ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: กรยุพา ยุพากร

ความเดิมคอนที่แล้ว....

พระเอกและนางเอกพากันหนีเหล่าคนร้ายไปอยู่ยังหมู่บ้านชาวม้งค่ะ เหตุการณ์จะเป็นเช่นใดต่อไป ขอเชิญติดตาม ป่าหนาวในเงารักในตอนต่อไปกันได้เลยนะคะ




15



ในเวลาเดียวกัน ณ เรือนยี่สุ่น เรือนไทยเครื่องสับหลังใหญ่ที่วันนี้ผู้ที่นั่งบนตั่งไม้สักงดงามด้วยผ้าสไบสีชมพูกุหลาบอบร่ำจนหอมกรุ่น มือเรียวงามที่สวมแหวนทองเนื้อสุกปลั่งค่อยๆ บรรจงเรียงร้อยดอกพุดเข้ากับก้านใบมะพร้าว เพื่อใช้ประกอบเครื่องแขวนประดับช่องประตู หน้าต่าง และฝาผนัง


ลักษณะคล้ายตาลปัตรของพระภิกษุที่เรียกว่า ‘พัดหน้านาง’ โดยตัวพัดแผ่รัศมีเรียนแบบพัดใบลานร้อยเป็นสายด้วยดอกพุด ด้านบนและล่างตกแต่งด้วยตุ้งติ้งพร้อมอุบะดอกกุหลาบ


เสียงเพลงบรรเลงจากวงเครื่องสายไทยที่ดังมาแผ่วๆ ประกอบกับกลิ่นของมวลไม้ดอกที่ปลูกอยู่รายรอบเรือนขจรขจายไปจนทั่ว ทำให้บรรยากาศน่ารื่นรมณ์อย่างบอกไม่ถูก


...ราชาวดีหอมกลิ่นกรุ่น ขาวละมุนปานดอกฝ้าย
สายหยุด หยุดหอมเมื่อช่วงสาย ตกบ่ายยี่สุ่นยังกรุ่นกลิ่น...


เสียงอันเย็นยเยือกของลำเจียกจางหายพร้อมๆ กับสมุดใบลานในมือที่ถูกนำไปเก็บไว้ยังตะกล้าสาน ก่อนจะคลานเข่าเข้ามารินน้ำชาจากป้านลงในถ้วยสังคโลกเขียวไข่กาให้กับท่านเจ้าคุณ จากนั้นก็เร้นกายอย่างรวดเร็ว


“วันนี้ แม่คมแก้วสดใสจริงๆ อ้อ...หรือเป็นเพราะสไบใหม่กันแน่” เทพทัตกล่าวอย่างอารมณ์ดี
ผู้ถูกทักอมยิ้มระหว่างชายตามองอีกฝ่าย
“ท่านเจ้าคุณช่างสังเกตนัก ก็วันนี้วันข้างขึ้น ดิฉันถึงได้สวมสไบผืนใหม่ยังไงล่ะคะ”
“ปกติ ต้องสวมช่วงขึ้น4 ค่ำ 6ค่ำ หรือ 9 ค่ำไม่ใช่หรือ หรือว่าแม่คมแก้วจะติดยุคสมัยนี้ที่ไม่เคร่งครัดกับเรื่องโบราณแล้วกันแน่” เอ่ยเช่นนั้นเพราะวันนี้ข้างขึ้นสิบเอ็ดค่ำนั่นเอง


เป็นอีกครั้งที่เสียงหัวเราะอันเย็นยเยือกดังมาให้ได้ยิน
“ดิฉันก็ต้องปรับตัวบ้างสิคะ อยู่มาหลายยุคหลายสมัย จนไม่คิดจะนับแล้วว่ากี่ร้อยปี”
“อย่าให้มันแปลกประหลาดเกินไปนัก ฉันน่ะรับไม่ได้” ยังอดไม่ได้ที่จะสัพยอก
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเทพทัตทำให้อดีตภรรยาหัวเราะชอบใจ
“ท่านเจ้าคุณไม่ต้องเป็นห่วงว่าอิฉันจะลุกขึ้นมานุ่งเดรสหรือทำผมสีทองตามอย่างสาวๆ สมัยนี้ สบายใจได้เจ้าค่ะ” กล่าวอย่างรู้ใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพสาวๆ ที่มาแวะซื้อกาแฟที่ร้าน ซึ่งเธอออกไปดูการทำงานของหลานสาวแก้เบื่อ โดยเฉพาะสองสาวคู่ซี้นั่นที่คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยกับอีกคนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง


“จริงสิคะ หนูตารู้หรือเปล่าว่าแหวนพิรอดที่ท่านเจ้าคุณให้ไว้คุ้มภัยนั่นทำมาจากอะไร” เธอกลับมาเข้าเรื่อง
เทพทัตส่ายหน้าระหว่างจิบน้ำชา “จะให้รู้ได้ยังไง รู้เข้าต้องไม่ยอมใช้แน่ๆ”
เทพทัตเอ่ยเช่นนั้นเพราะแหวนดังเกล่าทำจากผ้าตราสังศพโดยนำมาแผ่เป็นริ้วลงอักขละเลขยันต์และคาถา แล้วจึงฟั่นเป็นเกรียวก่อนนำมาถักเป็นแหวน ลวดลายวิจิตร บางอาจารย์ทำหัวแหวนเป็นยอดแหลม 3ยอด 5 ยอด และ9 ยอด ครั้นเมื่อปลุกเสกเสร็จก็นำใส่ในเตาไฟที่กำลังลุก วงไหนไม่ไหม้ไฟจึงใช้ได้ ดีทางด้านคงกระพันมหาอุดและเขี้ยวงา มีทั้งพิรอดนิ้ว และพิรอดแขน


