^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: ก่อนเสียงสุดท้าย

Warning!! : บทนี้ ไม่ใช่ไม่หวานธรรมดา แต่ยังเศร้าด้วยนะคะ

----------------------

ยามบ่ายในเดือนธันวาคมไม่ได้ร้อนอบอ้าวนัก แต่สำหรับคนที่ง่วนอยู่กับงานมาทั้งวัน ใบหน้าที่มันเยิ้มจนแทบจะทอดไข่ได้ กับเสื้อชื้นเหงื่อนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเราเสียแล้ว

ฉันเงยหน้าขึ้น สะบัดปอยผมที่ลงมาปรกหน้าพอให้ไม่ลงมาเกะกะลานสายตา ถอนใจช้า ๆ เมื่อดึงเข็มเจาะไขกระดูกที่ปักกระดูกบั้นเอวคุณลงตรงหน้าออก พร้อมกดผ้ากอซลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้พยาบาลที่ยืนข้าง ๆ ช่วยติดผ้าแถบกาวเพิ่มแรงกดห้ามเลือด

“รับเวรจ้า รับเวร” เสียงดังที่เคาท์เตอร์ในวอร์ดทำให้ฉันรีบหันไปมอง ก่อนจะต้องกลอกตามองฟ้าอย่างอ่อนใจ

“เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวคุณลุงนอนพักก่อนนะคะ” ฉันหันไปบอกคุณลุงที่เพิ่งเจาะไขกระดูกไป แล้วรีบวิ่งไปรวมกับเพื่อนและรุ่นพี่ซึ่งยืนรออยู่หน้าเคาท์เตอร์พยาบาล

“วอร์ดเจ็ดซ้ายกับแปดขวาสายสอง โอเคไหม” เพื่อนที่รออยู่แล้วเอ่ยแบ่งเขตดูแลผู้ป่วยในเวรทันทีที่เห็นหน้าฉัน

“ไม่ ๆ ๆ ขอเจ็ดซ้ายกับแปดซ้าย สายไหนก็ได้ แต่ขอไม่เดินข้ามฝั่ง วันนี้เราเดินจนขาจะหลุดแล้ว ไม่เอาแล้ว” ฉันรีบบอกทันที

“ได้ ๆ งั้นเป็นเจ็ดซ้ายกับแปดซ้ายสายหนึ่ง เราอยู่แปดซ้ายสายสองกับแปดขวา โอเคนะ”

ฉันพยักหน้ารับทันที ก่อนจะรีบวิ่งไปหยุดตรงหน้าขบวนเพื่อส่งเวรผู้ป่วยในสายที่ดูแลอยู่ “เตียง 12 นิวโมเนียวิธเอคิวท์เรสไพราทอรี่เฟลเลีย มีหอบมากต้านเครื่องเป็นช่วง ๆ ถ้าหอบลองซัคชั่นก่อน ถ้าไม่ดีก็ซีเดทได้ค่ะ”

ทั้งหมดที่พูดไปใครมาเดินฟัง แม้จะพอเข้าใจภาษาอังกฤษก็ยังอาจเหวอได้ง่าย ๆ แต่โดยรวมแปลความได้ว่าผู้ป่วยเป็นปอดอักเสบจนเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว มีอาการหอบต้านเครื่องช่วยหายใจเป็นช่วง ๆ หายหอบมากให้ลองดูดเสมหะก่อน หากยังไม่ดีอาจพิจารณาให้ยานอนหลับช่วยให้สงบลงได้

รุ่นพี่ที่เข้าเวรด้วยพยักหน้ารับ เดินผ่านไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยเตียงผู้ป่วย ฉันกับเพื่อนที่ดูวอร์ดด้วยกันสลับกันส่งเวร เล่าอาการผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะซึ่งอาจมีปัญหาฉุกเฉินให้แพทย์เวรมาช่วยแก้ไข

