กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 36


36...


“อั๊ว...เอ๊ย...อิฉันเลิกกับเขาแล้ว” อาลั้งบอกกับคุณนายสายหยุด
“ทำไมเลิกกันเสียละ?” คุณนายถาม
“เขาตีอิฉัน...เอาไม้คานตี...อิฉันหนีลงคลองเกือบจมน้ำตาย ตำรวจเลยให้เลิกกัน” อาลั้งพยายามเล่าชีวิตอันขมขื่นของตนเป็นภาษาไทย “อิฉันต้องออกจากบ้านเขามาแต่ตัวกับเสื้อผ้าสามสี่ชุด ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน จึงเอาลูกมาด้วยไม่ได้ มาอาศัยพี่อิ่มอยู่ ช่วยหุงข้าวทำแกง ขายข้าวแกง มีที่อยู่ มีข้าวกิน แต่ไม่มีเงินเดือน”
“แล้วไปเยี่ยมลูกกี่ครั้งแล้ว?” คุณสายใจถาม
“ตั้งแต่ออกจากบ้านนั้น อิฉันไม่เคยเห็นหน้าลูกเลย” อาลั้งตอบ
“ทำไมละ ทำไมถึงไม่ไปเยี่ยมลูกบ้าง?” คุณสายใจถามอย่างสงสัย เพราะสีหน้าอาลั้งบ่งบอกว่าอยากเห็นหน้าลูกแทบขาดใจ แต่กลับไม่ไปเยี่ยมลูก
“พี่อิ่มไม่ให้ไป บอกว่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ประโยชน์คืออะไรอิฉันไม่รู้ แต่อิฉันจะไปบางกอกกับคุณนายแล้ว ขออิฉันไปเห็นหน้าลูกสักครั้งเถิดนะ” อาลั้งประสานมือแบบจีนขอร้อง น้ำตาไหล
“เอาเถอะ...ฉันอนุญาต” คุณนายสายหยุดเอ่ย คืนพรุ่งนี้ให้เก็บเสื้อผ้ามานอนที่นี่เลย เราจะกลับบางกอกมะรืนนี้”
“ขอบใจจ้ะๆ” อาลั้งไหว้แบบจีนปลกๆ
“ต้องพูดว่า...ขอบคุณค่ะ” คุณสายใจอดสอนไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ” อาลั้งพูดตาม