“แต่เท่านั้นคงไม่สามารถให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งที่อันตรายรอบด้าน”
“ท่านเจ้าคุณคงยังไม่ลืม ว่าหลานยังมีอีกอย่างเอาไว้คุ้มกันภัย”
คำพูดของอดีตภรรยาทำให้เทพทัตขมวดคิ้วเข้าหากันระหว่างสบตาอีกฝ่าย ชั่ววูบที่แววตาเปล่งประกายออกมาอย่างยินดี เขาหลงลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร หรือจะถึงเวลาที่เขาจะเลิกห่วงจริงๆ เสียทีกันแน่
“อย่ากังวลไปเลยนะคะ ในเมื่อฟ้าได้ลิขิตโชคชะตาเขาทั้งสองเอาไว้แล้ว ใครก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ ไม่ว่าท่านเจ้าคุณ หรือกระทั่งดิฉันเอง”


อีกหนึ่งหนุ่มที่บัดนี้กำลังทุรนทุรายไม่ใช่ใคร แต่เป็นยองฮวา เหตุเพราะเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ แผ่รังสีความร้อนมาต้องผิวกายจนเขาแทบไม่อาจทานทนยืนหยัดอยู่ได้ หากไม่ใช่เพราะต้องการไข่วคว้าร่างของใครคนหนึ่งเขาคงหมดกำลังกายและใจไปนานแล้ว…


ฐิตารีย์ยืนอยู่เพียงแค่เอื้อมยื่นบางอย่างให้กับเขา ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไข่วคว้าออกไปแต่กลับได้เพียงสร้อยอเมทิสที่เคยมอบให้เธอติดมือกลับมาเท่านั้น
เข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่าเมื่อชายหนุ่มสะดุ้งตื่นพร้อมกับเหงื่อกาฬท่วมสารพางค์กายทั้งที่ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ


“นอนไม่หลับหรือครับ”
เสียงทักของพชรทำเอายองฮวาที่ลุกขึ้นมานั่งปล่อยใจริมระเบียงถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ผมฝันไม่ดีเลย…” ในที่สุดเขาก็เรื่องความฝันนั้นออกมา
“คงไม่มีอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากไปเลย คนที่ตาไปด้วยนั่นไว้ใจได้มากที่สุดอยู่แล้ว ตาต้องปลอดภัยแน่ๆ”
“ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ผมกลัวว่าตาจะไม่ให้โอกาสผมแล้วต่างหาก” หากชายหนุ่มมีตาทิพย์คงได้รู้ว่าเรื่องที่กำลังจะมาถึงหนักหนาสาหัสกว่าที่คาดคิดหลายเท่านัก!


พชรเสมือนปราศจากความเห็นกับเรื่องที่ได้รับฟังไปชั่วขณะ เพราะสายตาที่เหม่อมองไปยังบรรยากาศเบื้องหน้าพาให้ใจฉุกคิดถึงเรื่องที่ไม่วายให้หายสงสัย ในวันนั้น…ที่เขาได้เห็นสองสาวในชุดสไบเต็มๆ ตา แต่เมื่อนำภาพถ่ายมาเปิดดู กลับไม่ปรากฏภาพใดๆ ทั้งสิ้น
หรือเพราะความมืดอีกทั้งยังไกลเกินกันแน่ ทำให้ถ่ายภาพนั้นไม่ติด ครั้นจะถามลุงจ่าก็ยังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้ ทว่าที่พชรไม่อาจล่วงรู้ก็คือ บัดนี้ดวงตาสีเขียวมรกตคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมายังเขา โดยอาศัยกอราตรีคอยกำบัง!!

เป็นช่วงเช้าที่หมู่บ้านเล็กๆ คึกคักนับแต่แสงแรกของรุ่งอรุณได้สาดส่องมาถึง ควันไฟส่งกลิ่นอวลอยู่ในอากาศ เช่นเดียวกับสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วทำให้ฐิตารีย์รู้สึกราวกับตัวเองนั้นฝันไป เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่าเมืองไทยยังมีสถานที่ที่น่าประทับใจอยู่อีกมาก


งานแต่งจัดอย่างเอิกเกริก โดยเจ้าบ่าวจัดโต๊ะไว้เลี้ยงแขกถึงสิบโต๊ะ ชุดเจ้าสาวก็งดงามตามประเภณี ฐิตารีย์และภูมิรพีกลายเป็นแขกคนสำคัญที่ได้เข้าชมอย่างใกล้ชิด ทว่าความรื่นรมณ์ดำเนินได้ยังไม่ถึงครึ่งเพราะ จู่ๆ ผู้หมวดหนุ่มก็เข้ามาซุบซิบบางอย่างกับภูมิรพีซึ่งเธอมองจากสีหน้าก็รู้ทันทีว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถามน้ำเสียงร้อนรน