“คนนี้เพิ่งออฟทิวบ์ ฝากออบเสิร์ฟหายใจ แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา” แปลว่าคนนี้เพิ่งถอดท่อช่วยหายใจออก ฝากดูเรื่องการหายใจ
เรารับเวรกันไปเรื่อยจนครบวอร์ด เดินไปที่ไอซียู ก่อนเดินขึ้นชั้นแปดไปรับเวรต่อ แล้วขาของฉันก็หยุดลงโดยไม่ตั้งใจ เมื่อได้ยินเพื่อนส่งเวรผู้ป่วยคนหนึ่งในวอร์ด

“พาราควอตอินเกสชั่น 2 ฝาเพียว” เพื่อนแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้อธิบายว่าผู้ป่วยดื่มยาฆ่าหญ้าชนิดหนึ่งเข้าไป และยาดังกล่าวเป็นที่รู้กันดีว่าพยากรณ์โรคแย่อยางที่สุด เพราะตัวยาจะค่อย ๆ ทำลายอวัยวะภายในร่างกาย จากไต ตับ และลงเอยที่ปอด ทำให้ระบบในร่างกายล้มเหลว โอกาสรอดน้อยกว่าน้อย

หลังส่งเวร เพื่อนที่เข้าเวรด้วยกันเล่าให้ฟังว่า ผู้ป่วยคนนั้นเพียงต้องการจะกินยาดังกล่าวเพื่อประชดภรรยาที่อยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบปี หลังจากทะเลาะกันด้วยเรื่องบางอย่าง ไม่ได้ตั้งใจให้ตายจริง แต่เวลานี้...เขากลับต้องนอนรอมัจจุราชอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีภรรยาที่รักยิ่งนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้าง ๆ

“ยานี่ควรแปะป้ายตัวโต ๆ ข้างขวดว่า กินแล้วตายจริงนะจ๊ะ กรุณาอย่าคิดใช้เพื่อประชดใคร” ฉันบ่นเหมือนที่เคยบ่นทุกครั้งเมื่อเจอผู้ป่วยที่กินยาตัวนี้มา พลางถอนใจอย่างเหนื่อยแทนผู้ป่วย

ถอนใจได้ไม่ถึงสองเฮือก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วโบกมือลา ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย

“เจ็ดซ้ายนะคะหมอ คนไข้รับใหม่จากอีอาร์อะเรสค่ะ” เสียงรัวเร็วบอกทันทีที่ฉันกดรับสาย แล้วจากที่เดินเอ้อระเหยฉันก็ต้องวิ่งราวติดเทอร์โบไว้ที่เท้า กระโดดลงบันไดทีละสองขั้นไปที่วอร์ดเป้าหมาย

พยาบาลสี่คนรุมกันอยู่ที่ผู้ป่วยเตียงหนึ่งเครื่องจับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจถูกติดไว้เรียบร้อย คนหนึ่งกำลังกดหน้าอกผู้ป่วยช่ยนวดหัวใจ เมื่อเห็นฉันวิ่งเข้าไปเขาจึงหยุดให้ฉันแตะมือจับชีพจรที่คอ และดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจไปพร้อม ๆ กัน

“วีเอฟ ปั๊มต่อ เตรียมดีฟิบสองร้อยจูล” ฉันบอกให้พยาบาลคนเดิมขึ้นไปนวดหัวใจต่อ ส่วนฉันคว้าเอาเครื่องช็อกไฟฟ้า ให้พยาบาลช่วยบีบเจลลงบนแผ่นเหล็ก แล้วปรับกระแสไปที่สองร้อยจูล รอจนชาร์ทเรียบร้อยก็ร้องบอก “ถอยนะคะ หนึ่ง สอง สาม”

ฉันวางเครื่องช็อตลงตามตำแหน่งบนอกผู้ป่วยแล้วกดปล่อยกระแสไฟฟ้าทันทีที่ให้สัญญาณและแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสัมผัสถูกตัวผู้ป่วย

ทันทีที่ฉันหมุนตัวกลับ พยาบาลคนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปกดหน้าอกผู้ป่วยต่ออย่างคุ้นเคย

การกู้ชีพดำเนินไปเกือบสิบนาที กว่าที่ชีพจรของผู้ป่วยจะกลับมาอีกครั้ง ฉันเขียนบันทึกการช็อตหัวใจและการให้ยาเรียบร้อย ดูจนผู้ป่วยอาการคงที่ เสียงโทรศัพท์ก็ร้องขึ้นอย่างรู้เวลา

