ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: 16 ยุพากร . กรยุพา

16

แสงดาวไม่รู้ว่าข่าวที่ได้รับจากผู้หมวดไกลเลิศจะทำให้เธอดีใจได้หรือไม่ เพราะตราบใดที่บุตรชายยังไม่คิดเลิกพฤติกรรมเสี่ยงแบบนั้น ที่ผ่านมาแม้มีบุตรชายถึงสองคนแต่เธอกลับเสมือนอยู่ตัวคนเดียว เพราะคนหนึ่งไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่คิดจะกลับมาดูดำดูดีแม่คนนี้ ส่วนอีกคนก็มุ่งมั่นกับอุดมการณ์ของตัวเองอย่างแก่กล้า


มานึกถึงพ่อของลูกก็อายุต่างกับเธอจนปราศจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซ้ำหญิงสาวที่มาติดพันบุตรชายก็ไม่มีทีท่าจะจากไปง่ายๆ เช่นนี้แล้ว คนที่อยู่ในฐานะแม่จะหาทางออกเช่นใดดี วูบหนึ่งที่นึกถึงธนวัต...บางทีเขาผู้นั้นอาจให้คำปรึกษาดีๆ ให้กับเธอก็เป็นได้


ณ บ้านม่อนละอองเมฆ หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีผลผลิตเป็นเมล็ดกาแฟอาราบิก้ารสชาติชั้นเลิศ ท่ามกลางความสับสนที่เกิดขึ้นกับชีวิตจึงนับเป็นอีกหนึ่งความสุขของฐิตารีย์ เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้กลิ่นกรุ่นและยังได้ลิ้มรสชาติของเครื่องดื่มถ้วยโปรด


“กาแฟสายพันธ์นี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกทางภาคเหนืออย่างเรา เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวก็มีเมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่มีคุณภาพมากเช่นกัน” ภูมิรพีเล่าเรื่อยๆ
“ส่วนทางเวียดนามจะปลูกสายพันธ์โรบัสต้ามากที่สุด เรียกได้ว่าติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว”


“ทางใต้เราก็ปลูกปลูกสายพันธ์โรบัสต้าเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ?”
“ครับ เพราะสภาพอากาศเหมาะสมกับสายพันธุ์นั้น”
ฐิตารีย์ได้แต่มองบุรุษตรงหน้าพร้อมๆ กับความรู้สึกหนึ่งที่ซึมแทรกเข้ามาภายในใจ


“กาแฟที่นี่ทั้งอร่อย ทั้งหอมมากๆ จริงๆ ค่ะ เห็นทีต้องเอาไปทำการตลาดให้แล้วสิคะ” เธอกล่าวทำลายความคิดฟุ้งซ่านนั้นไปเสีย
“เอาสิครับ จะได้เป็นอีกหนึ่งหนทางที่แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ราวพลิกฝ่ามือ แต่อย่างน้อยก็น่าจะดีได้ในระดับหนึ่ง”
นี่คือภูมิรพี ที่มักนึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ จึงเป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกดีๆ ได้เกิดขึ้นภายในหัวใจของฐิตารีย์อย่างช่วยไม่ได้


เส้นทางของสายน้ำที่เชี่ยวกรากแต่เมื่อผ่านแก่งหินและซอกเขากลับเพียงไหลเอื่อยๆ พาให้ฐิตารีย์รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวที่นุ่งเพียงกระโจมอกไม่เคยคิดสักนิดว่าตัวเองจะได้สัมผัส สำหรับเธอแล้วนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ กับประสบการณ์เช่นนี้ โดยเด็กหญิงชายในหมู่บ้านที่ลงเล่นน้ำด้วยพากันส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังไม่ขาดระยะ


ภูมิรพีที่มาคอยรักษาความปลอดภัยอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างครึ้มใจ วูบหนึ่งที่เขาคิดว่าตัวเองตาฝาด...ที่แผ่นหลังของหญิงสาว ลายสักยันต์ปรากฏให้เขาได้เห็น แต่เพราะเหตุใดเมื่อเขาเพียงกระพริบตาแผ่นหลังขาวสะอ้านก็กลับปราศจากล่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น


หญิงสาวที่นั่งมองผืนฟ้าและหมู่ดาวนับพันในค่ำคืนนี้รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นมันฝรั่งเผาลอยอวลในอากาศ นานๆ ทีจะได้ยินเสียงปะทุของถ่านจากเตาที่เพียงนำหินจากแม่น้ำขึ้นมาก่อป้องกันลมจากนั้นก่อไฟตรงกลาง แล้วจึงนำตะแกรงวางเพียงเท่านี้ก็ได้เตาไฟไว้ใช้แล้ว


สายลมกระโชกให้กองไฟลุกโพลงในบางเวลา ขณะที่ชายหนุ่มยังง่วนกับการกลับมันเผาราวนั่นเป็นหน้าที่สำคัญเสียเหลือเกิน
“คุณจะเล่าให้ตาฟังได้หรือยังคะ ว่าวันนั้นคุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนร้ายขึ้นมาที่กระท่อมแสงจันทร์”