อาลั้งหาบหาบข้าวแกงกลับมายังเรือนแถวของอิ่ม กลับมาถึงก็หยิบเงินที่ขายได้ให้อิ่ม อิ่มนั่งนับเงินไป เคี้ยวหมากไป ในขณะที่อาลั้งล้างถ้วยจานหม้อข้าวหม้อแกงอย่างขยันขันแข็ง เพราะอาลั้งรู้ว่า...นี่คือครั้งสุดท้ายที่จะทำงานทดแทนบุญคุณที่อิ่มให้ที่อยู่ที่กินแล้ว
“ทำไมวันนี้ขาดไปห้าสตางค์” อิ่มถามขึ้นหลังจากนับเงินได้สองบาทห้าสตางค์ ซึ่งผิดกับทุกวันจะได้สองบาทสิบสตางค์เป็นมาตรฐาน บางวันก็เพิ่มเป็นสองบาทสิบห้าสตางค์ด้วยซ้ำ
“อั๊วคงตักข้าวเยอะไปบางจาน” อาลั้งตอบ พร้อมกับเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วแห้ง เพราะล้างจานสังกะสีเคลือบกับหม้อข้าวหม้อแกงเสร็จแล้ว
“เอ็งอย่าทำอย่างนี้บ่อยๆ นะ เพราะข้าจะขาดทุน” อิ่มว่า ตำหนิกลายๆ
“จ้ะ...อั๊วไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว เพราะพรุ่งนี้อั๊วจะไปเยี่ยมลูกแต่เช้า” อาลั้งบอก แค่คิดว่าจะได้พบลูก...อาลั้งก็ดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า
“เอ็งจะไปเยี่ยมลูกทำไมกัน...หนทางต้องเดินตั้งสองสามชั่วโมง ไปกลับก็หมดวันแล้ว แล้วใครจะขายข้าวแกงให้ข้า” อิ่มเอ่ยเหมือนทุกครั้งที่อาลั้งขอไปเยี่ยมลูก “อย่าไปเลย ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ๊กฮวดกับพี่สาวของมันคงไม่ยอมให้เอ็งพบลูกง่ายๆ หรอก”
“แต่ยังไง พรุ่งนี้อั๊วต้องไปหาลูกให้ได้ เพราะมะรืนนี้อั๊วต้องไปบางกอกแล้ว”
อาลั้งพูดไม่ทันจบ อิ่มก็ร้องลั่น
“หา...เอ็งจะไปบางกอก ไปทำไม?”
“คืออั๊วหางานได้แล้ว ได้เงินเดือนเดือนละสามบาท แต่บ้านเจ้านายอยู่บางกอก อั๊วก็ต้องไปกับเขาวันมะรืนนี้” อาลั้งพูดอธิบาย
แต่อิ่มรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เอ่ยปากคอสั่น
“เอ็งๆๆ...เอ็งอยากได้เงินเดือนทำไมไม่บอกข้า เอ็งไปบอกเลิกทางโน้นซะ ข้าก็ให้เงินเดือนเอ็งได้เหมือนกัน”
“ไม่ได้หรอก อั๊วรับปากคุณนายกับคุณสายใจเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว กลับคำไม่ได้” อาลั้งเอ่ยเสียงจริงจัง
“ว่าไงนะ!” อิ่มเสียงลั่นกึ่งตะคอก “เอ็งจะไปบอกเลิกทางโน้นมั้ย?”
“ไม่” อาลั้งตอบสั้นๆ ทว่าหนักแน่นมั่นคง
“อีคนไม่รู้บุญคุณคน ข้าให้เอ็งอยู่เอ็งกินมาตั้งสองปี เอ็งไม่รู้จักคุณข้าวแดงแกงร้อนของข้า เอ็งทรพีกับข้า...” และอีกมากมายที่อิ่มจะด่าอย่างสาดเสียเทเสีย
อาลั้งอ้าปากจะบอกว่า...ตนก็ได้ทดแทนบุญคุณด้วยการทำงานสายตัวแทบขาด...แต่พูดไปอิ่มก็คงไม่ยอมฟัง เธอจึงนิ่งเสีย
อิ่มด่าทอจนสุดท้ายก็ออกปากขับไล่
“ไปเลย เอ็งเก็บเสื้อผ้าเน่าๆ ของเอ็งออกจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้หรอก”
“พี่อิ่มขออั๊วอยู่อีกคืนเถอะ พรุ่งนี้เช้ามืดอั๊วก็จะไปแล้ว” อาลั้งขอร้องเสียงอ่อน
แต่อิ่มไม่ใจอ่อน “ไม่ได้ เอ็งต้องเฉดหัวออกจากบ้านกูเดี๋ยวนี้”
สีหน้าสีตาและน้ำเสียงทีท่าของอิ่มบ่งบอกว่า นางพูดจริง...ถ้าอาลั้งขืนยังอยู่ต่อไป นางอาจจะระงับโทสะไม่ได้ ลงมือลงไม้ทุบตีก็เป็นได้
อาลั้งจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย รีบเก็บเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดของตนใส่กระเป๋าหวายหิ้วออกจากบ้านของอิ่ม ก่อนก้าวเท้าออกไป อาลั้งยังหันไปไหว้อิ่มแบบจีน พูดเสียงอ่อนว่า
“อั๊วขอบคุณพี่อิ่มมาก อั๊วไปแล้วขอให้พี่อิ่มมีความสุข”
อิ่มไม่ตอบ นั่งสะบัดหน้าหันหลังให้ ในขณะที่อาลั้งเดินจากไป