อีกไม่กี่นาทีถัดมา…ฐิตารีย์งดงามไม่ต่างกับเจ้าสาวในวันนี้ ผืนผ้าปักที่สวมใส่แสนปราณีต เครื่องประดับเงินซึ่งคล้องคอก็วิจิตรบรรจง ผมมวยมุ่นกลุ่มใหญ่ที่นำมาติดไว้ยังด้านหลังตามแบบฉบับของสาวชาวม้งก็ยิ่งพาให้ความงดงามเพิ่มของเธอเป็นทวีคูณ


ไม่น่าเชื่อด้วยว่าผู้ที่ยืนเคียงข้างจะเป็นบุรุษคนเดียวกับที่ร่วมฟันฝ่าความเป็นความตายกันมาเมื่อวันวาน เพราะบัดนี้เส้นผมที่ไม่เคยเข้ารูปของเขากลับถูกรวบอย่างเรียบกริบ


ภูมิรพีในชุดเสื้อสีกลมท่าตัวสั้นแบบป้ายข้าง ตัวเสื้อปักลวดลายประจำเผ่า แขนยาว ขลิบขอบแขนเสื้อด้วยสีฟ้า ที่งดงามยิ่งกว่าคือการประดับด้วยแผ่นเงินตีขึ้นรูปด้วยศิลปของช่างฝีมือชั้นสูง กางเกงใช้สีเดียวกันแต่เป้ากางหย่อนต่ำจนถึงเข่า ปลายขาแคบโดยมีผ้าสีแดงคาดไว้ที่เอว ด้านหน้าปิดทับด้วยผ้าห้อยชายลงมาเกือบถึงข้อเท้าปักลวดลายอย่างงดงามด้วยเช่นกัน


หากนี่ไม่ใช่เวลาที่ความตายมาหายใจจนรดต้นคอ เธอคงมีเวลานึกชื่นชม และหากไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าของผู้หมวดเธอก็คงไม่ต้องตัดสินใจเช่นนี้แน่
“พวกมันไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม บุกเข้ามาค้นบ้านทุกหลัง รวมทั้งบ้านพักของคุณด้วย โชคดีที่เราเก็บข้าวของไปซ่อนไว้ทัน งานนี้เห็นที…ต้องใช้วิธีสุดท้ายนี้แล้วล่ะครับ”


ที่ไกลเลิศพูดเช่นนั้นเพราะแม้เขาและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกสามนายจะอยู่ในชุดตำรวจตระเวณชายแดนแต่พวกมันก็ไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย
บุรุษหน้าเหี้ยมกลุ่มใหญ่ที่แม้ไม่ได้แสดงอาวุธให้ได้เห็นแต่นั่นก็เพียงพอที่จะหยุดความคิดต่างๆ ของฐิตารีย์ไว้เพียงเท่านั้น นับว่ายังโชคดีที่พวกมันไม่มีทีท่าจะรู้จักเธอและเขา นาทีนั้นฐิตารีย์จึงไม่ต่างกับหุ่นเชิด ที่ผู้เคียงข้างลากจูงไปได้ตามอำเภอใจ


พิธียังดำเนินต่อโดยบ่าวสาวคำนับผู้สูงอายุที่นั่งเรียงแถวกันบนม้ายาว เหล้าหมักเองจากธัญพืชประเภทข้าว และข้าวโพดถูกรินลงยังเขาควายขนาดเล็กซึ่งใช้แทนแก้วจึงเป็นอีกความรู้สึกที่ฐิตารีย์ไม่คิดว่าจะได้สัมผัส ผู้มาร่วมงานนั่งบนม้ายาวโดยบนโต๊ะมีอาหารจานหลักคือเครื่องในหมูต้มซึ่งเป็นเรื่องราวของพิธีการเช่นกัน


บทสวดอันแสนไพเราะแม้ไม่รู้ถึงความหมายแต่ทำให้เธอประทับใจอย่างบอกไม่ถูก และทั้งพวกคนร้ายยังคงปักหลักโดยไม่มีทีท่าขยับเขยื้อน แต่ผู้ที่ยืนเคียงข้างก็ทำให้เธออุ่นใจได้อย่างประหลาดล้ำ
เมื่อพิธีผ่านพ้นจึงตามด้วยการถ่ายภาพร่วมกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงแสดงความยินดีนั้น ฐิตารีย์ได้แต่ฝืนทำหน้าชื่น


“คุณเตรียมตัวเอาไว้ คืนนี้เราจะเดินทางต่อ ไปที่ม่อนละอองเมฆ” ภูมิรพีบอกน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่ต่างกับใบหน้าเมื่อกลับมายังที่พักพร้อมกับผู้หมวดไกรเลิศ
นับเป็นคำพูดที่เธอกลัวมาตลอด คิดไม่ถึงด้วยว่าจะได้ยินเร็วถึงเพียงนี้ เพราะยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางแสนอันทุลักทุเลนั่น ที่สำคัญที่นี่น่าอยู่และเธอก็ยังไม่อยากจากไป


“แต่…เราจะออกไปจากหมู่บ้านได้ยังไงกันล่ะคะ ในเมื่อพวกมันยังคอยดักทุกทางออกอยู่อย่างนี้” ถามอย่างกังวล
ภูมิรพีไม่มีคำตอบใดๆ แต่ผู้หมวดกลับเดินเลยเข้าไปเลื่อนแคร่นอนของเธอออก และนั่นก็เป็นคำตอบที่ใครก็ไม่อาจจะคาดถึง!!


