามาดู “เกิดอะไรขึ้น”
“ผัวเมียทะเลาะกันนะ” มีเสียงตอบ
“อ้าว...นั่นอาลั้งนี่นา” สุขเห็นคนที่แช่อยู่ในน้ำมาค่อนชั่วโมง
อาลั้งก็เห็นสุข จึงร้องอย่างดีใจ “พี่สุขช่วยอั๊วด้วย อั๊วว่ายน้ำไม่เป็น”
“ได้ๆๆ...รอเดี๋ยว ข้าจะลงไปช่วยเดี๋ยวนี้” สุขวางกระจาดผักลง เตรียมจะลุยน้ำลงไปช่วยอาลั้ง
แต่อาเฮียงจับไหล่สุขเอาไว้ “ลื้อลงไปช่วยอีไม่ได้ นี่เป็นเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน ลื้อเป็นคนนอกอย่ามายุ่ง”
“ข้าจะยุ่งมีอะไรไหมซิ้มเฮียง ผัวเมียทะเลาะกัน หรือจะฆ่ากัน ที่นี่เมืองไทย บ้านเมืองมีกฎหมาย ลื้อมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ ก็ต้องทำตามกฎหมายไทย ตอนนี้กฎหมายไทยห้ามไม่ให้ผัวตีเมีย ลื้อรู้หรือเปล่า”
คำพูดของสุขทำให้อาฮวดกับอาเฮียงรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เกรงว่าเรื่องนี้จะไปถึงตำรวจ เพราะทั้งสองเป็นคนต่างด้าวต่างเกรงกลัวตำรวจเป็นที่สุด
สุขเดินลุยน้ำลงไปจูงอาลั้งขึ้นจากคลอง อาลั้งที่ยืนแช่น้ำอยู่นานจนแทบจะหมดแรง ถ้าสุขไม่ลงไปช่วย เธอคงต้องจมน้ำตายอย่างแน่นอน
“ไป...ไปโรงพัก”
พอขึ้นจากน้ำ สุขก็เอ่ยเสียงแข็ง
พอได้ยินคำว่าโรงพัก อาฮวดกับอาเฮียงก็หน้าถอดสี เอ่ยออกมาพร้อมเพรียง “อั๊วไม่ไปโรงพัก”
พอดีมีตำรวจผ่านมา เห็นคนมุงกัน ก็เข้ามาดู “มีอะไรกันเหรอ?”
“คนกำลังจะฆ่ากันตายน่ะสิ” สุขชิงตอบ
“งั้นไปโรงพัก”
ทั้งอาลั้ง สุข อาฮวดกับอาเฮียง ต่างพากันขึ้นโรงพักที่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง คนมุงก็ยังตามมามุงอยู่ที่ข้างล่างโรงพัก เพื่อฟังข่าว
ทั้งสี่คนนั่งอยู่หน้าโต๊ะแจ้งความ นายตำรวจผู้รับแจ้งความก็ถามว่า “ใครจะแจ้งความครับ”
“ข้า...เอ๊ย...ฉัน” สุขพยายามพูดให้สุภาพ “ฉันจะแจ้งความ”
“คุณชื่ออะไร?” นายตำรวจถาม
“ฉันไม่ได้แจ้งความให้ตัวเองหรอก แต่จะแจ้งให้อาลั้ง ว่าเจ็กฮวดกับซิ้มเฮียงร่วมมือกันทุบตีและจะทำให้อาลั้งจมน้ำตาย”
“คนไหนชื่ออาลั้ง?” นายตำรวจถาม
“อั๊วเอง” อาลั้งตอบ
“ที่คนนี้เขาพูดจริงหรือเปล่า?” นายตำรวจชี้ไปที่สุข
“จริง” อาลั้งพยักหน้า
อาฮวดกับอาเฮียงหน้าซีดจนเขียว
“ไหน...คุณอาลั้งเล่ามาสิว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร?” นายตำรวจผู้รับแจ้งความพูดกับอาลั้ง