ฉันวิ่งวุ่นไปมาระหว่างสองวอร์ด รับผู้ป่วยใหม่ไปรวมเจ็ดราย กทำการกู้ชีพไปสองราย ใส่ท่อช่วยหายใจไปห้าราย กว่าจะเริ่มสงบก็เกือบตีหนึ่ง เป็นเวรที่ยับเยินได้สมเป็นเวรของฉันมากจริง ๆ

ฉันเดินเข้าไปในห้องพักแพทย์เวร โต๊ะอาหารกลางห้องมีกลองโฟมเหลืออยู่เพียงกล่องเดียว แปลว่าคนอื่น ๆ คงหยิบข้าวไปหมดแล้ว ฉันเดินไปเปิดกล่องโฟมนั้นดู ข้าวหมูกระเทียมไข่ดาวกลายเป็นอาหารโปรดยามเข้าเวรของฉันไปแล้ว ฉันไม่มีเวลาคิดแม้แต่จะเทน้ำใส่แก้ว ข้าววางอยู่ตรงหน้าแล้วยังไงก็คงต้องหยิบช้อนเท่านั้นล่ะ

ช้อนที่สามเท่านั้น แล้วเสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้อง พรากเอามื้ออาหารอันแสนสุขของฉันไปอย่างง่ายดาย

“ค่ะ...” ฉันกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป

“แปดซ้ายค่ะหมอ เตียงแปด พาราควอตนะคะ คนไข้บอกว่าหายใจเหนื่อย อยากให้ใส่ท่อช่วยหายใจค่ะ”

“เดี๋ยวขึ้นไปนะคะ”

ฉันวางสาย ถอนใจเบา ๆ แล้วลุกจากเก้าอี้ เปิดประตูห้องพักแพทย์ออกไปพร้อมกับกดโทรศัพท์ไปพร้อม ๆ กัน

“พี่คะ แปดซ้ายเตียงแปด พาราควอตอินเกสชั่นน่ะค่ะ คนไข้บอกว่าหายใจเหนื่อย อยากให้ใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ส่งเวรตอนแรกบอกว่าโนทิวบ์ โนซีพีอาร์” ฉันหมายถึงการที่ผู้ป่วยเซ็นปฏิเสธการใส่ท่อช่วยหายใจ และการช่วยฟื้นชีวิต

“คือใส่ทิวบ์น่ะเรื่องเล็กค่ะพี่ แต่หนูไม่รู้ว่าปอดที่ไฟโบรซิสไปแล้วจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าใส่ออกซิเจนเข้าไปจะไปเร่งปฏิกิริยาทำให้โรคโปรเกสเร็วขึ้นไหมคะ” เพราะพาราควอตจะสร้างปฏิกิริยาที่ทำลายอวัยวะโดยใช้ออกซิเจนเป็นตัวช่วย ฉันกลัวว่าหากใส่ท่อช่วยหายใจและให้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น จะเป็นการเร่งการดำเนินของปฏิกิริยา

“ถ้ามีไฮพอกซิกเรสไปราทอรี่เฟลเลียร์ก็คงต้องใช้ล่ะ แต่เลือกเอฟไอโอทูต่ำๆนะ” รุ่นพี่ตอบอย่างรวดเร็ว หากมีภาวะระบบหายใจล้มเหลวเนื่องจากขาดออกซิเจนก็จำเป็นต้องใช้ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วย โดยให้ออกซิเจนในระดับต่ำ

ฉันกัดริมฝีปากตัวเองอย่างเคยชินเวลามีเรื่องไม่ได้ดังใจ ห้องพักผู้ป่วยรวมอยู่ตรงหน้าแล้ว ฉันมีผู้ป่วยที่กำลังเหนื่อยรออยู่ในนั้น แต่สองขาฉันก้าวไปอย่างเชื่องช้าผิดจากที่เคย ฉันต้องการเวลาในการตัดสินใจ การใส่ท่อช่วยหายใจเป็นสิ่งที่ฉํนคุ้นเคยเสียแล้วตั้งแต่เริ่มชีวิตในฐานะแพทย์ แต่เวลานี้ ฉันต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสีย

หลายคนบอกว่าเรียนแพทย์ต้องเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงที่เราต้องการมากกว่าคือทักษะทางศิลปศาสตร์ เราถึงต้องใช้ใบประกอบโรคศิลป์ ทุกวันที่ทำงาน เราต้องการศิลปะในการตัดสินใจ เพราะไม่เคยมีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ในวิชาแพทย์

ฉันมาหยุดที่เตียงผู้ป่วย ภรรยาและญาติเขาหันมามอง ฉันยังยืนนิ่งมองร่างใหญ่บนเตียงที่นอนปิดตาอย่างอ่อนล้า ท่าทางเขาดูเหนื่อยอ่อน แต่ไม่ได้หอบลึกให้เห็นชัดเจน

“สวัสดีค่ะ หมอเป็นแพทย์เวรนะ” ฉันวางมือลงแตะมือเขา เอ่ยบอกเบา ๆ “เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“มันเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก”

“ไหวไหมคะ” ฉันตัดสินใจถามง่าย ๆ

“ไม่ครับ”

ฉันมองหน้าเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยช้า ๆ “ถ้าคุณหอบมาก ไม่ไหว หมอจะใส่ท่อช่วยหายใจให้ แต่หมอคงรับประกันไม่ได้ว่าการใส่ท่อช่วยหายใจจะทำให้ความรู้สึกแน่นหน้าอกของคุณหายไปไหม เพราะตราบที่ออกซิเจนไม่พอ สมองก็จะสั่งให้คุณหายใจมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน...” ฉันกัดริมฝีปาก ถอนใจเบา ๆ

“ถ้าเราให้ออกซิเจนมากเท่าไร ก็อาจเร่งการทำลายปอดให้เร็วขึ้น” ฉันหลุบตามองพื้น เป็นความเจ็บปวดประการหนึ่งในชีวิตแพทย์ที่ฉันพบพานมากเท่าไรก็ไม่อาจทำใจให้เคยชินได้ เมื่อสองมือของฉันไม่สมารถทำอะไรได้เลย

หลายครั้งที่เราแย่งเอาชีวิตจากมือมัจจุราชมาได้ จนเราหลงคิดว่าตัวเองนั้นมีเวทมนต์

และเมื่อรู้ซึ้งถึงความอ่อนหัด...มันทั้งเจ็บปวดและแค้นใจอย่างน่าทรมาน

“ที่สำคัญ...” ฉันเอ่ยเบา ๆ เสียงเนิบนาบราวไร้อารมณ์ ทั้งที่ความจริงในใจกำลังสับสนวุ่นวาย “ถ้าใส่ท่อช่วยหายใจ...คุณ จะไม่สามารถพูดได้อีกนะคะ”

ความเงียบงันโรยตัวกลับมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจตีเบา ๆ จากเตียงที่อยู่ไม่ไกลนัก ฉันยืนนิ่ง ปล่อยให้ผู้ป่วยและญาติซึมซับเอาความหมายที่ฉันต้องการสื่อเข้าไปช้า ๆ

ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าระหว่างการยืดเวลาที่จะก้าวไปสู่บ่วงแห่งมัจจุราชให้ยาวนานขึ้นอีกนิด กับการได้สัมผัสและสื่อสารความรู้สึก ความผูกพันกับคนที่รัก อย่างไหนเป็นสิ่งที่ฉันควรมอบให้พวกเขา
หลายอึดใจ กว่าที่เสียงแผ่วเบาของภรรยาผู้ป่วยจะเอ่ยถามอย่างแหบแห้ง “ถ้าใส่ท่อ...จะพูดไม่ได้หรือคะ”

ฉันพยักหน้ารับ “ค่ะ...อย่างคุณลุงเตียงนั้น” ฉันผายมือไปยังเตียงใกล้ ๆ ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง เธอหันมองตาม แล้วน้ำตาก็ซึมเป็นหยดที่หางตา

“ไม่...ไม่เอา” เสียงปฏิเสธอย่างอ่อนล้าลอดออกมาจากปากผู้ป่วยในที่สุด

ฉันยืนนิ่ง มองหน้าเขาอยู่ครู่ แล้วเขาก็เอ่ยย้ำอีกครั้ง “ไม่ใส่...ผม ไม่ใส่...”

