กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 35


35...


อิ่มเห็นอาลั้งน้ำตาไหลก็อึ้งไป...ตั้งแต่อาลั้งมาอยู่ด้วย อิ่มก็เบาแรงไปมาก อาลั้งช่วยทำงานทุกอย่างอย่างขยันขันแข็ง ไม่ว่าจะทำแกง หุงข้าว และหาบหาบข้าวแกงไปขาย เงินที่ได้มาอาลั้งก็คืนให้อิ่มทุกบาททุกสตางค์ อาลั้งจึงไม่มีเงินจะซื้อแป้งดินสอพอง...คิดแล้วอิ่มก็เอ่ยว่า
“ข้าพูดเล่นนะอาลั้ง...เอ้า...ข้าให้เอ็งบาทหนึ่ง”
ว่าแล้วอิ่มก็นับเหรียญเงิน ห้าสตางค์บ้าง สิบสตางค์บ้าง จนครบบาทหนึ่งยื่นส่งให้อาลั้ง แต่ต้องแปลกใจเมื่ออาลั้งส่ายหน้า
“อั๊วไม่เอาเงินแล้ว”
“ทำไมเรอะ?” อิ่มถาม
“อั๊วไม่อยากได้แป้งดินสอพองแล้ว”
อาลั้งตอบ ยกมือขึ้นปาดเช็ดคราบน้ำตา แล้วหันหลังไปเก็บจานสังกะสีที่เคลือบด้วยสีเหลืองที่หาบข้าวแกงไปล้างตามหน้าที่
อิ่มมองเงาหลังอาลั้งที่ทำงาน แล้วนึก...อุตส่าห์ให้ตั้งบาท ไม่เอาก็อย่าเอา แต่ต่อไปนี้จะต้องคอยระวัง อาลั้งอาจจะยักยอกเงินค่าขายข้าวแกงเอาเองก็ได้

คืนนั้น...อาลั้งนอนไม่หลับ แต่นอนหลับตาเฉยๆ เหมือนคนนอนหลับตามปกติ ในใจอดคิดถึงอนาคตของตนเองไม่ได้ อยู่กับอิ่มมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกินก็จริง แต่ตนไม่มีเงินเก็บเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนแก่เฒ่า ตนจะลำบาก ตนจะต้องหาหนทางที่ดีกว่านี้...อาลั้งคิดจนผล็อยหลับไป
รุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้า...หุงข้าว ทำแกงตามปกติ แล้วหาบข้าวแกงไปขายจนถึงที่ทำการอำเภอ ลุงมีซึ่งเป็นนักการ (เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ต่ำกว่าเสมียน) ลงบันไดไม้มาเห็นเข้าเป็นคนแรกก็ทักทาย
“อาลั้งมาแล้วหรือ?”
อาลั้งพยักหน้า แล้วถามกลับ “ลุงจะกินข้าวเลยมั้ย?”
“วันนี้ทำอะไรล่ะ?” ลุงมีถาม
“แกงปลาช่อนกับหน่อไม้ดอง” อาลั้งตอบ พลางเปิดฝาหม้อแกงให้อีกฝ่ายดู
“หน้าตาน่ากินดี” ลุงมีเอ่ย “สักจานก่อนพักเที่ยงก็ดี จะได้ช่วยอาลั้งยกจานข้าวไปส่งบนอำเภอตอนที่เสมียนพัก”
อาลั้งหยิบม้าไม้ตัวเล็กๆ ที่ห้อยมากับสาแหรกมาให้ลุงมีนั่ง แล้วตนเองนั่งยองๆ ตักข้าวใส่จาน แล้วตักแกงราด ก่อนจะตักชิ้นปลาที่เนื้อๆ วางบนสุด
“ลุงมี อั๊วตักเนื้อปลาที่อร่อยที่สุดให้นะ”
“ขอบใจๆ” ลุงมีเอ่ย พลางรับจานข้าวแกงมา ใช้ช้อนสั้นตักใส่ปากลิ้มรส ก่อนจะชมว่า “อร่อยๆ”
“ถ้าลุงไม่อิ่ม อั๊วเพิ่มข้าว เพิ่มแกงให้อีกได้นะ ไม่คิดเงินเพิ่มหรอก”
“อืม...ลื้อก็ใจดีกับคนแก่เสมอเลยนะอาลั้ง” ลุงมีชม
อาลั้งได้แต่ยิ้มรับเล็กน้อย
ลุงมีสังเกตเห็นว่า อาลั้งตาบวมๆ แดงๆ เหมือนคนนอนร้องไห้มาเมื่อคืน จึงถามว่า “อาลั้งมีเรื่องกลุ้มใจหรือ?”