อาลั้งก็เล่าตั้งแต่ถูกอาเฮียงตบตี จนกระทั่งอาฮวดกลับมาเอาไม้คานตีถูกต้นแขนสองสามที จนตนทนไม่ไหวต้องวิ่งหนี ไปจนมุมที่คลอง แต่อาฮวดยังจะตีอีก ตนจึงต้องหนีลงไปในคลอง “อั๊วร้องเรียกให้คนช่วย ก็ไม่มีใครช่วย เพราะใครๆ ก็ว่าเป็นเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน อั๊วว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าอยู่ในน้ำนานอีกประเดี๋ยวเดียว อั๊วต้องจมน้ำตายแน่ๆ”
“เจ็กฮวดจะว่าอย่างไร?” นายตำรวจถามอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรหน้อ อั๊วตีเมียของอั๊วมันผิดตรงไหน?” อาฮวดเอ่ย
“มันผิดกฎหมายไง” นายตำรวจเอ่ย
“หา...ตีเมียก็ผิดกฎหมายด้วยเหรอ?” อาเฮียงเอ่ยแทรกขึ้น “ที่เมืองจีน เมียที่ดีต้องคุกเข่าให้ตีสั่งสอน ไม่วิ่งเพ่นพ่านให้อับอายคนเขาอย่างนี้หรอก”
“นั่นที่เมืองจีน แต่นี่ที่เมืองไทย” นายตำรวจเอ่ย “ตีหรือทำร้ายร่างกายภรรยาหรือเมีย ผิดกฎหมายต้องติดคุก”
“หา!!” อาฮวดกับอาเฮียงอุทานพร้อมๆ กัน
“ติดคุกเชียวเหรอ?” อาฮวดถามพลางกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
“นั่นต้องอยู่ที่เจ้าทุกข์ คือคนถูกตีจะเอาเรื่อง หรือไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่เอาเรื่องก็ไม่ต้องติดคุก” นายตำรวจเอ่ย พลางหันมาที่อาลั้ง “คุณจะเอาเรื่องมั้ย?”
อาลั้งมองสองพี่น้อง ซึ่งสายตาที่มองตอบมานั้นอาฆาตมาดร้ายเป็นที่สุด...หญิงสาวคิด ถ้าตนกลับไปอยู่กับคนทั้งสองอีก คงต้องถูกฆ่าตาย เหมือนเมียคนแรกของอาฮวดเป็นแน่
“อั๊ว...ไม่เอาเรื่อง” อาลั้งเอ่ยเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “แต่อั๊วจะเลิกกับอี...อั๊วยังไม่อยากถูกฆ่าตาย” ว่าแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้ม
“แล้วมีสมบัติอะไรที่จะแบ่งกันไหม?” นายตำรวจถามต่อ
“ไม่มี” อาเฮียงเอ่ยแทรก “อีมาแต่ตัวกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว อีก็ต้องไปแต่ตัวกับกระเป๋าเสื้อผ้า”

หลังจากตกลงกันที่โรงพักแล้ว...สุขก็เป็นเพื่อนอาลั้งมาเก็บเสื้อผ้าที่บ้านอาฮวด อาลั้งเห็นลูกร้องไห้ก็จะเข้าไปอุ้ม แต่อาเฮียงชิงอุ้มเด็กไปเสียก่อน ไม่ยอมให้อาลั้งได้อุ้ม พลางบอกกับเด็กทารกว่า “อาเล้ง...แม่ลื้อมันชั่ว แม่ลื้อมันเลว ทิ้งลื้อไปได้ลงคอ”
คำพูดของอาเฮียงบาดใจอาลั้งมาก เธอจำได้ว่าเธอเคยด่าแม่ เมื่อตอนที่เป็นเด็กรับใช้ในบ้านยี่เสี่ยเนี้ยแล้วถูกตีจนเจ็บแทบทนไม่ได้ เวรกรรมช่างตอบสนองเธอเร็วมาก มาถึงตอนนี้อาเฮียงจะต้องคอยบอกต่อลูกของเธอว่า เธอเป็นคนไม่ดีที่ทิ้งลูกไป แต่ถ้าเธอจะเอาลูกไปด้วย เธอยังไม่รู้เลยว่า จะไปอยู่ที่ไหน จะมีกินหรือเปล่า?