ดึกแล้ว...อาลั้งเดินในเส้นทางที่มืดมิดและเดียวดาย ถนนเป็นดินลูกรังที่ขรุขระ ช่างเหมือนเส้นทางชีวิตของอาลั้งเหลือเกินที่ช่างมืดมิดและขรุขระ...อาลั้งเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้จะไปขออาศัยใครที่ไหนได้ เพื่อพักกายเพียงไม่กี่ชั่วโมงนี้ ความหนาวเย็นของน้ำค้างทำให้หญิงสาวสยิวกายเล็กน้อย
ความเคยชินทำให้อาลั้งเดินมาที่ว่าการอำเภอ...หญิงสาวคิดว่า อาศัยนั่งพักที่ระเบียงที่นี่คงปลอดภัยกว่าที่เธอจะเดินเตร็ดเตร่ในยามค่ำมืด จึงหิ้วกระเป๋าหวายขึ้นไปนั่งพักที่ม้ายาวริมระเบียงด้านหนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยแสงดาว เธอคิดถึงเทพเจ้าที่อยู่บนดวงดาวเหล่านั้น เทพเจ้าองค์ไหนหนอที่กำหนดชะตาชีวิตให้เธอพบพานแต่ความทุกข์ยาก ตั้งแต่เล็กจนโตต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รัก...ทั้งพ่อ แม่ และลูกชายตัวน้อย
อาลั้งนั่งน้ำตาไหล มองดูดวงดาวจนผล็อยหลับไป...
มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เพราะเสียงเรียกของลุงนักการ
“อาลั้ง...”
“หือ...” อาลั้งลืมตาตื่นขึ้น “ลุง...”
“ใช่...ข้าเอง แต่เอ็งทำไมมานั่งหลับอยู่ตรงนี้”
อาลั้งจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลุงนักการฟัง
“นังอิ่มนี่ใจดำจริงๆ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเอ็งไม่มีที่ไป ยังจะไล่เอ็งออกมากลางค่ำกลางคืนอีก นี่ดีที่เอ็งมานั่งหลับที่นี่ ไม่ถูกงูเงี้ยวเขี้ยวขอฉกกัดเอา” ลุงนักการบ่นพลางส่ายหน้า
“พี่อิ่มเขาคิดว่าอั๊วเนรคุณ ลุงว่าอั๊วเนรคุณจริงๆ หรือเปล่า?”
อาลั้งเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ
“เนรคุณเรอะ...ที่เอ็งทำงานให้มันงกๆๆ ไม่ได้เงินสักกะแดงเดียว มันก็ไม่มีบุญคุณอะไรที่จะมาทวงถามจากเอ็งได้แล้ว” ลุงมีเอ่ยอย่างโมโหแทนหญิงสาวชาวจีนไม่ได้ “เอ็งทำถูกแล้วที่จะไปอยู่บางกอกกับคุณนาย เอ็งจะได้มีอนาคต เผื่อว่าเอ็งร่ำรวยเมื่อไหร่จะได้มารับลูกชายไปอยู่ด้วย”
“อั๊วก็คิดถึงเรื่องนี้จ้ะ ถึงตัดสินใจหางานทำ” อาลั้งเอ่ย รู้สึกเบาใจขึ้นที่ตนไม่ได้เป็นคนเนรคุณอย่างอิ่มด่า
“นี่ฟ้าเริ่มสางแล้ว อั๊วจะไปหาลูก”
อาลั้งเอ่ยพลางลุกจากม้านั่ง มือขวาหิ้วกระเป๋าหวาย เตรียมจะเดินไปที่หมู่บ้านที่อาฮวดอยู่
แต่ลุงมีขัดขึ้นว่า “จะหิ้วกระเป๋าไปด้วยเหรออาลั้ง?”
“จ้ะ” อาลั้งตอบ
“ในกระเป๋ามีของมีค่ารึ?”
“ไม่มีอะไรหรอก นอกจากเสื้อผ้าเก่าๆ ของอั๊วสองสามชุดเท่านั้น” อาลั้งตอบตามความเป็นจริง
“แล้วจะหิ้วไปทำไมให้หนักให้เกะกะเปล่าๆ เอาฝากลุงไว้ก่อนไม่ดีกว่ารึ?” ลุงมีเสนอ
“ก็ดีสิจ๊ะ” อาลั้งเอ่ย พลางยื่นกระเป๋าหวายใบนั้นให้ลุงมี
โครกกก...เสียงท้องอาลั้งร้อง เพราะไม่มีอาหารหรือน้ำตกถึงท้องตั้งแต่บ่ายๆ เมื่อวานแล้ว ตอนแรกเพราะตื่นเต้นที่จะได้งานทำ จึงไม่หิวเลยไม่ได้กินข้าว ต่อมาถูกอิ่มไล่ออกจากบ้าน ก็เลยไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้อาลั้งทั้งหิวทั้งคอแห้ง
ลุงมีได้ยินเสียงท้องอาลั้งร้องก็ยิ้มเล็กน้อย ถามว่า
“คงหิวละสิ?”
“จ้ะ” อาลั้งตอบรับ ยิ้มเขินๆ
“ลุงมีข้าวค้างคืนกับน้ำปลา เอ็งกินได้ไหม?” ลุงนักการถาม
“ได้จ้ะ อะไรๆ อั๊วก็กินได้” อาลั้งตอบภาษาซื่อ
“งั้นเอ็งรอที่นี่เดี๋ยว”
ว่าแล้วลุงมีก็หิ้วกระเป๋าอาลั้งไปที่กระท่อมด้านหลังที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นที่อยู่ของตน สักพักก็กลับมาพร้อมจานสังกะสีเคลือบที่มีข้าวราดน้ำปลามาด้วยจานหนึ่ง กับถ้วยสังกะสีเคลือบสีเหลืองใส่น้ำมาด้วยใบหนึ่ง มายื่นส่งให้อาลั้ง
“ขอบคุณค่ะ” อาลั้งพูดอย่างที่คุณสายใจสอน ก่อนจะรับจานข้าวถ้วยน้ำมา ดื่มน้ำคำหนึ่งก่อนเพราะคอแห้ง แล้ววางถ้วยน้ำลงที่ม้านั่ง ใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากกินอย่างหิวโหย
จนลุงมีต้องเอ่ยเตือน “ค่อยๆ กิน เดี๋ยวสำลัก”
อาลั้งได้ข้าวลงท้องสองสามคำก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น จึงกินอย่างปกติ โดยมีสายตาลุงมีมองอย่างสงสาร