“มีอะไรที่คุณอยากให้หมอช่วยไหมคะ” ฉันมักจะถามผู้ป่วยอย่างนี้เสมอ เพราะความรู้สึกผิด ความทรมานที่สิ่งที่ฉันร่ำเรียนมาไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย ที่สุดแล้ว...โชคชะตา หรืออาจจะเป็นธณรมชาติ ก็มีชัยเหนือเราเสมอ

ความจริงยังคงเป็นเช่นที่ควรเป็น...ฉันเป็นแค่หมอ ที่มีแค่ยาและมีดผ่าตัดเป็นอาวุธ

ฉัน...ไม่มีเวทมนต์

“หมอช่วยให้เขาไม่เหนื่อยมากได้ไหม” คนเป็นภรรยาเอ่ยถามฉันเสียงเครือ

“คุณน้า...ทราบอาการดีใช่ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามเธออย่างไม่แน่ใจ “คุณหมอเจ้าของไข้บอกว่าอย่างไรบ้างคะ”

“ไม่มีทางแล้ว...ไม่เป็นไรหรอก เขารู้ทุกอย่างดีค่ะ” เธอบอกเมื่อฉันหันไปมองผู้ป่วยอย่างไม่มั่นใจ เขาเองก็พยักหน้ารับยืนยัน

“เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ และได้ตัดสินใจใช่ไหมคะหมอ”

ไม่บ่อยหรอกที่ฉันจะพบกับครอบครัวที่ไม่มีการปิดบังกันเช่นนี้ อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะชื่นชมปนทอดถอนไปพร้อม ๆ กัน

“ค่ะ...” ฉันได้แต่เอ่ยรับเบา ๆ ในหัวกำลังรื้อลิ้นชักแห่งความรู้และประสบการณ์ เรียกหาวิธ๊ที่พอจะทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยตามที่เขาต้องการ

“ผม ยังทนไหว” เขาบอกเสียงเบา “ไม่ใส่...ท่อ นะ”

“ค่ะ ไม่ใส่...” ฉันบอก พร้อม ๆ กับที่ภรรยาเขาเข้าไปกุมมือเขาไว้แล้วกระซิบคำเดียวกัน

“ถ้าคุณไม่ไหว หมออาจให้ยานอนหลับ หรือยาแก้ปวดที่กดประสาท ทำให้คุณสงบลงบ้าง” ฉันเอ่ยช้า ๆ พยายามหาคำที่จะเข้าใจได้ง่าย “คุณ...ต้องการอย่างนั้นไหมคะ”

เขาพยักหน้ารับแทบทันที เช่นเดียวกับภรรยาที่น้ำตาริน บอกเสียงเครือ “ค่ะ...คุณหมอ อย่าให้เขาทรมานเลยนะคะ”

ฉันกัดริมฝีปาก บอกอย่างอ่อนล้า “ค่ะ...”

“มีอะไรสงสัย...หรืออยากให้หมอช่วยอะไรอีกไหมคะ” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แล้วภรรยาเขาก็ลุกมากอดฉันไว้แน่น ปล่อยน้ำตาให้ไหลเปียกบ่าฉันจนอุ่นชื้น

“ขอบคุณนะคะคุณหมอ”

วินาทีนั้น ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ตัวชาไปหมดด้วยความรู้สึกประหลาด ฉันหลุบตาลง ยกมือแตะไหล่เขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วเอ่ยเบาราวเสียงกระซิบ

“บอกนะคะ...ถ้ามีอะไรให้หมอช่วยได้อีก”

“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยซ้ำ ๆ เมื่อดึงตัวออก ยกมือไหว้ฉัน เช่นเดียวกับสามีของเธอที่ยังนอนอยู่บนเตียง ฉันยกมือไหว้ตอบ พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดทุกก้าวให้มั่นคงเมื่อหมุนตัวเดินจากมา