“ไปกันเถอะ” สุขเอ่ย พลางจูงมืออาลั้งให้เดินออกจากบ้านหลังนั้น
อาลั้งตาพร่าไปหมดเพราะน้ำตาที่ไหลไม่หยุด เดินตามแรงจูงของสุข เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
“อั๊วไม่รู้ว่าอั๊วคิดถูกหรือเปล่าที่ทิ้งอาเล้งมา”
ในที่สุด...อาลั้งก็พูดออกมา
“เอ็งอยู่ไปก็ตายเปล่า...เอ็งออกจากขุมนรกนี่ไป ทำมาหากิน เมื่อไหร่รวยก็ค่อยมาพาลูกไปอยู่ด้วย”
คำปลอบของสุขทำให้อาลั้งค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง และหวนคิดถึงอนาคตของตนเอง
“พี่สุข...อั๊วจะไปอยู่ที่ไหน?”
“ข้าก็คิดเผื่อเอ็งอยู่เหมือนกัน...ข้ามีญาติผู้พี่อยู่คนหนึ่ง ชื่อพี่อิ่ม อยู่แถวตลาด เขาขายข้าวแกง ผัวเขาตายไปได้ปีหนึ่งแล้ว ไม่มีลูก ข้าจะพาเอ็งไปขออยู่กับเขาสักพัก”
จากบ้านอาฮวดเดินไปที่ตลาดใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง...บ้านของอิ่มเป็นห้องแถวชั้นเดียวปลูกสร้างด้วยไม้ หลังคามุงจาก
พอสุขเคาะประตู อิ่มที่เพิ่งกลับจากขายของก็มาเปิด แล้วทักว่า
“นึกว่าใครซะอีก ที่แท้สุข”
“พี่อิ่ม ให้ฉันกับเพื่อนเข้าไปข้างในก่อนได้มั้ย?” สุขเอ่ย
“เอาสิ” อิ่มเปิดทางให้
สุขจึงจูงมืออาลั้งเข้าไปในบ้าน ซึ่งพอทั้งสามเข้ามาอยู่พร้อมๆ กัน มันก็แคบไปถนัดใจ แถมหม้อข้าวหม้อแกงกับหาบก็วางอยู่มุมหนึ่ง
“นั่งตามมีตามเกิดนะ” อิ่มออกตัว แล้วนั่งลงบนพื้นที่เป็นปูน
สุขกับอาลั้งนั่งตาม แล้วสุขก็เอ่ยว่า
“พี่อิ่มสบายดีเหรอ?”
“ก็ไม่เจ็บไม่ป่วย เพราะอยู่ตัวคนเดียว เจ็บป่วยไปใครจะขายข้าวขายแกงหาเลี้ยงเราล่ะข้ามันตัวคนเดียว” อิ่มว่า
“ทำคนเดียวพี่อิ่มก็เหนื่อยแย่สินะ” สุขว่า
“จะทำไงได้ล่ะ” อิ่มเอ่ยพลางมองมาที่อาลั้ง “แล้วนี่ใครกันล่ะ?”
“อ๋อ...นี่คืออาลั้ง อาลั้งเพิ่งเลิกกับผัว ไม่มีที่ไป ฉันเลยพามาหาพี่อิ่ม พี่อิ่มตัวคนเดียว ฝากอาลั้งให้อยู่ด้วยคนนะ” เห็นอิ่มเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สุขก็รีบกล่าวต่อ “อาลั้งเป็นคนขยัน พี่อิ่มจะได้มีลูกมือทำข้าวทำแกงไง”
อิ่มคิดอยู่ครู่ก็ว่า “ได้สิ ข้ามีที่อยู่ที่กินให้ เอ็งก็ช่วยข้าทำงานแล้วกัน”
นับจากวันนั้น...อาลั้งก็อยู่กับอิ่ม ช่วยทำงานทุกอย่าง อิ่มก็ให้อาลั้งทำงานแม้กระทั่งหาบข้าวแกงไปขายแทน อาลั้งที่เคยอายนักอายหนาเวลาพูดคุยกับคนแปลกหน้า ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้กล้าพูดคุยกับลูกค้า จุดหนึ่งที่อาลั้งจะต้องไปขายข้าวแกงเป็นประจำคือที่ว่าการอำเภอ ซึ่งพวกเสมียนอำเภอก็ชอบหยอกล้ออาลั้งเล่น เพราะเห็นเป็นหญิงสาวผิวขาวผ่องร่างบาง ไม่น่าจะหาบข้าวแกงไหวเลย

ครืนนนน...ซ่าาาา...