ความเงียบที่เข้ามาแทนที่ทำให้หญิงสาวไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“นายอินทร์ศรคนเฝ้ากระท่อมคือคนคนเดียวกับที่พาเราหนีออกมาจากที่นั่น รวมทั้งพาเรามาจนถึงที่นี่” เขาเริ่มเรื่องอย่างใช้ความคิด
“จริงๆ แล้วคืนนั้น คนร้ายขึ้นมาซุ่มตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน อินทร์ศรรู้ตัวก่อนแล้ว ว่ามีคนขึ้นมาตามเส้นทางนั้น เพราะพบรอยเท้าใหม่เอี่ยมอยู่หลายรอย แต่มันก็ไม่บุกเข้ามาในช่วงสว่าง เพราะคงไม่มั่นใจเหมือนกันว่าทางเราจะมีกำลังคนมากน้อยแค่ไหน”


ไม่น่าเชื่อว่านาทีนี้เธอยังรู้สึกเสียวสันหลังไม่หาย
“ที่สำคัญ…วันนั้นหากไม่มีคุณ ผมคงไม่ทนรอจนถึงดึกดื่นขนาดนั้น คงจะฝ่าออกมาตั้งแต่ช่วงเย็นๆ และคงกล้าที่จะทำอะไรที่มันบ้าบิ่นมากกว่านี้ และก็ไม่แน่ว่าป่านนี้ผมอาจกลายเป็นศพไปแล้วก็เป็นได้”


นาทีนั้นตาต่อตาที่ประสานกันไม่อาจรู้ได้เลยด้วยซ้ำว่าต่างฝ่ายต่างคิดสิ่งใดอยู่ แต่สำหรับฐิตารีย์แล้วรู้สึกเต็มตื้นที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็แคร์เธอไม่ใช่หรือ
“ตาถามอะไรคุณอย่างหนึ่งได้มั้ยคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอก็ทำลายความเงียบขึ้น
ภูมิรพีเพียงมองเธอแวบเดียวก็จริง แต่นั่นฐิตารีย์ก็ถือว่าเขาอนุญาตแล้ว


“คุณขึ้นไปที่กระท่อมแสงจันทร์นั่นทำไมกันคะ มีใครอยู่ที่นั่นงั้นหรือคะ”
ดูเหมือนเป็นคำถามที่ภูมิรพีคาดไม่ถึง อีกทั้งท่าทีอึดอัดที่เขาแสดงออกก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าความสุขเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่มลายไปสิ้น เธอไม่น่าหวังอะไรไกลเกินไปเลยจริงๆ หวังว่าเขาจะไว้ใจ หวังว่าเขาจะพูดเรื่องส่วนตัวให้กับเธอได้รับฟัง


“ทำไมคุณถึงอยากรู้” จากน้ำเสียงทำให้รู้ว่าเขาไม่อยากตอบแม้แต่น้อย
“หึ...ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ หากคุณไม่อยากพูดถึง ตาก็ไม่อยากรู้เช่นกัน” ถึงเธอจะพูดเช่นนั้นแต่ กลับหวังลึกๆ ว่าเขาจะเอ่ยอะไรออกมาบ้างแต่กลับต้องพบกับความเงียบงัน
เธออยากรู้นัก ว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้มีสิ่งใดปิดบังไว้กันแน่ แต่ภาพนั้นยังติดตา…ของใช้เด็กอ่อน จะให้เธอคิดเป็นอื่นได้อย่างไรกัน


ช่วงเช้าวันถัดมา...ความสุขมักแสนสั้นเสมอไม่ต่างกับที่ใครๆ พูดไว้จริงๆ เมื่อจู่ๆ รถขับเคลื่อนสี่ล้อที่เข้ามาในหมู่บ้านก็ทำให้ฐิตารีย์ถึงกับรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองสลายเลยทีเดียว เพราะลุงจ่ามาพร้อมกับคำสั่งจากเทพทัตให้พาเธอกลับไปด้วย
“ท่านฝากสิ่งนี้มาให้คุณไว้ป้องกันตัวด้วยครับ” ชยุตบอกระหว่างรอคุณหนูเก็บข้าวของ


ภูมิรพีรับถุงกำมะหยี่สีเทาดำใบเล็กมาด้วยความสงสัย
“พระมเหศรวลน่ะครับ ขึ้นชื่อในพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ยิงไม่เข้าฟันไม่ออก คงกระพันชาตรี องค์นี้จัดเป็นเนื้อชินเงิน”
ภูมิรพีพินิจดูองค์พระอย่างตั้งใจ
“ชินที่ว่าคือโลหะผสมจากตะกั่ว ดีบุก เงินและปรอท” ชยุตให้ความกระจ่าง
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างถึงบางอ้อ


“บางองค์อาจมีส่วนผสมของตะกั่วค่อนข้างสูง เราจะเห็นสนิมแดง หรือที่เรียกว่าสนิมส้ม ซึ่งเกิดจากปฏิกริยาของของตะกั่วขึ้นทั่วทั้งองค์พระ แต่หากองค์พระออกสีเทาดำนั่นหมายถึงแก่ตะกั่ว”
“แล้วองค์นี้ล่ะครับ” ภูมิรพีถามอย่างสนใจ


