นางบำเรอตีทะเบียน By อัญจรี น้ำจันทร์
คำโปรยหน้า

บุพเพฤาชะตา ที่นำพามาพบเจอ

หน้าที่เมียบำเรอ เขาให้เธอจำขึ้นใจ

ฉากหน้าแสนโสภา ภรรยานิตินัย

ฉากหลังนั่งร้องไห้...นางบำเรอตีทะเบียน



คำโปรยหลัง

เมื่อความรักที่มีไม่ได้รับความเห็นชอบจากมารดาที่รัก

วาโย จึงต้องหาใครสักคนมาแก้แค้นผู้เป็นมารดาให้สมกับที่ท่านกีดกันเขาและสาวคนรักออกจากกัน

ละอองดาว คือผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น เพราะหล่อนไม่ใช่ไฮโซ ไม่ใช่ลูกผู้ลาภมากดี

หล่อนเป็นเพียงแค่ โสเภณี ที่เขาบังเอิญถูกชะตา

วาโยไม่รอช้าจดทะเบียนตีตรากับหล่อนเพื่อประชดมารดาในทันที

โดยหารู้ไม่ว่าแม่โสเภณีที่เขาซื้อมาหล่อนยังไร้ ราคี!



สามปีให้หลังเมื่อสัญญานางบำเรอสิ้นสุดลง ละอองดาวดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะสัญญาที่ไร้รัก

แต่ทว่าสามีผู้หลงใหลในเรือนร่างคุณภรรยา กลับไม่ยอมหย่าให้!



เวลาต่อมา

เมื่อสตรีที่วาโยรักนักรักหนากำลังจะดับดิ้นสิ้นลมหายใจ เขาจึงอยากจะได้ใบหย่าไปให้สาวเจ้าชื่นชม

แต่ทว่า ตอนที่เธออยากหย่าเขาไม่ยอมหย่าให้ ตอนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้มันไป เช่นกัน!

ความเจ็บปวดใดๆ ที่สามีเคยทำไว้กับภรรยา นาทีนี้ก็เตรียมตัวรับความเจ็บปวดเช่นนั้นกลับไป สองเท่าตัว!




ชื่อเดิม โสเภณีตีทะเบียน -> คมทันฑ์สิเน่หา -> มาจบที่ นางบำเรอตีทะเบียน ค่า
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามมิให้ผู้ใดทำซ้ำหรือดัดแปลงแก้ไข ใครอุบอิบเอาของเขาขอให้แฟนทิ้งแฟนมีหญิงใหม่ สาธุ ^/\^

เตรียมใจตั้งแต่เนิ่นๆ นิยายอัพถึงบทที่ 15 นะคะ อาจจะแถมให้ถึง 16 ถ้าคนอ่านช่วยกระหน่ำไลค์ แต่เรื่องอัพจบคงไม่อัพจบค่าเพราะนิยายเรื่องนี้อัพมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ยังให้กำลังใจกันด้วยดี ป,ล ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยจร้า นักเขียนตัวน้อยยังด้อยประสพการณ์ ^/\^
Tags: ตีพิมพ์สำนักพิมพ์ธราธร

ตอน: บทที่ 3 สาวใช้ของนายยักษ์ 100%



บริษัท จตุรศิลป์

แสงแดดตอนเกือบสายของวันทำงานตกกระทบเรือนร่างในชุดสูทแบบสตรีที่ชิ้นบนเป็นสูทพอดีตัวสีครีมอ่อน มีเกาะอกสีนวลซ่อนอยู่ด้านใน ส่วนชิ้นล่างเป็นกระโปรงยาวคลุมเข่า เนื้อผ้าบางพลิ้วคลอเคลียกับน่องเรียวยามเจ้าตัวออกเดิน โดยรวมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เจ้าหล่อนดูดีไม่มีที่ติ แต่มันคงดีกว่านี้หากริมฝีปากสีกลีบบัวจะเผยรอยยิ้มละไมให้ชาวบ้านเขาแลเสียบ้าง

“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ฉันจ้างนะไม่ได้บังคับ” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายเอ่ยออกไปอย่างเป็นต่อ

สิมันตราจำต้องแย้มริมฝีปากแต่มันคล้ายๆ แยกเขี้ยวให้หมอฟันดูเสียมากกว่า น่าประทับใจเสียนี่กระไรที่เจ้าของบริษัทออกมารอต้อนรับแม่บ้าน (คนใช้ส่วนตัว) อย่างเธอด้วยตัวเอง