เราถูกสอนว่าอย่าผูกพันกับผู้ป่วยมากเกินไป เพราะหากปล่อยให้หัวใจไหวไปกับเรื่องราวต่าง ๆ การตัดสินใจที่เฉียบคมก็อาจถูกรบกวนได้

แต่ความจริงคือเรายังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

มีหัวใจ...แต่ไร้เวทมนต์

ฉันได้แต่ภาวนาให้ผู้ป่วยอยู่รอดปลอดภัยและไม่ทรมานนัก ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดัง ฉํนกลัวเหลือเกินว่าจะได้ยินคำบอกให้ไปรับรองการเสียชีวิตของผู้ป่วย

โชคดีของฉันที่ราตรีนั้นฉันไม่ได้ขานเวลาตาของใครเลย เขาอยู่รอดจนผ่านพ้นค่ำคืนของฉันไปได้ และยังคงรักษาโอกาสแห่งเสียงสุดท้ายเอาไว้เพื่อคนที่รัก


ตะวันอ่อนแสงฉาบทาฟ้ายามรุ่งอรุณ วันใหม่เริ่มต้นขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานของฉันยังคงดำเนินไป กับเรื่องราวของชีวิต ความฝัน ความหวัง ที่ไม่ได้มีแค่คนเพียงหนึ่งตรงหน้า แต่พันผูกสายใยไปถึงใครมากมายที่อยู่เบื้องหลัง

ชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบาง คงเพราะอย่างนั้น...มันถึงมีค่า

-----------
บทนี้เป็นงานที่ไอซ์ไม่ชอบเขียนเลยค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องทางการแพทย์ที่ต้องค้นหาความรู้จริงมาเขียน(ไอซ์เปิดเปเปอร์อ่านไป 5 ฉบับT___T ถ้าตอนเรียนตั้งใจหาข้อมูลแบบนี้บ้าง ไอซ์คงไม่ต้องเพลียกะเกรดตัวเองตอนนี้ 555) แล้วยังเป็นเรื่องเศร้าที่ไอซ์ไม่ชอบ แถมยังอาจเสนอแง่มุมที่อาจก่อให้เกิดความไม่เห็นด้วย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่สิ่งที่อยากบอกคือ เรายังเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งค่ะ

และนี่...คือบทหนึ่งในเรื่องราวของพวกเรา

ลองอ่านแล้ว...แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกท่านที่เข้ามา และพูดคุยกัน ไอซ์ขอบอกว่า...ทุกความคิดถึง ทุกคำพูดคุย มีค่ามากจริง ๆ ค่ะ
-----------

คุณหมีสีชมพู : 555 พอคุณสะกิดขึ้นมาไอซ์ถึงเพิ่งคิดได้ จริงค่ะ กับอีกคนอาจเป็นแค่หลง

คุณ thananya : ขอบคุณค่าาาา ดีใจที่ชอบครับ

คุณ ใบบัวน่ารัก : จริงค่ะ บางครั้งความรักก็ไม่มีแบบแผนตายตัว

คุณ sumiya : เดี๋ยวให้เฮียเล้งไปช่วยเกานะคะ อิอิ

คุณ pkka : ขอบคุณค่ะ

คุณ pattisa : ^^

คุณ goldensun : เฮียเล้งเป็นผู้ชายที่อบอุ่นค่ะ เขาเข้าใจเธอ เพราะต้องการจะเข้าใจเธอจริง ๆ

คุณ คิมหันตุ์ : เฮียเล้งไม่ศรัทธาในรักค่ะ แต่เขาเชื่อในความผูกพัน

คุณ grazioso : ใช่เลยค่ะ bitter sweet ไอซ์ว่าสองคนนี้ทั้งอยาก และไม่อยากจะรักกันล่ะค่ะ




ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2556, 17:07:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2556, 17:07:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2165