“อืม...” อาลั้งพยักหน้า
“บอกลุงได้หรือเปล่า?” ลุงนักการกินไปถามไป
“อั๊วอยากทำงานที่ได้เงิน” อาลั้งเปิดใจพูด
“อ้าว...นังอิ่มไม่ได้แบ่งกำรี้กำไรให้เอ็งบ้างเลยรึ?” ลุงมีเอ่ยอย่างสงสัย
“ไม่มี” อาลั้งส่ายหน้า
“นังอิ่มมันใช้งานเอ็งเปล่าๆ เลยหรือ” ลุงมีหยุดมือที่กำลังตักข้าว
อาลั้งพยักหน้า
ลุงมีมองหน้าอาลั้งแล้วถามตรงๆ ว่า “ทำไมเอ็งถึงตาบวม?”
อาลั้งก็เล่าเรื่องที่ตนอยากจะได้แป้งมาปะหน้า แล้วขอตังค์อิ่มสิบสตางค์ แต่ถูกปฏิเสธ ซึ่งทำให้ตนหมดกำลังใจ แม้ตอนหลังอิ่มจะบอกว่าจะให้บาทหนึ่ง แต่ใจของตนก็เกิดบาดแผลเสียแล้ว ทำให้ตนปฏิเสธไป และคิดจะหางานที่ทำแล้วได้เงินเดือนเป็นจริงเป็นจังสักที
“นี่เอ็งเสียเวลาสองปีอยู่ทำงานให้อิ่มเปล่าๆ เลยรึ?” ลุงมีพูดอย่างมีน้ำโหนิดๆ
“พี่อิ่มให้ข้าวอั๊วกิน ให้ที่ซุกหัวนอน” อาลั้งเอ่ยแล้วถอนหายใจ
“แบบนี้มันเอาเปรียบกันเกินไป” ลุงมีเอ่ย “เอาล่ะ ลุงจะช่วย ถ้ามีคนมาธุระที่อำเภอต้องการจะจ้างคนรับใช้ ลุงจะช่วยแนะนำให้”
“ขอบใจลุงมาก” อาลั้งเอ่ยพลางปาดเช็ดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตา

เย็นนั้นอาลั้งหาบหาบเปล่ากลับบ้านอิ่ม พอเข้าบ้านอิ่มก็ถามทันทีว่า
“วันนี้ขายได้เท่าไหร่?”
“สองบาทกับห้าสตางค์” อาลั้งเอาเงินคืนให้อิ่ม
อิ่มไม่วายระแวง “ทำไมเมื่อวานยังได้สองบาทสิบสตางค์ เอ็งเม้มเงินข้าหรือเปล่า?”