“คุณลืมหรือเปล่าว่าตอนจ้างคุณไม่ได้บอกฉันว่าต้องเป็นหมอนวดให้คุณด้วย” สิมันหน้าทำหน้ายู่อย่างขัดใจ หล่อนเดินตามเขาเข้าไปในบริษัทโดยมีสายตานับสิบนับร้อยจ้องมองมาราวกับว่าพวกเขาผูกลูกตาติดกับบั้นท้ายเธอ

“พวกพนักงานของคุณแอบมองฉัน” เธอฟ้องทันทีที่เข้ามาในลิฟต์

กุมภัณฑ์ยิ้มน้อยๆ หล่อนน่ามอง ใครๆ ก็อยากมองทั้งนั้นล่ะ

“อย่ามายิ้ม เรื่องนี้ ฉันจริงจังนะ ความจริงคุณน่าจะมีชุดฟอร์มแม่บ้านให้ฉันด้วย”

“อือ...เข้าท่า ถ้าอย่างนั้น...ก็ต้องมีชุดหมอนวดสิ หึๆ” ชายหนุ่มโคลงศีรษะพลางยิ้มหัวยั่วเย้า

สิมันตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ไม่ต้อง! ขอบคุณที่กรุณา”

กุมภัณฑ์เบะปากให้กับผนังลิฟต์มันวาว เขาจ้องหน้าหล่อนผ่านเงาสะท้อน ขนาดภาพนั้นไม่ชัดเจนแต่ริมฝีปากสีสดกลับเด่นหราขึ้นมาจนเขาอยากตะโบมจูบให้หนำใจ

‘ใจเย็นๆ โว้ย นายยักษ์เอ๋ย เดี๋ยวกวางตื่น’ เขาเตือนตัวเองในใจ ก้าวขาออกจากตัวลิฟต์เมื่อถึงชั้นบนสุด



ภายในห้องทำงานของกุมภัณฑ์

สิมันตราเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผู้ชายเพลย์บอยกินเที่ยวจนดึกดื่น มีผู้หญิงข้างกายไม่ขาดแถมแต่ละคนยังร้อนแรงใช่เล่น ไม่น่าเชื่อ...ห้องทำงานเขาแต่งโทนสีฟ้าอ่อน กระดาษบุฝาผนังยังมีลายช่อดอกไม้เล็กๆ เรียงซ้อนกันเหลื่อมล้ำชวนมอง บนผนังด้านหนึ่งมีชั้นวางขวดหรือแจกันอะไรสักอย่างซึ่งมีรูปทรงสีสันและ ตราฉลาก แตกต่างกัน พอเธอยื่นหน้าเข้าไปอ่านใกล้ๆ เลยอ่านได้ความว่า มันคือขวดน้ำแร่ยี่ห้อต่างๆ เธอเอื้อมมือหมายไปหยิบมันช้าๆ ใกล้เข้าไปทีละนิด ทีละนิด...

“อย่าจับ!”

“ว้าย! ตกใจหมดเลย”

สิมันตราหน้าซีดเผือด มือน้อยถูกเบรกกลางอากาศด้วยวาจาจากนายจ้างจอมเบ่ง เขาจะเสียงดังอะไรนักหนาเธอแค่จะขอดูขวดน้ำใกล้ๆ เท่านั้นเอง เพราะเคยรู้มาว่าน้ำแร่ดีๆ มีค่าสูงกว่าเพชรเสียอีก

“เธอไม่อยากแตะขวดน้ำแร่พวกนั้นหรอกกวาง ถ้ารู้ว่ามันราคาเท่าไหร่” เขาเอ่ยเป็นนัยซึ่งหญิงสาวคงรู้

“เหรอ...ฉันมันคนจนนี่ ไม่มีปัญญาหาน้ำแร่ขวดเป็นแสนกินหรอกย่ะ” หญิงสาวแขวะเล็กน้อย หล่อนเดินเท้าสะเอวเข้าไปประจันหน้ากับเจ้านาย

“ฉันอยากหักเงินเดือนจริงๆ เป็นลูกจ้างประสาอะไรมายืนเถียงเจ้านายฉอดๆ”

“เปล่าเถียงนะ ฉันแค่พูดความจริง”

หญิงสาวแก้ต่างแต่ทำหน้าทำตาราวกับเหม็นเบื่อเรื่องนี้เต็มทน

“หน้าที่แรก ขอกาแฟแก้วสิ” เขาสั่งแต่หล่อนยืนนิ่ง “ฉันบอกว่าจะกินกาแฟ” เขาย้ำอีกหน

“แล้วกาแฟมันอยู่ไหนคะเจ้านาย!” แม่บ้านสาวกระแทกเสียงใส่แล้วทำตาปริบๆ อย่างคนที่ไม่รู้จริงๆ

กุมภัณฑ์พยายามนับหนึ่งถึงล้าน เขาคงประเมินแม่กวางสาวต่ำไปกระมัง เห็นได้ชัดว่าหล่อนมีความสามารถเป็นเลิศในด้านยียวนกวนประสาท