ค่ำคืนอันดึกสงัดที่แสงจันทร์ยังคงสาดส่อง...
ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่หลับไหล แต่ยังมีเสียงหมาเห่ารับกันเป็นทอดๆ ก่อนจางหายไปตามสายลม สองอาคันตุกะกับครูหนุ่มต่างเร้นกายหายไปในความมืดราวกับมีเวทมนต์ก็ไม่ปาน


ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วินาที...ทั้งสามชีวิตต่างรีบเร่งเดินทางโดยใช้ช่องทางลับซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้แคร่ที่นอนของฐิตารีย์ อุโมงค์ดินขนาดสองคนเดิน สูงกว่าศีรษะของคนยืนถึงหนึ่งฟุตยังคงแข็งแกร่งแม้ผ่านกาลเวลามาหลายชั่วอายุคน โดยในอดีตใช้เป็นที่สะสมเสบียงและเก็บอาวุธ บางตอนยังเป็นห้องพยาบาล และกองบัญชาการ ผู้หมวดเล่าว่ามันเคยถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการเก่าของผู้ก่อความไม่สงบในบ้านเมืองแต่ปัจจุบันถูกปิดตาย มีเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านที่กำความลับเส้นทางนี้ไว้ และเพิ่งจะมีครั้งนี้ที่มันได้ใช้ให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง


ทางเข้าออกที่ผู้หมวดบอกว่ามีถึงหกทาง ทำให้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีคนนำทางเธอจะต้องหลงอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหยากใย้ใยแมงมุมทำให้เธอกลัวว่าจะมีสัตว์เลื้อยคลานอื่นมาเยี่ยมเยือน


“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมใช้ทางนี้เข้าออกอยู่บ่อยๆ”
ถึงผู้หมวดจะกล่าวเช่นนั้น แต่สำหรับฐิตารีย์ที่ต้องเผชิญกับกลิ่นอับสาบสางผสมกับกลิ่นควันไฟจากคบเพลิงที่ต้องจมูกตลอดจนเส้นทางอันคับแคบกว่าหนึ่งกิโลฯ กลับทำให้อึดอัดจนแทบไม่อาจทรงตัวอยู่

ช่วงใกล้ค่ำของวันรุ่งขึ้น...ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนที่มาปรากฏตัวยังฟาร์มเทพทัตได้รับการต้อนรับจากเจ้าบ้านเป็นอย่างดี


แม้เจียระไนอยากรู้เพียงใดว่าผู้หมวดหนุ่มมาพบบิดาด้วยเรื่องใดแต่จำต้องอดใจไว้ ที่สำคัญช่วงเช้าตรู่บิดาเป็นคนบอกเธอเองว่าจะมีคนมาขอพบ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือจะเป็นบุรุษผู้นี้ไปได้ เพราะกิตติศัพท์ของ ร.ต.ท. ไกลเลิศ ผู้อุทิศตนให้กับเด็กๆ บนขุนเขา ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับอีกหนึ่งหนุ่มผู้อุทิศตนเพื่อการอณุลักษณ์ป่าผืนสุดท้ายของดอยเชียงฟ้าและภูผาห่มหมอก


“คุณภูให้ผมมาเรียนท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงคุณหนูครับ…”
การพบกันเพียงลำพังกับเทพทัตทำให้ผู้หมวดรู้สึกยำเกรงชายสูงอายุตรงหน้าอยู่ไม่น้อย และแล้วสาเหตุที่ทำให้คณะช่วยผู้ประสบภัยคว้าน้ำเหลวเพราะไม่พบผู้ที่ตั้งใจไปช่วยเหลือก็ถึงหูประมุขใหญ่ของฟาร์มจนได้ รวมทั้งเรื่องที่คนร้ายตามกลิ่นราวหมาล่าเนื้อจนถึงหมู่บ้านชาวม้งก็ถูกถ่ายทอดให้ฟังจนหมดสิ้นด้วยเช่นกัน


“คุณจะไปสมทบกับสองคนนั่นหรือเปล่า” เทพทัตเอ่ยถามเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบลง
“ไม่ครับ แต่หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลผมจะรีบแจ้งข่าวไปทันที”
เทพทัตได้แต่พยักหน้ารับอย่างครุ่นคิด
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็ขอเชิญคุณค้างเสียที่นี่ ตามสบายนะครับ คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกัน”


“ขอบคุณท่านมากครับ แต่ผมคงไม่รบกวน ผมลงมาทีไรก็ไปพักที่ไร่คุณภูทุกที”
“พ่อจะไม่ถามผมสักคำเลยหรือครับว่าจะเอายังไงกับเรื่องยัยตา” ผู้ทะลุกลางปล้องคือธนวัต ที่แอบฟังอยู่หลังประตูที่แง้มไว้มานานแล้ว
แขกผู้มาเยือนทำความเคารพผู้มาใหม่ ขณะอีกฝ่ายเพียงรับไหว้อย่างเสียไม่ได้เท่านั้น