“เปล่านะ” อาลั้งตกใจ
“ถ้าเปล่าก็ให้ข้าค้นตัว”
ว่าแล้วอิ่มก็ค้นตัวอาลั้ง
อาลั้งนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
อิ่มค้นไม่พบว่าอาลั้งซุกซ่อนเงินเอาไว้อย่างที่ตนระแวง ก็เอ่ยว่า
“ไม่มีอะไรแล้ว เอ็งไปล้างจานล้างหม้อข้าวหม้อแกงให้เรียบร้อย”
อาลั้งนิ่งไม่ต่อปากต่อคำ ไปทำงานในหน้าที่ เสร็จจากล้างจานล้างหม้อข้าวหม้อแกง เธอก็ต้องซักผ้าของตนเองและของอิ่มด้วยน้ำแช่ขี้เถ้า ตากผ้าเสร็จจึงแปรงฟันด้วยเกลือกับไม้ข่อยทุบปลายด้านหนึ่งให้เป็นแปรง อาบน้ำก็ใช้เกลือบ้างมะขามเปียกบ้างขัดตัวเป็นบางครั้ง เพราะถ้าขัดบ่อยๆ อิ่มจะว่าสิ้นเปลือง อาบน้ำเสร็จก็ใช้สารส้มทารักแร้ป้องกันกลิ่นกาย แล้วเตรียมตัวเข้านอน เพื่อที่เช้าจะต้องไปหาบน้ำจากบ่อน้ำมาใส่ตุ่มสี่ใบ

แล้ววันที่อาลั้งรอคอยก็มาถึง...เมื่อลุงมีนักการอำเภอบอกอาลั้งหลังจากอาลั้งขายข้าวแกงเสร็จว่า
“เมื่อวานมีคุณนายมาจากบางกอก ลุงเลยเรียนท่านว่า อาลั้งอยากทำงาน ท่านให้อาลั้งไปพบท่านที่บ้านพักของท่านนายอำเภอ”
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอ?” อาลั้งถาม สีหน้าน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่” ลุงมีพยักหน้า “ตามลุงมา”
“แล้วหาบนี่ล่ะ?” อาลั้งยังเป็นห่วงข้าวของ
“ไว้ตรงนี้แหละ ไม่มีใครเอาไปหรอก แล้วอีกอย่างบ้านพักท่านนายอำเภอ ก็อยู่หลังอำเภอนี่เอง”
ว่าแล้วลุงมีก็เดินนำอาลั้งไปที่บ้านพัก พอไปถึงหัวกระได ลุงมีก็เคาะระฆังที่แขวนอยู่ตรงเสาไม้ ไม่นานก็มีผู้หญิงสาวคนหนึ่ง แต่งตัวสวยเหมือนสาวชาวกรุงมาเมียงมองดูที่ชานเรือนพัก ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนชั้นบนมีห้องพักหลายห้อง ท่านนายอำเภอจึงใช้เป็นเรือนรับรองแขกสำคัญด้วย ถามเสียงนุ่มนวลว่า
“ลุงมาหาใครคะ?”
“มาหาคุณนายสายหยุด” ลุงมีบอก
“มาหาคุณแม่หรือ?” หญิงสาวเอ่ย “ฉันชื่อสายใจ เป็นลูกสาวคุณนายสายหยุด ลุงมีธุระอะไรบอกฉันก่อนก็ได้นะ”
“กระผมพาอาลั้งที่อยากทำงานเป็นคนรับใช้คุณนายมาขอรับ” ลุงมีนอบน้อมมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่ตนสนทนาด้วยเป็นธิดาของคุณนาย
“อ๋อ...งั้นก็ขึ้นเรือนมาสิ ทั้งสองคน คุณแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น”
รอจนลุงมีกับอาลั้งถอดรองเท้าขึ้นกระไดมาถึง คุณสายใจก็เดินนำคนทั้งสองไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งเปิดประตูหน้าต่างไว้รับลม ที่ประตูและหน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวปักลวดลายฉลุกั้นอย่างสวยงาม
อาลั้งเคยอยู่บ้านตึกของผู้มีอันจะกินแต่เป็นคนจีน ซึ่งนิยมใช้ฉากวาด หรือไม้ประดับมุกกั้นหรือประดับห้อง แต่ไม่เคยเห็นผ้าม่านฝีมือประณีตที่กั้นห้องแล้วดูสวยงามอ่อนหวานอย่างนี้ จึงมองอย่างชื่นชม จนเกือบสะดุดธรณีประตู
ลุงมีเข้าไปนั่งพับเพียบที่พื้นด้านข้าง อาลั้งจึงไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆ กัน คุณสายใจเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้ที่มีเบาะรองนั่งข้างๆ คุณนายสายหยุด ซึ่งมีวัยกลางคน แต่ยังดูสวยสง่าสมวัย คุณนายนุ่งผ้าถุงยาวแค่น่อง เป็นผ้าไหมสีหมากสุกกับเสื้อลูกไม้คอกลมแขนกระบอก แค่เห็น...อาลั้งก็รู้สึกว่าคุณนายนั้นมีสง่าราศีผิดกับคนอื่นๆ ที่ตนเห็นอย่างมาก
ลุงมียกมือไหว้คุณนาย คุณนายก็รับไหว้ แล้วถามว่า
“คนนี้หรือที่ชื่ออาลั้ง?”