“เดินลงไปชั้นล่างแล้วเลี้ยวขวา จะมีห้องครัวเล็กอยู่ตรงนั้น ใช้แก้วกาแฟที่อยู่ชั้นบนสุดด้วยล่ะ” เขาสั่งอย่างรอบคอบ

สิมันตราพึมพำทำปากขมุบขมิบ พลางคิดว่าทำไมห้องชงกาแฟมันต้องไปอยู่ข้างล่างทั้งๆ ที่ห้องนี้ก็มีพื้นที่ตั้งเยอะแยะ ถ้าไม่รวมสวนสวยด้านนอกก็ยังตั้งรางรถไฟเหาะตีลังกาได้สบาย

หญิงสาวทอดสายตาไปยังวิวสวนสวยนอกประตูกระจก ห้องทำงานของกุมภัณฑ์ช่างเพอร์เฟคเสียนี่กระไร พื้นที่ทั้งชั้นนี้ครึ่งหนึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นสวนหย่อม มีไม้พุ่มไม้ดอกออกดอกหลากสีอยู่เต็มไปหมด มีต้นไม้สูงๆ อยู่สองสามต้นช่วยให้ร่มเงา มีน้ำตกเล็กๆ หันหน้าเข้าหาโต๊ะทำงานชายหนุ่มพอดี มิหนำซ้ำข้างๆ กันยังมีสระน้ำขนาดพอเหมาะน่าแหวกว่ายเป็นที่สุดปรากฏอยู่ด้วย โดยรวมแล้วเธอขอสรุปว่า...อิจฉาคนรวยโว้ย!

“กวาง?” ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงไปยืนตัวแนบกับบานกระจกอย่างนั้น แล้วเรื่องที่เขาสั่งล่ะ

“จ๋า...” สิมันตรากำลังตกอยู่ในภวังค์ เธอชอบต้นไม้ดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรียกว่าคลั่งไคล้ก็ว่าได้ ตอนนี้จึงไม่รู้ตัวว่าคนที่เอ่ยถามไม่ใช่ป้าของตัวเอง แต่เป็น...

“ขานซะหวานขนาดนั้น ฉันว่าฉันเปลี่ยนมากินเธอแทนกาแฟดีกว่า”

สิมันตราถูกดึงออกจากความสุขเล็กๆ น้อยๆ เจ้านายจอมเบ่งอยากจับเธอกินแทนกาแฟเสียแล้ว

“อย่ากินเลยค่ะ ฉันไม่อร่อยหรอก ฉันเค็ม!”

หล่อนบอกห้วนสั้นแล้วสะบัดก้นงอนๆ ออกประตูไป

“ยัยจอมงกเอ๊ย!”

กุมภัณฑ์อยากขำแต่ขำไม่ออก เหนื่อยใจกับท่าทีซื่อใสนั่นจริงๆ หล่อนจะรู้หรือเปล่านะว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนที่จะไม่กระชากร่างที่แสนบริสุทธิ์นั้นเข้ามาทำเรื่องอย่างว่า



สิบห้านาทีผ่านไป

ตอนนี้ข้างกายของชายหนุ่มควรจะมีกาแฟหอมกรุ่นมาช่วยเรียกความขยันให้อยากทำงาน แต่ความเป็นจริงสิ่งที่มีคือกองเอกสารเป็นตั้งๆ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาอยากนั่งรออีกนิดแต่สมองที่ขาดคาเฟอีนอย่างคนที่ติดกาแฟจึงจะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน มันทำให้เขาต้องออกตามล่ากาแฟสักแก้วเพื่อสนองความอยาก

เจ้าของบริษัทลงทุนเดินลงมาหนึ่งชั้นเพราะอยากช่วยบริษัทประหยัดค่าไฟ เขาไม่นิยมใช้ลิฟต์สำหรับลงมาชั้นนี้ และพอมาถึง อารมณ์หงุดหงิดเพราะติดกาแฟบวกกับภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เขาแทบอยากบีบคอขาวๆ ของใครบางคนให้กระดูกแหลกเหลวคามือ สิมันตรายืนอยู่ตรงนั้น กลางห้องครัวเล็กๆ มีพนักงานชายหลายคนห้อมล้อม ดูเหมือนว่าหล่อนกำลังสนทนาเรื่องบางอย่างกับพวกเขาอย่างถูกคอ และพอเขาเดินเข้าไปใกล้โดยหลบอยู่ข้างหลังพนักงานชายคนหนึ่งจึงได้รู้ว่า น่าจะเปลี่ยนจากร่วมสนทนาเป็นรวมหัวกันนินทาเสียมากกว่า