“เราควรแจ้งตำรวจให้มาช่วยอีกแรง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ธรรมดา ปะเหมาะเคราะห์ร้ายมันกลับมาล้างแค้น เราจะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่” ธนวัตพูดอย่างใจคิด
เทพทัตสงบนิ่งราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผิดกับไกลเลิศที่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“แต่หากจะทำอย่างนั้นผมเกรงว่าเรื่องจะกลายเป็น ที่สำคัญเราเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร” ไกลเลิศบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ถึงน้อยครั้งที่เขาจะเหยียบย่างลงมายังพื้นราบ แต่ก็ได้รับรู้เบื้องลึกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้เป็นอย่างดีว่าโยงใยกันเช่นใด การที่บิดาของหญิงสาวเอ่ยปากจะแจ้งตำรวจจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย วูบหนึ่งที่เขาคิดถึงคำพูดของหนึ่งในผู้ไม่ประสงค์ดีที่เพิ่งจากมา


“ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผู้หมวด ก็อย่าได้แกว่งเท้าหาเสี้ยนจะดีกว่า ผมเอง ‘นาย’ก็สั่งมาอีกที เพราะฉะนั้น หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน ผู้หมวดคิดอย่างผมหรือเปล่าครับ”
“แล้วคุณคิดจะให้ผมรอไปถึงไหนไม่ทราบ ลูกสาวผมทั้งคน” ธนวัตโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
ครั้งนี้ไกลเลิศถึงกับพูดไม่ออก


“ผู้หมวดพูดมาก็มีเหตุผล หากเราทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมดีกว่ากระโตกกระตาก ยามนี้คนร้ายมันก็ต้องคอยจ้องอยู่แน่ๆ แล้วคุณลงมาอย่างนี้ไม่คิดหรือว่าพวกมันจะสะกดรอยตาม”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมระวังตัวทุกฝีก้าวอยู่แล้ว” แท้จริงไกลเลิศมาถึงตั้งแต่บ่ายแก่ แต่รอให้พลบค่ำจึงเข้ามายังฟาร์มเพื่อป้องกันคนพบเห็น


“ผมขอรับประกันแทนคุณภูนะครับ ว่าสามารถดูแลคุณตาได้อย่างดีที่สุด” ไกลเลิศการันตี
“หึ…บุคคลที่คุณเอ่ยถึง ตัวเองยังเอาไม่รอด อย่างนี้แล้วคุณยังจะกล้ารับประกันอย่างนั้นหรือ” ธนวัตยังกล่าวอย่างเผ็ดร้อน


“คุณไปพักที่ไร่คุณภูก็ดีเหมือนกัน จะได้ส่งข่าวให้แม่เขาได้สบายใจด้วย” เทพทัตเปลี่ยนเรื่องด้วยหวังผลบางอย่าง และดูเหมือนจะได้ผล เพราะอารมณ์ของบุตรชายดูจะเย็นลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
“ถึงยังไงผมก็อยากให้ท่านปิดเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน” ไกลเลิศกล่าวอย่างกังวล


เทพทัตพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “คุณไม่ต้องห่วง รับรองว่าเรื่องนี้จะไม่แพรงพรายออกไปจากฟาร์มเด็ดขาด”
“จริงสิครับ คุณหนูให้ผมมาเอาโน๊ตบุ๊คเธอกลับไปด้วย…” ไกลเลิศเพิ่งนึกขึ้นได้ และนอกจากที่เขาเอ่ยยังมีของใช้ส่วนตัวที่เขียนมาอีกจิปาถะ
โดยผู้หนุ่มนัดแนะเวลามารับของที่ต้องการในวันรุ่งขึ้นก่อนขอตัวกลับไปอย่างเงียบเชียบ โดยหารู้ไม่ว่าธนวัตยังคุกรุ่นกับเรื่องที่ได้รับฟัง


ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ ที่มาถึงในวันนี้มีเพียงข้าวปุ้นที่หน้าละห้อยออกมาต้อนรับขับสู้
“นายภูไม่อยู่หรอกครับผู้หมวด...” แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ออกจากปากเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเจ้านายโดยไม่รู้เลยว่าบุคคลตรงหน้ารับรู้จนหมดสิ้นแล้ว
“ป่านนี้นายเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ หลงป่าก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ใหญ่” ยังกล่าวอย่างมืดแปดด้าน


“ผมไปเห็นมากับตาว่าที่จุดชมวิวนั่นนายยังทิ้งข้าวของไว้ นี่นายแม่ก็เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
“แล้วคุณปลัดกับคุณภาคย์ล่ะ เขาว่ายังไงบ้าง”
ข้าวปุ้นสบตาอีกฝ่ายก่อนส่ายหน้าไปมา “นอกจากบ่นเป็นห่วง ก็ไม่เห็นว่ายังไงเลยนี่ครับ”


กับคำตอบที่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรนั่นทำให้ผู้หมวดหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันทันใด หารู้ไม่ว่าบุคคลทั้งสองที่พูดถึงกำลังนั่งสีหน้าเคร่งเครียดอยู่หน้าหน่วยรักษาอุทธยาน เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีเรื่องให้ขบคิดจนได้ยินเสียงทอดถอนใจดังเป็นห้วงๆ ทว่าควันไฟจากเตาอั้งโล่ที่พ่อครัวร่างผอมเกร็งกำลังโหมเพื่อย่างไก่บ้านตัวเขื่องซึ่งหมักขมิ้นพร้อมปรุงรสมาเสร็จสรรพ โดยปลัดนำติดมือมาเป็นอาหารมื้อค่ำกลับตลบไปจนทั่ว นาทีนั้นณัฐภาคย์ถึงกับจามติดๆ กันถึงสามครั้ง