เสียงฝนตกตอนกลางคืน ซึ่งอาลั้งเสร็จจากทำงาน ทำให้อาลั้งคิดถึงลูกมาก เธอนั่งน้ำตาไหล คิดไปสารพัด...ยามฝนตกตอนที่เธออยู่กับลูก เธอจะกอดลูกแนบอกอุ่น ไม่ให้ลูกต้องตกใจเสียงฟ้าร้องคำราม แต่ยามนี้เธออยู่ห่างไกลจากลูก มีใครกอดลูกของเธอไหมหนอ?
อิ่มนั่งเจียนหมากภายใต้แสงตะเกียงหรุบหรู่ ชายตามาเห็นอาลั้งมีน้ำตาที่ส่องสะท้อนกับแสงตะเกียงก็ว่า
“เอ็งร้องไห้ทำไมอาลั้ง?”
“อั๊วคิดถึงลูก...” อาลั้งตอบพลางสะอื้นฮักๆ
อิ่มถอนใจแรงๆ อย่างกึ่งรำคาญกึ่งเห็นใจ
“เอ็งจะไปคิดถึงลูกทำไม พ่อของมันก็ต้องเลี้ยงมันสิ”
“แต่ลูกกลัวเสียงฟ้าร้องที่สุด ไม่รู้ว่าใครจะกอดให้ลูกหายกลัว”
“เอ็งจะคิดอะไรมากมาย ดึกแล้วนอนๆๆ...” อิ่มเอ่ยตัดบท
“พรุ่งนี้เช้า...” อาลั้งเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้เช้าทำไม?” อิ่มถาม
“ขออั๊วไปดูลูกหน่อยได้ไหมพี่อิ่ม?”
อิ่มนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เอ็งไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ไปให้ไอ้อีสองคนนั้นทุบตีเล่นอีกน่ะเรอะ...ข้าว่าอย่าดีกว่า...ไปขายข้าวแกงเถอะ” ว่าแล้วอิ่มก็ล้มตัวลงนอน แถมเป่าตะเกียงให้ดับ
อาลั้งได้แต่นั่งร้องไห้เงียบๆ ในความมืดที่เสียงฟ้าคำรามครืนครัน

วันเวลาผันผ่าน...จากวันเป็นเดือน...จากเดือนเป็นปี...อาลั้งอาศัยอยู่กับอิ่มเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ทำงานงกๆๆ จากเช้ามืดจนค่ำคืน โดยเงินทุกสตางค์อาลั้งคืนให้อิ่มจนหมดสิ้น ไม่เคยมิบเม้มแม้แต่น้อย
ตอนพักเที่ยงเป็นเวลาที่ข้าวแกงขายดีเป็นที่สุด พวกเสมียนจากที่ว่าการอำเภอจะลงมากินข้าว อาลั้งก็ตักข้าวมือเป็นระวิงจนเหงื่อซกหน้า
เสมียนหญิงคนหนึ่งก็ว่า “อาลั้งเป็นคนสวยนะ ทำไมไม่ผัดหน้าทาแป้งบ้าง ปล่อยให้หน้ามันอย่างนี้ เดี๋ยวสิวก็ขึ้นหรอก หมดสวยกันพอดี”
จะอย่างไรอาลั้งก็เป็นผู้หญิง ยังอยากสวยอยากงามเป็นธรรมดา บ่ายนั้นเมื่อขายข้าวแกงหมด หาบหาบเปล่าผ่านหน้าร้านขายแป้ง อาลั้งก็มองห่อแป้งดินสอพองอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะถูกเจ้าของร้านถามเอาว่า
“จะเอาอะไรเหรออาหมวย?”
อาลั้งอึกๆ อักๆ กว่าจะถามออกมาได้ว่า “พี่สาว แป้งดินสอพองนี่ห่อละเท่าไหร่”
“สิบสตางค์เอง จะซื้อมั้ยล่ะ?”