“โห...ตอนเด็กๆ นะคะ นายยักษ์ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลยค่ะ มีเขี้ยวยักษ์สองข้างโผล่ออกมาจากปากด้วย น่ากลัวมาก ไม่เหมือนคุณโยนะคะ คุณโยใจดีแล้วก็ตัวขาวโบ๊ะเลยค่ะ” สิมันตรานินทาเจ้านายตัวเองในตอนเด็กให้เพื่อนใหม่ฟัง เธอเคยเจอกุมภัณฑ์ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเมื่อตอนอายุหกเจ็ดขวบ และทุกครั้ง เขาก็มักแกล้งหลานแม่บ้านคนนี้ด้วยการแยกเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้างเข้าใส่ ในตอนนั้นมันไม่ได้เข้ากับใบหน้าเขาเช่นตอนนี้ และเธอยังเล็กเกินกว่าจะเห็นว่ามันน่ามอง เธอคิดว่าเขี้ยวเขาน่าเกลียดพิลึก สมชื่อยักษ์นั่นล่ะ

“ไม่มีงานทำกันหรือไงถึงได้มาสุมหัวนินทาเจ้านายฮะ!”

น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวทำเอาวงนกกระจอกแตกฮือ บรรดาหนุ่มๆ ในออฟฟิศต่างพากันแยกตัวออกไปทางใครก็ทางมัน แม้ว่าคุณกวางหรือน้องกวาง แม่บ้านคนใหม่ของเจ้านายจะน่ารักน่าเอ็นดูแค่ไหน ทว่าถ้าเทียบกับเงินเดือนที่อาจจะโดนตัดแล้วละก็พวกเขาไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า

“เอ่อ...มาตามหากาแฟหรือคะ แหะๆ” คนรู้ตัวว่าทำผิดถามเจ้านายแก้เก้อ แล้วหล่อนก็ได้รับความเงียบกลับมาพร้อมๆ กับมือหนาที่พันธนาการข้อมือเล็กไว้แน่น ก่อนจะลากร่างเจ้าของให้เดินตามเขาขึ้นไปชั้นบน



ปัง!

ประตูห้องทำงานของท่านรองประธานปิดลงอย่างแรง สิมันตรายืนตัวลีบกัดริมฝีปากล่างอย่างต้องการระงับอาการประหม่าและกริ่งเกรง เขาน่ากลัวได้แม้แต่ตอนที่ไม่ได้เอ่ยวาจาสักคำ

“ฉันให้ไปชงกาแฟ ไม่ใช่ให้เธอไปบริหารเสน่ห์” ชายหนุ่มแดกดันเสียงต่ำลอดไรฟัน

สิมันตราคอขึ้นเอ็นในทันที หล่อนเปล่าทำอย่างที่เขาว่าเสียหน่อย เขาปรักปรำเธอชัดๆ

“ฉันไม่ได้ทำ แค่ลูกน้องคุณชวนคุยเท่านั้น และพวกเขาก็เป็นมิตรที่น่าคบทีเดียว ไม่มีใครในกลุ่มเอ่ยเกี้ยวพาราสีฉันสักคำ คุณไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้พูดคุยกับพวกเขาได้อย่างสนิทใจโดยไม่มีเรื่องใต้สะดือมาเจือปน” หล่อนอธิบาย เขาเข้าใจดีเลยล่ะว่าทำไมพวกพนักงานหน้าปลาจวดถึงไม่เอ่ยเกี้ยวพาราสีหล่อน ก็เพราะหล่อนเดินตามเขาขึ้นมาบนนี้นี่ไง ทุกคนจะรู้โดยทั่วกันว่าเจ้าหล่อนคือคนของเขา คนอื่นอย่าแตะ

“อย่าทำมันอีก ฉันไม่ชอบ” เขาสั่งเสียงต่ำลึกเช่นเดิม ร่างสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอวสองตาแลออกไปนอกบานกระจกหวังจะให้สีเขียวสีครามของต้นไม้ใบหญ้าและสายธารา ช่วยดับความขุ่นข้องหมองใจอันเกิดจากสตรีร่างเล็กบางที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ฉันว่าคุณคุกคามความเป็นส่วนตัวของฉันมากเกินไปแล้วนะ ถ้าแค่นี้คุณก็ห้าม ฉันคงทำงานให้คุณไม่ได้ ฉันขอลาออก!”

สิมันตราตะคอกใส่แผ่นหลังกว้างใหญ่อย่างโกรธเคือง เขาไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้เธอเลิกทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยที่เหตุผลเดียวที่เขามีให้คือคำว่า เขาไม่ชอบ ทุเรศ!