“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าภูมันหายไปไหน ทั้งที่เราไปตามจนถึงกระท่อมแสงจันทร์ แต่ก็กลับไร้วี่แวว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเราคิดถูกหรือผิดที่ไม่แจ้งตำรวจว่าภูขึ้นไปที่กระท่อมนั่น” ณัฐภาคย์เอ่ยออกมาในที่สุด
“…” ธันวินยังคงเงียบสนิทกับเรื่องที่ได้รับฟัง


“นายคงไม่คิดว่าเป็นความผิดของฉัน ที่ทำให้เพื่อนต้องเดือดร้อน เพราะหากฉันไม่เป็นคนวานให้ภูมันขึ้นไปที่นั่น เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่มีใครโทษนายหรอกนะ ฉันเชื่อว่าหากเป็นภู มันก็ต้องพูดอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน”
ถึงแม้เพื่อนพูดเช่นนั้นแต่ธันวินยังรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ดี


“แต่ถึงยังไง ฉันก็ยังคอดว่า...เราควรแจ้งตำรวจเรื่องปลอกกระสุนที่พบที่กระท่อมนั่นนะ” ณัฐพาคย์ยังติดใจกับเรื่องนี้
“รออีกหน่อยก็แล้วกัน ฉันว่าบางทีเรื่องมันอาจไม่ใช่อย่างที่เรากลัวก็ได้” ธันวินไม่เห็นด้วย
“นายหมายความว่ายังไง”
“ก็บางที...ป่านนี้เพื่อนเราอาจจะกำลังมีความสุขอยู่กับเจ้าหล่อนก็เป็นได้”


“นายกำลังเอาตัวเองเป็นตัวตัดสินอยู่หรือเปล่า ก็รู้ๆ อยู่ว่าสองคนนั่นไม่ได้ญาติดีกันสักเท่าไหร่ ที่สำคัญเพื่อนเราไม่ใช่คนอย่างนั้น”
ธันวินได้แต่ยักไหล่
“ว่าได้หรือ อยู่ด้วยกันกินด้วยกัน นอนด้วยกัน”
“เฮ้ย พูดบ้าๆ ใครได้ยินเข้าผู้หญิงเขาจะเสียหายนะโว้ย” ณัฐพากย์ทะลุกลางปล้องที่เพื่อนพูดสองแง่สองง่ามให้ต้องคิด


“ฉันหมายถึง…ใกล้ชิดกันต่างหาก ต่อให้เสือพบสิงห์แต่ยามต้องตกระกำลำบากมันก็ต้องต่างฝ่ายต่างอ่อนข้อเข้าหากันอยู่แล้ว” ธันวินรีบแก้
“เออ...ขอให้เป็นอย่างที่นายว่ามาก็แล้วกัน”


ด้านไกลเลิศกลับรู้สึกสะดุดใจกับคำบอกเล่าของข้าวปุ้นไม่น้อย น่าแปลกนักที่สองหนุ่มนั่นทำไมถึงไม่เอ่ยถึงร่องรอยของคนร้ายที่ตั้งใจขึ้นไปเก็บภูมิรพีจนถึงกระท่อมแสงจันทร์ หรือว่าหลักฐานต่างๆ นั่นถูกทำลายจนหมดสิ้นก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นไปกันแน่


“จะว่าไปคุณตาที่ไปกับคุณภูนั่นเธอก็ใช่ย่อย เก่งยังกับผู้ชายเลยนะครับ...” เป็นอีกครั้งที่เรื่องของหญิงสาวออกจากปากของข้าวปุ้น
ผู้รับฟังได้แต่ยิ้มรับกับเรื่องใหม่ที่รับรู้
“นายแม่ล่ะ” ไกลเลิศกลับมาเข้าเรื่องที่ต้องมาทำ


“ท่านทานข้าวอยู่กับแขกน่ะฮะ” ที่ไม่ได้พูดต่อคือแขกที่ว่าคือคุณสริตาที่วันนี้ยังคงปักหลักพักค้างโดยไม่มีทีท่าจะไปไหน
“เชิญครูพักผ่านก่อนเถอะนะครับ เดี๋ยวผมจะไปเรียนท่านให้ ผู้หมวดจะพักสักกี่วันดีล่ะครับ”
“คืนเดียวเท่านั้น อ้อ...เรื่องนายภู ฉันว่าเราไม่ต้องห่วงหรอกนะ เชื่อว่ายังไงเสียคนเก่งอย่างเขาต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ และยิ่งเรายืนยันว่าคนที่ไปกับเขานั่นเก่งกาจขนาดนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องห่วงใหญ่ จริงมั้ย” ไกลเลิศเอ่ยเช่นนั้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายกังวล


ข้าวปุ้นเพียงยิ้มแห้งๆ ก่อนหันไปคว้ากุญแจบ้านพัก
“อาทิตย์นี้แขกเยอะมั้ย” ไกลเลิศถามเรื่อยๆ ระหว่างเดินมาขึ้นรถกอล์ฟ
“ไม่หรอกฮะ เงียบสนิท มีเพียงแฟนคุณภูคนหนึ่ง กับอีกคนก็แฟนคุณตา คนนี้ดีหน่อยเพราะเขาจ่ายล่วงหน้าสองอาทิตย์ แต่วันนี้เขาไปพักที่ไร่เทพทัตฮะ”