สิบสตางค์หรือ...ข้าวแกงจานหนึ่งก็ห้าสตางค์ เท่ากับอาลั้งกินข้าวไปสองจาน บนตัวอาลั้งก็มีเงินที่ขายข้าวแกงอยู่หลายบาท ถ้าซื้อแป้งไป พี่อิ่มคงไม่ว่าอะไร...ใจหนึ่งอาลั้งคิดเข้าข้างตนเอง
แต่อีกใจหนึ่งนั้นค้าน...ไม่ได้ นี่เป็นเงินของพี่อิ่ม จะอย่างไรก็ต้องขออนุญาตพี่อิ่มก่อน เราทำงานให้พี่อิ่มอย่างเต็มที่มาสองปี พี่อิ่มต้องอนุญาตแน่ๆ
อาลั้งพกความคิดนี้กลับบ้าน พอไปถึงบ้าน อาลั้งก็เห็นสุขนั่งสนทนาอยู่กับอิ่ม
อาลั้งดีใจมากที่ได้เห็นสุข เพราะนั่นหมายความว่า เธอจะได้ข่าวคราวของลูก
“พี่สุข” อาลั้งเรียก พลางวางหาบบนบ่าลง
“อาลั้ง...มาๆๆ นั่งตรงนี้” สุขเขยิบที่ให้
อาลั้งรีบเข้าไปนั่ง ยังไม่ทันนั่งเรียบร้อย ก็ยิงคำถามแรก “ลูกอั๊วเป็นยังไงบ้างพี่สุข?”
“ลูกเอ็งโตวันโตคืน หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่ยายซิ้มนั่นสิสอนเด็กให้ด่าแม่ตัวเอง แถมยังสอนเด็กว่าเอ็งทิ้งลูกหนีตามผู้ชายไป...นี่แหละนรกจะกินกบาลลูกเอ็ง”
“อย่าเลย...ขอให้ลูกอั๊วอย่ามีบาปกรรม อีด่าอั๊วก็เพราะอีไม่รู้ อั๊วไม่ถือโทษโกรธอีหรอก ขอให้อาเล้งอย่าได้มีบาปกรรมอย่างที่อั๊วเคยทำ ถ้าจะมีบาปกรรมอะไร อั๊วขอรับไว้เอง”
“เฮ้อ...” สุขถอนหายใจอย่างสงสาร
“พี่สุขพาอั๊วไปเจอลูกได้มั้ย?” อาลั้งน้ำตาปริ่ม
“คงยาก ยายซิ้มนั่นไม่ยอมให้เด็กไปไหนมาไหนคนเดียว คงต้องรอให้ลูกเอ็งโตกว่านี้อีกหน่อย” สุขเอ่ย พลางตบหลังมือของอาลั้งที่เกาะเข่าตนเบาๆ ก่อนจะลากลับ “ฉันกลับก่อนนะพี่อิ่ม อาลั้ง เดี๋ยวถึงบ้านมืด”
หลังจากสุขกลับไปแล้ว...อาลั้งก็เอาเงินขายข้าวแกงมาคืนอิ่ม นับเงินได้สองบาทสิบสตางค์
อาลั้งรวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนจะเอ่ยปากว่า
“พี่อิ่ม...อั๊วขอสิบสตางค์ไปซื้อแป้งดินสอพองได้ไหม?”
“ไม่ได้”
อิ่มตอบโดยไม่ต้องคิด
ทันทีที่ได้รับคำตอบ อาลั้งทั้งผิดหวัง ผิดคาด น้อยใจ และเสียใจ ก้อนสะอื้นวิ่งขึ้นมาจุกที่คอหอย ก่อนที่น้ำตาจะไหลหลั่งลงมาทันที โดยไม่มีเสียงคร่ำครวญ




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มี.ค. 2556, 15:28:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มี.ค. 2556, 15:28:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1484





<< ตอนที่ 33   ตอนที่ 35 >>
ree 2 มี.ค. 2556, 03:48:54 น.
ทำไมถึงไม่ให้น้อ


dino 2 มี.ค. 2556, 12:41:50 น.
อาลั้งชีวิตน่าส่งสารมากๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account