“ขอรับ” ลุงมีรับคำ
“หน้าตาสะสวย ผิวพรรณดี แต่กิริยามารยาทคงต้องอบรมกันอีกหน่อย”
“ขอรับ” ลุงมีรับคำอีกครา ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ
เมื่อลุงมีกลับไปแล้ว คุณนายสายหยุดก็เรียก
“อาลั้ง”
“โอ๋ย...” อาลั้งขานรับเป็นภาษาจีน
ทำให้คุณนายสายหยุดหันไปอมยิ้มกับลูกสาว คุณสายใจยิ้มตอบ
“ต้องตอบว่าขา” คุณสายใจสอน
“ขา...” อาลั้งขานรับ แล้วสงสัย “ขาเป็นอะไร...”
“ขาที่ว่าไม่ใช่แขนขา แต่เป็นคำลงท้ายที่สุภาพ มีคะขา...เข้าใจมั้ยอาลั้ง” คุณสายใจสอนอย่างใจเย็น คราวนี้อาลั้งไม่ได้ขานรับเป็นภาษาจีน แต่ใช้วิธีพยักหน้าเอา
คุณสายใจจึงว่า “ต้องตอบว่าค่ะ ไม่ใช่พยักหน้า”
“ค่ะ” อาลั้งเลียนเสียง
คุณสายใจเอ่ยกับมารดา “ท่าทางคงสอนไม่ยากหรอกค่ะคุณแม่”
คุณนายสายหยุดยิ้มน้อยๆ อย่างเห็นด้วยกับบุตรสาว แล้วหันมาถามอาลั้ง “ตกลงหล่อนจะไปทำงานกับฉันที่กรุงเทพฯ รึ?”
“หล่อน...?” อาลั้งหน้าตาเลิ่กลั่ก
“ก็หมายถึงอาลั้งนั่นแหละ” คุณนายอธิบาย
“อ๋อ...ใช่...” อาลั้งพยักหน้าด้วย
“ต้องใช้ค่ะ แล้วไม่ต้องพยักหน้า” คุณสายใจสอน
“ค่ะไม่ต้องพยักหน้า” อาลั้งเอ่ยตามทุกคำ ทำให้สองแม่ลูกจากกรุงเทพฯ อมยิ้มมองสบตากัน
แล้วคุณนายก็เอ่ยกับบุตรสาวว่า
“ไว้ค่อยๆ สอนก็แล้วกัน”
“ค่ะ...คุณแม่”
คุณนายหันมาทางอาลั้งถามว่า
“หล่อนอยากจะทำงานใช่ไหม?”
“ใช่...” อาลั้งตอบพลางพยักหน้าอย่างเคยชิน
“เป็นคนรับใช้นะจะเอาไหม?”
“เอา”
“หล่อนทำอะไรเป็นบ้าง?” คุณนายถาม
“หุงข้าว ทำแกง ซักผ้า ล้างจาน หาบน้ำ” อาลั้งจาระไน
“แล้วรีดผ้าล่ะ?”