“องค์นี้แก่ดีบุก เราจึงเห็นว่าผิวพรรณของท่านออกสีขาวคล้ายสีเงิน”
ชายหนุ่มได้แต่มองพระในมือ น่าแปลกนักที่ด้านหน้าและหลังเป็นพิมพ์เดียวกันจะต่างก็แต่เศียรกลับกันเท่านั้น


“เศียรพระทั้งสองด้านวางกลับกันนี่คือเอกลักษณ์ หรืออีกนัยหนึ่งคือสวนทางกัน เราจึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระมเหศวร”
เป็นคำตอบที่เหมือนเข้ามานั่นอยู่ในใจภูมิรพีเลยทีเดียว
“คุณอาจเคยได้ยินขุนโจรชื่อดังแห่งเมืองสุพรรณ นามเสือมเหศวร แต่จริงๆ แล้วพระมเหศวรมีมาก่อนไม่น้อยกว่าร้อยปี” ชยุตยังให้ความรู้เรื่อยๆ


“ผมฝากกราบขอบคุณท่านด้วยนะครับ หากผมได้กลับออกไปจะไปกราบท่านด้วยตัวเองแน่ๆ และขอบคุณลุงจ่ามากๆ ที่มารับคุณหนู”
“อย่าห่วงไปเลย คุณต้องมีโอกาสนั้น ผมจะคอยเอาใจช่วย” ชยุตบอกก่อนขึ้นประจำที่พลขับเมื่อเห็นหญิงสาวเดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมาจากบ้านพัก


นาทีนี้ฐิตารีย์รู้สึกจริงๆ ว่าไม่มีครั้งใดที่เธอจะทำใจได้ยากเช่นนี้มาก่อน ไม่คิดด้วยว่าตลอดระยะเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันนั้นจะมีความหมายกับเธอได้มากมายถึงเพียงนี้


“เอ่อ…จริงๆ แล้ว ตายังไม่อยากกลับไปเลยค่ะ ตา…” ในที่สุดเธอก็เอ่ยความในใจออกมาจนได้
“แต่ผมเห็นว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว คุณอยู่ผมก็ยิ่งห่วงหน้าพะวงหลัง” ภูมิรพีเอ่ยออกมาอย่างใจคิด เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาเอ่ยปากบอกฝากไปกับผู้หมวดก่อนจากกันก็คือให้ทางเทพทัตส่งคนมารับเธอกลับไปโดยด่วนที่สุด คืนนั้น…ครั้นจะฝากเธอไปด้วยก็ตรองดูแล้วว่าเธอต้องไม่ยอมแน่


“ที่สำคัญคุณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นหากคุณต้องเป็นอะไรไป ผมจะมีหน้าไปพบคุณปู่ คุณพ่อ หรือกระทั่งคุณอาของคุณได้ยังไงกันล่ะครับ”
ถึงคำพูดนั้นจะมีน้ำหนักสักเพียงใดแต่เธอไม่รู้สึกคล้อยตามแม้แต่น้อย
“คุณต้องระวังตัวให้มากด้วยนะคะ” เธอบอกอย่างเป็นห่วง


“มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าคุณควรรู้เอาไว้ เมื่อคุณกลับไปอาจพบเรื่องที่ยุ่งยากอย่างที่คุณไม่อาจคาดถึงก็อาจเป็นได้”
“ผมฝากขอโทษคุณปู่และทุกๆ คนด้วยที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อนในครั้งนี้”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากฟังเลยสักนิด เขาน่าจะมีคำพูดอื่นที่แม้ไม่หวานแหววแต่ก็ยังอยากจะรับฟังอยู่ดี


“มีอีกเรื่องที่ผมคงต้องให้คุณช่วย อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าเราหนีออกมาจากหมู่บ้านม้งนั่นได้ยังไง”
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “แล้ว...ถ้ามีคนถามว่าคุณอยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“บอกไปว่าผมออกไปประเทศเพื่อนบ้านน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
“แล้วเพื่อนของคุณล่ะคะ”
“ผมรวมถึงสองคนนั่นด้วย”


“คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนกันคะ” เธอยังมีปัญหาอีกจนได้
“ผมคงไม่อาจหนีได้ทั้งชีวิต ยังไงซะผมก็ต้องกลับไปที่ไร่ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น คุณเองก็ควรระวังตัวไว้ให้มากๆ โดยเฉพาะเวลาไปไหนมาไหนคนเดียว”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะกระทั่งนาทีนี้ เขาก็ยังปราศจากทีท่าอาลัยอาวรในตัวเธอ กระทั่งคำว่าเป็นห่วงก็ไม่มีให้ได้ยิน นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เสน่ห์ของเธอใช้ไม่ได้ผล!


ภาพรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่วิ่งฝ่าฝุ่นจากไปพาให้ความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมหัวใจจนรู้สึกเย็นยเยือก หญิงสาวไม่มีวันรู้เลยว่าบุรุษที่จากมาความรู้สึกหนึ่งได้เกิดขึ้นภายในหัวใจไม่ต่างกับเธอเช่นกัน


ภูมิรพีสลัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็วพรางพาตัวเองกลับเข้ามายังที่พัก แล้วสิ่งของที่ปรากฏบนโต๊ะก็ทำให้เขาถึงกับตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้ารูปไข่เจ้าของหางเปียคู่ เพราะเธอผู้นั้นไม่ได้นำสิ่งของที่เธอสั่งกลับไปเลยสักชิ้น โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ชาร์ตแบตมาจนเต็ม โน๊ตบุ๊ค หรือกระทั่งปืนออโตเมติคของเธอเอง สุดท้ายคือเบอร์โทร.ของเธอที่เขียนไว้ในกระดาษที่ยับยู่ยี่


เขาต้องยอมรับจริงๆ ว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว หญิงสาวที่เขาเคยปรามาศว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ กลับมาจุดประกายในดวงใจเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ


ชยุตได้แต่มองคุณหนูที่ใช้ศีรษะพิงเบาะอย่างหมดสภาพด้วยคิดว่าเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องราวที่เพิ่งประสบ หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของฐิตารีย์ยามนี้เสมือนว่าทำดวงใจหล่นหายไปเลยทีเดียว


พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก…วันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย จากวันเป็นสองวัน แล้วก็ครบหนึ่งอาทิตย์ ทว่าสิ่งที่เธอเฝ้ารอ...กลับปราศจากความหวังเพราะภูมิรพีทำราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ กระทั่งโทร.มาถามข่าวคราวสักครั้งยังไม่มี


เธอน่าจะยอมรับว่าเขาไม่มีใจให้กับเธอ ที่สำคัญวันนั้นที่เธอถามเรื่องบุคคลที่เขาขึ้นเอาข้าวของไปให้ที่กระท่อมแสงจันทร์ เขาก็ไม่มีคำตอบใดๆ ให้เธอทั้งสิ้น
อีกทั้งการกลับมายังต้องเป็นความลับ กับพชรก็ไม่อาจพบปะหรือพูดคุย


การที่ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่แต่ในห้อง ณ คฤหาสน์ใหญ่ พลบค่ำจึงสามารถออกมาเดินเหินได้ซึ่งไม่ใช่วิสัยของเธอแม้แต่น้อย จึงสร้างความอึดอัดให้อย่างบอกไม่ถูก ค่ำคืนนี้ที่ท้องฟ้าไร้จันทร์ เธออยากรู้นักว่าเขากำลังมองดาวดวงเดียวกับเธออยู่หรือเปล่า


“เป็นยังไงเรา ทำไมเงียบๆ ไปล่ะ” เทพทัตเข้ามาคุยเมื่อเห็นหลานสาวออกอาการจ๋อยสนิทผิดวิสัย
“เป็นห่วงคุณภูเขางั้นหรือ”
คำถามนั้นทำให้เธอแค่นหัวเราะอย่างเสียไม่ได้


“เขาเป็นอะไรกับตากันล่ะคะ ถึงต้องให้เป็นห่วง ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือคะ ที่ทำให้ตาต้องติดแหง็อยู่อย่างนี้” น้ำเสียงแง่งอนเอาแต่ใจคนเดิมกลับมาทำให้เทพทัตยิ้มออก
“แล้วนี่คุณปู่จะให้ตาหลบอีกกี่วันกันคะ เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“พรุ่งนี้อยากออกไปทำงานก็เอาสิ แต่อย่าลืมว่าต้องเตรียมคำตอบไว้ให้ดีๆ อีกอย่างพ่อหนุ่มเกาหลีคนนั้นจะเอายังไงก็บอกเขาไปตรงๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทั้งสองฝ่าย”


ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หลายวันมานี่ในหัวใจเธอปราศจากคนที่ชื่อยองฮวา จนไม่รู้ว่ายังจะยื้อเขาต่อไปทำไม แต่เหนือสิ่งใดในยามนี้สิ่งที่ซึ่งไม่อาจเอ่ยให้ใครได้รับฟังคือความรู้สึกที่เธอมีต่อบุรุษที่เพิ่งจากมานั่นต่างหาก ถึงแม้จะบอกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าระหว่างเธอและเขามันไม่มีวันเป็นไปได้


ก้อนเมฆดำทมึนจากขอบฟ้าอีกด้านที่พชรได้เห็นราวกับมีใครเอาหมึกหยดลงน้ำในแก้วไม่มีผิด พวกมันค่อยๆ คืบคลานกันเข้ามาจนบดบังแสงสว่างจนหมดสิ้น

ท่ามกลางสายลมที่พาพัดให้ใบไม้กรูเกรียวนั้น ช่วงหนึ่งได้ปรากฏสะพานไม้เล็กๆ ที่ทอดยาวเข้าไปยังดงไม้น้อยใหญ่และหลังพุ่มราตรีนั่น... เขาไม่ได้อุปาทานไปเองแน่ๆ ว่าหญิงสาวในชุดโจงกระเบนและห่มผ้าแถบเดินเห็นหลังอยู่ไวๆ


พชรย่อมไม่ทิ้งโอกาสนั้นให้ผ่านไปอยู่แล้ว เขาก้าวตามไปทันที ไม่น่าเชื่อเมื่อเขาเหยียบสะพานไม้นั้น ก็พลันรู้สึกราวคนละโลกกับภายนอก ความวังเวงที่สัมผัสทำให้ขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น่าแปลกนักใบไม้แห้งมากมายทับถมกันราวกับที่นี่ไม่เคยผ่านการดูแลจากผู้ใดมาก่อน