“อะไรนะ!? เธอจะลาออกทั้งๆ ที่มาทำงานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ!”

“ใช่ ทำไม?”

“เธอต้องเขียนใบลาออกอย่างน้อยล่วงหน้าสองเดือน” ชายหนุ่มหาทางรั้งร่างบางเอาไว้ เขาไม่ปล่อยแม่สมันตัวน้อยให้หลุดออกจากเมืองยักษ์ง่ายๆ หรอก

“ลืมไปหรือเปล่าคะเจ้านาย ฉันไม่ได้เขียนใบสมัคร” หล่อนลอยหน้าลอยตาอย่างเป็นต่อ ในตอนท้ายประโยคเผยรอยยิ้มบนมุมปากอย่างอวดดี

“เธอจะเขียนมันแน่ๆ ถ้าฉันต้องการให้มีเอกสารแผ่นนั้น”

เจ้าของบริษัทอวดอำนาจมืดเล็กน้อย สิมันตรารู้ดี เขาสามารถเนรมิตเอกสารใดๆ ขึ้นมาก็ได้ในเมื่อบริษัทนี้เป็นของเขาทุกตารางนิ้ว

“บ้าอำนาจที่สุด ถ้าฉันไม่ทำตามที่คุณสั่งคุณจะจับฉันขังคุกหรือไงยะตาบ้า!”

“แน่นอน แต่ไม่ใช่ขังคุกหรอกนะ ถ้าเธออยากรู้ละก็ฉันจะพาไปดูเอง อย่างเธอเนี่ยคำว่าคุกมันสบายเกินไป!”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายเข้าหาร่างอรชรด้วยความรวดเร็ว เขาย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วแบกเอาร่างของสิมันตราพาดบ่าขวาในขณะที่เจ้าตัวร้องกรี๊ดๆ ด้วยความตกใจ เขาจัดการเปิดประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกับห้องน้ำ เปิดประตูห้องเข้าไปโดยไม่ลืมล็อกให้เรียบร้อย ก่อนตรงมายังเตียงเพื่อเหวี่ยงร่างของคนปากดีลงบนนั้นอย่างแรงไม่มีอนาทรร้อนใจว่าหล่อนจะได้รับความเจ็บปวดทางร่างกายบ้างหรือไม่

“โอ๊ย! เจ็บนะ! แล้วพาฉันมาในนี้ทำไมเนี่ย!?” ถามเขาเสียงสั่นทั้งจุกทั้งกลัว แต่ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาโถมกายเข้าหาหล่อนแล้วช้อนฝ่ามือแข็งแรงเข้าใต้ท้ายทอยขาวผ่องเพื่อดึงรั้งเข้าหาตัว ก่อนจะลงทัณฑ์แม่กวางจอมดื้อด้วยริมฝีปากคมๆ และร้อนฉ่า

สิมันตราหายใจไม่ทั่วท้อง มือน้อยที่คอยผลักไสอยู่ตั้งแต่เริ่ม บัดนี้ทำได้เพียงวางแหมะบนแผงอกที่คร่อมอยู่เหนือร่าง เธอกำลังเมาจูบ กุมภัณฑ์ผู้ช่ำชองเรื่องนี้ดึงเธอให้จมดิ่งในบทลงทัณฑ์อันเร่าร้อนของเขา

หญิงสาวหายใจหอบถี่เมื่อเขาผละจากริมฝีปากอิ่มเต็มตึง สายตาสองคู่สอดประสานในระยะห่างเพียงไม่กี่เซ็น ลมหายใจที่ถ่ายเทเข้าออกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากร่างกายกันและกันถนัดถนี่

กุมภัณฑ์กำลังควบคุมสติ มันกระเจิดกระเจิงจนไม่อยากกลับมาหาเจ้าของ เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย ไม่เคยสัมผัสใครแล้วปรารถนาสัมผัสต่อไม่จบไม่สิ้น แต่เขาจำต้องหยุด เพราะถ้าไม่หยุดมันจะดำเนินต่อไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันแน่ๆ

“อย่าทำอย่างนั้นอีกสิมันตรา อย่าพูดอย่าหัวเราะอย่างนั้นกับผู้ชายคนไหนอีก เข้าใจไหม”

กวางสาวพยักหน้าหงึกหงัก นายยักษ์สั่งแล้วนี่ เธอคงต้องทำตามสถานเดียว ไม่อย่างนั้นคงถูกจับกินเป็นแน่ นี่แค่พูดคุยนะ ถ้านายยักษ์เห็นเธอจับมือถือแขนหรือโอบกอดกับหนุ่มๆ ข้างล่าง โอ...ไม่อยากคิดเลยว่าเธอจะโดนอะไร

“นาย...มีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้ามฉันหรือนายยักษ์ แล้วทำไมฉันต้องเชื่อและทำตามนายด้วยเล่า”

สิมันตราทอดสายตามองกุมภัณฑ์อย่างไม่เชื่อว่าเขาจะกล้ากระทำการอุกอาจถึงเพียงนี้ และไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคำบ่นน้อยๆ ของตนเองจะสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของห้อง

“ไม่มีคำตอบในสิ่งที่เธอยากรู้หรอกสิมันตรา รู้เอาไว้แค่ว่าฉันมันคนขี้หวงแม้แต่แม่บ้านฉันก็ไม่ชอบใช้ร่วมกับคนอื่น จำเอาไว้”

“คนโรคจิต...”