อาลั้งเดินถึงบ้านของสุขราวแปดโมงครึ่ง...หญิงสาวส่งเสียงเรียก
“พี่สุขๆ...อยู่บ้านหรือเปล่า?”
“อยู่...” เสียงสุขขานรับ ก่อนออกมามองที่ระเบียงบ้าน “ใครน่ะ...อ้าว อาลั้งหรอกเรอะ เป็นไงมาไงถึงมาถึงที่นี่ได้...ขึ้นมานั่งบนชานบ้านก่อน”
อาลั้งถอดเกี๊ยะเก่าๆ ที่สวม ก่อนจะขึ้นบันไดไม้เล็กๆ ขึ้นไปราวห้าขั้น ไปนั่งที่ชานบ้านของสุข
“เดี๋ยวข้าไปเอาน้ำเอาท่ามาให้”
แต่อาลั้งห้ามว่า “ไม่ต้องหรอกพี่สุข ที่อั๊วมาหาพี่สุข อั๊วมีเรื่องจะให้ช่วย”
“ช่วยอะไร?” สุขถาม
“อั๊วอยากพบลูก” อาลั้งเอ่ย “พี่สุขช่วยไปเป็นเพื่อนอั๊วหน่อย อั๊วไปคนเดียว อั๊วกลัวพวกอีจะตีเอา”
สุขนั่งนิ่งคิดอยู่ครู่เดียว ก็พยักหน้า
“ไปสิ...ข้าจะไปเป็นเพื่อนเอ็ง พวกมันจะได้ไม่กล้าข่มเหงเอ็ง”
ทั้งสองจึงพากันเดินไปบ้านเจ๊กฮวด ซึ่งห่างจากบ้านสุขไม่ไกลนัก
พอเข้าไปใกล้...ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ลอยมา พร้อมกับเสียงไม้เร็ว และเสียงอาเฮียงที่ด่าทอ
“ไอ้เด็กผี ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กไม่มีแม่ แม่แกมันร่าน มันหนีตามผู้ชายไป...”
อาลั้งตกใจรีบวิ่งไปที่ต้นเสียง เห็นอาเฮียงกำลังใช้ไม้เรียวตีเด็กชายอายุสองขวบเศษ อย่างหวดไม่ยั้งมือ เธอก็รีบวิ่งไปกอดเด็ก ด้วยสัญชาตญาณของแม่
“อาเล้งๆ เจ็บไหมลูก?”
เด็กเอาแต่ร้องไห้ ในขณะที่อาลั้งถูกหวดไปสองสามขวับ
สุขวิ่งตามมาทันเข้าแย่งไม้ในมือของอาเฮียง
“ซิ้มเฮียงทำไมใจร้ายตีเด็กอย่างนี้”
แต่อาเฮียงกลับว่าสุข “อาสุข ลื้อพาอีตัวซวยมาทำไม?”
“ก็อาลั้งอยากพบลูกของเขา” สุขเอ่ย
“ไม่ได้...อั๊วไม่ให้อีพบ” อาเฮียงแหว
“อาโกวตีลูกอั๊วทำไม?” อาลั้งถามน้ำตาไหล กอดลูกเอาไว้ รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตัวเองถูกตีเสียอีก
“อั๊วพอใจจะตีก็ตี ลื้อจะทำไร!”
อาเฮียงยิ้มเยาะหยัน
ความโกรธประดังขึ้นมาในอกของอาลั้งจนสุดทน หญิงสาวตะเบ็งเสียง
“อั๊วจะฆ่าลื้อ!”
พร้อมกับกระโจนเข้าบีบคออาเฮียง
ยังไงอาเฮียงก็สู้แรงสาวที่บ้าคลั่งของอาลั้งไม่ได้ ล้มกลิ้งลงบนพื้น โดยมีร่างอาลั้งคร่อมอยู่ มือทั้งสองของอาลั้งบีบคออาเฮียงเอาไว้แน่น กะเอาให้ตายคามือ
สุขเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปพยายามแยกอาลั้งออกมา “อาลั้งๆ ใจเย็นๆ”
แต่คนที่มาหยุดการกระทำของอาลั้งคืออาฮวด อาฮวดใช้มือจิกผมอาลั้งแล้วดึงตัวหญิงสาวออกมา ก่อนจะเหวี่ยงร่างอรชรไปด้านข้าง