กลิ่นควันไฟจางๆ ลอยมาต้องจมูก ไกลออกไปคือเรือนไทยหลังใหญ่ที่สงบนิ่งอยู่ท่ามกลางดงมะขาม บนท้องฟ้าพระจันทร์ยังสาดแสงแรงกล้า เสียงไก่ขันดังมาให้ได้ยิน และเหมือนมีบางอย่างที่นำให้เขาต้องสาวเท้าก้าวขึ้นบนเรือนนั้น


แต่จู่ๆ เขาถึงกับเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพราะร่างของหญิงสาวที่เขาติดตามมาเดินเฉียดเขาไปในระยะประชิด จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกระแจะอันหอมกรุ่น และใบหน้านั้น…ที่เขาไม่มีวันลืมเลือ


“แย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว”
“มีอะไรหรือลำเจียก” คมแก้วที่กำลังใกล้คลอดถามอย่างตกใจ เมื่อได้เห็นสีหน้าของบ่าวผู้พักดีที่กระหืดกระหอบขึ้นมาบนเรือนใหญ่
“พิกุลหลังบ้านโค่นเสียแล้วเจ้าค่ะ ลุงจัน กับตาผินว่าเมื่อกลางดึก จู่ๆ ก็โค่นลงมาทั้งที่ไม่มีทีท่ามาก่อน”


คมแก้วแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง รีบพาร่างอันอุ้ยอ้ายลงจากเรือนตรงไปยังที่เกิดเหตุทั้งที่เพิ่งรุ่งสาง


พิกุลต้นใหญ่ยักษ์บัดนี้กลับโค่นลงชนิดถอนรากถอนโคน หากไม่ใช่เพราะท่านเจ้าคุณปลูกมากับมือกระทั่งมันเติบใหญ่ให้ร่มเงาเธอคงไม่อกสั่นขวัญแขวนถึงเพียงนี้
สำหรับเธอแล้วไม้ใหญ่ล้มภายในบริเวณบ้านถือเป็นลางบอกเหตุอันน่าสะพึงกลัวอย่างที่สุด หรือว่าท่านเจ้าคุณที่อยู่ในสนามรบจะ...จะ !! นาทีนั้นน้ำตาเธอไหลพรากก่อนที่จะล้มลงทั้งยืน


น่าแปลกนักที่ยามนี้แม้พชรจะเสมือนอยู่ในเหตุการณ์อันสุดแสนจะรันทด เพราะเสียงร่ำไห้ของบ่าวไพร่ราวจะขาดใจ แต่เขากลับไม่สามารถแม้ขยับร่างของตัวเองทว่าน้ำตากลับไหลอาบใบหน้าอย่างที่ตัวเองก็คาดคิดไม่ถึงมาก่อน


ร่างที่สะดุ้งเฮือกลืมตาตื่นทำให้เพื่อนร่วมห้องมองดูอย่างงุนงง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ผมเรียกตั้งหลายครั้ง” ถามเช่นนั้นเพราะไม่ได้เรียกเปล่าแต่เขย่าร่างของอีกฝ่ายอีกด้วย


พชรยังคงจมจ่อมอยู่กับเหตุการณ์ในความฝันจนไม่อาจตอบคำถามใดๆ ออกมาได้ นาทีนี้เขายังเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นไห้อยู่ด้วยซ้ำ ที่สำคัญน้ำตาเขายังเปียกหมอน
“ผมมีข่าวดีมาบอก ลุงจ่าเพิ่งมาบอกว่าตากลับมาแล้ว”


ร่างของพชรทะลึ่งพรวดขึ้นอย่างฉับพลันเสมือนลืมความฝันเมื่อครู่เสียสนิท
“ลุงจ่าบอกหรือเปล่าว่าตาอยู่ที่ไหน” ไม่ถามเปล่าแต่หันไปคว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำอย่างรีบเร่ง
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ เห็นว่าออกไปในเมืองตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”


น้ำเสียงเนือยๆ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งยังโซฟาข้างๆ ทำให้พชรพอจะรู้ว่ายองฮวาอยู่ในความรู้สึกเช่นใด
รถกระบะเชฟโลเลตที่เคยสร้างปัญหาให้ฐิตารีเมื่อครั้งก่อนจอดเงียบสนิทยังหน้า
ร้านอัดขยายภาพในตัวเมือง ที่เจ้าของร้านหนุ่มกำลังขะมักเขม้นกับการแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ หญิงสาวที่มีเด็กหนุ่มช้างรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดมาเป็นลูกค้ารายแรก โดยทั้งสองหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอย่างใคร่รู้ พร้อมกับเรียวปากที่กระตุกยิ้มอย่างเย้ยหยัน


การกลับมาของฐิตารีย์สร้างความสั่นคลอนให้กับหลายๆ ฝ่าย และหนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกำนันผู้ทรงอิทธิพล
“คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ ผมได้ข่าวว่าเธอกลับมาแล้ว ผมจะเข้าไปเยี่ยมก็เกรงใจ” พิรัชอดรนทนไม่ไหวต้องโทร.มาถามข่าวด้วยตัวเอง


“คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ หลานสบายดีทุกอย่าง”
“แล้ว…คุณภูล่ะครับ” บุคคลนี้ต่างหากที่เขาต้องการรู้ความเคลื่อนไหว
“ยังไงก็ไม่ทราบสิคะ ดิฉันก็มัวแต่ยุ่งๆ ไม่ได้สนใจด้วยน่ะค่ะ แค่หลานกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“แล้วตกลงคุณหนูกลับมาได้ยังไงกันครับ” พิรัชยังซักไซ้ต่อ


“เห็นว่าคุณภูฝากกลับมากับคนรู้จักน่ะค่ะ” เป็นอีกคำตอบที่เธอซักซ้อมกับหลานสาวมาอย่างดีแล้ว
“แล้วตกลงคุณหนูไปอยู่ไหนกันมาล่ะครับ ทำเอาตกอกตกใจกันแทบแย่” พิรัชยังซักต่อไม่ยอมหยุด


“เห็นว่าบ้านเพื่อนคุณภูนะคะ คุณอยากรู้อะไร ถามเจ้าตัวเขาดีกว่า มาถามกับเอื้อง…คงตอบคุณไม่ได้มากหรอกค่ะ”
“เอ่อ...แต่ถึงยังไง เรื่องที่ผมคุยกับคุณเอาไว้ เรื่องพาครผมยังยืนยันตามนั้นนะครับ ยิ่งมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ผมว่าเรายิ่งต้องรวบรัดจัดงานแต่ง คุณเอื้องคิดเหมือนผมมั้ยล่ะครับ”


“มีอะไร คุณไปพูดตกลงกับหลานเองดีกว่านะคะ ดิฉันเองคงต้องรามือ”
หากกำนันช่างสังเกตสักนิดจะรู้ว่าน้ำเสียงเธอแตกต่างกับอดีตอย่างสิ้นเชิง เหตุเพราะข่าวที่เพิ่งได้รับจากแฮร์ เลิฟ อะคาเดมี่...
“มีเรื่องหนึ่งที่ไหมไม่รู้ว่าจะพูดให้คุณอาฟังดีหรือเปล่า”


ถึงออกอาการอิดเอื้อน แต่เจียระไนก็รู้ดีว่าฆ้องปากแตกอย่างชิดชไมอยากจะพูดมากเพียงไหนเธอจึงทำเฉยเสีย
“นี่ถ้าไม่ใช่คุณอาที่เราต่างก็คบหากันมานาน ไหมจะไม่พูดให้ฟังจริงๆ นะคะ”
“หนูไหมลำบากใจ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ” เจียระไนบอกตัดความรำคาญ


“อุ๊ย! ไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องนี้ยังไงซะ ไหมก็ต้องเล่าให้คุณอาฟังให้ได้” เจ้าหล่อนเอ่ยก่อนก้มลงกระซิบ
“ก็…เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะสิคะ น้องสาวกำนันมาที่ร้าน แล้วก็บอกว่า...เมียลับๆ ของกำนันคือเจ้าของร้านขายมอเตอร์ไซด์ที่อยู่หัวตลาด แถมกำนันยังเป็นคนเปิดกิจการนั่นให้อีกด้วย”


ในนาทีนั้นคำพูดของชิดชไมทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปรบในหัวใจขึ้นมากะทันหัน และไม่ว่าหญิงสาวรุ่นหลานนั่นจะคิดเช่นใดที่พูดให้เธอฟัง แต่สำหรับเจียระไนแล้วรู้สึกขอบคุณอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้ และเมื่อมาคิดอีกทีเธอเองต่างหากที่หลงไปกับคำหวานและฐานะอันมั่งคั่งของอีกฝ่าย ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่า คนอย่างพิรัชไม่น่าจะยังครองความเป็นโสดมาจนปัจจุบัน


แต่ท่ามกลางความมืด จู่ๆ แสงสว่างก็ทอดตัวเข้ามาแตะต้องหัวใจเธอจนได้... เมื่อบุคคลหนึ่งแวะเวียนเข้ามา เจียระไนไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยว่าเขาคนนั้นทำให้เธอรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ


“ไหมอยากเห็นหน้าคุณนายท่านนายอำเภอจริงๆ ค่ะ ว่าหน้าตาจะเป็นยังไง ก็แกถึงขนาดปลูกผักกินเอง แถมพวกลูกน้องยังเอามาเมาท์ว่าที่บ้านพักแกไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ กระทั่งแอร์แกก็ยังไม่ยอมติด ใช้พัดลมเท่านั้น” นั่นคือคำพูดของชิดชไมเมื่อสวนกับสุทธินัยที่คอฟฟี่เฮ้าส์เมื่อวันก่อน


“รถที่แกขับนั่นก็เก่าจนจัดเป็นแอนทีคได้แล้วมั้งคะ” ครั้งนี้ไม่พูดเปล่า แต่เจ้าตัวยังหัวเราะอย่างขบขันอีกด้วย


สุทธินัย...นายอำเภอผู้ใช้ชีวิตสมถะ ทั้งการปฏิบัติหน้าที่และการใช้ชีวิตส่วนตัวก็น่าจะเอาแบบอย่าง ถึงเขาอาจไม่ใช่อย่างที่ผู้หญิงหลายๆ คนต้องการ แต่สำหรับเธอแล้วรู้สึกนับถือการดำเนินชีวิตของเขาอย่างแท้จริง