สิมันตราค่อนขอดแต่กุมภันฑ์กลับยิ้มรับ

“ขอบคุณ ฉันชอบจัง คนโรคจิต งั้นคนโรคจิตปล้ำใครคงไม่ผิดใช่ไหม” ไม่พูดเปล่าแต่ยังคุกคามกวางสาวด้วยฝ่ามือหนาร้อนผ่าวปัดป่ายไปทั่วร่างน้อย

“อย่านะ จะบ้าหรือไงนี่มันเวลางานนะ” กุมภัณฑ์เลิกคิ้วสูง

“งั้นเลิกงานแล้วเราไปหาที่มิดชิดเล่นสนุกกันหน่อยดีกว่านะ หึๆ”

กุมภัณฑ์หัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัย ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อยๆ เผยไรเขี้ยวมหาเสน่ห์ให้สิมันตราได้หลงใหล

“ฝันไปเถอะย่ะ ปล่อยฉันนะไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณท่าน”

สิมันตราเอามารดาเจ้านายมาขู่ แต่เขาไม่กริ่งเกรงสักนิด

“เอาสิ ถ้าเธอไม่อายถ้าคนอื่นจะรู้ว่าเราสองคน...”

“ยี้! ฉันยังไม่ได้จุดๆๆ อะไรอย่างนั้นซะหน่อย คุณนั่นแหละต้องอายเพราะว่าต้องแต่งงานกับฉัน!”

คราวนี้กุมภัณฑ์ได้สติ เขาปล่อยมือจากการกกกอดร่างสิมันตราแล้วลุกมานั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ทำลงไป มันไม่คุ้มเลยกับการลิ้มรสเนื้อกวางเพียงปลายเล็บแต่ต้องแลกกับการแต่งงานที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างที่เจ้าหล่อนว่า

“ขอโทษที ฉัน...ทำไปได้ยังไงเนี่ย!?”

กุมภัณฑ์เผลอตวาดตัวเอง แต่เสียงนั้นทำเอาคนที่มือไม้สั่นเพราะติดกระดุมเสื้อต้องสะดุ้งสุดตัว

“ถ้าถามฉัน ฉันก็จะตอบว่าเพราะความหื่นไม่เลือกเวลาของคุณนั่นล่ะที่ทำให้เรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้น”

สิมันตราประชดประชันในน้ำเสียงเล็กน้อย พอหล่อนติดกระดุมเสื้อเสร็จก็รีบเผ่นออกจากห้องนอนมรณะของเจ้านายบ้ากามทันที



เช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใส เสียงเครื่องครัวกระทบกันดังเป็นจังหวะอย่างที่วีนุตตราได้ยินเป็นประจำ เงียบแผ่วลงไปในที่สุด วันนี้น้องสาวคนดีของเธอทำอะไรไว้ให้พี่โยของเจ้าหล่อนรับประทานกันหนอ

“ว่าไงจ๊ะพี่สาว วันนี้หน้าตาสดใสเชียว ทานข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วยไหมคะ”

สาวสวยวัยยี่สิบสี่เอ่ยทักทายพี่สาวบุญธรรมที่นอนแบ็บอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวแห้งนั้นดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากโข พี่นุตคงดีใจที่เมื่อวานพี่โยมาอยู่ด้วยทั้งวันและวันนี้ก็สัญญาว่าจะมารับประทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนอีก

“อรก็รู้ว่าพี่คอย...แค่กๆ คอยพี่โย”

วีนุตตราพูดพลางไอโขลกๆ แต่ก็ยิ้มออกเมื่ออาการไอทุเลา นิลอรรีบเข้าประคองพี่สาว จัดท่าทางให้หล่อนใหม่เพื่อจะได้สะดวกกว่าเดิม

“พี่โยนี่น่าตีนักเชียว มาสายจนพี่นุตต้องคอยทานข้าว” หญิงสาวทำท่าทีจริงจังจนพี่สาวที่นอนป่วยอยู่บนเตียงต้องโบกมือห้ามปราม