<< เพียงใจในสายลม(ครึ่งหลัง)   ~ข้าง ๆ หัวใจ~ >>
grazioso 4 มี.ค. 2556, 17:47:03 น.
พี่ไอซ์คะ เรื่องนี้เศร้า.. แต่ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเจอในชีวิตจริงๆ เคยได้อ่านบทความของพี่ๆ หลายคนอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับผู้ป่วยแบบนี้ สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง TT__TT เห็นเค้าทรมานก็อยากให้หาย ไปราวน์วอร์ดที ก็สงสาร ลุงๆ ป้าๆ พอเค้าหาย ยิ้มได้เราก็ดีใจ แต่บางเคส เราก็ทำได้ดีที่สุด..ได้แค่นั้นจริงๆ TT_TT
เห็นด้วยมากๆ กับเรื่องที่หมอไม่ได้เรียนแค่วิทยาศาสตร์ แต่จริงๆ มันเป็นศาสตร์ทางศิลปะด้วย แค่ให้ยาคนไข้โรคเดียวกัน แต่คนละคน ยังต่างกันเลย ไม่มีอะไร 100% ในทางการแพทย์จริงๆค่ะ

อืม ในส่วนของตัวเนื้อเรื่อง ตัวเมนหลัก ชอบมาก มันเป็นอะไรที่แบบ..ชีวิตหมอ เจอจริง เลี่ยงไม่ได้จริงๆ TT___TT
ในส่วนของภาษาแอบยาก ก็อย่างที่พี่ไอซ์บอกแหละค่ะ การเขียนอะไรแบบนี้ยาก แถมด้วยตัวศัพท์เทคนิคที่พวกเราใช้กัน ยิ่งทำให้อ่านเข้าใจยากขึ้นอีก คนอ่านที่ไม่ได้อยู่ฟิลด์ทางนี้ แก้วว่า สำหรับเรื่องนี้ น่าจะยากอยู่สักหน่อยในการพยายามอ่านบทสนทนาช่วงส่งเวร แหะๆ

เป็นกำลังใจให้พี่ไอซ์เสมอนะคะ สู้ๆ ค่ะ :)


mhengjhy 4 มี.ค. 2556, 18:15:55 น.
แต่ชอบนะคะ บางทีก็ได้แรงบันดาลใจจากคุณไอซ์เหมือนกันค่ะ

สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า


คิมหันตุ์ 4 มี.ค. 2556, 18:37:01 น.
ชอบมากๆค่ะ.


เทียนจันทร์ 4 มี.ค. 2556, 18:51:06 น.
รู้ซึ้งเลยล่ะค่ะถึงฉากที่คุณเขียน เพราะเพิ่งเสียคุณพ่อไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมานี้เอง
แต่ของคุณพ่อรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ตั้งแต่คุณหมอบอกว่าระยะสุดท้ายก็รักษาแบบประคับประคองกันไป
ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้ท่านทรมานเกินไป เท่าที่ฟังจากคนอื่นมารู้สึกจะทรมานมาก แต่ของพ่อ
ต้องถือว่าไม่ทรมาน อาการเจ็บไม่ได้แสดงออกมามากอย่างที่ได้ยินมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี

ชอบสำนวนที่คุณเขียนมากนะคะ


kraten 4 มี.ค. 2556, 20:26:15 น.
เข้าใจ-เห็นใจ-ทำใจ จริงๆ!!!


yayee62 5 มี.ค. 2556, 09:49:30 น.
นำตาไหลเลย ขอใชคำตงเตตสนะคะ


เพาพะงา 5 มี.ค. 2556, 10:08:05 น.
คิดถึงชีวิต med เมืรอสองเดือนก่อน ...

วันนึงเราเควคิดนะ .. อายุแค่ 24 ปี แต่เราต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นแบบนี้ เร็วไปไหม


goldensun 5 มี.ค. 2556, 18:18:17 น.
เศร้า น้ำตาซึมตาม แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่ทุกคนต้องเจอเหมือนกัน แต่จะไปอย่างทรมานรึเปล่าเท่านั้น
ส่งกำลังใจให้กับคุณหมอทุกคนค่ะ


หมีสีชมพู 5 มี.ค. 2556, 20:11:38 น.
อ่านเรื่องแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง ชอบค่ะ แต่ถ้าเลือกได้เรื่องหน้าขอหวานๆ แบบเดิมนะคะ



sumiya 6 มี.ค. 2556, 20:29:08 น.
โหยคุณไอซ์ น้ำตาไหลเลยT-T


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account