“ผมไม่คิดว่าเหน็ดเหนื่อยหรือเสียเวลาใดๆ กับการได้พรวนดินหรือรดน้ำต้นไม้ก็เป็นอีกกิจกรรมที่คลายเครียดได้ดีนะครับ อีกอย่างคุณเอื้องอาจทราบอยู่แล้วว่าตอนนี้พืชผักตัดต่อพันธุกรรมกำลังเข้ามามีอิทธิพลกับการกินอยู่ของเรา” เขาไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย


“จากผลการวิจัยกับหนูทดลอง เขาว่าหนูอายุสั้นกว่าปกติ เพราะฉะนั้นหากเราปลูกทานเองถึงจะปลูกไม่ได้ทุกชนิด แต่ก็น่าจะช่วยให้ชีวิตของเราได้ระดับหนึ่ง”


และจากผลของการกระทำเป็นตัวอย่างของเขาก็พาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตาม สุดท้ายบ้านไหนมีผักอะไรก็นำมาแลกเปลี่ยนกันและยังเป็นรายได้เสริมอีกทางหากนำมาจำหน่าย จึงเทียบไม่ได้กับอีกคนกำนันพิรัชย์ ที่ใช้เงินซื้อทุกสิ่งที่ต้องการ


“สำหรับผมไม่มีอะไรที่ซื้อหามาไม่ได้ด้วยเงิน เงินเท่านั้นที่ทำให้ครอบครัวผมสุขสบายอย่างทุกวันนี้ คุณเอื้องคิดแบบผมมั้ยล่ะครับ”
แม้เธอไม่ได้ตั้งใจนำทั้งสองมาเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง คุณค่าของคนก็ย่อมวัดกันได้ด้วยจิตสำนึกของบุคคลนั้นเอง


นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจได้ไม่ยากเมื่อสุทธินัยมาเอ่ยปากเชิญเพื่อไปรับประทานอาหารกับมารดาของเขา


“ถือว่าผมขอร้องนะครับ ผมเองก็ไม่มีใครที่จะเป็นที่ปรึกษา น้องสาวกับคุณแม่มาครั้งนี้ก็เลยต้องมารบกวนคุณ ทั้งที่คุณเอื้องก็งานล้นมืออยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันถือว่าเป็นเกียรติด้วยซ้ำที่คุณไว้วางใจ”
ค่ำคืนนี้เธอยังมีแก่ใจพารถเต่าคู่ใจมายังร้านกระทงทองตามที่นัดกันเอาไว้

บ่ายวันเดียวกันหญิงสาวที่งดงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจึงมาปรากฏกายยังวสันต์โฟโต้ ซึ่งน้อยครั้งนักที่เธอจะเหยียบย่างมาที่นี่ แม้ว่าร้านจะอยู่ตรงข้ามกันก็ตาม
“คุณไหมไปเที่ยวไหนมาหรือครับ” วสันต์หนุ่มหน้าตี๋ขยับแว่นก่อนรับแผ่นซีดีที่อีกฝ่ายส่งให้ทั้งที่ไม่กล้ามองหน้าเธอแม้แต่น้อย


“ภาพที่สปาน่ะค่ะ”
“จะเลือกรูปหรือเปล่าครับ หรือว่าจะอัดทั้งหมด” เขาถามระหว่างนำแผ่นเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อดูภาพ
“อัดทั้งหมดนั่นแหละค่ะ จริงสิคะ เมื่อเช้าเห็นคุณตาจากไร่เทพทัตเธอมาอัดภาพเหมือนกันใช่มั้ยคะ” นี่ต่างหากคือเรื่องที่เธอตั้งใจมาหาข่าว


“ใครนะครับ?” วสันต์ออกจะงุนงงกับสิ่งที่ได้รับฟัง
“ก็…ฐิตารีย์ที่ใส่กระโปรงเอี๊ยมยีน ขับรถกระบะโบราณสีเขียวเวอร์ริเดี้ยน มากับเด็กหนุ่มอีกคน อุ๊ย! คุณสันต์ไม่รู้จักคุณตาเธอหรอกหรือคะ เขาน่ะออกจะเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด”


ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับฟัง
“ศูนย์ผลิตผลทางการเกษตรและของที่ระลึกแห่งใหม่ที่กำนันลงทุนพื้นที่พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ฟรีๆ นั่นเขาก็เป็นคนคิดไงคะ” น้ำเสียงบอกว่าไม่ได้ปลื้อมไปด้วยแม้แต่น้อย


วสันต์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะวันๆ ก็อยู่แต่ที่ร้านซึ่งได้รับมรดกมาจากตระกูล โดยไม่ได้คบหาสมาคมกับใคร ตกเย็นก็ไปวิ่งออกกลังกลับมาถึงจึงปิดร้าน ค่ำลงก็ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์แล้วเข้านอน ชีวิตในแต่ละวันไม่ได้มีอะไรโลดโผน ถึงแม้จะเรียนจบปริญญาด้านกฏหมายแต่กลับไม่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา


แต่มีอยู่สิ่งที่เขาพยายามเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจ คือกับหญิงสาวตรงหน้านี้ที่เห็นเธอมาตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งเวลานี้ก็ยังได้แต่แอบชื่นชมกับบุคลิคและการแต่งกายที่นำสมัยอยู่เสมอ