ไกลเลิศเหมือนจะยังงุนงงกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าต่างก็มีแฟนแล้วทั้งคู่ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อทั้งสองไม่มีทีท่าว่าไม่สนิทสนมกันแม้แต่น้อย


ในเวลาเดียวกัน ณ ฟาร์มเทพทัต...บุตรสาวที่มาเมียงๆ มองๆ อยู่หน้าประตูทำให้เทพทัตเรียกเข้ามาเพราะมีเรื่องให้จัดการ เจียระไนอ่านข้อความที่หลานสาวเขียนฝากมาเป็นหางว่าวแล้วถึงกับอ้าปากค้าง
“สั่งมามากมายขนาดนี้กะจะอยู่เป็นปีเลยหรือไงคะ” น้ำเสียงบุตรสาวแสดงความไม่พอใจ


“กลับมาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ตอนนี้ใครๆ เขานินทากันให้แซด แล้วนี่ตกลงเขาไปอยู่ที่ไหนกันแน่คะ ทำไมถึงยังไม่กลับมา ไหนจะยอง ฮวานั่นก็ยังคาราคาซังอยู่ทั้งคน”
“จัดการตามนั้นก็แล้วกัน” น้ำเสียงเทพทัตราบเรียบราวไม่ได้ยินสิ่งที่บุตรสาวพรั่งพรูออกมา


“แล้วขอให้ปิดเรื่องที่เจอยัยตานี่ไว้เป็นความลับไว้ก่อน โดยเฉพาะกับกำนันพิรัชน์นั่น จะรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด หวังว่าเอื้องคงไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวังหรอกนะ” เทพทัตกล่าวดักคอบุตรสาว


“อ้อ…แล้วก็ก่อนจะว่าหลาน เอื้องก็ควรย้อนดูตัวเองด้วยว่าดีพอแล้วหรือยัง พ่อไม่ได้เข้าข้างใครแต่ภาวะเช่นนี้เราควรเอาใจช่วยหลานไม่ใช่หรือ”
“...” บุตรสาวถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้รับฟัง


“อีกอย่างฝากไปบอกกำนันด้วยว่า ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ยัยตากับลูกชายกำนันจะไม่มีวันเป็นทองแผ่นเดียวกันได้อย่างเด็ดขาด”
“คุณพ่อพูดอย่างนี้ได้ถามเจ้าตัวเขาแล้วหรือยังคะ เรื่องมาถึงขนาดนี้ แต่ฝ่ายนั้นยังมีแก่ใจคอยไถ่ถาม หากไม่รักใครชอบพอใยตาจริงๆ ใครเขาจะคอยมาเทียวไล้เทียวขื่อ”


เทพทัตมองบุตรสาวอย่างนึกไม่ถึง เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีปากมีเสียงเลยสักครั้ง
“เรื่องนั้นพ่อก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร แต่ขึ้นชื่อว่ากำนัน ใครๆ ก็รู้ว่าที่ไหนไม่มีผลประโยชน์ย่อมไม่มีวันได้เจอกับเขา”
“พ่อมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ” สวนกลับอย่างมีอารมณ์
ครั้งนี้เทพทัตเขม้นมองบุตรสาวเต็มๆ ตา “ถามจริงๆ เถอะที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นี่เป็นเพราะลูกชายกำนัน หรือตัวกำนันกันแน่”


แม้เจียระไนจะออกมาจากห้องมานานแล้วแต่ใบหน้าร้อนผ่าว และใจก็ยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ แท้จริงแล้วบิดารู้เรื่องระหว่างเธอกับพิรัชน์มากน้อยแค่ไหนกัน นาทีนี้เธอรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก


เทพทัตได้แต่ข่มใจเพราะเขาก็เพิ่งปะทะคารมกับบุตรชายหลังจากผู้หมวดลากลับไปหยกๆ
“พ่อจะปล่อยให้เรื่องนี้เลยตามเลยไม่ได้นะครับ”
“เรากำลังจะพูดอะไรกันแน่ หากยังผูกใจเจ็บกับเรื่องของตัวเองในอดีตแล้วมาลงกับรุ่นลูก ก็ไม่ต่างอะไรกับตีวัวกระทบคราด หรือพวกมือถือสาก ปากถือศิล”
ธนวัตแทบสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน


“เราควรหันมามองตัวเองได้แล้วว่าสมควรหรือไม่กับสิ่งที่ทำลงไป ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนั้น เราเองจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ ในเมื่อคนที่เราเกลียดและโกรธได้จากโลกนี้ไปนานพอที่เราจะเอ่ยคำว่าให้อภัยกันได้แล้ว สู้ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
“...” เป็นอีกครั้งที่ธนวัตไม่อาจเอ่ยคำใดๆ ออกมาทั้งสิ้น


“ฉันไม่เชื่อจริงๆ ว่าเราจะไม่รู้ ว่าเพียงเพราะความผูกใจเจ็บที่สั่งสมเอาไว้นั่น ทำให้ทั้งลูกและน้องสาวของเราเอง ต้องเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้ แต่หากคิดได้ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะ”
เทพทัตได้แต่มองบุตรชายที่ผลุนผลันจากไปก่อนถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย หากไม่ใช่เพราะแรงอาฆาตแค้นที่บุตรชายมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เรื่องในวันนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้น วูบหนึ่งที่เทพทัตนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต…