“จะตีใครฮึ ยัยดำ”

เสียงของวาโยลอยผ่านอากาศเข้ามาในห้องก่อนเจ้าของ นิลอรชะเง้อไปมองก็พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่เดินพ้นประตูมาแล้ว

“มาแล้วหรือคะคุณพี่ ใจคอจะให้คุณนายนุตเป็นแม่สายบัวรอเก้อหรือยังไงคะ”

น้ำเสียงประชดประชันอย่างเด็กน้อยทำเอาพี่ทั้งสองหัวเราะอย่างพออกพอใจ

“เอากับข้าวไปใส่จานเลย พี่จะพานุตไปนั่งชมวิวในสวน” วาโยว่าพลางผลักถุงกับข้าวที่ซื้อมาให้นิลอรน้องสาวของสตรีเพียงหนึ่งที่ตราตรึงในดวงใจ เขาก้าวไปหาร่างของวีนุตตรา พร้อมกับจุมพิตหน้าผากเป็นการทักทายก่อนจะอุ้มหล่อนไปวางบนรถเข็นแล้วเข็นไปสู่สวนสวยบริเวณหน้าบ้าน

คนทั้งสามนั่งรับประทานอาหารท่ามกลางหมู่แมกไม้ส่งกลิ่นความสดชื่นให้ได้สูดจนฉ่ำปอด แสงแดดอ่อนจางช่วยเสริมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นอีกเท่าตัว รอยยิ้มและความสุขไม่เคยจางหายไปจากวงหน้าของทุกคน แม้ว่าวันนี้สมาชิกหนึ่งในนั้นจะไม่เหมือนเดิมดังเช่นวันวาน วีนุตตรา แฟนสาวของวาโย เจ้าหล่อนกำลังป่วยและอาจจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้

วาโยอยากใช้เวลาที่มีเพื่ออยู่กับหล่อนให้มากที่สุด เขาและวีนุตตรารักกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี เขาอยากแต่งงานกับหล่อนมาก แต่คุณนายวิภาไม่ยอมท่านรังเกียจที่วีนุตตราไม่มีหัวนอนปลายเท้า เพียงเพราะหล่อนเติบโตในบ้านเด็กกำพร้า นางเฝ้าขัดขวางทุกวิถีทางจนในที่สุดบุตรชายเช่นวาโยก็ต้องล่าถอย ทว่าไม่ใช่เพราะมารดาเพียงอย่างเดียว แต่เพราะวีนุตตราหล่อนบอกว่าไม่มีความสุขเลยเวลาที่เห็นแม่ลูกต้องมาผิดใจกันเพราะตัวหล่อนเอง หล่อนจึงเป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาในที่สุด

วาโยกับวีนุตตราห่างกันไปชั่วระยะหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หัวใจสองดวงเจ็บปวดแสนทรมาน และเมื่อสวรรค์บันดาลให้ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้ง วาโยก็ไม่รีรอที่จะสานสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นเช่นเดิม ทว่าเพียงไม่กี่เดือนที่กลับมาคบกับวีนุตตราอีกครั้งท่ามกลางความไม่พอใจของมารดา เขาก็ได้พบว่า หล่อนป่วยเป็นมะเร็ง

และนับจากวันนั้นวาโยก็ดูแลวีนุตตราเรื่อยมา ทว่า อาการป่วยของหล่อนเริ่มเด่นชัดมากแล้ว คุณหมอเจ้าของไข้บอกว่าบางทีหล่อนอาจอยู่ได้ไม่ถึงสามปี เรื่องนี้ยิ่งทำให้เขาเคืองมารดาขึ้นไปอีกเพราะท่านทำให้เขาต้องสูญเสียช่วงเวลาที่จะอยู่กับคนที่รักไปนานถึงสองปีทีเดียว เขาเคืองโกรธทั้งสาปแช่งโชคชะตาที่จะพรากวีนุตตราไปจากเขา ในตอนนั้นชายหนุ่มผู้คลั่งรักพาลไปทั่ว ทั้งเสียใจและน้อยใจมารดาอย่างที่สุดที่ท่านคอยแต่จะขัดขวางความรักของเขาอยู่ร่ำไป เขาเอาคืนท่านอย่างเจ็บแสบด้วยการจับแม่โสเภณีไร้ค่ามาจดทะเบียนสมรสขึ้นแท่นเป็นภรรยาออกหน้าออกตาเพื่อประชดมารดาทันที นับว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดเพราะตั้งแต่วันนั้นมารดาที่รักไม่เคยขัดใจเขาอีกเลย