อาลั้งล้มกลิ้งกับพื้นอยู่สองตลบ เนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมม
“ลื้อมาทำไม?” อาฮวดถาม
“อั๊วจะมาเยี่ยมลูก” อาลั้งตอบ พร้อมกับลุกขึ้นยืน
อาเล้งวิ่งไปกอดอาเฮียงไว้ ร้องเรียก
“อาโกวๆ”
“อาเล้ง ลื้อรู้ไหมผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” อาเฮียงชี้มาที่อาลั้ง
“ไม่รู้” อาเล้งส่ายหน้า
“แม่...แม่ไง...” อาลั้งพยายามบอกลูกชาย
แต่อาเฮียงขัดขึ้น “อีเป็นคนบ้า”
“คนบ้า” อาเล้งพูดตามอาเฮียง
น้ำตาของอาลั้งไหลลงมาไม่ขาดสาย...ลูกไม่รู้จักแม่
“อาเล้ง...นี่เป็นแม่ของเอ็ง แม่แท้ๆ ของเอ็ง”
สุขเอ่ยอย่างเหลืออด
“อย่าไปเชื่อคนอื่น เชื่ออาโกว อีเป็นคนบ้า...เรียกเลย เรียก “คนบ้า””
อาเฮียงเสี้ยมสอนเด็ก
“คนบ้าๆๆ...”
อาเล้งทำตามเพราะความไร้เดียงสา
อาเฮียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
อาฮวดมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแค้นเคือง “ลื้อไม่ต้องมาที่นี่อีก อาเล้งไม่มีแม่ก็อยู่ได้ ดีกว่ามีแม่ที่ไม่เหลียวแลตั้งสองปีถึงกลับมา”
“ลื้อถูกผัวใหม่ลื้อทิ้งใช่มั้ย...” อาเฮียงพยายามพูดให้อาฮวดยิ่งโกรธเกลียดอาลั้ง “เลยกลับมาหาน้องชายอั๊ว มาอ้างตัวเป็นแม่ ที่แท้ไม่มีผู้ชายคนไหนเอา”
“หยุดปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้วซิ้มเฮียง...อาลั้งไม่เคยมีผัวใหม่...”
สุขเอ่ยไม่ทันจบ อาเฮียงก็รีบชิงพูด
“ไม่มีใครเชื่อลื้อหรอก หายไปตั้งสองปี ค่อยมาคิดถึงลูก หลอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย นี่ถ้าผัวใหม่ไม่ทิ้งคงไม่มาให้เห็นหน้าหรอก”
“พวกลื้อออกไปจากบ้านอั๊วเดี๋ยวนี้!” อาฮวดตวาดเสียงลั่น “ถ้าไม่ไป อั๊วจะเอาไม้มาตีพวกลื้อ!”




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2556, 15:21:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2556, 15:21:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1393





<< ตอนที่ 35   ตอนที่ 37 >>
wind 6 มี.ค. 2556, 16:32:37 น.
อ่านเรื่องนี้แล้วจิตตกทุกตอนจริงๆสิน่า


saralun 6 มี.ค. 2556, 16:38:52 น.
ลุ้นว่าเมื่อไหร่อาลั้งจะมีความสุขสักที....


หมีสีชมพู 7 มี.ค. 2556, 00:52:02 น.
ตัวร้ายในเรื่องได้ดีทุกคนเลยอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account