เพราะบุตรชายต้องการเอาชนะบิดาของภูมิรพี เมื่อเข้ารับราชการทหารจึงกว้านซื้อที่ติดกับที่ดินของศัตรูหัวใจ อีกทั้งยังทุ่มทั้งแรงกายแรงใจพลิกผืนฟาร์มแห่งนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าเหนือกว่า ก็คงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากจนทุกวันนี้ อีกทั้งบิดาของภูมิรพีก็จากไปเสียก่อนก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่สุดท้ายต้องแบกรับภาระหนี้ธนาคารจำนวนมหาศาลกลับเป็นบุตรสาวที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตนั่นแม้แต่น้อย


ธนวัตใช่ว่าไม่เข้าใจกับคำพูดของบิดา แต่มันเหนือจะยอมรับได้ต่างหาก ในเมื่อขณะนั้นเขากำลังใช้ชีวิตในรั้วของโรงเรียนเตรียมทหารปีสุดท้าย กับข่าวที่ได้รับว่าหญิงคนรักโดนจับแต่งงานทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควรกับเจ้าบ่าวที่อายุห่างกันถึงสองรอบ เพียงเพื่อแลกกับการถ่ายถอนที่ดินซึ่งบิดาเธอนำไปจำนองไว้ ถึงนั่นจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส


ตลอดระยะเวลาสี่ปีกับหลักสตูรนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไม่ได้ทำให้เขาลืมได้เลยว่ามีสิ่งใดได้เกิดขึ้นกับชีวิตที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าเมื่อเรียนจบจะแต่งงานกับเธอผู้นั้นทันที ความรักที่เคยมีจึงกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเดินมาจนถึงวันนี้ ที่เพิ่งรู้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เพียงต้องสูญเสียภรรยาคู่ชีวิตแต่กับบุตรทั้งสองก็ดูเหมือนจะไปคนละทางด้วยเช่นกัน


“ในเมื่อคุณไม่เคยมีความรักจะมอบให้ เราก็จบกันเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน”
วันนั้นที่แม่ของลูกๆ บอกเขาพร้อมน้ำตา
“คุณน่าจะบอกตั้งแต่แรกว่าใจคุณไม่เคยมีให้กับฉัน เราจะได้ไม่ต้องมาแต่งงานกัน ในเมื่อฉันทำหน้าที่เป็นแม่ให้กับลูกคุณสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือคุณก็เป็นหน้าที่ของคุณก็แล้วกัน”


เขาไม่คิดเลยว่าเพียงเพราะตะกอนของความรักที่ตกผลึกอยู่ภายในหัวใจมาเนิ่นนานนั่นจะสร้างความสูญเสียให้ได้มากมายถึงเพียงนี้ เขาน่าจะยอมรับว่าเมื่อเวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็แปลเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน กระทั่งวันนี้ที่เขาก็ยังเพียงแค่ได้มองเธออยู่ห่างๆ ไม่ต่างกับการเฝ้ามองแสงดาวบนฟากฟ้า…


ย้อนเวลากลับไปยังสองหนุ่มสาวเมื่อใกล้รุ่งสาง...รถกะบะคันเดิมพาทั้งสองชีวิตออกจากหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบจุดหมายปลายทางคือบ้านม่อนละอองเมฆ

หมู่บ้านซึ่งซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาสุดเขตแดนสยามที่น้อยคนนักจะย่างกรายไปถึง
หมู่เมฆที่ละเลียดทิวเขาอันสลับซับซ้อน บนเพิงผาป่าสนสามใบที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ ตั้งตระหง่านมาหลายชั่วอายุคน อีกด้านที่เบื้องล่างซึ่งเห็นอยู่ไกลลิบกลับเป็นสายธารอันคดเคี้ยว ภาพนั้นทำให้ฐิตารีย์ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่างดงามอย่างที่สุด หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะเธอได้ยืนอยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้กันแน่...ภูมิรพี วิริทธิ์พล


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ผู้อ่านที่น่ารักทุกๆ ท่าน
แล้วก็ได้เวลาลง ป่าหนาวในเงารัก ให้ได้อ่านกันนะคะ ช้าสักหน่อยเพราะภาระกิจมากมายรัดตัวค่ะ หวังว่าจะสนุกกับตอนนี้นะคะ

ช่วงนี้อากาศร้อนมากๆ อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

รบกวนฝาก บูงาฆารัก ซึ่งใช้ชื่อผู้เขียน กรยุพา ที่จัดทำเป็นE-Book ด้วยนะคะ หากเพื่อนๆ ท่านใดสนใจเข้าไปเยี่ยมชม หรือดาวน์โหลตก็สามารถทำได้ตามอัธยาศัยแล้วค่ะ ^^


http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=3293

ขอบคุณเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกๆ ท่านจากใจจริงค่ะ ที่ยังกรุณาติดตามผลงานกันอยู่ ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร





ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2556, 17:14:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2556, 22:53:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1375





<< 14 กรยุพา . ยุพากร   16 ยุพากร . กรยุพา >>
ยุพากร 28 ก.พ. 2556, 17:16:13 น.
แล้วพบกันกับ ' กรยุพา ' กับเรื่อง 'หนึ่งในรัก' ในตอนต่อไปในเร็ววันนี้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account