“พี่นุตอาการแย่ลงแล้วนะคะพี่โย” นิลอรเปรยให้แฟนหนุ่มของพี่สาวฟังหลังจากจบสิ้นมื้อเช้า หล่อนไม่เข้าใจความรักของวาโยเลย วาโยรักวีนุตตราแต่กลับแต่งงานมีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอเคยเห็นละอองดาวอยู่บ่อยครั้งเวลาที่เจ้าหล่อนต้องออกงานสังคมคู่กับพี่ชายที่แสนดีคนนี้ เจ้าหล่อนสวยมาก ไม่แปลกเลยที่วาโยจะตกลงปลงใจแต่งงานด้วย คิดแล้วก็น่า...อิจฉา

“พี่กำลังพยายามอยู่” เขาตอบน้องสาวบุญธรรมของสาวคนรัก การวอนขอให้วีนุตตรายอมแต่งงานกับเขานั้นยากยิ่งกว่าจับหล่อนฉีดยาเสียอีก

“พี่นุตคงกลัวว่าคุณดาวจะเสียใจ ทั้งที่เธอเองก็เสียใจ” นิลอรให้เหตุผลอย่างคนที่รู้จิตใจของพี่สาวดี เธอรู้ว่าพี่นุตของเธอรักพี่โยมากแต่หล่อนจะไม่แย่งของของใครเด็ดขาด

“ใช่ พี่ไม่น่าคิดบ้าๆ แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นให้เป็นปัญหาเลย”

วาโยบอกนิลอรเช่นนั้น แต่ในใจไม่ได้รู้สึกว่าละอองดาวเป็นปัญหาแต่อย่างใด เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่มีต่อละอองดาวได้ มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

“พี่ก็หย่าสิคะ บางทีถ้าพี่นุตเห็นใบหย่าอาจจะยอมแต่งงานกับพี่ก็ได้ อรอยากให้พี่นุตมีความสุข อรรู้...รู้ว่าพี่นุตเองก็อยากแต่งงาน” นิลอรเหมือนจะกระดากปากยามต้องเอ่ยประโยคนั้นแทนพี่สาว เธอไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองก็เป็นอีกคนที่อยากแต่งงาน และถ้าเจ้าบ่าวของเธอเป็นวาโยก็คงดีมิใช่น้อย

“พี่จะลองคิดดู”

วาโยรับปากน้องสาวของคนรัก ทั้งที่ในใจวูบโหวงอย่างประหลาดยามที่คิดว่าข้างกายจะไม่มีร่างของภรรยาตีทะเบียนที่เขาเอาเปรียบหล่อนมานานหลายปี ความจริงมันก็เลยกำหนดมาแล้วด้วยซ้ำแต่เขาทำเป็นลืมเสียสนิท ลืมสัญญาซื้อขายที่บัญญัติไว้เพื่อเขาและละอองดาวเพียงสองคน

“เกรงว่าจะรอให้พี่คิดดูไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เมื่อคืนอาการพี่นุตทรุดหนัก อรว่า...จะทำอะไรก็รีบทำเถอะค่ะ”

นิลอรกล่าวเกินจริงไปมากโข ถ้าพี่สาวอาการหนักจริงๆ เธอคงส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแล้ว น่าดีใจที่คนฉลาดอย่างวาโยมองข้ามในข้อนี้

“หมายความว่า...”

วาโยมุ่นคิ้วเข้มคมอยู่หลายนาที เขาไม่อยากเชื่อว่ามันจะถึงเวลานี้แล้ว เวลาที่สุดที่รักจะไร้ซึ่งลมหายใจ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปมองวีนุตตราที่นั่งรับไออุ่นจากไอแดดยามเช้า เขาจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจคนนี้มีความสุขที่สุดก่อนที่หล่อนจะจากไป หรือว่าสิ่งนั้นคือการต้องหย่าขาดกับภรรยาจริงๆ

ชายหนุ่มขอตัวกลับหลังจากที่วีนุตตราพักผ่อนด้วยการนอนหลับสนิทบนเตียงประจำของหล่อน บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาคงต้องเอาใบหย่ามายืนยันว่าเขาเลิกรากับละอองดาวแล้วเพื่อที่สตรีที่รักยิ่งจะได้ยอมแต่งงานกับเขา และเพื่อที่หล่อนจะได้มีความสุขในวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทำไมมันยากอย่างนี้เล่า แค่คิดว่าต้องบอกให้ละอองดาวไปเซ็นใบหย่า เขาก็อยากอาเจียนเต็มทน หล่อนคงดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้เป็นอิสระจากเขาเสียที




******************************************************************************



Lilly
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มี.ค. 2556, 04:27:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มี.ค. 2556, 04:27:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 5558





<< บทที่ 3 สาวใช้ของนายยักษ์ 40%   บทที่ 5 แม่ผัวตัวแสบ 70% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account