อาลั้งส่ายหน้า “อั๊วรีดผ้าไม่เป็น”
“พูดอั๊วไม่ได้ ต้องเรียกตัวเองว่าอิฉัน” คุณสายใจอดสอนไม่ได้
อาลั้งก็ไม่สมองทึบเกินไป จึงพูดใหม่ว่า
“อิฉันรีดผ้าไม่เป็น...ค่ะ”
คุณสายใจเห็นอาลั้งใช้ถ้อยคำดีขึ้นก็ยิ้มและบอกว่า “ดีมาก”
คุณนายแกล้งล้อบุตรสาวว่า “รีดผ้าไม่เป็นนี่หรือดีมาก”
คุณสายใจก็เลยอดหัวเราะขำไม่ได้ ก่อนจะบอกมารดาว่า “ไม่ใช่ค่ะคุณแม่ ที่หนูบอกว่าดีมาก หมายถึงอาลั้งเริ่มพูดจาดีขึ้น แต่รีดผ้าไม่เป็นสอนก็ได้นี่คะ”
“จ้ะ แม่คุณครู”
แล้วคุณนายก็หันมาพูดกับอาลั้งต่อ
“ที่บ้านฉันไม่ต้องหาบน้ำ เพราะเรามีน้ำประปาใช้”
อาลั้งยิ้มยินดี เพราะงานหาบน้ำเป็นงานหนักที่สุด อยู่กับอิ่ม ก็ต้องไปหาบน้ำที่บ่อน้ำบาดาล แม้จะไม่มากเท่ากับอยู่บ้านยี่เสี่ยเนี้ย แต่หาบเสร็จก็ต้องรีบหุงข้าว ต้มแกง เพื่อหาบไปขายจนเธอไม่มีเวลาว่างเลย แม้จะอยากไปแอบดูไปเยี่ยมลูก อิ่มก็ไม่อนุญาต
ทว่าคำพูดต่อมาของคุณนายทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอาลั้งสลายไป
“บ้านฉันอยู่กรุงเทพฯ หล่อนต้องไปอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือบางกอกกับฉัน หล่อนจะไปไหม?”
ไปอยู่บางกอกหรือ...ก็ต้องห่างไกลจากลูกชายไปอีก
ที่อาลั้งอยากหางานทำก็เพราะ จะได้เก็บเงิน ถ้ามีเงินพอ จะได้ไปรับลูกมาอยู่ด้วบ อยู่กับอิ่มมาสองปี เงินไม่มี แถมอิ่มยังไม่ยอมให้ตนหยุดพักไปเยี่ยมลูกเลย
นี่ถ้าไปบางกอก โอกาสที่จะขอลาไปเยี่ยมลูกก็ไม่มี
“ฉันให้เงินเดือนหล่อนสามบาท” เสียงคุณนายเอ่ยขึ้น
“สามบาท...” อาลั้งทวนคำ...ถ้าเก็บเงินไว้ไม่ใช้เลย สามปีก็จะได้เกินร้อยบาท เอามาทำทุน เอามารับลูกคงไม่สายเกินไป
คุณนายเห็นอาลั้งนิ่งเงียบอยู่นาน จึงถามย้ำ
“สามบาทพอใจไหม?”
“พอใจค่ะ”
อาลั้งตอบ ก่อนจะถามคุณนายว่า
“คุณนายจะกลับบางกอกเมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้” คุณนายตอบ
“พรุ่งนี้” อาลั้งทวนคำใจหายวาบ
“มีอะไรรึ?” คุณนายถาม
“อั๊ว...เอ๊ย...อิฉันอยากขอร้องคุณนายให้กลับวันมะรืน...ค่ะ”
“มีเหตุผลอะไรรึ?” คุณนายถามเสียงเรียบๆ
“อิฉันขอเวลาหนึ่งวัน เพื่อไปเยี่ยมลูก”
“อ้าว!” สองเสียงอุทานพร้อมกัน แล้วคุณนายก็ถาม “หล่อนมีลูกแล้วหรือ?”
“มีแล้วหนึ่งคนชื่ออาเล้ง” อาลั้งตอบ
“ยังงี้สามีหล่อนจะให้ไปกรุงเทพฯ หรือ?” คุณนายถามต่อ
“สามี...” อาลั้งทวนคำ สีหน้าไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ก็พ่อของลูกหล่อนไง!” คุณนายสายหยุดเอ่ยอธิบาย





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2556, 14:35:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2556, 14:35:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1282





<< ตอนที่ 34   ตอนที่ 36 >>
saralun 4 มี.ค. 2556, 17:23:37 น.
เอาใจช่วยอาลั้ง...ขอให้พบชีวิตที่ดี ^^


หมีสีชมพู 5 มี.ค. 2556, 20:09:21 น.
^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account