“อาตี๋เอ๋ย…อั๊วหาเมียให้ลื้อมากี่คนๆ ลื้อก็ไม่สนใจ จนใครๆ เขานึกว่าลื้อเป็นเกย์กันหมดแล้ว”
ถึงบิดาจะบ่นว่ามาตลอดแต่เขาก็ยังไม่คิดจะมีคู่ แปลกตรงไหนหากจะชอบใครสักคนอยู่อย่างทุกวันนี้
“คุณสันต์ล้างรูปให้เธอเสร็จหรือยังคะ”


เหมือนชายหนุ่มยังงุนงงกับเรื่องที่ได้ยิน
“ถ้าเสร็จแล้ว ไหมขอดูได้มั้ยคะ”
นับเป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย “เอ่อ…แต่ว่า...”
“ไหมกับตาสนิทกันดี ตาไม่มีความลับกับไหมหรอกค่ะ” มีหรือที่เมื่อเธอเดินหน้าแล้วจะยอมให้เหยื่อหลุดมือไปง่ายๆ


“คุณสันต์ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ” กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“เอ่อ…คือจริงๆ แล้วก็แค่รูปที่เธอไปเที่ยวเท่านั้นเองครับ คุณไหมไปขอดูกับเธอเองดีกว่านะครับ” บอกอย่างลำบากใจ
“ในเมื่อเป็นแค่รูปที่ไปเที่ยว ก็ยิ่งไม่มีอะไรจะต้องปิดบังไม่ใช่หรือคะ” เธอถามพร้อมจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง


น่าแปลกนักสำหรับวสันต์ในยามนี้กลับอึดอัดขึ้นมาอย่างประหลาด อาการนิ่งอึ้งของอีกฝ่ายทำให้ชิดชไมรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วจริงๆ
“อุ๊ยต๊าย! ไม่ยักทราบว่าคุณสันต์เก็บความลับของลูกค้าได้เก่งขนาดนี้ งั้นไหมก็ไม่รบกวนแล้วล่ะค่ะ เอาไว้ค่อยดูกับเจ้าตัวเขาก็ได้” ยังยิ้มหน้าชื่นทั้งที่ในใจขุ่นมัวอย่างบอกไม่ถูก


ไอ้เราหรืออุตส่าห์ลงทุนเสียเวลามาเสวนาด้วย ยังทำเล่นตัวไปได้
“ว่าแต่ของไหมจะได้กี่โมงคะ?” ถามพร้อมโปรยยิ้ม
“พรุ่งนี้นะครับ”
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ”


ชิดชไมแสนจะหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจคิด หมอนี่ไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือเลยสักนิด แต่มีหรือที่คนอย่างชิดชไมจะวางมือง่ายๆ ในเมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล
“ทำอะไรอยู่ มีเรื่องให้ทำด่วน” ชิดชไมโทร.หาตัวช่วยทันทีที่กลับมายังร้านของตัวเอ


“ช่วงห้าโมงเย็นนะ อย่าให้ขาดเกิน เรื่องสำคัญมากๆ พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด”


เจ้าหล่อนวางสายระหว่างยิ้มย่องกับชัยชนะที่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแค่รอเวลาอีกนิดเดียวเท่านั้น



สวัสดีค่ะ

สบายดีกันมั้ยคะ หวังว่าเพื่อนๆ จะสนุกกับตอนนี้นะคะ

รบกวนฝาก ผลงานใน E-book และเป็นเล่มกับเรื่อง ' บูงาฆารัก' ซึ่งออกกับสำนักพิมพ์ ดอกหญ้า 2000 ด้วยนะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ

http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=3293

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้ด้วยค่ะ^^
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร







ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2556, 13:47:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2556, 16:46:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1502





<< กรยุพา ยุพากร   17 มุกดารา . ยุพากร >>
ยุพากร 26 มี.ค. 2556, 13:49:11 น.
แล้วพบกันกับ ' หนึ่งในรัก ' ในตอนต่อไปในเร็วๆ นี้นะคะ


น้ำแอปเปิ้ล 26 มี.ค. 2556, 15:18:39 น.


venicevanis 26 มี.ค. 2556, 15:29:08 น.
ใช่นักเขียนคนเดียวกับที่แต่งเรื่อง อาซาเลีย รึป่าวคะ


ยุพากร 26 มี.ค. 2556, 16:45:11 น.
ขอบคุณ คุณน้ำแอปเปิ้ลมากๆ ค่ะ ที่กรุณาเข้ามาให้กำลังใจ


ยุพากร 26 มี.ค. 2556, 18:56:56 น.
สวัสดีค่ะ คุณ venicevanis ใช่ค่ะ เขียนเรื่อง รหัสรักอาซาเลีย ค่ะ แต่เมื่อส่งสำนักพิมพ์ บก.ให้เปลี่ยนเป็น เรื่อง ' ไร่อุ่นรัก' ค่ะ ออกกับสำนักพิมพ์ยาหยียาใจค่ะ
เคยลงในแจ่มใส และสิรินดาค่ะ หวังว่า จะชอบเรื่องนี้เช่นกันนะคะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่กรุณาเข้ามาฝากข้อความไว้เพื่อเป็นกำลังใจนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account